“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบ
“หม่อมฉันเพียงรู้สึกว่าดื่มสุรามากไปจึงมาพักที่ตำหนักสักครู่เพื่อให้สร่างเมาเพคะ” เจียงเจียวซินเอ่ยตอบเสียงสั่นเล็กน้อย
“อื้ม” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยเสียงสั้น ๆในลำคอ ก่อนที่จะหันไปเปิดประตู
เจียงเจียวซินเห็นสีหน้าของเหยาหวังเหว่ยที่ขึ้นสีแดงระเรื่อและมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย ก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่นางวางแผนมานั้นใกล้สำเร็จลุล่วงแล้ว แต่ตอนนี้ยากำหนัดที่เหยาหวังเหว่ยได้กินเข้าไปนั้นคงยังออกฤทธิ์ไม่มากพอ สิ่งที่นางต้องทำคือยื้อเวลาไว้ เพื่อให้เขาทนพิษยากำหนัดนี้ไม่ไหว
“ชินอ๋องเพคะ พระองค์เป็นอันใดอย่างนั้นหรือเพคะ หม่อมฉันเห็นสีหน้าของพระองค์ไม่สู้ดีนัก มีเรื่องอันใดที่หม่อมฉันช่วยได้หรือไม่” นางเอ่ยเสียงหวาน
“ไม่จำเป็น เราเพียงดื่มสุรามากเกินไปเท่านั้น” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยพร้อมก้าวเท้าเดินเข้าประตูไป
“ชินอ๋องเดี๋ยวก่อนเพคะ หม่อมฉันเห็นว่าพระพักตร์ของพระองค์มีเหงื่อไหลซึมออกมา และแถวนี้ไม่มีนางกำนัลขันทีอยู่เลย หม่อมฉันไม่วางใจให้พระองค์อยู่ลำพัง เช่นนั้นให้หม่อมฉันอยู่เป็นเพื่อนพระองค์สักครู่ดีหรือไม่เพคะ” เจียงเจียวซินเอ่ยเสียงหวาน แววตาเว้าวอนขอร้อง
แน่นอนว่าเจียงเจียวซินได้ใช้ให้เหล่านางกำนัลขันทีที่เฝ้าตำหนักแห่งนี้ไปทำอย่างอื่นก่อนแล้ว เพื่อไม่ให้มีผู้ใดเป็นพยานว่านางเป็นฝ่ายเสนอตัวดูแลเหยาหวังเหว่ย ไม่เช่นนั้นแล้วชื่อเสียงของนางคงป่นปี้ไม่มีชิ้นดี
รอยยิ้มแข็งกระด้างฉายขึ้นบนใบหน้าของเหยาหวังเหว่ย หากเป็นบุรุษอื่นได้ยินน้ำเสียงและเห็นแววตาของนางเช่นนี้ย่อมไม่อาจปฏิเสธ แต่เขาหาใช่บุรุษพวกนั้นไม่ เขาจึงไม่รู้สึกหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย เขามองดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างดูแคลน หากเขาไม่คิดทำการใหญ่ เรื่องที่นางให้คนวางยาเขาในวันนี้ คงไม่อาจยื้อชีวิตของนางไว้ได้เป็นแน่
“คุณหนูเจียงโปรดสำรวม บุรุษสตรีไม่ควรอยู่กันตามลำพัง” ชินอ๋องเหยาหวังเหว่ยเอ่ยเสียงแข็ง เขาหยุดเอ่ยไปช่วงหนึ่งเพื่อดูสีหน้าของสตรีที่อยู่ตรงหน้า
คำพูดของเหยาหวังเหว่ยราวฝ่ามือที่ตบลงมากระทบบนใบหน้าของเจียงเจียวซิน แต่นางไม่ได้รู้สึกเจ็บที่หน้าแต่กลับรู้สึกเจ็บที่ใจ ที่ได้ยินคำสอนนี้จากปากของเขา ใบหน้าของนางชาวูบ นางนิ่งอึ้งจนพูดอันใดไม่ออก สองมือที่ประสานกันไว้ บัดนี้ประสานกันแน่นขึ้นกว่าเก่าด้วยความโกรธ
“ถึงข้าจะรู้ว่าเจ้ามีเจตนาดีแต่ผู้อื่นคงไม่คิดเช่นนั้น หากมีผู้ใดพบเห็นคงคิดว่าเจ้าหมายจะปีนขึ้นเตียงข้าเป็นแน่” เหยาหวังเหว่ยยกยิ้มอย่างมีเลศนัย
ถึงประโยคแรกของเขาจะฟังดูเหมือนกับเขาเข้าใจจิตใจของนางว่าหวังดีต่อเขา แต่เจียงเจียวซินรู้ดีว่าความจริงมันคือคำด่า นางพยายามข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจ แต่สีหน้าและแววตาของนางไม่อาจรอดพ้นสายตาของชินอ๋องไปได้
“ในเมื่อเจ้าอยากพักผ่อนให้สร่างเมา เช่นนั้นก็เชิญเจ้าเถอะ ข้าจะไปเดินเล่นรับลมเสียหน่อย” เหยาหวังเหว่ยก้าวเท้าเดินออกจากประตูห้องไปทันที
เพียงเห็นแผ่นหลังกว้างของบุรุษตัวสูงกว่าหายไปกับความมืดยามราตรี เจียงเจียวซินก็ไม่นึกฝืนทนอดกลั้นโทสะที่มีอีกต่อไป นางกระทืบเท้าย่ำลงกับพื้นหลายคราอย่างไม่พอใจเพื่อระบายอารมณ์ หากตอนนี้อยู่ที่จวนของนาง คงมีข้าวของหลายอย่างที่ต้องตกแตกหรือกระเด็นกระดอนไปตามพื้นเป็นแน่
“ท่านอ๋อง พระองค์จะต้องเป็นของข้าเท่านั้น” นางเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น อารมณ์ที่ปรากฏบนใบหน้าฉายให้เห็นเด่นชัดถึงความมุ่งมั่นของนาง
เจียงเจียวซินยืนปรับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะจัดแจงเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนให้เรียบร้อยเพื่อที่จะกลับเข้าไปในงานเลี้ยง เพราะนางไม่อาจทำให้ผู้ใดเห็นกิริยาเช่นนี้ของนางได้ ไม่เช่นนั้นที่นางแสร้งทำตัวอ่อนหวานอ่อนโยนมาตลอดคงต้องเหนื่อยเปล่า
หลังจากที่ชินอ๋องออกมาจากตำหนักที่ใช้รับรองแขกเหรื่อที่มาร่วมงานแล้ว เขาก็รีบสาวเท้าเดินไปยังทางที่สตรีเจ้าของชุดสีชมพูอ่อนชายกระโปรงปักลายผีเสื้ออยู่ทันที ด้วยความร้อนใจใคร่รู้ว่าเหตุใดวันนี้นางจึงมีท่าทีที่แปลกไปเช่นนี้ ทั้งที่วันนี้เพิ่งจะได้พบหน้าเขาเป็นครั้งแรกหลังที่จากกันมานาน
เพียงเขาเดินมาถึงสระบัวก็เห็นสตรีที่ตามหา นางนั่งเหม่อมองบัวอยู่ในศาลากลางสระบัวเพียงลำพัง เขาตบเท้าเร่งรีบเข้าไปหานางทันที แต่ด้วยระดับวรยุทธ์เช่นเขามีหรือฟางหนิงหลินจะได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังก้าวเข้าไปหานาง
ฟางหนิงหลินที่นั่งเหม่อมองดวงจันทราในพื้นน้ำอยู่ดี ๆนางก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาจ้องมองมายังนาง ความมืดเงียบผสานกับไอเย็นที่ปะทะโดนตัวยิ่งทำให้นางนึกถึงเรื่องเล่าเมื่อไม่นานที่ผ่านมาว่ามีนางกำนัลกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย และมีนางกำนัลขันทีมากมายที่เคยพบเจอวิญญาณเคียดแค้นนี้ ฉับพลันทันใดนั้นทั่วทั้งร่างกายของนางก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา สายตานางกวาดมองไปทั่วอย่างหวาดระแวง
“อยู่ไม่ได้แล้ว ข้ากลับเข้าไปในงานดีกว่า” ฟางหนิงหลินพึมพำออกมา
นางลุกขึ้นก้าวเท้าหันหลัง คิดจะกลับไปในงานเลี้ยง แต่เพียงสายตาเหลือบเห็นร่างบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ นางก็กรีดร้องออกมาสุดเสียงด้วยความหวาดผวา โดยที่ยังไม่ทันมองใบหน้าของเขา ทำเอาบุรุษที่อยู่ตรงหน้าตกใจรีบสาวเท้าเข้าไปดูนาง
“เจ้าเป็นอันใด” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยอย่างร้อนใจด้วยความเป็นห่วง
สตรีเอวบางร่างน้อยเมื่อได้ยินเสียงก็จำได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร ถึงน้ำเสียงจะดูอบอุ่นไม่แข็งกระด้างเหมือนก่อนหน้า แต่นางรู้ดีว่าต้องเป็นเขา นางลืมตาขึ้นดูให้ชัดเจน
เพียงเห็นใบหน้าของเหยาหวังเหว่ย นางก็ถอยหลังออกห่างจากเขาทันที โดยที่นางนั้นไม่ได้ตั้งใจ แต่ราวกับว่าร่างกายมันตอบสนองไปเองเมื่อเห็นใบหน้าของเขา
เหยาหวังเหว่ยหยุดค้างนิ่งเมื่อเห็นท่าทางและสีหน้าของนางที่รังเกียจตน ในหัวของเขาขาวโพลนเขาทำอันใดไม่ถูกเมื่อเห็นสายตาคู่นั้นที่มองมายังเขาราวกับกำลังตัดพ้อเขาอยู่ก็ไม่ปาน เขาไม่รู้เลยว่าทำอันใดผิดต่อนาง เพราะเขาเองก็เพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงเมื่อวานนี้ยามเย็น และพักอยู่ที่ตำหนักในวัง
ขณะที่เขากำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้นความคิดหนึ่งก็แล่นผ่านมาในหัวของเขา เขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นไม่ผิดเป็นแน่ เพราะไม่เช่นนั้นนางคงไม่เปลี่ยนไปมากเช่นนี้ เขาเคลื่อนฝีเท้าขยับเข้าไปหานาง ส่วนนางนั้นก็ก้าวเท้าถอยหลังหนี เขาก้าวเข้ามาหานางหนึ่งก้าวนางก็ถอยหลังหนึ่งก้าวจนในที่สุดก็ถึงขอบสระ
ฟางหนิงหลินไม่ทันได้หันหลังมองว่าตนนั้นยืนอยู่ที่ขอบสระแล้วจึงก้าวเท้าต่อ โชคดีที่เหยาหวังเหว่ยคว้าเอวบางของนางไว้ได้ทัน นางจึงไม่พลัดตกลงไปในสระบัว เขาโอบเอวนางไว้แน่นก่อนที่จะโน้มหน้าลงไปใกล้จนทั้งสองรับรู้ได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย
“จะว่าหม่อมฉันได้เช่นไรเพคะ ต้องโทษพระองค์ที่ทำตัวไม่เหมาะ ทั้งรถม้าเอย ทั้งเรือนนอกเมืองเอย อีกทั้งยังส่งองครักษ์คนสนิทไปคอยดูแลไหนเลยใครเห็นจะไม่เข้าใจผิด พระองค์รู้หรือไม่ยามนี้คนทั่วเมืองต่างพากันสงสัยแล้วว่าท่านอ๋องหรือท่านองครักษ์ซูที่เป็นบิดาของเด็กในท้อง จนถึงขั้นเปิดเดิมพันที่โรงพนันหลินหลงแล้วเพคะ”“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะส่งซูโม่อี้ไปลงพนันกับพวกเขาเสียหน่อย แต่ว่ายามนี้ข้าอยากพักผ่อนแล้ว” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงในช่วงท้าย“เช่นนั้นก็นอนเถอะเพคะ หม่อมฉันจะไปเตรียมยากับอาหารไว้ให้” ฟางหนิงหลินระบายยิ้มอ่อน ๆ ส่งให้สามี พร้อมกับลุกขึ้นความหมายคำว่า ‘พักผ่อน’ ของเหยาหวังเหว่ยนั้นมิได้หมายความว่าเขาจะนอน เมื่อเห็นภรรยาตัวนอนลุกขึ้นเขาจึงรีบคว้ามือของนางทันที พร้อมเอ่ยกับภรรยาตัวน้อยด้วยเสียงออดอ้อน“หนิงหลินเจ้าจะเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ข้าจะเฝ้าเจ้าคลอดลูก เช่นนั้นเจ้าคลอดบุตรชายบุตรสาวให้ข้าได้หรือไม่”ใบหน้าของฟางหนิงหลินขึ้นสีเล็กน้อย นางค่อย ๆ พยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ เพียงได้คำตอบจากภรรยา สวามีตัวสูงก็ดึงแขนภรรยาตัวน้อยลงมาพร้
ตลอดทางที่อยู่ในรถม้า คนตัวสูงได้แต่นอนพิงคนตัวเล็กกว่าจนหลับไป ฟางหนิงหลินน้ำตาไหลเพราะนึกว่าเขานั้นหมดสติ นางเร่งคนขับรถม้าให้เพิ่มความเร็วขึ้น สารถีเมื่อได้ยินน้ำเสียงร้อนรนของพระชายาก็เร่งความเร็วขึ้นตามผู้เป็นนายสั่งฟางหนิงหลินพยายามปลุกเหยาหวังเหว่ยให้ตื่น แต่ทว่าบุรุษตัวโตไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมาเพื่อให้นางสบายใจ เหยาหวังเหว่ยมิใช่ไม่ได้สติแต่เขานั้นอยากเอาคืนนางเสียหน่อยที่นางนั้นมิยอมเชื่อใจเขา และไม่แม้แต่จะฟังเขาอธิบายเมื่อมาถึงตำหนักเหล่าองครักษ์ก็พากันมาแบกเหยาหวังเหว่ยเข้าไปยังในตำหนัก เหยาหวังเหว่ยยังคงแกล้งไม่ได้สติจนกระทั่งหมอที่ซูโม่อี้ตามมาทำความสะอาดแผลพร้อมกับใส่ยาและพันแผลให้เหยาหวังเหว่ยเสร็จ เขาจึงแสร้งทำเป็นได้สติและลืมตาขึ้น“พระชายาอย่าได้เป็นกังวลไปพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องมีพระวรกายแข็งแรงไม่ช้าก็จะหายดี เพียงแต่ช่วงนี้อย่าให้ท่านอ๋องออกแรงมากมิเช่นนั้นแผลอาจฉีกอีก และระวังอย่าให้เป็นไข้มิเช่นนั้นอาจมีโรคอื่นแทรกซ้อนนะพ่ะย่ะค่ะ” หมอชราเอ่ยพร้อมยิ้มให้ฟางหนิงหลินก่อนจะกลับ“ขอบคุณท่านหมอมาก” ฟางหนิงหลินเอ่ยจบก็ยิ้มตอบ“ท่านหมอเ
“หลินเอ๋อร์เจ้าใจเย็นก่อน เดี๋ยวพี่จะไปจัดการเขาให้เอง” สวีจื้อซานรีบเอ่ย ถึงเรื่องที่เหยาหวังเหว่ยมีอนุเขานั้นไม่อาจสอดมือเข้าไปยุ่งได้ แต่เรื่องที่เหยาหวังเหว่ยได้ใหม่ลืมเก่ารังแกน้องสาวของเขาเช่นนี้เขาย่อมไม่อยู่เฉยฟางหนิงหลินมิได้เอ่ยตอบ นางหมุนตัวเพื่อเดินกลับเข้าไปด้านหลังร้าน เพราะไม่อยากให้ผู้ใดเห็นน้ำตาความรู้สึกผิดหวังถาโถมใส่กลางใจหญิงสาวเมื่อเดินมาถึงเรือนหลังร้านน้ำตาก็ไหลทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังไหลรินเงียบ ๆ ไม่มีเสียงสะอื้นไห้ แต่ทว่าความเจ็บปวดร้าวนั้นทำนางแทบจะขาดใจหลังจากที่ฟางหนิงหลินเดินหายเข้าไปหลังร้าน เสียงซุบซิบภายในร้านก็ดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน สวีจื้อซานกับเหยาซิงอีและเสิ่นหลิวหยางรับปากกับเหล่าสตรีว่าพวกเขานั้นจะไปคุยกับเหยาหวังเหว่ยให้รู้เรื่อง ให้พวกนางใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งวู่วามแต่ยังไม่ทันที่เหล่าบุรุษจะก้าวเท้าออกไป บุรุษที่เพิ่งก้าวเท้าออกจากร้านไปก็เดินกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมมุ่งหน้าตรงไปยังหลังร้าน เพื่อไปหาภรรยาของเขาทั้งสตรีทั้งบุรุษที่เป็นสหายเดินตามเหยาหวังเหว่ยเข้ามาถึงห
เหยาซิงอีจ้องมองดวงตาของสตรีตรงหน้าที่กำลังสั่นไหว นัยน์ตาของนางดูเศร้าราวกับโลกที่เคยเบิกบานของนางทลายลง ความเสียใจทั้งหมดทั้งมวลแสดงออกมาทางใบหน้า เขาทนไม่ไหวที่จะเห็นนางเป็นเช่นนี้ โทสะที่บังเกิดขึ้นก่อนหน้าหายไปเพียงแค่ได้เห็นตาและจมูกที่เปลี่ยนสีเป็นสีแดงระเรื่อ ท่าทางที่เหมือนกับนางกำลังจะร้องไห้ทำให้เขาต้องรีบเอ่ยประโยคที่ยังไม่ทันได้เอ่ยโดยพลัน“เพราะมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เราจะให้เกียรติเป็นพระชายาของเรา เช่นนั้นจะให้เราให้เกียรติเจ้าเหมือนสตรีนางอื่นได้เช่นไร”ดวงตาของลี่อินเบิกกว้างอย่างตกตะลึง นางนั้นพยายามตั้งสติเพราะคิดว่าตนเองอาจหูฝาดไป แต่เมื่อได้ยินคำอวยพรรวมทั้งคำยินดีจากสหายและลูกค้าที่อยู่ในร้านก็ทำให้นางรู้ว่าที่นางนั้นได้ยินไม่ผิด ใบหน้าหวานของนางขึ้นสีระเรื่อ ลี่อินเบือนหน้าหนีแสร้งหลบตาอย่างเขิน ๆท่วงท่าเขินอายของลี่อินเสริมเสน่ห์ให้นางจนเหยาซิงอีนั้นยากจะอดใจไหว เขาจับคางเล็กให้เงยขึ้นก่อนจะประกบปากลงไปจุมพิตริมฝีปากงาม โดยไม่สนใจสายตาของคนในร้านแม่นางน้อยใหญ่ที่อยู่ในร้านเมื่อได้เห็นการแสดงความรักของจวิ้นอ๋องเหยาซิงอีก็ต่างพากัน
ยามนี้เป็นเวลาทำงานของสวีจื้อซาน กว่าคนของเขาจะฝากคนส่งข่าวเข้ามารายงานได้ก็กินเวลาไปเกือบ2เค่อแล้ว และกว่าที่เขานั้นจะออกมาจากพระราชวังได้ก็ป่าไปเกือบครึ่งชั่วยามทางด้านเหยาซิงอีที่เมื่อคืนร้อนใจจนนอนไม่หลับจึงได้ชวนเสิ่นหลิวหยางดื่มสุราด้วยกันที่จวนของเขานั้น เมื่อได้ยินรายงานจากคนของตนก็ไม่รอช้ารีบออกจากจวนไปทันที โดยมีเสิ่นหลิวหยางตามติดมาด้วยตอนแรกเหยาซิงอีจะไปหาลี่อินแต่เช้า แต่เสิ่นหลิวหยางบอกให้รอเหยาหวังเหว่ยมาจัดการเรื่องทุกอย่างก่อน ไม่เช่นนั้นที่ลี่อินเพียงแค่หมางเมินใส่อาจจะกลายเป็นทะเลาะกันก็เป็นได้ เหยาซิงอีจึงเชื่อคำของสหายไม่ไปหาลี่อินแต่เช้ากว่าเหยาซิงอีกับเสิ่นหลิวหยางจะมาถึง เหล่าสตรีก็นั่งพักจิบน้ำชากินขนมที่โรงน้ำชาไป่เหอกันเสียแล้ว เพียงพวกเขาทั้งสองเดินเข้ามาในโรงน้ำชา สายตาของพวกเขาทั้งสองก็มุ่งตรงไปยังกลุ่มของสตรีทั้งห้าคนทันที ถึงบุรุษทั้งสองจะมิใช้สายตามองผู้ใดนอกจากสตรีทั้งห้า แต่ทว่าบุรุษที่อยู่ในร้านที่จ้องมองพวกนางอยู่นั้นก็รีบเก็บสายตาและหันหน้าหนีทันทีทันใด เพราะไอสังหารที่แผ่ออกมาจากบุรุษทั้งสองนั้นมีมากพอที่จะทำให้พวกเขาหวาดกลัวเหยาซิงอีเมื่อมาถ
วันต่อมาลี่อินกับเสี่ยวเยาตื่นแต่เช้า พวกนางออกมาจ่ายตลาดเพื่อจะได้เตรียมอาหารเช้าให้สตรีคนอื่น ๆ ที่ยังคงนอนไม่ตื่น และอีกอย่างเพราะเจียงเจียวซินออกมาค้างคืนข้างนอกกะทันหัน ยาบำรุงที่ควรจะดื่มในทุกวันจึงไม่ได้เอาออกมาด้วย เสี่ยวเยาจึงต้องมาโรงหมอที่เคยมารับยาทุกครั้ง เพื่อซื้อยาบำรุงให้คุณหนูของนาง“ข้ามาหาท่านหมออี้” เสี่ยวเยาเอ่ยถามเด็กรับใช้ที่อยู่ในโรงหมอ“ขอโทษทีขอรับ เมื่อคืนนี้ทั้งท่านหมออี้และอี้ฮูหยินออกไปนอกเมือง ถึงยามนี้ก็ยังไม่กลับมาขอรับ” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบแขกผู้มาเยือนด้วยท่าทีนอบน้อม“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านหมออี้ไปทำอะไรที่นอกเมืองและจะกลับมาเมื่อใด” เสี่ยวเยาเอ่ยถาม เพราะถ้าหากกลับช้าคุณหนูของนางอาจจะกินยาบำรุงไม่ตรงเวลา เช่นนั้นนางคงต้องกลับไปจวนตระกูลสวีเพื่อเอายา“ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ ข้าน้อยรู้แต่ว่าทหารของตำหนักชินอ๋องมาเชิญท่านหมออี้และอี้ฮูหยินไปทำคลอดให้สตรีที่อยู่นอกเมืองขอรับ ส่วนจะกลับมาเมื่อไรนั้นข้าน้อยไม่อาจคาดเดาได้”เพียงได้ยินคำตอบลี่อินและเสี่ยวเยาก็ต่างมองหน้ากัน พวกนางรู้เหตุผลแล้วว่าใยเมื่อคืนนี้ชินอ๋องเหยาหวังเหว่ยจึงไม่รีบกลับมาง้อฟางหนิ