“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบ
“หม่อมฉันเพียงรู้สึกว่าดื่มสุรามากไปจึงมาพักที่ตำหนักสักครู่เพื่อให้สร่างเมาเพคะ” เจียงเจียวซินเอ่ยตอบเสียงสั่นเล็กน้อย
“อื้ม” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยเสียงสั้น ๆในลำคอ ก่อนที่จะหันไปเปิดประตู
เจียงเจียวซินเห็นสีหน้าของเหยาหวังเหว่ยที่ขึ้นสีแดงระเรื่อและมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย ก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่นางวางแผนมานั้นใกล้สำเร็จลุล่วงแล้ว แต่ตอนนี้ยากำหนัดที่เหยาหวังเหว่ยได้กินเข้าไปนั้นคงยังออกฤทธิ์ไม่มากพอ สิ่งที่นางต้องทำคือยื้อเวลาไว้ เพื่อให้เขาทนพิษยากำหนัดนี้ไม่ไหว
“ชินอ๋องเพคะ พระองค์เป็นอันใดอย่างนั้นหรือเพคะ หม่อมฉันเห็นสีหน้าของพระองค์ไม่สู้ดีนัก มีเรื่องอันใดที่หม่อมฉันช่วยได้หรือไม่” นางเอ่ยเสียงหวาน
“ไม่จำเป็น เราเพียงดื่มสุรามากเกินไปเท่านั้น” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยพร้อมก้าวเท้าเดินเข้าประตูไป
“ชินอ๋องเดี๋ยวก่อนเพคะ หม่อมฉันเห็นว่าพระพักตร์ของพระองค์มีเหงื่อไหลซึมออกมา และแถวนี้ไม่มีนางกำนัลขันทีอยู่เลย หม่อมฉันไม่วางใจให้พระองค์อยู่ลำพัง เช่นนั้นให้หม่อมฉันอยู่เป็นเพื่อนพระองค์สักครู่ดีหรือไม่เพคะ” เจียงเจียวซินเอ่ยเสียงหวาน แววตาเว้าวอนขอร้อง
แน่นอนว่าเจียงเจียวซินได้ใช้ให้เหล่านางกำนัลขันทีที่เฝ้าตำหนักแห่งนี้ไปทำอย่างอื่นก่อนแล้ว เพื่อไม่ให้มีผู้ใดเป็นพยานว่านางเป็นฝ่ายเสนอตัวดูแลเหยาหวังเหว่ย ไม่เช่นนั้นแล้วชื่อเสียงของนางคงป่นปี้ไม่มีชิ้นดี
รอยยิ้มแข็งกระด้างฉายขึ้นบนใบหน้าของเหยาหวังเหว่ย หากเป็นบุรุษอื่นได้ยินน้ำเสียงและเห็นแววตาของนางเช่นนี้ย่อมไม่อาจปฏิเสธ แต่เขาหาใช่บุรุษพวกนั้นไม่ เขาจึงไม่รู้สึกหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย เขามองดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างดูแคลน หากเขาไม่คิดทำการใหญ่ เรื่องที่นางให้คนวางยาเขาในวันนี้ คงไม่อาจยื้อชีวิตของนางไว้ได้เป็นแน่
“คุณหนูเจียงโปรดสำรวม บุรุษสตรีไม่ควรอยู่กันตามลำพัง” ชินอ๋องเหยาหวังเหว่ยเอ่ยเสียงแข็ง เขาหยุดเอ่ยไปช่วงหนึ่งเพื่อดูสีหน้าของสตรีที่อยู่ตรงหน้า
คำพูดของเหยาหวังเหว่ยราวฝ่ามือที่ตบลงมากระทบบนใบหน้าของเจียงเจียวซิน แต่นางไม่ได้รู้สึกเจ็บที่หน้าแต่กลับรู้สึกเจ็บที่ใจ ที่ได้ยินคำสอนนี้จากปากของเขา ใบหน้าของนางชาวูบ นางนิ่งอึ้งจนพูดอันใดไม่ออก สองมือที่ประสานกันไว้ บัดนี้ประสานกันแน่นขึ้นกว่าเก่าด้วยความโกรธ
“ถึงข้าจะรู้ว่าเจ้ามีเจตนาดีแต่ผู้อื่นคงไม่คิดเช่นนั้น หากมีผู้ใดพบเห็นคงคิดว่าเจ้าหมายจะปีนขึ้นเตียงข้าเป็นแน่” เหยาหวังเหว่ยยกยิ้มอย่างมีเลศนัย
ถึงประโยคแรกของเขาจะฟังดูเหมือนกับเขาเข้าใจจิตใจของนางว่าหวังดีต่อเขา แต่เจียงเจียวซินรู้ดีว่าความจริงมันคือคำด่า นางพยายามข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจ แต่สีหน้าและแววตาของนางไม่อาจรอดพ้นสายตาของชินอ๋องไปได้
“ในเมื่อเจ้าอยากพักผ่อนให้สร่างเมา เช่นนั้นก็เชิญเจ้าเถอะ ข้าจะไปเดินเล่นรับลมเสียหน่อย” เหยาหวังเหว่ยก้าวเท้าเดินออกจากประตูห้องไปทันที
เพียงเห็นแผ่นหลังกว้างของบุรุษตัวสูงกว่าหายไปกับความมืดยามราตรี เจียงเจียวซินก็ไม่นึกฝืนทนอดกลั้นโทสะที่มีอีกต่อไป นางกระทืบเท้าย่ำลงกับพื้นหลายคราอย่างไม่พอใจเพื่อระบายอารมณ์ หากตอนนี้อยู่ที่จวนของนาง คงมีข้าวของหลายอย่างที่ต้องตกแตกหรือกระเด็นกระดอนไปตามพื้นเป็นแน่
“ท่านอ๋อง พระองค์จะต้องเป็นของข้าเท่านั้น” นางเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น อารมณ์ที่ปรากฏบนใบหน้าฉายให้เห็นเด่นชัดถึงความมุ่งมั่นของนาง
เจียงเจียวซินยืนปรับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะจัดแจงเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนให้เรียบร้อยเพื่อที่จะกลับเข้าไปในงานเลี้ยง เพราะนางไม่อาจทำให้ผู้ใดเห็นกิริยาเช่นนี้ของนางได้ ไม่เช่นนั้นที่นางแสร้งทำตัวอ่อนหวานอ่อนโยนมาตลอดคงต้องเหนื่อยเปล่า
หลังจากที่ชินอ๋องออกมาจากตำหนักที่ใช้รับรองแขกเหรื่อที่มาร่วมงานแล้ว เขาก็รีบสาวเท้าเดินไปยังทางที่สตรีเจ้าของชุดสีชมพูอ่อนชายกระโปรงปักลายผีเสื้ออยู่ทันที ด้วยความร้อนใจใคร่รู้ว่าเหตุใดวันนี้นางจึงมีท่าทีที่แปลกไปเช่นนี้ ทั้งที่วันนี้เพิ่งจะได้พบหน้าเขาเป็นครั้งแรกหลังที่จากกันมานาน
เพียงเขาเดินมาถึงสระบัวก็เห็นสตรีที่ตามหา นางนั่งเหม่อมองบัวอยู่ในศาลากลางสระบัวเพียงลำพัง เขาตบเท้าเร่งรีบเข้าไปหานางทันที แต่ด้วยระดับวรยุทธ์เช่นเขามีหรือฟางหนิงหลินจะได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังก้าวเข้าไปหานาง
ฟางหนิงหลินที่นั่งเหม่อมองดวงจันทราในพื้นน้ำอยู่ดี ๆนางก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาจ้องมองมายังนาง ความมืดเงียบผสานกับไอเย็นที่ปะทะโดนตัวยิ่งทำให้นางนึกถึงเรื่องเล่าเมื่อไม่นานที่ผ่านมาว่ามีนางกำนัลกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย และมีนางกำนัลขันทีมากมายที่เคยพบเจอวิญญาณเคียดแค้นนี้ ฉับพลันทันใดนั้นทั่วทั้งร่างกายของนางก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา สายตานางกวาดมองไปทั่วอย่างหวาดระแวง
“อยู่ไม่ได้แล้ว ข้ากลับเข้าไปในงานดีกว่า” ฟางหนิงหลินพึมพำออกมา
นางลุกขึ้นก้าวเท้าหันหลัง คิดจะกลับไปในงานเลี้ยง แต่เพียงสายตาเหลือบเห็นร่างบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ นางก็กรีดร้องออกมาสุดเสียงด้วยความหวาดผวา โดยที่ยังไม่ทันมองใบหน้าของเขา ทำเอาบุรุษที่อยู่ตรงหน้าตกใจรีบสาวเท้าเข้าไปดูนาง
“เจ้าเป็นอันใด” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยอย่างร้อนใจด้วยความเป็นห่วง
สตรีเอวบางร่างน้อยเมื่อได้ยินเสียงก็จำได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร ถึงน้ำเสียงจะดูอบอุ่นไม่แข็งกระด้างเหมือนก่อนหน้า แต่นางรู้ดีว่าต้องเป็นเขา นางลืมตาขึ้นดูให้ชัดเจน
เพียงเห็นใบหน้าของเหยาหวังเหว่ย นางก็ถอยหลังออกห่างจากเขาทันที โดยที่นางนั้นไม่ได้ตั้งใจ แต่ราวกับว่าร่างกายมันตอบสนองไปเองเมื่อเห็นใบหน้าของเขา
เหยาหวังเหว่ยหยุดค้างนิ่งเมื่อเห็นท่าทางและสีหน้าของนางที่รังเกียจตน ในหัวของเขาขาวโพลนเขาทำอันใดไม่ถูกเมื่อเห็นสายตาคู่นั้นที่มองมายังเขาราวกับกำลังตัดพ้อเขาอยู่ก็ไม่ปาน เขาไม่รู้เลยว่าทำอันใดผิดต่อนาง เพราะเขาเองก็เพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงเมื่อวานนี้ยามเย็น และพักอยู่ที่ตำหนักในวัง
ขณะที่เขากำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้นความคิดหนึ่งก็แล่นผ่านมาในหัวของเขา เขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นไม่ผิดเป็นแน่ เพราะไม่เช่นนั้นนางคงไม่เปลี่ยนไปมากเช่นนี้ เขาเคลื่อนฝีเท้าขยับเข้าไปหานาง ส่วนนางนั้นก็ก้าวเท้าถอยหลังหนี เขาก้าวเข้ามาหานางหนึ่งก้าวนางก็ถอยหลังหนึ่งก้าวจนในที่สุดก็ถึงขอบสระ
ฟางหนิงหลินไม่ทันได้หันหลังมองว่าตนนั้นยืนอยู่ที่ขอบสระแล้วจึงก้าวเท้าต่อ โชคดีที่เหยาหวังเหว่ยคว้าเอวบางของนางไว้ได้ทัน นางจึงไม่พลัดตกลงไปในสระบัว เขาโอบเอวนางไว้แน่นก่อนที่จะโน้มหน้าลงไปใกล้จนทั้งสองรับรู้ได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย
“ไม่มีทาง หลินเอ๋อร์ไม่มีทางใช้วิธีการชั้นต่ำเช่นนี้ กระหม่อมเอาหัวเป็นประกันพ่ะย่ะค่ะ” ตู้ไท่ฝูเอ่ยเสียงแข็ง“ท่านอาจารย์ข้ารู้อยู่แล้วว่านางไม่มีทางทำเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นข้าคงลงโทษนางไปแล้วที่กล้าวางยาโอรสของข้า”“แล้วฝ่าบาทได้ตรัสถามนางแล้วหรือไม่” ตู้ไท่ฝูขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยยังไม่ทันที่เฉิงเฟิงฮ่องเต้จะเอ่ยตอบ ไป๋กงกงเดินมาพร้อมกับสตรีที่ทั้งสองคนกำลังเอ่ยถึง นางยอบกายคารวะเฉิงเฟิงฮ่องเต้และตู้ไท่ฝูด้วยท่าทางโซเซไม่มั่นคงใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นเต็มใบหน้า นางก้มหน้าหลุบตาลงเพื่อหลบสายตาบุรุษทั้งสองที่มองมายังนาง“คุกเข่า” ตู้ไท่ฝูเอ่ยเสียงดังฟางหนิงหลินคุกเข่าลงทันทีอย่างรู้ผิด เพราะเรื่องเช่นนี้แม้ไม่ถูกเล่าลือออกไป เพราะเฉิงเฟิงฮ่องเต้ส่งสั่งห้ามเอาไว้แต่เพียงมีผู้คนรู้เห็นก็ทำให้ท่านตาของนางและตระกูลฟางต้องอับอายที่มีลูกหลานไร้ยางอายเช่นนาง“เจ้าตอบข้ามาตามความจริง เจ้าได้วางยาชินอ๋องหรือไม่” บุรุษผมสองสีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นฉะฉาน&ld
แน่นอนว่ายามนี้งานเลี้ยงที่จัดขึ้นนั้นได้เลิกราไปแล้ว รถม้าของแขกที่เชิญมาล้วนทยอยออกไปจนลานหน้าวังเริ่มโล่ง เหลือเพียงรถม้าของตู้ไท่ฝู ฟางจี้ต๋า และฟางรั่วซานเท่านั้นที่ยังคงจอดนิ่งสนิทอยู่ด้านหน้าวัง เพียงเพราะสตรีร่วมสายเลือดยังไม่ออกมาจากวังฟางรั่วซานเดินวนไปวนมาอยู่หน้ารถม้าของตนอย่างร้อนรน ด้วยความเป็นห่วงบุตรสาว หลังจากที่นางกำนัลขององค์หญิงเหยาลี่เซียนมาแจ้งว่าฟางหนิงหลินไม่ได้อยู่ที่ตำหนักขององค์หญิง ถึงองค์หญิงเหยาลี่เซียนจะฝากนางกำนัลมาบอกว่าจะตามหาบุตรสาวของตนให้ แต่เขาก็ยังคงร้อนใจไม่คลายฟางจี้ต๋าเสนาบดีกรมคลังท่านลุงของฟางหนิงหลินพี่ชายของฟางรั่วซานที่ยืนอยู่หน้ารถม้าของเขา ก็รู้สึกเป็นห่วงหลานสาวคนเดียวของเขาเช่นกัน แต่อาจจะไม่เท่ากับฮูหยินของเขาที่ยืนจับมือกับน้องสะใภ้ชะเง้อหน้ารอฟางหนิงหลินอยู่ข้างประตูวังถึงฟางรั่วซานน้องชายของเขาจะแยกจวนออกไป แต่เพราะฮูหยินของเขาอยากมีบุตรสาวแต่ทว่าที่จวนของฟางจี้ต๋านั้นกลับมีแต่บุรุษมาเกิด ฮูหยินของเขาจึงเทียวไปหาหลานสาวคนนี้ที่จวนอยู่บ่อยครั้ง จนเกิดความรักใคร่ดั่งเช่นบุตรสาวแท้ ๆ ของตนก็ไม่ปาน และทุกครั้
งานเลี้ยงค่ำคืนนี้เมื่อชาติก่อนหลังจากที่ฟางหนิงหลินได้ไปแสดงความยินดีกับเหล่าองค์ชายทั้งสามและเสิ่นหลิวหยางที่ได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว นางก็มานั่งดื่มกินกับเหล่าสตรีคนอื่น ๆ ตรงที่เหยาลี่เซียนได้จัดเตรียมไว้ให้แน่นอนว่าที่ตรงนี้ที่องค์หญิงเหยาลี่เซียนจัดไว้นั้น ฟางหนิงหลินย่อมมองเห็นเสด็จพี่ของนางเหยาหวังเหว่ยได้อย่างชัดเจน เพราะสหายคนสนิทมีหรือจะไม่รู้ใจกัน เหยาลี่เซียนรู้ดีว่าหากมีเสด็จพี่รองอยู่ขอเพียงมีที่นั่งให้สหายของนางได้นั่งดูให้เห็นใบหน้าของเสด็จพี่ก็เพียงพอแล้วสำหรับฟางหนิงหลินขณะที่ฟางหนิงหลินนั่งมองเหยาหวังเหว่ยอยู่นั้น นางก็เห็นว่าเหยาหวังเหว่ยลุกเดินออกไปจากงานด้วยท่าทางไม่ดีนัก นางจึงเดินตามไปด้วยความเป็นห่วง เมื่อนางเห็นว่าเขาเดินเซไปมาคล้ายทรงตัวไม่อยู่จึงรีบเข้าไปพยุงตัวของเขาเอาไว้ไม่ให้ล้มลง ถึงคราแรกเขาจะปฏิเสธไม่ยอมให้ฟางหนิงหลินแตะต้องตัว แต่เพียงผ่านไปไม่นานกลับกลายเป็นเขาที่อุ้มฟางหนิงหลิน และพาเข้าไปในห้องรับรองแขกที่หลัวฮองเฮาทรงสั่งให้นางกำนัลจัดเตรียมไว้ขณะนั้นเจียงเจียวซินที่ดักรอเหยาหวังเหว่ยอยู่ก็ต้องรีบห
“ได้ เจ้าว่าเช่นไร ข้าล้วนเห็นด้วย” เหยาหวังเหว่ยคลี่ยิ้มอย่างคลายกังวลเขารู้ดีว่านางมีแผนการบางอย่างซ่อนเร้นเอาไว้ แต่เขาก็ยังยินดียอมตกลงไปในบ่อที่นางขุด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ปานสุนัขจิ้งจอกของนาง ถึงอดีตนางพยายามจะใช้มารยาของสตรีในเรือนหอหลายครั้งเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา แต่แววตาของนางหาได้เป็นเช่นนี้ นางเป็นเพียงสตรีในเรือนหอที่ไร้เดียงสา ดวงตาที่นางมองมาที่เขาเป็นเพียงแววตาที่สตรีใช้มองบุรุษที่ตนรักเท่านั้น แตกต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง“เช่นนั้นท่านอ๋องปล่อยข้าน้อยก่อนได้หรือไม่ หากมีใครมาเห็นเกรงว่าจะดูไม่เหมาะนะเพคะ” นางเอ่ยเสียงหวานเหยาหวังเหว่ยค่อย ๆ คลายแขนออกจากสตรีบอบบางอย่างช้า ๆ ราวกับว่าเขายังอยากมีนางไว้ในอ้อมแขนให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย แต่ในเมื่อเขารับปากนางแล้วย่อมต้องทำให้นางเห็น จึงไม่คิดฝืนใจนาง“ท่านอ๋องเพคะ พวกเรากลับเข้าไปในงานเลี้ยงดีหรือไม่เพคะ” หญิงสาวส่งยิ้มหวาน“ใจข้าอยากอยู่กับเจ้าเช่นนี้อีกสักครู่ แต่ในเมื่อเจ้าต้องการ ข้าก็จะไม่ฝืน เพียงแต่ข้าขอกอดเจ้าอีกสักคราได้หรือไม่” เขาเอ่ยเสียงอ่อย ๆ ในประโยคท้ายราวกับกระด้างอายที่จะเ
เหยาหวังเหว่ยอยากหยั่งเชิงนางเสียหน่อยว่าสาเหตุที่นางเปลี่ยนไปนั้นเป็นดั่งที่เขาคิดไว้หรือไม่ เพราะหากว่าเขาพูดออกไป หากไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ นางคงคิดว่าเขาเสียสติพูดจาเลอะเลือนก็เป็นได้“เจ้าคงวางแผนจะตกน้ำเพื่อให้ข้าช่วยเจ้าสินะ ดีใจหรือไม่ที่เจ้าทำสำเร็จแล้ว” เขาเอียงหน้าและเอ่ยกระซิบที่ข้างใบหูของนาง น้ำเสียงแหบพร่าเบา ๆ ที่เขาเอ่ยราวกับจะยั่วให้นางอายใบหน้าของนางแดงขึ้นมาทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงลมร้อนอุ่นที่กระทบใบหู สติที่เตลิดไปไกลกลับมาทันที นางพยายามดันตัวเขาให้ถอยห่างแต่กลับไม่เป็นผล เขากลับยิ่งกระชับเอวนางให้แนบชิดร่างกายของเขายิ่งกว่าเก่าเจียงเจียวซินที่เดินกลับมายังงานเลี้ยงบังเอิญได้ยินเสียงกรีดร้องของสตรี จึงได้เดินมาตามเสียงด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เมื่อนางเดินมาถึงสระบัวก็เห็นบุรุษและสตรีคู่หนึ่งยืนกอดกันแน่น นางถลึงตาเหลือกโตดวงตาของนางราวกับมีเปลวเพลิงโหมลุกไหม้ นางกำมือแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อ เจียงเจียวซินเม้มริมฝีปากแน่นเพื่ออดทนไม่กรีดร้องออกมา เพราะหากมีผู้ใดมาเห็นและนำเรื่องนี้ไปเล่าลือกันจนถึงหูฮองเฮาหรือไทเฮา ฟางหนิงหลินย่อมต้องได้เป็นชายาชินอ๋องดั่ง
“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบ“หม่อมฉันเพียงรู้สึกว่าดื่มสุรามากไปจึงมาพักที่ตำหนักสักครู่เพื่อให้สร่างเมาเพคะ” เจียงเจียวซินเอ่ยตอบเสียงสั่นเล็กน้อย“อื้ม” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยเสียงสั้น ๆในลำคอ ก่อนที่จะหันไปเปิดประตูเจียงเจียวซินเห็นสีหน้าของเหยาหวังเหว่ยที่ขึ้นสีแดงระเรื่อและมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย ก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่นางวางแผนมานั้นใกล้สำเร็จลุล่วงแล้ว แต่ตอนนี้ยากำหนัดที่เหยาหวังเหว่ยได้กินเข้าไปนั้นคงยังออกฤทธิ์ไม่มากพอ สิ่งที่นางต้องทำคือยื้อเวลาไว้ เพื่อให้เขาทนพิษยากำหนัดนี้ไม่ไหว“ชินอ๋องเพคะ พระองค์เป็นอันใดอย่างนั้นหรือเพคะ หม่อมฉันเห็นสีหน้าของพระองค์ไม่สู้ดีนัก มีเรื่องอันใดที่หม่อมฉันช่วยได้หรือไม่” นางเอ่ยเสียงหวาน“ไม่จำเป็น เราเพียงดื่มสุรามากเกินไปเท่านั้น” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยพร้อมก้าวเท้าเดินเข้าประตูไป“ชินอ๋องเดี๋ยวก่อนเพคะ หม่อมฉันเห็นว่าพระพักตร์ของพระองค์มีเหงื่อไหลซึมออกมา และแถวนี้ไม่มีนางกำนัลขันทีอยู่เลย หม่อมฉันไม่วางใจให้พระองค์อยู่ลำพัง เช่นนั้นให้หม่อมฉันอยู่เป็นเพื่อนพระองค์สักครู่ดีหรือไม่เพคะ” เจียงเจียวซินเอ่ยเสียงหวาน