เหยาหวังเหว่ยอยากหยั่งเชิงนางเสียหน่อยว่าสาเหตุที่นางเปลี่ยนไปนั้นเป็นดั่งที่เขาคิดไว้หรือไม่ เพราะหากว่าเขาพูดออกไป หากไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ นางคงคิดว่าเขาเสียสติพูดจาเลอะเลือนก็เป็นได้
“เจ้าคงวางแผนจะตกน้ำเพื่อให้ข้าช่วยเจ้าสินะ ดีใจหรือไม่ที่เจ้าทำสำเร็จแล้ว” เขาเอียงหน้าและเอ่ยกระซิบที่ข้างใบหูของนาง น้ำเสียงแหบพร่าเบา ๆ ที่เขาเอ่ยราวกับจะยั่วให้นางอาย
ใบหน้าของนางแดงขึ้นมาทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงลมร้อนอุ่นที่กระทบใบหู สติที่เตลิดไปไกลกลับมาทันที นางพยายามดันตัวเขาให้ถอยห่างแต่กลับไม่เป็นผล เขากลับยิ่งกระชับเอวนางให้แนบชิดร่างกายของเขายิ่งกว่าเก่า
เจียงเจียวซินที่เดินกลับมายังงานเลี้ยงบังเอิญได้ยินเสียงกรีดร้องของสตรี จึงได้เดินมาตามเสียงด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เมื่อนางเดินมาถึงสระบัวก็เห็นบุรุษและสตรีคู่หนึ่งยืนกอดกันแน่น นางถลึงตาเหลือกโตดวงตาของนางราวกับมีเปลวเพลิงโหมลุกไหม้ นางกำมือแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อ เจียงเจียวซินเม้มริมฝีปากแน่นเพื่ออดทนไม่กรีดร้องออกมา เพราะหากมีผู้ใดมาเห็นและนำเรื่องนี้ไปเล่าลือกันจนถึงหูฮองเฮาหรือไทเฮา ฟางหนิงหลินย่อมต้องได้เป็นชายาชินอ๋องดั่งที่หวังไว้อย่างแน่นอน มีหรือเจียงเจียวซินจะยอมให้เป็นเช่นนั้น
แต่ที่เจียงเจียวซินรู้สึกเจ็บแค้นมากไปกว่านั้นก็คือ แผนการที่นางอุตส่าห์เปลืองแรงเปลืองเงินไปมากมาย แต่ผู้ที่ได้ผลประโยชน์กลับเป็นคนอื่น และคนที่ว่านั้นยังเป็นสตรีที่นางเกลียดชังมากที่สุดอีกด้วย
“ข้าตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น[1]ชัด ๆ” เจียงเจียวซินกัดฟันเอ่ย
“ท่านอ๋องโปรดสำรวมด้วยเพคะ ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็เป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน หากมีผู้ใดรู้เรื่องนี้เข้าไหนเลยจะมีบุรุษดี ๆมาสู่ขอหม่อมฉัน” น้ำเสียงของนางบ่งบอกว่าสิ่งที่เอ่ยนั้นนางคิดเช่นนั้นจริง ๆหาได้เอ่ยอย่างเช่นสตรีที่กำลังเล่นตัวเพื่อเรียกร้องความสนใจจากบุรุษไม่
คำพูดของนางกระตุ้นเลือดในกายของบุรุษตรงหน้าให้เดือดพล่าน เขากระชับวงแขนให้แน่นขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของนาง
“ใครกล้า ชาติก่อนเจ้าเป็นของข้า ชาตินี้เจ้าก็ต้องเป็นของข้า หากมีบุรุษหน้าไหนกล้ามายุ่งกับเจ้า เช่นนั้นต้องถามดาบในมือข้าก่อนว่ายอมหรือไม่” น้ำเสียงเย็นเยียบ ใบหน้าเคร่งขรึม
สายตาของเขาเปลี่ยนไปจนสตรีในอ้อมแขนรู้สึกหวาดกลัว ถึงก่อนหน้านี้เขาจะไม่ใส่ใจนาง แต่ก็ไม่เคยมองนางด้วยสายตาเช่นนี้ แต่วันนี้หลายครั้งที่นางหันไปสบตากับเขา ก็มักจะเห็นสายตาดุดันราวเสือร้ายที่จ้องจะขยำเหยื่อเสียทุกครั้งไป ทำให้นางรู้สึกว่าวันนี้เหยาหวังเหว่ยดูแปลกไป
คิ้วของนางขมวดเล็กน้อยในพฤติกรรมที่เขาแสดงออกมา แต่เพียงช่วงขณะเดียวเมื่อนางนึกถึงคำพูดของเขาขึ้นมาได้ ‘ชาติก่อนเจ้าเป็นของข้า ชาตินี้เจ้าก็ต้องเป็นของข้า’ ดวงตาของนางก็เบิกโตขึ้นทันที
“ชาติก่อนเจ้าเป็นของข้า ชาตินี้เจ้าก็ต้องเป็นของข้า คำพูดนี้ของท่านอ๋องหมายความเช่นไรอย่างนั้นหรือเพคะ” น้ำเสียงดูสงสัย คิ้วขมวดเล็กน้อย สายตาจดจ้องรอคำตอบจากอีกฝ่าย
“เจ้าก็กลับมาเช่นกันสินะ ชายาของข้า” เขาเอ่ยเสียงอ่อนลง เมื่อนึกถึงความผิดที่ทำกับนางเมื่อครั้งก่อน
เพียงได้ยินคำตอบของบุรุษตรงหน้าฟางหนิงหลินถึงกับขาอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง สมองหนักอึ้งราวถูกถ่วงด้วยหินพันชั่ง เมื่อรู้ว่านั่นไม่ได้เป็นเพียงความฝันแต่เป็นความทรงจำจากอดีต ถึงนางจะจดจำเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้ แต่นางรู้ว่านางวางยาเหยาหวังเหว่ยจนได้เป็นชายาชินอ๋อง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นนางไม่รู้เรื่องเลย นางจำได้เพียงช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่จะจากโลกไป ว่านางนั้นถูกย่ำยีและทรมานมากเพียงใดจากคนที่นางรัก และสหายที่นางสนิทมาตั้งแต่วัยเยาว์
เหยาหวังเหว่ยคิดว่าสตรีที่อยู่ในอ้อมแขนคงตกใจที่เขาเองก็ย้อนเวลากลับมาเช่นกัน และวันนี้ที่นางทำตัวแปลกไปไม่เหมือนดั่งเช่นแต่ก่อน ก็คงเป็นเพราะนางอยากกลับมาแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเช่นเดียวกันกับเขา แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่อยากแก้ไขคือ เขายังคงอยากให้นางเป็นชายาของเขาดั่งเช่นชาติก่อน
แต่ด้วยน้ำหนักของสตรีที่ทิ้งตัวลงในอ้อมแขนของเขาตอนนี้ ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่านางคงผิดหวังที่เขานั้นได้ย้อนเวลากลับมาเช่นกัน นางคงกลัวว่าเขาจะเข้ามาขวางไม่ให้นางทำในสิ่งที่หวังได้สำเร็จ เพราะนางไม่ได้คิดเช่นเขา นางกลับมาครานี้คงตั้งมั่นแน่วแน่แล้วว่าจะไม่มีวันเชื่อมวาสนาร่วมหอกับเขาเป็นแน่
“ข้ารู้ว่าอดีตข้าทำผิดกับเจ้าไว้มาก แต่ชาตินี้ข้าจะไม่มีวันผิดต่อเจ้า เจ้าอภัยให้ข้าได้หรือไม่” เขาเอ่ยอย่างสำนึกผิดพร้อมส่งสายตาเว้าวอน
เมื่อฟางหนิงหลินได้เห็นสีหน้าและสายตาของเหยาหวังเหว่ยที่ส่งความรู้สึกมายังนางก็ทำให้ใจของนางสั่นไหวเล็กน้อย เพราะนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่นางรู้จักกับเขา ที่เขาทำสีหน้าและพูดจาเช่นนี้กับนาง แต่เมื่อนางนึกถึงความเศร้าโศกและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในภาพความทรงจำในฝัน นางก็คิดได้ว่านางควรทำเช่นไรกับตนเอง
‘ความรักข้างเดียวที่ทุ่มเทจนสุดตัว สุดท้ายกลายเป็นเพียงสตรีแสนโง่เขลาให้คนดูถูกย่ำยีเหยียบย่ำศักดิ์ศรี แม้แต่ชีวิตของคนในตระกูลก็ต้องจบสิ้น เช่นนั้นชาตินี้ข้าขอเป็นสตรีไร้หัวใจ ใช้ชีวิตเสพสุขไร้พันธะให้สมกับที่สวรรค์ให้โอกาสข้าได้กลับมา’
นางได้แต่คิดในใจ เพราะอย่างไรเสียเขาก็คือชินอ๋อง บุรุษที่หยิ่งทะนง รักศักดิ์ศรีและไร้ปรานีต่อศัตรู ในเมื่อชาติก่อนตระกูลของนางถูกใส่ความจนต้องพบกับความวิบัติ หากวันนี้นางพูดจาไร้ไมตรีไม่ไว้หน้าเขาที่ยอมลดทิฐิมาขอร้องนาง ก็คงจะเป็นการสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งยากแก่การที่ตระกูลของนางจะต้านอยู่
“หากอยากให้หม่อมฉันให้อภัยก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ความเจ็บปวดที่ท่านอ๋องมอบให้ หม่อมฉันเองก็ไม่อาจลืมเลือนไปได้โดยง่าย คำพูดคนเป็นเพียงลมปาก หม่อมฉันมิอาจหลงเชื่อ มิเช่นนั้นไม่สู้ท่านอ๋องทำให้หม่อมฉันเห็นดีหรือไม่เพคะ” นางเอ่ยพร้อมยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย แววตาฉายแววเจ้าเล่ห์
ในเมื่อนางไม่อาจทำให้เขาขุ่นเคืองได้ เช่นนั้นนางก็ทำได้เพียงใช้เขาเป็นโล่และดาบ เพื่อเอาไว้ปกป้องและจัดการกับคนที่คิดร้ายต่อตระกูลของนาง หลังจากนั้นค่อยหาวิธีสลัดเขาทิ้งในภายหลัง
[1] ตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น หมายถึง ทำบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่ได้ประโยชน์ แต่คนอื่นได้ประโยชน์ ทำงานลำบากให้คนอื่นเปล่า ๆ
“จะว่าหม่อมฉันได้เช่นไรเพคะ ต้องโทษพระองค์ที่ทำตัวไม่เหมาะ ทั้งรถม้าเอย ทั้งเรือนนอกเมืองเอย อีกทั้งยังส่งองครักษ์คนสนิทไปคอยดูแลไหนเลยใครเห็นจะไม่เข้าใจผิด พระองค์รู้หรือไม่ยามนี้คนทั่วเมืองต่างพากันสงสัยแล้วว่าท่านอ๋องหรือท่านองครักษ์ซูที่เป็นบิดาของเด็กในท้อง จนถึงขั้นเปิดเดิมพันที่โรงพนันหลินหลงแล้วเพคะ”“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะส่งซูโม่อี้ไปลงพนันกับพวกเขาเสียหน่อย แต่ว่ายามนี้ข้าอยากพักผ่อนแล้ว” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงในช่วงท้าย“เช่นนั้นก็นอนเถอะเพคะ หม่อมฉันจะไปเตรียมยากับอาหารไว้ให้” ฟางหนิงหลินระบายยิ้มอ่อน ๆ ส่งให้สามี พร้อมกับลุกขึ้นความหมายคำว่า ‘พักผ่อน’ ของเหยาหวังเหว่ยนั้นมิได้หมายความว่าเขาจะนอน เมื่อเห็นภรรยาตัวนอนลุกขึ้นเขาจึงรีบคว้ามือของนางทันที พร้อมเอ่ยกับภรรยาตัวน้อยด้วยเสียงออดอ้อน“หนิงหลินเจ้าจะเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ข้าจะเฝ้าเจ้าคลอดลูก เช่นนั้นเจ้าคลอดบุตรชายบุตรสาวให้ข้าได้หรือไม่”ใบหน้าของฟางหนิงหลินขึ้นสีเล็กน้อย นางค่อย ๆ พยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ เพียงได้คำตอบจากภรรยา สวามีตัวสูงก็ดึงแขนภรรยาตัวน้อยลงมาพร้
ตลอดทางที่อยู่ในรถม้า คนตัวสูงได้แต่นอนพิงคนตัวเล็กกว่าจนหลับไป ฟางหนิงหลินน้ำตาไหลเพราะนึกว่าเขานั้นหมดสติ นางเร่งคนขับรถม้าให้เพิ่มความเร็วขึ้น สารถีเมื่อได้ยินน้ำเสียงร้อนรนของพระชายาก็เร่งความเร็วขึ้นตามผู้เป็นนายสั่งฟางหนิงหลินพยายามปลุกเหยาหวังเหว่ยให้ตื่น แต่ทว่าบุรุษตัวโตไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมาเพื่อให้นางสบายใจ เหยาหวังเหว่ยมิใช่ไม่ได้สติแต่เขานั้นอยากเอาคืนนางเสียหน่อยที่นางนั้นมิยอมเชื่อใจเขา และไม่แม้แต่จะฟังเขาอธิบายเมื่อมาถึงตำหนักเหล่าองครักษ์ก็พากันมาแบกเหยาหวังเหว่ยเข้าไปยังในตำหนัก เหยาหวังเหว่ยยังคงแกล้งไม่ได้สติจนกระทั่งหมอที่ซูโม่อี้ตามมาทำความสะอาดแผลพร้อมกับใส่ยาและพันแผลให้เหยาหวังเหว่ยเสร็จ เขาจึงแสร้งทำเป็นได้สติและลืมตาขึ้น“พระชายาอย่าได้เป็นกังวลไปพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องมีพระวรกายแข็งแรงไม่ช้าก็จะหายดี เพียงแต่ช่วงนี้อย่าให้ท่านอ๋องออกแรงมากมิเช่นนั้นแผลอาจฉีกอีก และระวังอย่าให้เป็นไข้มิเช่นนั้นอาจมีโรคอื่นแทรกซ้อนนะพ่ะย่ะค่ะ” หมอชราเอ่ยพร้อมยิ้มให้ฟางหนิงหลินก่อนจะกลับ“ขอบคุณท่านหมอมาก” ฟางหนิงหลินเอ่ยจบก็ยิ้มตอบ“ท่านหมอเ
“หลินเอ๋อร์เจ้าใจเย็นก่อน เดี๋ยวพี่จะไปจัดการเขาให้เอง” สวีจื้อซานรีบเอ่ย ถึงเรื่องที่เหยาหวังเหว่ยมีอนุเขานั้นไม่อาจสอดมือเข้าไปยุ่งได้ แต่เรื่องที่เหยาหวังเหว่ยได้ใหม่ลืมเก่ารังแกน้องสาวของเขาเช่นนี้เขาย่อมไม่อยู่เฉยฟางหนิงหลินมิได้เอ่ยตอบ นางหมุนตัวเพื่อเดินกลับเข้าไปด้านหลังร้าน เพราะไม่อยากให้ผู้ใดเห็นน้ำตาความรู้สึกผิดหวังถาโถมใส่กลางใจหญิงสาวเมื่อเดินมาถึงเรือนหลังร้านน้ำตาก็ไหลทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังไหลรินเงียบ ๆ ไม่มีเสียงสะอื้นไห้ แต่ทว่าความเจ็บปวดร้าวนั้นทำนางแทบจะขาดใจหลังจากที่ฟางหนิงหลินเดินหายเข้าไปหลังร้าน เสียงซุบซิบภายในร้านก็ดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน สวีจื้อซานกับเหยาซิงอีและเสิ่นหลิวหยางรับปากกับเหล่าสตรีว่าพวกเขานั้นจะไปคุยกับเหยาหวังเหว่ยให้รู้เรื่อง ให้พวกนางใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งวู่วามแต่ยังไม่ทันที่เหล่าบุรุษจะก้าวเท้าออกไป บุรุษที่เพิ่งก้าวเท้าออกจากร้านไปก็เดินกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมมุ่งหน้าตรงไปยังหลังร้าน เพื่อไปหาภรรยาของเขาทั้งสตรีทั้งบุรุษที่เป็นสหายเดินตามเหยาหวังเหว่ยเข้ามาถึงห
เหยาซิงอีจ้องมองดวงตาของสตรีตรงหน้าที่กำลังสั่นไหว นัยน์ตาของนางดูเศร้าราวกับโลกที่เคยเบิกบานของนางทลายลง ความเสียใจทั้งหมดทั้งมวลแสดงออกมาทางใบหน้า เขาทนไม่ไหวที่จะเห็นนางเป็นเช่นนี้ โทสะที่บังเกิดขึ้นก่อนหน้าหายไปเพียงแค่ได้เห็นตาและจมูกที่เปลี่ยนสีเป็นสีแดงระเรื่อ ท่าทางที่เหมือนกับนางกำลังจะร้องไห้ทำให้เขาต้องรีบเอ่ยประโยคที่ยังไม่ทันได้เอ่ยโดยพลัน“เพราะมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เราจะให้เกียรติเป็นพระชายาของเรา เช่นนั้นจะให้เราให้เกียรติเจ้าเหมือนสตรีนางอื่นได้เช่นไร”ดวงตาของลี่อินเบิกกว้างอย่างตกตะลึง นางนั้นพยายามตั้งสติเพราะคิดว่าตนเองอาจหูฝาดไป แต่เมื่อได้ยินคำอวยพรรวมทั้งคำยินดีจากสหายและลูกค้าที่อยู่ในร้านก็ทำให้นางรู้ว่าที่นางนั้นได้ยินไม่ผิด ใบหน้าหวานของนางขึ้นสีระเรื่อ ลี่อินเบือนหน้าหนีแสร้งหลบตาอย่างเขิน ๆท่วงท่าเขินอายของลี่อินเสริมเสน่ห์ให้นางจนเหยาซิงอีนั้นยากจะอดใจไหว เขาจับคางเล็กให้เงยขึ้นก่อนจะประกบปากลงไปจุมพิตริมฝีปากงาม โดยไม่สนใจสายตาของคนในร้านแม่นางน้อยใหญ่ที่อยู่ในร้านเมื่อได้เห็นการแสดงความรักของจวิ้นอ๋องเหยาซิงอีก็ต่างพากัน
ยามนี้เป็นเวลาทำงานของสวีจื้อซาน กว่าคนของเขาจะฝากคนส่งข่าวเข้ามารายงานได้ก็กินเวลาไปเกือบ2เค่อแล้ว และกว่าที่เขานั้นจะออกมาจากพระราชวังได้ก็ป่าไปเกือบครึ่งชั่วยามทางด้านเหยาซิงอีที่เมื่อคืนร้อนใจจนนอนไม่หลับจึงได้ชวนเสิ่นหลิวหยางดื่มสุราด้วยกันที่จวนของเขานั้น เมื่อได้ยินรายงานจากคนของตนก็ไม่รอช้ารีบออกจากจวนไปทันที โดยมีเสิ่นหลิวหยางตามติดมาด้วยตอนแรกเหยาซิงอีจะไปหาลี่อินแต่เช้า แต่เสิ่นหลิวหยางบอกให้รอเหยาหวังเหว่ยมาจัดการเรื่องทุกอย่างก่อน ไม่เช่นนั้นที่ลี่อินเพียงแค่หมางเมินใส่อาจจะกลายเป็นทะเลาะกันก็เป็นได้ เหยาซิงอีจึงเชื่อคำของสหายไม่ไปหาลี่อินแต่เช้ากว่าเหยาซิงอีกับเสิ่นหลิวหยางจะมาถึง เหล่าสตรีก็นั่งพักจิบน้ำชากินขนมที่โรงน้ำชาไป่เหอกันเสียแล้ว เพียงพวกเขาทั้งสองเดินเข้ามาในโรงน้ำชา สายตาของพวกเขาทั้งสองก็มุ่งตรงไปยังกลุ่มของสตรีทั้งห้าคนทันที ถึงบุรุษทั้งสองจะมิใช้สายตามองผู้ใดนอกจากสตรีทั้งห้า แต่ทว่าบุรุษที่อยู่ในร้านที่จ้องมองพวกนางอยู่นั้นก็รีบเก็บสายตาและหันหน้าหนีทันทีทันใด เพราะไอสังหารที่แผ่ออกมาจากบุรุษทั้งสองนั้นมีมากพอที่จะทำให้พวกเขาหวาดกลัวเหยาซิงอีเมื่อมาถ
วันต่อมาลี่อินกับเสี่ยวเยาตื่นแต่เช้า พวกนางออกมาจ่ายตลาดเพื่อจะได้เตรียมอาหารเช้าให้สตรีคนอื่น ๆ ที่ยังคงนอนไม่ตื่น และอีกอย่างเพราะเจียงเจียวซินออกมาค้างคืนข้างนอกกะทันหัน ยาบำรุงที่ควรจะดื่มในทุกวันจึงไม่ได้เอาออกมาด้วย เสี่ยวเยาจึงต้องมาโรงหมอที่เคยมารับยาทุกครั้ง เพื่อซื้อยาบำรุงให้คุณหนูของนาง“ข้ามาหาท่านหมออี้” เสี่ยวเยาเอ่ยถามเด็กรับใช้ที่อยู่ในโรงหมอ“ขอโทษทีขอรับ เมื่อคืนนี้ทั้งท่านหมออี้และอี้ฮูหยินออกไปนอกเมือง ถึงยามนี้ก็ยังไม่กลับมาขอรับ” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบแขกผู้มาเยือนด้วยท่าทีนอบน้อม“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านหมออี้ไปทำอะไรที่นอกเมืองและจะกลับมาเมื่อใด” เสี่ยวเยาเอ่ยถาม เพราะถ้าหากกลับช้าคุณหนูของนางอาจจะกินยาบำรุงไม่ตรงเวลา เช่นนั้นนางคงต้องกลับไปจวนตระกูลสวีเพื่อเอายา“ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ ข้าน้อยรู้แต่ว่าทหารของตำหนักชินอ๋องมาเชิญท่านหมออี้และอี้ฮูหยินไปทำคลอดให้สตรีที่อยู่นอกเมืองขอรับ ส่วนจะกลับมาเมื่อไรนั้นข้าน้อยไม่อาจคาดเดาได้”เพียงได้ยินคำตอบลี่อินและเสี่ยวเยาก็ต่างมองหน้ากัน พวกนางรู้เหตุผลแล้วว่าใยเมื่อคืนนี้ชินอ๋องเหยาหวังเหว่ยจึงไม่รีบกลับมาง้อฟางหนิ