“พี่ใหญ่ ข้าต้องคิดถึงท่านมากแน่นอน”กู้หว่านเยว่กล่าวอย่างจริงจัง “หากมีโอกาส ข้าจะหาทางติดต่อเจ้า เขียนจดหมายถึงเจ้า”แต่หลังจากที่พูดประโยคนี้ออกมา กู้หว่านเยว่ก็รู้สึกลำบากใจเพราะนอกจากจะรู้จักชื่อของจงหลี่แล้ว นางไม่เคยรู้เรื่องราวอื่น ๆ และสถานะของเขาเลยนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ไหน กำลังจะไปไหน และจะติดต่อเขาได้อย่างไร?จงหลี่พูดถูกเวลา “ไม่ต้องกังวล ไว้ข้าปักหลักได้ ข้าจะส่งคนไปแจ้งเจ้า”เขาอธิบาย“บางเรื่องที่ไม่บอกเจ้า เพราะข้าอยู่ห่างจากเจ้ามากเกินไป รอเจ้าแข็งแกร่งขึ้น หรือรอจนพี่ใหญ่จัดการเรื่องเหล่านี้ได้ พี่ใหญ่จะต้องบอกเจ้าอย่างแน่นอน”“ข้าเข้าใจ”กู้หว่านเยว่ไม่ใช่คนใจร้าย นางไม่อยากให้จงหลี่ลำบากใจครั้นเห็นซูจิ่นเอ๋อร์ประคองฟู่หลานเหินออกมา ทั้งสองคนก็ขึ้นรถม้าไปแล้ว นางไม่อยากเสียเวลาอีก “พี่ใหญ่ เราต้องไปกันแล้ว วันข้างหน้าอาจจะมีโอกาสได้เจอกัน”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมา พวกเขาอยู่ในตำบลน้ำแข็งนิลนานเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องกลับเจดีย์หนิงกู่แล้ว“น้องหญิง” จงหลี่รุดขึ้นหน้า แล้วดึงกู้หว่านเยว่เข้ามาในอ้อมกอด เขายังคงอาลัยอาวรณ์“ลาก่อน” “ลาก่อน!
กู้หว่านเยว่อาลัยอาวรณ์เล็กน้อย ซูจิ่งสิงลูบมือปลอบใจนาง “ไม่แน่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศจะได้ปรองดองกัน”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินประโยคนี้ก็อดขบขันไม่ได้ นี่คือเรื่องที่จะบอกเสี่ยวถ่านยามนางจากไปนางได้กำชับเสี่ยวถ่านเอาไว้ หากสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ จะต้องทำตามข้อตกลงของพวกเขา จะให้ทูเจวี๋ยเข้ามาโจมตีต้าฉีไม่ได้ ให้ทั้งสองประเทศสามารถอยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคีและสันติสุข“ข้าเชื่อว่าเสี่ยวถ่านจะต้องทำได้”กู้หว่านเยว่ยิ้มบาง ๆ นางเชื่อใจเด็กคนนี้มากมีเยียนอวิ๋นชูคอยช่วยเหลือเสี่ยวถ่านอยู่ เสี่ยวถ่านไม่มีทางหลงทางอย่างแน่นอนจะว่าไปแล้ว นางและเยียนอวิ๋นชูก็มีเงื่อนไขเช่นกัน...หลังจากที่รถม้าวิ่งออกจากทูเจวี๋ย ก็ตรงมาถึงชายแดนก่อนเวลานี้สองพ่อลูกสกุลเกาได้รับจดหมายของซูจิ่งสิงแล้ว จนได้รู้ว่าซูจิ่งสิงมาจากชายแดน จึงออกไปต้อนรับที่หน้าประตูเมืองเมื่อพวกเขาเห็นซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่พาซูจิ่นเอ๋อร์กลับมา ก็พากันเบิกตากว้างด้วยความตกใจจนลูกตาแทบจะถลนกันออกมา“ท่านอ๋อง ข้าน้อยขอคารวะท่านอ๋องขอรับ”แม่ทัพผู้เฒ่าเการุดหน้าเข้าไปทำความเคารพก่อน จากนั้นก็มองซูจิ่งสิงด
สายตาของกู้หว่านเยว่ที่มองทะลุทุกสิ่ง พร้อมกับรอยยิ้มที่คลุมเครือนั้น ทำให้ใบหูของเกาเจี้ยนแดงก่ำ“พระชายา ทะ ท่านกำลังพูดอะไร?” สายตาที่หลบเลี่ยง บ่งบอกชัดเจนว่าไม่กล้าที่จะยอมรับกู้หว่านเยว่ชี้ไปที่เอวของเขา “ถุงยานี้เป็นสิ่งที่ลั่วยางพกติดตัวอยู่ตลอด”เกาเจี้ยนรีบมองไปที่เอวของตัวเอง แล้วลูบหัวอย่างเขินอาย “พระชายา สายตาของท่านช่างเฉียบคมจริง ๆ ”ในเมื่อถูกมองออกแล้ว เขาก็ไม่ปิดบังอีกต่อไป“ถุงยานี้ ข้าพยายามอย่างยากลำบากกว่าจะได้มาจากลั่วยาง”เขาหัวเราะแหะ ๆ สองที“ข้ากำลังตามจีบนางอยู่น่ะ แต่ลั่วยางยังไม่ตกลง”ดังนั้น กู้หว่านเยว่ถามเขาเมื่อครู่ เขาจึงคิดที่จะปิดบัง ไม่อยากให้ลั่วยางพบกับความยุ่งยาก“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”กู้หว่านเยว่ยิ้มอย่างมีเลศนัย ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ ดึงซูจิ่งสิงให้มานั่งลงกลับเป็นซูจิ่งสิงที่มีเรื่องกังวลใจอยู่บ้าง เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาในระหว่างงานเลี้ยง รอจนกระทั่งกลับห้องพักผ่อนแล้ว จึงได้เอ่ยถามกู้หว่านเยว่“น้องหญิง เกาเจี้ยนกำลังตามจีบลั่วยางหรือ?”เขาขมวดคิ้ว กู้หว่านเยว่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไร“ท่านกลัวว่าเขาจะถูกลั่
เขายังมีเรื่องเกี่ยวกับทูเจวี๋ยที่จะต้องปรึกษากับแม่ทัพผู้เฒ่าเกาเนื่องจากทุกคนต่างรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล ประกอบกับซูจิ่งสิงยังมีธุระที่ต้องจัดการที่ชายแดน ดังนั้นหลังจากปรึกษาหารือกันแล้ว จึงตัดสินใจพักอยู่ที่บ้านสกุลเกาอีกสองวัน“พอดีเลย ครั้งที่แล้วมาแบบรีบร้อน ยังไม่มีโอกาสได้ชมทัศนียภาพของด่านซานไห่วันนี้ได้ออกไปเที่ยวชมพอดี”กู้หว่านเยว่เปลี่ยนกลับมาใส่ชุดสตรี หยิบชุดกระโปรงยาวสีเขียวออกมาจากมิติแล้วสวมใส่ ทันใดนั้น ก็สะกดสายตาของซูจิ่งสิง“น้องหญิง วันนี้ข้าออกไปเที่ยวกับเจ้าด้วยดีกว่า”น้องหญิงงดงามเกินไป กลัวว่าคนอื่นจะมาแย่งไป ทำอย่างไรดี?ซูจิ่งสิงจ้องมองนาง น้องหญิงของนาง แม้ไม่แต่งตัวก็เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งอยู่แล้ว พอแต่งตัวขึ้นมาเล็กน้อย ก็ยิ่งงดงามจนไม่อาจละสายตาได้“อย่ามาพูดเล่น ท่านสัญญากับข้าแล้วว่าจะไปปรึกษากับแม่ทัพผู้เฒ่าเกาให้ดี ๆ ”กู้หว่านเยว่หยิบผ้าคลุมหน้าออกมาสวม ด่านซานไห่ลมแรงทรายเยอะ นางกังวลว่าผิวจะเสียหาย“ชิงเหลียน พวกเราไปกันเถอะ”“เจ้าค่ะ” ชิงเหลียนที่กำลังเหม่อลอย รีบตามกู้หว่านเยว่ไปซูจิ่งสิงก็มีธุระต้องจัดการจริง ๆ มิเช
ทำสิ่งต่าง ๆ มากมายเช่นนั้น ความหมายของการช่วยเหลือประชาชน ไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้หรอกหรือ?กู้หว่านเยว่เดินตามเกาเจี้ยนออกไป แต่เดินไปเดินมากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ“พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะไปตลาดมิใช่หรือ เหตุใดถึงพาข้ามาที่โรงหมอ?”กู้หว่านเยว่แสดงสีหน้างุนงง แต่เมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยกำลังวุ่นอยู่กับการทำงานในโรงหมอ ก็เข้าใจขึ้นมาทันที“แหะ ๆ ”เกาเจี้ยนเหมือนคนตัวโตที่เซ่อ ๆ ลูบหัวด้วยความเขินอาย“พระชายาอย่าได้ถือโทษ ข้าเผลอเดินมาที่นี่โดยไม่รู้ตัว”ในหัวของเขาเอาแต่คิดถึงลั่วยาง ร่างกายจึงขยับไปเองโดยไม่รู้ตัว“พี่หญิงหว่านเยว่?”ลั่วยางได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านนอก พอเห็นเกาเจี้ยน ก็ยังรู้สึกเคอะเขินอยู่บ้าง แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นกู้หว่านเยว่ก็เปลี่ยนเป็นความดีใจ“พี่หญิงหว่านเยว่ ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไร?”นางรีบวิ่งออกมา อย่างไรเสีย กู้หว่านเยว่ก็มาถึงที่นี่แล้ว จึงตัดสินใจเข้าไปดูข้างใน“เพิ่งมาถึงเมื่อคืนนี้เอง”กู้หว่านเยว่มองนางด้วยความอยากรู้อยากเห็น“เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่ชายแดน ไม่ได้กลับไปหรือ?”นางจำได้ว่าปรมาจารย์แพทย์ให้นางมาที่นี่เพื่อหาสมุนไพร ล
ชายร่างใหญ่แสดงสีหน้าร้อนรน ไม่รู้ว่าควรจะโขกศีรษะกับใครดี จึงได้แต่มองไปที่เกาเจี้ยนผู้ที่เอ่ยขึ้นก่อนหน้านี้“อาการของน้องหญิงของข้าสาหัสมากจริง ๆ ขอร้องพวกท่านช่วยชีวิตนางด้วยเถิด”เขาเผยสีหน้ากังวล ดวงตาแดงก่ำเสียแล้วคงเป็นเพราะว่าเขามีหน้าตาดุดันเกินไป ดังนั้นตอนที่เข้ามา ทุกคนจึงเข้าใจผิดคิดว่าเขามาหาเรื่อง ตอนนี้เมื่อรู้ว่าเขามาขอความช่วยเหลือ ลั่วยางจึงรีบก้าวออกมา“ข้าคือหมอหญิงลั่วที่เจ้ากำลังตามหา น้องหญิงของเจ้าเป็นอะไร? บอกมาให้ชัดเจนก่อน”ชายคนนั้นรีบคุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้พลางเอ่ยขึ้น “น้องหญิงของข้า น้องหญิงของข้า นางถูกงูพิษกัด เป็นงูห้าก้าว งูพิษ”“ซี้ด!”งูห้าก้าว นั่นมันงูที่สามารถคร่าชีวิตคนได้เชียวนะเมื่อลั่วยางฟังจบ ก็รีบเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเป็นงูพิษ เช่นนั้นก็ควรจะรีบแก้พิษ”“ชะ ใช่ ควรจะรีบแก้พิษโดยเร็ว”สายตาของชายคนนั้นดูแปลก ๆ ลั่วยางไม่ได้สังเกตถึงสายตาของเขา คิดเพียงแค่ว่าการช่วยชีวิตคนสำคัญที่สุด“น้องหญิงของเจ้าอยู่ที่ไหนล่ะ? รีบพานางมาเดี๋ยวนี้เลย ข้าจะได้ตรวจดูอาการ”เมื่อได้ยินว่าลั่วยางยินดีที่จะช่วย ชายคนนั้นก็รีบก้มลงโขกศีรษะให้นาง“
“น้องหญิงของเจ้าตั้งครรภ์หรือ?”ลั่วยางยิ่งตกใจมากขึ้น เหตุใดคนผู้นี้ถึงไม่พูดทุกอย่างให้ชัดเจนในคราวเดียว?นางจับชีพจรของภรรยาสกุลเฉิน พบว่าเป็นชีพจรของผู้ที่ตั้งครรภ์จริง ๆ ตั้งครรภ์จริง ๆ ด้วย ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อการแก้พิษ“หนาว ข้าหนาวเหลือเกิน”เวลานี้ ภรรยาสกุลเฉินก็ครางออกมาเบา ๆ นางโดนพิษ สติเลอะเลือนอย่างยิ่ง เนื่องจากโดนพิษมานานเกินไป ตอนนี้ร่างกายจึงเริ่มมีปฏิกิริยาต่อพิษ เช่น รู้สึกหนาวสั่น เป็นต้นเฉินอาหนิวจับมือของภรรยาสกุลเฉินเอาไว้แน่น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“น้องหญิง เจ้าอดทนหน่อยนะ ไม่ต้องห่วง ข้าพาเจ้ามาหาหมอแล้ว หมอต้องสามารถแก้พิษงูให้เจ้าได้อย่างแน่นอน”“ชะ ช่วยข้าด้วย”ภรรยาสกุลเฉินราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเขา มองไปที่ลั่วยาง นางหายใจรวยริน แล้วเอ่ยพึมพำเบา ๆ หนึ่งประโยค“ข้าไม่อยากตาย ต้องช่วยข้าให้ได้...”เฉินอาหนิวรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย “นะ นางโดนพิษจนสติเลอะเลือนแล้ว...”“ข้าจะช่วยเจ้าเอง”ลั่วยางไม่ได้ใส่ใจกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อรู้ว่าภรรยาสกุลเฉินกำลังตั้งครรภ์ นางก็รีบเข้าไปหยิบยาที่ปรุงเตรียมเอาไว้แล้วอย่างรวดเร
“เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีผลกระทบ ท่านแม่ของข้าไม่โกหกหรอก”ดวงตาของเฉินอาหนิวสั่นไหวเล็กน้อย “และข้าก็เคยถามหมอหลายคนแล้ว หมอพวกนั้นก็ไม่กล้ายืนยัน...”ลั่วยางแสดงสีหน้างุนงง แล้วหันไปมองกู้หว่านเยว่โดยไม่รู้ตัว ทั้งสองคนสบตากันกลางอากาศ ต่างรู้สึกพูดไม่ออก“ดังนั้น เจ้าเคยไปหาหมอคนอื่นมาก่อนหน้านี้แล้ว?”นางคิดว่าเฉินอาหนิวผู้นี้ถ่วงเวลาไปกว่าสองชั่วยาม จึงจะพาน้องหญิงของตนเองมาหานาง แต่ไม่คิดเลยว่า เขาเคยไปหาหมอคนอื่นมาก่อนหน้านี้แล้วนั่นก็หมายความว่า เพื่อที่จะแก้พิษให้ภรรยาสกุลเฉิน หมอคนอื่น ๆ ก็น่าจะสั่งจ่ายยาให้เช่นกัน เพียงแต่เฉินอาหนิวไม่ยอมให้ภรรยาของเขาดื่มยาต้มแก้พิษ ดังนั้นเขาจึงล้มเลิกที่จะให้หมอคนอื่น ๆ รักษา แล้วมาขอร้องนาง เพราะคิดว่านางน่าจะมีวิธีอื่นลั่วยางรู้สึกโกรธเล็กน้อยคนผู้นี้สนใจแต่ลูก ไม่สนใจชีวิตของภรรยาสกุลเฉินเลย!สายตาของนางเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น“อยากจะแก้พิษ ก็มีแต่ต้องดื่มยาต้มเท่านั้น ไม่มีวิธีอื่น!หากเจ้าขัดขวางอีก ภรรยาของเจ้าก็จะตาย ลูกก็จะไม่รอดด้วย!”น้ำเสียงของนางเด็ดขาด เฉินอาหนิวแสดงสีหน้าลังเล“ขะ ข้าต้องการดื่มยา”ในเวลานี้ ภรรยา
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้