“เกิดอะไรขึ้น?” สองแม่ลูกลนลานทันทีพ่อบ้านส่ายหน้า“ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอเห็นทหารกลุ่มใหญ่มุ่งหน้ามาทางนี้แต่ไกล จึงรีบเข้ามารายงานขอรับ”“ท่านแม่”หลี่เหวินกินปูนร้อนท้อง“ต้องเป็นเรื่องของเจี่ยหงแพร่งพรายแล้วแน่ๆ”“เป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้ข้าปิดข่าวอย่างดี ไม่มีทางแพร่งพรายเด็ดขาด”ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยังคงส่ายหน้า“ท่านลืมเจี่ยอวิ๋นไปแล้วหรือ?” หลี่เหวินตกใจจนแทบจะฉี่ราดกางเกง “ต้องเป็นเขาไปแจ้งทางการแน่ ท่านแม่ ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?”“อย่าลนลาน”ดวงตาฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลิ้งไปมา ใบหน้าเผยความอำมหิต“รีบไป ให้คนไปเอาคบเพลิงมา”“ท่านแม่ ท่านคิดจะ...”หลี่เหวินรู้สึกกลัวอยู่บ้าง ตอนตีเมียเขาไม่ออมมือสักนิด แต่ความจริงเป็นพวกกระจอก“ยังยืนบื้ออยู่ทำไม? ไปเอาคบเพลิงมาสิ”ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่สั่งการอย่างระอาความไม่เอาไหน ไม้เท้าตกไปอยู่บนตัวพ่อบ้าน“เจ้ารีบพาคนออกไป แล้วรั้งพวกเขาเอาไว้”พอดีกับเด็กทั้งสองคนร้องไห้อย่างน่าเวทนา พ่อบ้านหันมองพวกนางแวบหนึ่ง ขมวดคิ้วแล้วรีบออกไป“ให้คนล้อมจวนสกุลหลี่เอาไว้ อย่าให้ออกไปได้แม้แต่แมลงวันตัวเดียว”ขณะนี้ กู้หว่านเยว่และซูจิ
ด้านหลังตามมาด้วยฮูหยินผู้เฒ่าหลี่และหลี่เหวินที่ด่าทอไม่หยุด“รีบวางศพลงเดี๋ยวนี้”“พวกเจ้ากำลังขโมยศพ ยังเคารพกฏหมายกันอยู่หรือไม่?”“รีบวางศพลูกสะใภ้ข้าลงเดี๋ยวนี้”ทั้งสองคนร้อนใจมาก จึงพูดออกไปวิธีที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คิดเป็นวิธีที่ดี จุดไฟเผาศพของเจี่ยหง ถึงตอนนั้นค่อยบอกว่าไม่ระวังจึงเกิดเพลิงไหม้อย่างไรก็ไม่มีหลักฐานแต่ใครจะไปคิด จู่ๆ มีคนชุดดำสองคนบุกเข้ามา แล้วแบกศพหนีไปทันทีความเร็วนั้นรวดเร็วราวกับลมพัดผ่านตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่และหลี่เหวินจึงลนลานมากรีบกุลีกุจอตามไป แต่กลับถูกกู้หว่านเยว่ถีบจนกระเด็ดออกไป“ทหาร สองคนนี้คิดจะลอบสังหารท่านอ๋อง จับตัวพวกเขาเอาไว้”ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้ตั้งตัว กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง ทหารที่อยู่ด้านหลังรีบกรูกันเข้ามา แล้วจับทั้งสองกดลงกับพื้นซูจิ่งสิงเกือบจะหัวเราะออกมา น้องหญิงของเขาช่างมีไหวพริบ ชิงลงมือก่อน“รีบปล่อยข้า ข้าไม่ได้คิดจะลอบสังหารท่านอ๋อง”หลี่เหวินถูกกดไว้กับพื้น ยังคงร้องตะโกนเสียงดัง“คืนศพของเมียข้ามาเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าบุกเข้าจวนโดยพลการ ข้าจะไปแจ้งทางการ”เขาดิ้นรนขัดขืนแทบอยากจะทำลายศพของเจี่ยหงต
มองปราดเดียว นางก็รู้ว่าเจี่ยหงไม่ได้ตายด้วยโรคลำไส้อุดตันส่วนจะตายด้วยสาเหตุใดนั้น ต้องตรวจดูอย่างละเอียดอีกทีกู้หว่านเยว่ถอดเสื้อผ้าส่วนบนของเจี่ยหงออก หลังจากนางได้เห็นผิวหนังของเจี่ยหงที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ม่านตาหดตัวอย่างรุนแรงรอยแผลเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นก่อนตาย แผลใหม่แผลเก่าผสมกัน อนาถจนทนดูไม่ได้กู้หว่านเยว่อดกลั้นต่ออาการสั่นเทา ถอดเสื้อผ้าส่วนล่างของเจี่ยหงออกเป็นไปตามคาด พบเห็นร่องรอยการถูกทารุณกรรมบนร่างกายของนางในนั้น ตรงท้องน้อยยังมีอาการฟกช้ำที่รุนแรงกู้หว่านเยว่ยื่นมือไปจับดู แล้วลองกดดู“หาสาเหตุการตายของพี่สาวเจ้าได้แล้ว”นางสวมเสื้อผ้ากลับไปให้เจี่ยหง แล้วเดินออกมาจากด้านใน ใบหน้าเผยความสงสาร“ถูกเตะจนตาย มีอาการม้ามแตก ภายในท้องเต็มไปด้วยเลือดคั่ง”จินตนาการได้ยากมาก ว่าก่อนตายเจี่ยหงถูกทารุณกรรมอย่างไรสายตาเยือกเย็นของกู้หว่านเยว่กวาดมองหลี่เหวินคนที่ทำร้ายเจี่ยหงจนมีสภาพเช่นนี้ ทั่วทั้งสกุลหลี่คงมีแต่หลี่เหวินคนเดียวไอ้คนซ้อมเมียที่สมควรตาย!“พี่หญิง” เจี่ยอวิ๋นขอบตาแดงก่ำ “นางถูกเตะจนตายทั้งเป็นหรือ?”เขาหันหลังด้วยใบหน้าที่โกรธแ
กู้หว่านเยว่ที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่คิดขัดขวางขณะนี้เด็กน้อยสองคนด้านหลังที่ตกใจมาก จู่ๆ ร้องไห้เสียงดัง“ท่านแม่ถูกตีจนตาย” หลี่เจาตี้ร้องไห้พร้อมเอ่ยขึ้นนางอายุห้าขวบแล้ว จึงพอรู้เรื่องรู้ราวอยู่บ้างสายตาโกรธแค้นมองไปที่หลี่เหวิน“ท่านพ่อ ท่านพ่อเป็นคนทำร้ายทุบตีท่านแม่ เตะท่านแม่จนตาย”นางชี้ไปที่หลี่เหวินแล้วตะโกนเสียงดัง“เจ้าลูกชั่ว เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน?”หลี่เหวินแทบอยากจะเข้าไปบีบคอหลี่เจาตี้ให้ตาย ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับตบหน้าหลี่เจาตี้อย่างแรง“แกมันนางของขาดทุน พูดจาเหลวไหลอะไรกัน? อยากให้พ่อเจ้าตายหรือ? เป็นเด็กผู้หญิงมันเนรคุณจริงๆ เลี้ยงเสียข้าวสุก”“เจาตี้!”เจี่ยอวิ๋นรีบไปปกป้องเด็กน้อยเอาไว้ “เจ้าไม่เป็นไรนะ?”เมื่อเห็นเด็กน้อยถูกตีจนเลือดกำเดาไหล เขาสงสารจับใจ“ท่านน้า ท่านแม่ของข้าตายแล้ว ต่อไปข้าไม่มีท่านแม่อีกแล้ว”หลี่เจาตี้ร้องไห้เสียใจ น้องสาวที่อยู่ข้างกันก็ร้องไห้ตาม“อย่าร้องไห้ น้าจะปกป้องพวกเจ้าเอง”เจี่ยอวิ๋นกัดฟัน แล้วหันหลัง จากนั้นสาวหมัดใส่หน้าหลี่เหวินทีละหมัดชกจนฟันในปากของเขาร่วงออกมาเป็นแถว“เจ้าฆ่าพี่สาวข้า ข้าจะให้เจ้าชด
กู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิงอ่านจบ รู้สึกเย็นเยือกไปทั่วร่างเพื่อให้ชนะสงคราม มู่หรงถิงถึงขนาดส่งคนไปเจรจาเงื่อนไขกับทูเจวี๋ยรับปากทูเจวี๋ย ขอเพียงทูเจวี๋ยส่งทหารฝีมือดีมาเมื่อใดที่สถานการณ์พลิกผัน ทุกเมืองที่ยึดคืนมาจากซูจิ่งสิงทหารทูเจวี๋ยสามารถยกทัพเข้าเมือง หรือฆ่าล้างเมือง หรือเผาฆ่าปล้นสะดมภ์ ล้วนได้ทั้งสิ้นสายตาซูจิ่งสิงเย็นเยียบ “สำหรับทหารที่วนเวียนอยู่บนคมดาบแล้ว การฆ่าล้างเมืองหลังจบศึกคือรางวัลอันยิ่งใหญ่”ปล่อยให้ทหารฆ่าล้างเมืองได้ตามใจชอบ เพื่อให้พวกเขาได้ระบาย กระทั่งให้พวกเขาปล้นสะดมภ์ ยิ่งทำให้พวกเขาหวั่นไหว“เหอะเหอะ ฮ่องเต้ชั่วคงจะหมดสิ้นหนทางแล้วสินะ”กู้หว่านเยว่เหน็บแนม“ประเด็นคือเรื่องนี้หรือ?”เกาเจี้ยนรีบเอ่ยขึ้นทันใด“เหตุใดสีหน้าของพวกท่านสองสามีภรรยาจึงยังเรียบเฉยนัก? เพื่อชนะสงคราม ฮ่องเต้ชั่วถึงขนาดรับปากพวกทูเจวี๋ยเช่นนี้เมื่อใดที่ทูเจวี๋ยตกลง ไม่ว่าพวกเขาจะชนะหรือไม่ คนที่ทุกข์ร้อนก็คือประชาชน”ใจเขาร้อนดั่งไฟเผากู้หว่านเยว่กลับหัวเราะ “ทูเจวี๋ยไม่ตกลงหรอก”ไม่ตกลง?เกาเจี้ยนเบิกตาโตทูเจวี๋ยจ้องจะขย้ำต้าฉีอยุ่ตลอดเวลาเว้นแต่สมองพ
“ครั้งนี้ฮ่องเต้ชั่วหาผิดคนซะแล้ว”เกาเจี้ยนหัวเราะเสียงดัง“ไม่รู้ว่าเฟิ่งอู๋ชีเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”แววตากู้หว่านเยว่กังวลเล็กน้อยนางมักรู้สึกว่าครั้งนี้ทางเฟิ่งอู๋ชีไม่ราบรื่นนัก“พวกเราต้องออกจากเมืองจางโจวแล้ว”ซูจิ่งสิงเอ่ยขึ้นพวกเขาอยู่ในเมืองจางโจวมานานมากแล้ว ช่วงที่ผ่านมาหนานหยางอ๋องได้นำทัพใหญ่เดินทางมุ่งหน้าไปเมืองต่อไปแล้ววันนี้ ทางโน้นส่งสารเร็วมารายงาน บอกว่าหนานหยางอ๋องยึดเมืองแห่งนั้นได้แล้วแม้ในมิติของกู้หว่านเยว่จะมียุ้งฉางจำนวนหมื่นล้านแต่การทำศึกให้ความสำคัญที่จบศึกอย่างรวดเร็ว ซูจิ่งสิงวางแผนไว้แล้ว ภายในหนึ่งปีต้องยกทัพไปถึงเมืองหลวง“ได้”นอกจากหลิ่วเพียวเพียว ในเมืองจางโจวไม่มีสิ่งใดให้กู้หว่านเยว่เป็นห่วงหลิวชวี่รับปากแล้ว จะช่วยดูแลหลิ่วเพียวเพียวและเจี่ยอวิ๋นอย่างดีหลังหลิ่วเพียวเพียวคลอดลูก จะให้คนส่งพวกเขากลับเมืองเหยากู้หว่านเยว่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขาส่วนน้องสาวของหลิวชวี่ หลังจากรักษาตามวิธีของกู้หว่านเยว่ อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอีกไม่นาน คงหายดีเป็นปลิดทิ้งคนสกุลฟ่านที่รังแกคุณหนูหลิว ถูกหลิวชวี่หาข้ออ้างแล้วจัดการทีเด
“จะว่าไปองค์ชายของพวกเราก็ช่างโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก จับจุดอ่อนขององค์ชายอู๋ชีได้อยู่หมัด”“หากไม่ใช่เพราะจับจุดอ่อนของเขาได้ องค์ชายของพวกเราคงจะสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว เจ้าและข้าก็คงตายไปนานแล้ว รีบหุบปากเสียเถอะ อย่ามัวแต่ยืนงงว่าใครเป็นนายของตนเองอยู่เลย”เสียงปริศนาเสียงหนึ่งดังขยายมาจากนอกจวนดูเหมือนว่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่มาลาดตระเวนจะได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของทหารเฝ้ารักษาการณ์ทั้งสองคน จึงรีบตำหนิพวกเขา“เจ็บ!”“เจ็บยิ่งนัก!”เสียงของเฟิ่งอู๋ชีที่อยู่ด้านในยังคงดังออกมาอย่างไม่ขาดสายแต่ในเวลานี้เอง องค์หญิงหนานเจียงที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับเขากำลังนั่งหัวเราะเยาะอยู่ภายในตำหนักพระมเหสี“น้องชายของข้าช่างไร้ความสามารถยิ่งนัก เสด็จแม่บอกข้าเรื่องอาการป่วยของเขาตั้งนานแล้ว คิดจะบีบบังคับเขา ไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอก”นางหัวเราะเยาะเบา ๆ พลางเล่นกับเล็บสีแดงสดราวกับไม่มีใครอยู่ตรงนั้นอายุสามสิบกว่าปี แต่ใบหน้ายังคงคล้ายกับเด็กสาววัยยี่สิบกว่าปีสาเหตุที่นางตกลงร่วมมือกับฮ่องเต้ชั่วในครั้งนี้ด้วยการยกทัพไปต้าฉี ช่วยฮ่องเต้ชั่วออกมานั้นเพราะพระมเหสีหนานหลีม่านได้ให้สูตรค
“ให้นางกำนัลสักสองสามคนไปยกถังน้ำเข้ามา ล้างพื้นที่นางยืนเมื่อครู่ให้เกลี้ยง ลากเก้าอี้ที่นางเคยนั่งออกมาทุบทิ้งทำเป็นฟืนเสีย”นางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่ด้านในต่างมองหน้ากัน แต่ถึงอย่างไรก็เคยชินกับเหตุการณ์เช่นนี้แล้วหลังจากเข้าวังมานางก็คล้ายกับเป็นโรคกลัวเชื้อโรค ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาในตำหนักของนาง แม้ว่าฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่นางก็ยังสั่งให้คนทำความสะอาดทั้งราชวังอยู่เสมอ“ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”นางกำนัลเหล่านั้นไม่กล้าคัดค้าน รีบเดินออกไป ให้คนยกอ่างน้ำเข้ามาทำความสะอาดราชวังพระมเหสีเดินเข้าไปภายในตำหนักอย่างเหม่อลอยนางเปิดลิ้นชักโต๊ะประทินโฉม หยิบกุญแจรูปหัวใจออกมาจากด้านล่างสุดของลิ้นชักโต๊ะประโฉมครั้นเห็นกุญแจรูปหัวใจดอกนั้น ใบหน้าของพระมเหสีก็แสดงความรู้สึกบางอย่างที่น้อยนักจะได้เห็น“เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ท่านพี่ ท่านอยู่โลกนั้นสบายดีหรือไม่เจ้าคะ?”นางลูบกุญแจรูปหัวใจดอกนั้นอย่างเบามือ ราวกับว่ากำลังลูบสิ่งของที่มีมูลค่าที่สุดในโลก“คำสาบานที่ข้าให้ไว้ต่อหน้าหลุมศพของท่านกำลังจะเป็นความจริงแล้วนะเจ้าคะ”นางพึมพำด้วยอย่างผ่อนคลาย“ข้า
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้