“จะว่าไปองค์ชายของพวกเราก็ช่างโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก จับจุดอ่อนขององค์ชายอู๋ชีได้อยู่หมัด”“หากไม่ใช่เพราะจับจุดอ่อนของเขาได้ องค์ชายของพวกเราคงจะสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว เจ้าและข้าก็คงตายไปนานแล้ว รีบหุบปากเสียเถอะ อย่ามัวแต่ยืนงงว่าใครเป็นนายของตนเองอยู่เลย”เสียงปริศนาเสียงหนึ่งดังขยายมาจากนอกจวนดูเหมือนว่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่มาลาดตระเวนจะได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของทหารเฝ้ารักษาการณ์ทั้งสองคน จึงรีบตำหนิพวกเขา“เจ็บ!”“เจ็บยิ่งนัก!”เสียงของเฟิ่งอู๋ชีที่อยู่ด้านในยังคงดังออกมาอย่างไม่ขาดสายแต่ในเวลานี้เอง องค์หญิงหนานเจียงที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับเขากำลังนั่งหัวเราะเยาะอยู่ภายในตำหนักพระมเหสี“น้องชายของข้าช่างไร้ความสามารถยิ่งนัก เสด็จแม่บอกข้าเรื่องอาการป่วยของเขาตั้งนานแล้ว คิดจะบีบบังคับเขา ไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอก”นางหัวเราะเยาะเบา ๆ พลางเล่นกับเล็บสีแดงสดราวกับไม่มีใครอยู่ตรงนั้นอายุสามสิบกว่าปี แต่ใบหน้ายังคงคล้ายกับเด็กสาววัยยี่สิบกว่าปีสาเหตุที่นางตกลงร่วมมือกับฮ่องเต้ชั่วในครั้งนี้ด้วยการยกทัพไปต้าฉี ช่วยฮ่องเต้ชั่วออกมานั้นเพราะพระมเหสีหนานหลีม่านได้ให้สูตรค
“ให้นางกำนัลสักสองสามคนไปยกถังน้ำเข้ามา ล้างพื้นที่นางยืนเมื่อครู่ให้เกลี้ยง ลากเก้าอี้ที่นางเคยนั่งออกมาทุบทิ้งทำเป็นฟืนเสีย”นางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่ด้านในต่างมองหน้ากัน แต่ถึงอย่างไรก็เคยชินกับเหตุการณ์เช่นนี้แล้วหลังจากเข้าวังมานางก็คล้ายกับเป็นโรคกลัวเชื้อโรค ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาในตำหนักของนาง แม้ว่าฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่นางก็ยังสั่งให้คนทำความสะอาดทั้งราชวังอยู่เสมอ“ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”นางกำนัลเหล่านั้นไม่กล้าคัดค้าน รีบเดินออกไป ให้คนยกอ่างน้ำเข้ามาทำความสะอาดราชวังพระมเหสีเดินเข้าไปภายในตำหนักอย่างเหม่อลอยนางเปิดลิ้นชักโต๊ะประทินโฉม หยิบกุญแจรูปหัวใจออกมาจากด้านล่างสุดของลิ้นชักโต๊ะประโฉมครั้นเห็นกุญแจรูปหัวใจดอกนั้น ใบหน้าของพระมเหสีก็แสดงความรู้สึกบางอย่างที่น้อยนักจะได้เห็น“เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ท่านพี่ ท่านอยู่โลกนั้นสบายดีหรือไม่เจ้าคะ?”นางลูบกุญแจรูปหัวใจดอกนั้นอย่างเบามือ ราวกับว่ากำลังลูบสิ่งของที่มีมูลค่าที่สุดในโลก“คำสาบานที่ข้าให้ไว้ต่อหน้าหลุมศพของท่านกำลังจะเป็นความจริงแล้วนะเจ้าคะ”นางพึมพำด้วยอย่างผ่อนคลาย“ข้า
ซูจิ่งสิงส่ายหน้าเกาเจี้ยนมีความกล้าหาญก็จริง แต่ขาดสติปัญญาเมืองหลวงในตอนนี้เป็นแหล่งรวมของคนต่างถิ่น หากเขาไปที่นั้น เกรงว่าจะกลับออกมาไม่ได้“ข้าจะส่งคนอื่นไปดู”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่กำลังคิดหาคนที่เหมาะสม ทันทีที่ลั่วยางได้ยิน ก็รีบเสนอตัวอย่างรวดเร็ว“ให้ข้าไปเถิด”นางให้เหตุผลว่า“ข้ารู้จักเมืองหลวงเป็นอย่างดี ในตอนที่ข้าช่วยงานของมู่หรงอวี้ ข้ามักจะไปเมืองหลวงอยู่บ่อยครั้ง”“ไม่ค่อยมีคนรู้จักข้านัก โดยส่วนใหญ่ไม่มีทางรู้ว่าข้ากับพวกท่านติดต่อกันหรอกเจ้าค่ะ”“ข้าเป็นหมอ หมอทำการอันใดย่อมราบรื่น ข้ามีหน้ากากหนังมนุษย์ที่ท่านอาจารย์ให้ข้าไว้ เปลี่ยนรูปลักษณ์ก็ไม่มีปัญหาแล้ว”ทันทีที่เกาเจี้ยนได้ยินก็ตื่นตกใจ เขาจะให้แก้วตาดวงใจไปเสี่ยงได้อย่างไร?“ไม่ได้ อันตรายเกินไป”เขารู้ว่าลั่วยางเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง จึงไม่กล้าพูดเด็ดขาดนัก เพราะกลัวว่าจะทำให้เกิดความไม่พอใจ“ไม่อันตรายหรอก ท่านพูดเองไม่ใช่หรือว่าเฟิ่งอู๋ชีกำลังป่วยหนัก”ลั่วยางแสดงสีหน้าจริงจัง“ข้ามีทักษะการแพทย์ ให้ข้าไปไม่แน่ว่าอาจจะมีประโยชน์ก็ได้เจ้าค่ะ”พี่หว่านเยว่ ให้ข้าช่วยท่านเถอะ” น้
ตอนแรกซูจิ่งสิงยกกองทัพเจดีย์หนิงกู่ไปก่อการกบฏ ต่อมาหนานหยางอ่องก็ฟื้นคืนชีพ ทำให้ลั่วยางต้องโบกธงขาวยอมจำนนจากนั้นเขตซีเป่ยและเหอตงต่างก็ยอมจำนนต่อกองทัพเจดีย์หนิงกู่เมืองหลวงของพวกเขาถูกล้อม้าไว้ทุกทิศทางหัวเดียวกระเทียมลีบ บัดนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว กองทัพหนานเจียงยกทัพมาใกล้ถึงแล้ว มู่หรงถิงต้องใช้ยาแก้ปวดคอยบรรเทาติดต่อกันหลายวัน กว่าจะออกราชกิจได้ลึก ๆ ในใจเขารู้ดีว่าเก้าอี้มังกรไม่มั่งคงอีกต่อไป พลังหยินหยางภายในร่างกายก็อ่อนแอลงทุกวัน กระทั่งองค์หญิงหนานเจียงกลับมาพร้อมกับข่าวดี กองทัพหนานเจียงเชี่ยวชาญด้านวิชาหนอนพิษ ดังนั้นการสู้กับศัตรูซึ่ง ๆ หน้าอาจไม่ใช่วิธีการที่ดีนัก แต่การลอบกัดด้านหลัง ร้ายกาจยิ่งกว่า“นี่คือผลงานของพระมเหสีเจ้าค่ะ”มู่หรงถิงภูมิใจมากในตอนที่เขาไปเยือนจวนหนานหลีอ๋องนั้น เขาก็ตกหลุมรักหนานหลีม่านตั้งแต่แรกเห็น เพื่อจะได้ตัวนาง เขายอมแลกทุกอย่างอย่างไม่เสียดายในตอนที่หนานหลี่ม่านขึ้นเป็นพระมเหสีนั้น เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ต่างพยายามขัดขวาง บัดนี้ เขารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากหลังจากที่ทุกข์ทรมานมาอย่างยาวนานขุนนางช
“เพราะท่านเป็นแม่ทัพ ถนัดการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ตรงหน้า น่าจะมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งกว่า”ใต้เท้าสวี่มองไปรอบ ๆ ตัวอีกครั้ง“แม่ทัพจ้าว ในมุมมองของท่าน การที่ทัพหนานเจียงยกทัพมาครั้งนี้ได้สร้างผลกระทบต่อศึกสงครามหรือไม่?”“เรื่องนี้......” จ้าวหวยอ้ำอึ้งครู่หนึ่ง“เชื่อฝ่าบาท ย่อมไม่ผิด ฝ่าบาททรงอวยพร สวรรค์มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้เสมอ”พูดไปก็เหมือนไม่พูดใต้เท้าสวี่ก้มหน้าลง “กล่าวเช่นนี้แสดงว่าแม่ทัพจ้าวก็คิดว่าทัพหนานเจียงไร้ประโยชน์ เว้นเสียแต่ว่าสวรรค์จะตาสว่าง บันดาลให้เกิดสายฟ้าฟาดใส่ทัพเจดีย์หนิงกู่จนพินาศ มิเช่นนั้นราชสำนักจะยอมแพ้หรือ?”จ้าวหวยเลิกคิ้วสูง “แต่ไม่กล้ากล่าวเช่นนี้”เขารีบเดินรุดขึ้นหน้า “ใต้เท้าสวี่ ไม่กล้ากล่าวเช่นนี้ หากแพร่งพรายออกไปมีหวังหัวได้หลุดออกจากบ่าแน่”บัดนี้ฮ่องเต้ทรงกริ้วมาก หากเขาได้ยินประโยคนี้ จวนหนิงกั๋วคงเกิดหายนะครั้งใหญ่แม่น้ำมิกลายเป็นสีเลือดหรอกหรือ?จ้าวหวยผู้นี้ ก็ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก ยามอยู่ในสนามรบ ท่านพ่อของเขาหนิงกั๋วกงเองก็เป็นนักรบที่ดี เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นหนิงกั๋วกงเพราะผลงานด้านทหารของเขาส่วนเขานะหรือ กลับเ
“ไม่”มู่หรงถิงออกแรงกอดรัดนางมากขึ้น“ตอนนี้ข้าต้องการเจ้า”ไม่นานมานี้ จู่ ๆ เขาก็เกิดอาการชักเกร็งโดยไม่ทราบสาเหตุ จนเขาทำอะไรไม่ได้ ทำให้เขาห่างหายจากการมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระมเหสีเป็นเวลานานจนแทบจะสูญเสียความเป็นชายไปแล้วโชคดีที่อ๋องหกช่วยนำยากระทิงดุจากงานประมูลมาให้เขาหลังจากที่เขากินยานี้ลงไป เขาได้พลังกลับมา และเป็นพลังที่รุนแรงกว่าเดิมด้วยแต่ปรากฏว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้ดีใจเท่าไหร่ ข่าวที่ซูจิ่งสิงก่อกบฏก็แพร่สะพัดออกมาเขายุ่งอยู่ในราชสำนักทั้งวัน เกรงว่าสักวันเขาจะสูญเสียบัลลังก์ที่ยังไม่ได้นั่ง และไร้ซึ่งความลึกซึ้งต่อพระมเหสีในเมื่อสถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว เขาจะอดทนต่อไปทำไม ไหน ๆ วันนี้เขาก็อารมณ์ดีแล้ว จึงตั้งใจขอให้พระมเหสีกำเนิดองค์รัชทายาทตัวน้อยให้เขา สืบทอดอาณาจักรอันกว้างใหญ่แห่งนี้ต่อไปเขารักพระมเหสีมาก“ฝ่าบาทอย่าทำเช่นนี้เจ้าค่ะ”นัยน์ตาของพระมเหสีฉายแววรังเกียจอย่างชัดเจนนางไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับฮ่องเต้มานานมากแล้ว ครั้นเห็นชัยชนะรออยู่ตรงหน้า นางก็จะแทบจะทนไม่ไหวอีกต่อไป“ข้าไม่ค่อยสบาย วันนี้คงจะอยู่ปรนนิบัติท่านไม่ได้เจ้าค
“หากองค์หญิงหนานเจียงไม่อยู่แล้ว นางก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา คำสัญญาที่ตกลงกันไว้ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาอีกต่อไป”น้ำเสียงของมู่หรงถิงแฝงไปด้วยอันตรายในแววตาที่หรี่ลงคู่นั้นเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์และความชั่วร้ายอย่างมากพระมเหสีตกใจได้ไม่นาน ก็เข้าใจทันที“ฝ่าบาท เราและหนานเจียงเป็นพันธมิตรต่อกัน ทำเช่นนี้...” นางตั้งใจกล่าวถาม “ไม่เป็นการถีบหัวส่งกันเกินไปหน่อยหรือเจ้าคะ?”ครั้นนึกถึงในช่วงแรก มู่หรงถิงก็ปฏิบัติเช่นนี้ต่อเขตหนานหลีเช่นเดียวกันคนปลิ้นปล้อน ไม่รักษาคำพูดเกรงว่าหนานเจียงยังคงรออย่างมีความหวัง หลังจากที่สงครามสิ้นสุดลง มู่หรงถิงทำตามสัญญาของตัวเอง แต่กลับไม่รู้ว่ามู่หรงถิงวางแผนจะบีบบังคับพวกเขาเอาไว้แล้ว“ข้า...ข้าทำเพื่ออาณาจักต้าฉี”มู่หรงถิงไม่เห็นด้วย“ในหนานเจียง สตรีเป็นใหญ่ เฟิ่งหมิงกวงคือบุตรสาวของราชินีหนานเจียง ตราบใดที่จับนางได้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าหนานเจียงจะขว้างงูไม่พ้นคอ อีกอย่างหนานเจียงเป็นแค่ชนเผ่าเล็ก ๆ ทางตอนใต้ หากทำตามเงื่อนไขของพวกเขาได้ ก็ไม่มีใครทำลายศักดิ์ศรีของต้าฉีได้”เขาก็หาข้ออ้างไปเรื่อยโดยไม่ได้ปิดบังจุดประสงค์ที่น่ารังเกี
พวกมันถูกเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเด็ก เอาไว้ใช้โจมตีมนุษย์ถุงสมุนไพรอาจจะใช้ไม่ได้ผลต่อพวกมันเท่าไหร่นักแต่การมีสิ่งนี้อย่างน้อยก็สร้างขวัญกำลังใจให้ทหารได้ไม่มากก็น้อย ไม่ถึงกับทำให้เหล่าทหารที่ได้ยินเรื่องของแมลงพิษหนานเจียงพากันขวัญหนีดีฝ่อซูจิ่งสิงสาวเท้าจากไป“แม่ทัพเกา ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดข้าฟังแล้วถึงไม่เข้าใจเลยสักนิด?”ทันที่ที่เขาจากไปเหล่าทหารก็พากันล้อมเข้ามาด้วยสีหน้างุนงง พวกเขาเห็นว่าซูจิ่งสิงและเกาเจี้ยนเพิ่งจะคุยกันเพียงไม่นานอะไรคือแผนไส้ศึก พวกเขาได้ยินกันหมดแล้วแต่รายละเอียดเป็นอย่างไรนั้นพวกเขาไม่รู้ท่านอ๋องก็ไม่ได้อธิบายให้พวกเขาฟังเกาเจี้ยนหัวเราะออกมา“เจ้าไม่ต้องร้อนใจไปหรอก ท่านอ๋องมอบหมายเรื่องนี้ให้ข้าแล้ว ข้าจะต้องอธิบายให้เจ้าฟังอยู่แล้ว”ข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไปจนเข้าหูของกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่มิใช้คนโง่เขลาเบาปัญญา นางไตร่ตรองเพียงไม่นานก็เข้าใจความหมายของซูจิ่งสิงแล้ว“หนานเจียงแค่มาช่วย และไม่ใช่ทหารของต้าฉี ได้ยินว่าคนหนานเจียงเป็นคนชอบเก็บตัวและเย่อหยิ่ง ครั้งนี้ต้าฉีขอร้องพวกเขาอีกครั้ง ทหารม้าทั้งสองฝ่ายต้องเคลื่อน
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้