กู้หว่านเยว่คิดแล้วคิดอีก ในเมื่อจี้เยว่จะอยู่ในวัง ก็ต้องมีการจัดการที่เหมาะสม“อาหาร เครื่องแต่งกาย และของใช้ของนาง ให้จัดตามมาตรฐานของจ้านจ้านทั้งหมด ถ้าขาดเหลืออะไร เจ้าไปเบิกเอาได้เลย ไม่ต้องกังวลใดๆ”ชิงเหลียนรีบพยักหน้า “หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”นางกล่าวกับจี้เยว่ด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูเยว่ รีบขอบพระทัยพระมเหสีสิ”จี้เยว่เงยหน้า “ขอบพระทัยพระมเหสีเพคะ”“ไม่ต้องเกรงใจ”กู้หว่านเยว่ยิ้มพลางหยิกแก้มของนางเบาๆ จ้านจ้านที่อยู่ด้านข้างเบะปากกล่าว “เดิมทีเสด็จแม่ก็มีเวลาให้ข้าไม่มาก ตอนนี้พอนางมา ในสายตาเสด็จแม่ยิ่งไม่มีข้าแล้ว”ซูจิ่งสิงกล่าวอย่างจนคำ “ลูกผู้ชายอกสามศอกยังจะน้อยใจอีก”“กระหม่อมเรียนมาจากเสด็จพ่อนั่นแหละ เสด็จพ่อก็มักจะน้อยใจไม่ใช่หรือ?” จ้านจ้านฉลาดเกินวัย คำพูดของเขาทำเอาซูจิ่งสิงสำลักโดยตรงขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนา ร่างกายของจี้เยว่ที่ข้างๆ ชะงักกะทันหัน ใบหน้าบิดเบี้ยวดูเจ็บปวดเล็กน้อย จากนั้นก็กุมหน้าอกด้วยสีหน้าที่ซีดเผือก“เจ็บ เจ็บจัง!”“เป็นอะไร?” กู้หว่านเยว่อยู่ใกล้จี้เยว่ที่สุด จึงรีบประคองร่างกายของนางไว้เพียงแค่คู่เดียว จี้เยว่ก็เหงื่อท่วมศีรษะ ร่างก
นี่เพิ่งจะผ่านไปนานแค่ไหนเอง จี้เยว่ก็สนิทกับจ้านจ้านมากแล้ว นางคอยเดินตามเขาอยู่ข้างๆ ทีละก้าวบางครั้งที่ตามไม่ทัน จ้านจ้านก็จะหยุดรอจนกว่าจี้เยว่จะตามทันอย่างมีความอดทน“เดินช้าหน่อย เดิมทีเจ้าก็ไม่ฉลาดอยู่แล้ว อย่าหกล้มเสียล่ะ” จ้านจ้านหยุดฝีเท้า สายตาจ้องไปที่จี้เยว่ เพียงแต่สิ่งที่พูดออกมาไม่ค่อยไพเราะนักโชคดีที่จี้เยว่ก็ไม่เข้าใจ ปัจจุบันนางอายุสี่ขวบกว่า พอเข้าใจคำพูดของผู้อื่นอยู่บ้าง แต่ไม่มากและส่วนใหญ่ นางมักจะคาดเดาความหมายของคำพูดอีกฝ่ายจากน้ำเสียงตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้นางฟังออก องค์ชายกำลังเป็นห่วงนาง“องค์ชาย กินข้าวแล้ว” จี้เยว่ยื่นมือน้อยไปดึงชายเสื้อของจ้านจ้าน จ้านจ้านพยักหน้า “เป็นยัยบ๊องจริงๆ รู้จักแต่กินข้าว”เขาลากจี้เยว่มาถึงตรงหน้ากู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิ่ง แล้วทักทายทั้งสองอย่างนอบน้อม“กระหม่อมถวายบังคมเสด็จพ่อเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”จี้เยว่ยังไม่เข้าใจอะไรนัก ตอนนี้นางยังจำหน้าผู้คนได้ไม่หมดเลย เข้าวังวันที่สอง นางจำได้แค่ชิงเหลียนกับจ้านจ้านพี่ชิงเหลียนบอกนางว่า อยู่ในวังห้ามพูดจาส่งเดช ต้องหัดสังเกตและเรียนรู้เยอะๆเมื่อจี้เยว่เห็นการกระทำขององค
ถ้าหากการตายของใต้เท้าจี้มีเงื่อนงำจริงๆ เช่นนั้นกู้หว่านเยว่ก็จำเป็นต้องทวงความเป็นธรรมให้สกุลจี้ จะปล่อยให้ใต้เท้าจี้ตายอย่างรอให้ความยุติธรรมไม่ได้เด็ดขาดเผชิญหน้ากับการจี้ถามของกู้หว่านเยว่ อวิ๋นมู่เงียบไปชั่วขณะหลังจากนั้นจึงค่อยๆ กล่าว“ท่านเองก็รู้ การค้าของสกุลอวิ๋นแผ่ขยายไปทั่วทั้งแผ่นดิน แทบจะทุกที่ล้วนมีร้านค้าของสกุลอวิ๋น โดยเฉพาะเจดีย์หนิงกู่ เป็นสถานที่ที่พวกเราเริ่มทำการค้า ดังนั้นที่นั้นย่อมมีร้านค้ามากเป็นพิเศษ”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางรู้เรื่องนี้ร้านค้าเหล่านี้มีหน้าทีหลักอยู่สองอย่าง หนึ่งคือเป็นแหล่งทำเงินของสกุลอวิ๋น และต่อมาก็กลายเป็นเครือข่ายข่าวกรองแบบเรียบง่าย ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล“เคยมีโรงน้ำชาแห่งหนึ่งส่งข้อมูลสำคัญให้ข้า”“ข้อมูลอะไร?”“พวกเขาบอกว่า มีชายคนหนึ่งเคยพูดว่า ใต้เท้าจี้ขัดผลประโยชน์ของเขาขณะดื่มชาในโรงน้ำชา”อวิ๋นมู่นึกย้อนกลับไป“เขาเคยพยายามประจบสอพลอใต้เท้าจี้ แต่น่าเสียใดที่ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายจึงเชิญคนมาวางแผน อยากจะกำจัดเขาทิ้งเสีย”เขากล่าว “ข้าเคยถามอย่างละเอียดว่าคำพูดเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อไร คนของข้าก็บอกกับข้าอย่างชั
แม้เขาไม่มีความรู้เรื่องศาสตร์สมุนไพร แต่แค่ดูก็รู้ว่าสมุนไพรต้นนี้ล้ำค่ามาก อีกทั้งยาที่กู้หว่านเยว่เคยใช้บำรุงเขาก็เห็นผลจริง ด้วยเหตุนี้อวิ๋นมู่จึงรับสมุนไพรมาโดยไร้ข้อกางขาใดๆ“หว่านเยว่ ขอบคุณท่านมาก แม้จะอยู่ข้างนอกก็ยังไม่ลืมข้า”อวิ๋นมู่รู้สึกซาบซึ้งจริงๆ ที่กู้หว่านเยว่ยังจดจำเขาไว้ในใจ และรู้สึกซาบซึ้งมากที่นำสมุนไพรมาให้เขา“พวกเราเป็นสหายกันมากี่ปีแล้ว พูดเช่นนี้ฟังดูห่างเหินกันเกินไปแล้วนะ”กู้หว่านเยว่ถือโอกาสนี้ตรวจชีพจรให้อวิ๋นมู่ แม้หลายปีนี้โรคของเขายังไม่หายขาด แต่ก็ดูแลสุขภาพอย่างดีตามที่นางแนะนำมาโดยตลอดอวิ๋นมู่ยิ้มแล้วยิ้มอีกใช่แล้ว ในใจเขาเห็นมองกู้หว่านเยว่เป็นคนรู้ใจไปแล้ว“สองปีที่ท่านไม่อยู่ สองปีที่ท่านไม่อยู่ ข้าให้คนเย็บสมุดบัญชีของสกุลอวิ๋นเข้าเล่ม และเก็บไว้ในเฉียนจวงแห่งนี้ตลอด จะได้สะดวกตอนที่ท่านมาตรวจอยู่ นี่คือกุญแจ”อวิ๋นมู่ล้วงกุญแจดอกหนึ่งออกมายื่นให้กู้หว่านเยว่ กุญแจดอกนี้เขาพกติดตัวตลอด และก็คาดหวังมากเช่นกันว่า ไม่แน่ว่าวันไหนที่กู้หว่านเยว่กลับมา ถึงเวลาเขาก็สามารถมอบกุญแจดอกนี้ให้กู้หว่านเยว่กับมือตัวเองกู้หว่านเยว่ยื่นมือไปรับก
“ผู้ดูแล เถ้าแก่น้อยของพวกเจ้าอยู่หรือไม่?”ผู้ดูแลเงยหน้ามองกู้หว่านเยว่ด้วยความสงสัยแวบหนึ่ง เมื่อเห็นเครื่องแต่งกายของกู้หว่านเยว่ดูดีมีฐานะ จึงกล่าวด้วยท่าทีนอบน้อม“ตอนนี้เถ้าแก่น้อยของเรากำลังดูบัญชีอยู่ที่ชั้นบนขอรับ แต่เถ้าแก่น้อยกำชับไว้ว่าเขาไม่พบแขกทั่วไป ไม่ทราบว่าฮูหยินท่านนี้จะพบเถ้าแก่น้อยของเรา มีธุระสำคัญอะไรหรือไม่?”กู้หว่านเยว่ยิ้มแล้วยิ้มอีก อวิ๋นมู่ยังคงไม่ชอบออกไปไหนเหมือนเมื่อก่อนตนแค่เดาก็รู้แล้วว่าเขาอยู่ในเฉียนจวงแห่งนี้นางล้วงป้ายคำสั่งผู้นำตระกูลออกจากหน้าอก เมื่อผู้ดูแลเห็นก็ต้องเบิกตากว้าง และหันไปมองกู้หว่านเยว่อย่างไม่เชื่อสายตาอยู่หลายรอบ “ท่าน ท่านคือ…”ชิงเหลียนก้าวออกมาเตือนเสียงเบา “ฮูหยินของเราไม่อยากเปิดเผยตัวตน รีบไปรายงานเถ้าแก่น้อยของพวกเจ้าเดี๋ยวนี้”ผู้ดูแลรีบพยักหน้า“โปรดวางใจ ข้าน้อยจะไปรายงานเถ้าแก่น้อยเดี๋ยวนี้ขอรับ”เขากล่าวพลางคืนป้ายคำสั่งผู้นำตระกูลให้กู้หว่านเยว่ หลังจากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นชั้นบนไปแล้วผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างเงาสีขาวสายหนึ่งแทบจะกระโดดลงมาจากชั้นบน“หว่านเยว่!”เสียงอันนุ่มนวลของชายหนุ่มปนความร้อนใจเล็กน้อย
“คุณหนูใหญ่เพิ่งถูกท่านพาไปข้างไว้ที่ด้านหลัง ตอนนี้กำลังโมโหมากเจ้าค่ะนางบอกว่าท่านไม่ตามใจนาง ไม่สามารถส่งนางเข้าวัง ตอนนี้อยู่ในห้อง เกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง ทั้งทุบทั้งขว้าง และยังไล่สาวออกมาใช้ทั้งหมด” แม่นมกล่าวพลางส่ายศีรษะคุณหนูใหญ่นิสัยไม่ดีตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่าโตมาจะเป็นอย่างไร ส่วนคุณหนูเยว่แม้สติไม่ดี แต่นิสัยดีมาก ไม่ว่าคนรับใช้จะทำอะไรก็ไม่เคยโกรธ และยิ่งไม่เคยผูกใจเจ็บไม่น่าแปลกใจที่ฮองเฮาจะให้คุณหนูเยว่อยู่ในวังต่อซุนฮูหยินลูบไข่มุกแม่น้ำแมนจูเรียนในมือ สีหน้าก็ฉายแววรำคาญ“อยากโมโหก็ให้นางโมโหไปเถอะ โตป่านนี้แล้วยังไม่รู้จักแยกแยะหนักเบาอีก”ตอนแรกซุนฮูหยินยังรู้สึกไม่สบายใจ เหตุใดคนที่เข้าวังไม่ใช่ลูกสาวของตน?แต่พอได้รับรางวัลจากกู้หว่านเยว่ก็พึ่งพอใจมาก ยังจะมีเรื่องอะไรขุ่นเคืองอีก “เด็กคนนี้นิสัยไม่ดี ควรหาอาจารย์หญิงสักคนมาสอนนางเรื่องหลักและเหตุผลหน่อย วันข้างหน้าจะได้ไม่ก่อเรื่องใหญ่โต”แม่นมรู้สึกแปลกใจ เหตุใดจู่ๆ ซุนฮูหยินก็กลายเป็นนิ่งเฉยเช่นนี้“ฮูหยิน ท่านไม่โกรธเรื่องของคุณหนูเยว่เลยหรือ?”ฮูหยินซุนส่ายศีรษะ นางไม่ได้ให้ความสำคัญก