กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วแน่นจากคำอธิบายของซูหรานหร่าน อีกฝ่ายน่าจะเป็นแม่เล้า มีแต่แม่เล้าเท่านั้นที่จะติดดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่ไว้บนศีรษะ และใช้วิธีสกปรกอย่างการใช้ยาสลบแบบนี้แต่เหตุใดแม่เล้าถึงเล็งพวกนางทั้งสองคนล่ะ?“ท่านพี่ เรารีบตามไปเถอะ!”ไม่ว่าแม่เล้าจะเล็งทั้งสองคนได้อย่างไร ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตามหาพวกนางกลับมาทั้งสองคนยังเป็นหญิงบริสุทธิ์ อย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นในสถานที่อย่างหอนางโลมเลยกู้หว่านเยว่กลับไปบอกซุนอู่ พอซุนอู่ได้ยินว่าซูจิ่นเอ๋อร์ถูกพวกค้ามนุษย์ลักพาตัวไป ก็โกรธขึ้นมาทันที“ยังมีกฎหมายบ้านเมืองอยู่หรือไม่ แม้แต่นักโทษเนรเทศก็ยังกล้าลักพาตัว?!”“พี่ใหญ่ซุน ข้าต้องไปตามพวกนางกลับมา”ซุนอู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นนิ้วออกมา “ให้เวลาเจ้าหนึ่งวัน ภายในหนึ่งวัน เจ้าต้องกลับมาให้ได้”แม้ว่าเขาจะมีความสัมพันธ์อันดีกับกู้หว่านเยว่ แต่ก็ไม่สามารถใช้เส้นสายได้ตามอำเภอใจหิมะเกือบละลายหมดแล้ว ตามหลักแล้วพวกเขาควรจะรีบเดินทางต่อไม่สามารถหยุดการเดินทางและไม่รีบไปต่อ เพียงเพื่อตามหาน้องสะใภ้ของกู้หว่านเยว่“พี่ใหญ่ซุนวางใจเถอะ ภายในหนึ่งวันไม่ว่าจะหาเจ
“ท่านป้า ปล่อยพวกเราไปเถอะ พวกเราเป็นนักโทษ หากทางการรู้เข้า ท่านต้องเดือดร้อนแน่ ๆ”ซูจิ่นเอ๋อร์พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง แล้วเลียนแบบท่าทางยามปกติของพี่สะใภ้ เพื่อเจรจากับอีกฝ่าย“ท่านเป็นนักธุรกิจ ก็แค่ต้องการเงินมิใช่หรือ?แค่ท่านส่งพวกเรากลับไป ท่านจะเอาเงินเท่าไหร่ก็ได้”แม่เล้าเหลือบมองซูจิ่นเอ๋อร์ แล้วส่งเสียงจุ๊ ๆ“เด็กดี ดูสิเจ้าร้องไห้จนตาบวมหมดแล้วแม่น่ะต้องการเงินจริง ๆ แต่ดูเจ้าสิ หน้ากลม ตาโต น่ารักขนาดนี้เชียวถึงแม้ใบหน้าจะคล้ำแดด แต่ถ้าบำรุงดี ๆ ก็หายแล้วแล้วก็คนที่อยู่ข้าง ๆ เจ้า ท่าทางเย็นชาแบบนี้ จะเป็นหญิงคณิกาอันดับหนึ่งก็ถือว่าไม่เกินไปเพราะงั้นเก็บพวกเจ้าไว้ ถึงจะหาเงินได้มากกว่า!”ยิ่งแม่เล้ามองพวกนางสองคนก็ยิ่งพอใจ จะยอมปล่อยพวกนางกลับไปได้อย่างไร“พวกเจ้าเลิกคิดที่จะหนีไปได้เลย ไม่อย่างนั้นถ้าถูกจับกลับมา พวกเจ้าจะต้องเจอบทลงโทษที่สาสม!”แม่เล้าขู่พวกนางเอาไว้ซูจิ่นเอ๋อร์เห็นว่าตัวเองพูดดี ๆ แล้ว แต่แม่เล้ากลับไม่ฟัง จึงเริ่มรู้สึกโมโห“ข้าคุยกับท่านดี ๆ ท่านรีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ปล่อยข้า พอพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ของข้ามาตามหา จะต้องถลกหน
“แต่ว่า...”“คงจะไม่ปล่อยให้พวกเขาพาไปในซ่องโสเภณีจริง ๆ หรอกนะ”จิ่นเอ๋อร์คิดดูแล้ว ก็พบว่าเป็นอย่างนี้จริง ๆถ้าไปถึงซ่องโสเภณีจริง ๆ หญิงสาวบริสุทธิ์อะไรก็คงจะไม่มีแล้วทั้งสองคนจึงหลับตาลง เพื่อพักผ่อนเอาแรงพอตกค่ำ ก็มีคนนำอาหารเย็นเข้ามาให้ซูจิ่นเอ๋อร์และเมี่ยชิงหว่านกลัวว่าในอาหารจะใส่ยาอะไรลงไป จึงปล่อยให้ท้องหิวแต่ไม่กล้ากินเมื่อไม่เห็นกู้หว่านเยว่มา เมี่ยชิงหว่านจึงกดกลไกที่อยู่บนกำไลข้อมือของนาง ปล่อยใบมีดเล็ก ๆ ออกมา แล้วตัดเชือกป่านที่มัดมือออกจากนั้นก็ไปหาซูจิ่นเอ๋อร์ ช่วยแกะเชือกที่มัดตัวนางมือเท้าของทั้งสองคนเป็นอิสระแล้ว ก็คลานไปที่หน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก“น้องจิ่นเอ๋อร์ เจ้าฟังข้านะ ที่เรือนนี้คงจะมีคนเฝ้าอยู่ไม่เยอะ เดี๋ยวพอออกไปแล้ว เราไปหาม้าตัวหนึ่งก่อน จากนั้นหนีออกทางประตูหลัง”“ได้”ซูจิ่นเอ๋อร์กลืนน้ำลายด้วยความหวาดกลัว เมื่อหันไปมองข้างหลัง คิดในใจว่าพอนางหลบหนีออกไปแล้ว จะไปแจ้งทางการให้มาช่วยหญิงสาวพวกนี้ด้วยแต่คิดไม่ถึงเลยว่า ทันทีที่ทั้งสองคนปีนออกไปทางหน้าต่าง หญิงสาวชุดเขียวที่คุยกับพวกนางเมื่อตอนกลางวันก็ตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหันเ
ซูจิ่นเอ๋อร์คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบกับฟู่หลานเหิงที่นี่อีกเมื่อเห็นฟู่หลานเหิงมองมา นางก็รีบเก็บซ่อนความดีใจบนใบหน้า แต่แววตาที่เป็นประกายนั้นไม่อาจปกปิดได้“แม่นางจิ่นเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นไรนะ?” ฟู่หลานเหิงเดินมาอยู่ตรงหน้านาง“ข้า ข้าไม่เป็นไร” ซูจิ่นเอ๋อร์ที่เมื่อครู่ยังส่งเสียงโวยวาย ตอนนี้กลับก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย“ไม่เป็นไรก็ดี ข้าให้ทหารล้อมเรือนนี้ไว้แล้ว”เมี่ยชิงหว่านเหลือบไปเห็นแม่เล้ากำลังมุดรูสุนัข จึงรีบกล่าวขึ้น“นางจะหนี!”กู้หว่านเยว่พุ่งเข้าไป แล้วถีบแม่เล้าจนกระเด็นออกจากรูสุนัข ตรงไปยังเบื้องหน้าของทุกคน“อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า ข้าไม่กล้าหนีแล้ว”แม่เล้าถูกถีบจนเอวแทบหัก เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นชุดขุนนางของฟู่หลานเหิง ก็ยิ่งตกใจจนทรุดเข่าลงกับพื้น“จอมยุทธ์หญิงไว้ชีวิตด้วย ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วย ข้า ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์”ซูจิ่นเอ๋อร์พูดอย่างโกรธแค้น “อย่าไปเชื่อคำโกหกของนาง นางเป็นคนเลว ห้องด้านหลังเต็มไปด้วยหญิงสาวที่นางลักพาตัวมา”ซูจิ่นเอ๋อร์รีบชี้ทางให้เหล่าทหาร ในเวลาไม่นาน หญิงสาวภายในห้องก็ถูกพาออกมาทั้งหมดเมื่อเห็นเด็กสาวเหล่านั้นขดตัวด้วยความหวาดกลัว บ
อย่างน้อยพวกนางก็ได้รับความช่วยเหลือ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่ามีหญิงสาวมากน้อยเพียงใดที่ถูกแม่เล้าพาไปที่หอนางโลมใช้ชีวิตที่เหลืออย่างทุกข์ทรมานในต่างแดน“ไม่ต้องกลัว พวกเจ้าปลอดภัยแล้ว”กู้หว่านเยว่เดินไปอยู่ตรงหน้าพวกนาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น“เรามาช่วยพวกเจ้า ท่านผู้นี้คือใต้เท้าฟู่ เขาเป็นขุนนางของราชสำนัก จะช่วยพวกเจ้าตามหาครอบครัว”ภายในเรือนมีร่องรอยการต่อสู้ หญิงสาวเหล่านั้นต่างหวาดกลัว เมื่อได้ยินคำพูดของกู้หว่านเยว่ ก็มองไปที่ชุดขุนนางของฟู่หลานเหิง เมื่อเห็นว่าแม่เล้าและพวกอันธพาลถูกจับไว้ พวกนางจึงพยักหน้าฟู่หลานเหิงให้ลูกน้องพาพวกนางออกไป เวลานี้ซูจิ่นเอ๋อร์ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ชี้ไปยังหญิงสาวชุดเขียวที่จงใจก้มตัวลงอยู่ในกลุ่มคน“เดี๋ยวก่อน ไม่ต้องปล่อยนางไป”ถ้าไม่ใช่เพราะนางฟ้อง พวกนางก็คงไม่ถูกแม่เล้าจับได้ ตอนนี้คงหนีไปได้แล้วโชคดีที่พี่ใหญ่และพี่สะใภ้มา แต่ถ้าพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ไม่มาเล่า?ผลที่ตามมาอาจเลวร้ายเกินกว่าจะคาคคิด“...” หญิงสาวชุดเขียวพยายามขดตัวอยู่ในกลุ่มคนมาตลอด เพื่อลดการมีตัวตนของนาง กลัวว่าซูจิ่นเอ๋อร์จะจำนางได้ไม่คิดเลยว่าจะถูกซูจิ่นเอ๋
ใบหน้าที่เย็นชาของเมี่ยชิงหว่านร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย “จิ่นเอ๋อร์ หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว!”“ข้าไม่ได้พูดจาเหลวไหล ครั้งที่แล้วที่เจ้ากระโดดลงน้ำ พี่รองตกใจจนแทบสิ้นสติ หากข้าไม่ขวางเขาไว้ มีหวังเขาได้กระโดดตามเจ้าลงไปในน้ำเป็นแน่”ซูจิ่นเอ๋อร์หัวเราะเยาะ ถึงแม้ว่าพี่รองจะพูดจาประชดประชัน แต่ที่เขาเป็นอย่างนั้นก็เพราะเขามีใจให้กับพี่ชิงหว่านอย่างแน่นอน!“ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว”เมี่ยชิงหว่านหมุนตัวกลับไปด้วยความเย่อหยิ่ง“ถึงอย่างไรข้ากับพี่รองก็ไม่มีทางเป็นไปได้!”“ก็ได้” ซูจิ่นเอ๋อร์ขยี้จมูก นางเอือมระอากับพี่รองของตัวเองอย่างมากพี่รองนะพี่รอง ดูท่าทางท่านจะตกหลุมรักคนง่ายเกินไปเสียแล้ว!กู้หว่านเยว่เองก็คาดไม่ถึง หรือว่าตัวเองจะเข้าไปรบกวนเส้นเรื่องจนทำให้ภรรยาของซูจื่อชิงหายไป?แต่ทว่าเรื่องในครั้งนี้กลับเตือนสตินางไว้ว่าศัตรูคนต่อไปจะมากขึ้นเรื่อย ๆ !นางและซูจิ่งสิงมีความสามารถในการปกป้องตัวเอง แต่ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่มีครั้งนี้นางถูกลักพาตัวไป แต่ช่วยกลับมาได้ ครั้งต่อไปหากอีกฝ่ายต้องการชีวิตของพวกนางล่ะ?นางไม่สามารถปกป้องพวกนางได้ตลอดเวลา ถึงอย่างไรก็ต้องให้พวกนางเรียนรู
“ใต้เท้าไม่รู้อะไรเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ถูกโจรลักพาตัวไป แต่ข้าถูกท่านพ่อกับท่านแม่แท้ ๆ ของตัวเองขายให้กับโจรเหล่านั้นเป็นจำนวนเงินห้าเหรียญเงินจีน! ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่ใช่คน พวกเขารักบุตรชายมากกว่าบุตรสาว ต้องการเพียงบุตรชายไม่ต้องการบุตรสาว ที่ขายข้าให้กับคนพวกนั้นก็เพื่อหาเงินมาเป็นค่าสินสอดให้กับพี่ชายของข้า! หากข้ากลับบ้าน ก็เหมือนกลับไปอยู่ในดงหมาป่าอีกครั้ง”“ท่านมาและท่านพ่อของเจ้าช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก”ฟู่หลานเหิงตื่นตกใจละคนกับรู้สึกลำบากใจ“หากเจ้าไม่กลับบ้าน แล้วเจ้าจะไปไหน? เจ้ามีสหายหรือญาติพี่น้องหรือไม่?”หยางหลิวส่ายหน้า “หญิงสาวชาวบ้านที่ล่องลอยเป็นผีไม่มีศาลอย่างข้าไม่มีที่ไปหรอกเจ้าค่ะ”อาจารย์หูกล่าวแนะนำ “ข้างกายของใต้เท้าไม่มีคนรับใช้เช่นกัน ไม่สู้ให้นางอยู่เป็นคนรับใช้ข้างกายท่านดีหรือไม่? เช่นนี้นอกจากจะช่วยแก้ไขเรื่องที่อยู่ของนางได้แล้ว ยังมีคนดูแลท่านด้วย ข้าว่าดีต่อทั้งสองฝ่ายนะ?”ดวงตาของหยางหลิวเป็นประกาย คำแนะนำนี้เป็นเรื่องที่นางปรารถนาพอดีนางรีบคุกเข่าลง“ข้ายอมเป็นม้าเป็นวัวของใต้เท้า เป็นสาวใช้ของใต้เท้าเจ้าค่ะ”ฟู่หลานเหิงบุรุษผู้มีความสามารถแล
“พี่สะใภ้ใหญ่ยอดเยี่ยมมาก!”“แค้นต้องชำระ” ซูจิ่นเอ๋อร์มองกู้หว่านเยว่ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา“เมื่อไหร่ข้าจะเก่งเหมือนกับพี่สะใภ้ใหญ่บ้าง”“ต้องมีสักวัน”กู้หว่านเยว่กำลังนึกถึงเรื่องที่ฟู่เยียนหรานถูกนำตัวส่งกลับหนานหยาง หากให้คนคนนี้อยู่ต่อก็มีแต่จะสร้างหายนะให้ทุกคนไม่มีใครรู้ว่านางจะฟื้นตัวเมื่อไหร่?ช่วงเที่ยงวัน ซุนอู่ได้พาทุกคนไปหาจุดพักที่แห้งแล้งเพื่อพักทานข้าวกู้หว่านเยว่เรียกซูจิ่งสิงเดินไปอีกด้านของจุดพัก “ท่านพี่ ท่านอยากทำอาวุธให้ท่านแม่และจิ่นเอ๋อร์ไว้ใช้ป้องกันตัวบ้างหรือไม่ อย่างน้อย ๆ ก็จะได้ปกป้องตัวเองยามตกอยู่ในอันตราย”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว “จิ่นเอ๋อร์และท่านแม่ใช้อาวุธไม่เป็น มีดเหล่านั้นพวกนางใช้ไม่เป็น และข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าจะใช้อะไรมาสร้างเป็นอาวุธให้พวกนางใช้ป้องกันตัวเอง”“ข้าก็เห็นด้วยกับท่าน เช่นนั้นก็ต้องคิดหาทาง”กู้หว่านเยว่เม้มริมฝีปากและคลี่ยิ้ม ในขณะเดียวกันก็หยิบของที่ซื้อมาจากศูนย์กลางการค้าในห้วงมิติ“นี่คืออะไร?” ซูจิ่งสิงมองดูสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายกับกล่องใส่ปากกาจำนวนหนึ่ง และเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ธนูแขนเสื้อ ขนาดเล็กกะทัดรัด มักจะใ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้