ซูจิ่นเอ๋อร์ก้มหน้าด้วยสีหน้างุ่นง่านกู้หว่านเยว่งุนงงเล็กน้อย จริง ๆ แล้วนางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจินโหย่วเฉียนเลย จำได้แค่ว่าเขาไม่มีทางเปิดธุรกิจได้ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนเสนอเงื่อนไขนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นประโยชน์ต่อซูจิ่นเอ๋อร์ ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้แสดงสีหน้างุ่นง่านเช่นนี้?“ไอหยา ข้าไม่รู้จะพูดอย่างไร เอาเป็นว่า...ข้าค่อยบอกรายละเอียดกับพวกเจ้าหลังจากนี้”ซูจิ่นเอ๋อร์แสดงสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะวิ่งตึกตักเข้าไปในห้องครัว เด็กคนนี้มีเรื่องให้หนักอกหนักใจจริง ๆ นางหยางที่ยืนอยู่ข้างกายและซูจิ้งได้สบตากัน ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้รอจนกระทั่งกู้หว่านเยว่เก็บข้าวของเสร็จ และออกมาทานมื้อค่ำ นางพบว่าจินโหย่วเฉียนมาถึงแล้วอีกทั้งยังเห็นว่าท่าทางของอีกฝ่ายไม่เหมือนกับมาที่นี่ครั้งแรกด้วย เขาคุ้นเคยกับในบ้านของนางเป็นอย่างดี หลังจากที่เข้ามาก็ช่วยนางหยางยกอาหารออกมาวาง“ทันทีที่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนกลับมาแล้ว ประจวบเหมาะกับที่ข้านำเหล้ากลับมาจากเมืองหลวงพอดี เหล้าหมักผลไม้ของข้าไม่มีฤทธิ์สุรา คนท้องดื่มได้”จินโหย่วเฉียนแกว่งเหล้าหมักผลไม้ในมือไปมา ท่าทางเชิญชวนมาก“จิ่นเอ๋อร์ก
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว จินโหย่วเฉียนก็ถือโอกาสพักอยู่ที่บ้านสกุลซูกู้หว่านเยว่ตรวจอาการให้กับหวังปี้ และเขียนใบสั่งยาเสร็จเรียบร้อยนางก็นอนลงบนเตียงใหญ่อย่างสบายอารมณ์ ตรวจนับสิ่งของที่กวาดมาจากคลังสมบัติส่วนตัวของมู่หรงอวี้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา“มิติยังอัปเกรดไม่เสร็จอีกหรือ?”กู้หว่านเยว่จ้องมองแถบแสดงความคืบหน้าการอัปเกรดที่กำลังโหลดอย่างช้า ๆ ด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อยหากนางจำไม่ผิด แถบแสดงความคืบหน้านี้มันค้างมาหลายวันแล้วอัปเกรดช้าขนาดนี้ สุดท้ายแล้วจะอัปเกรดออกมาเป็นฟังก์ชันสุดยอดแบบไหนกันนะ?“นายหญิง ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”ระบบตอบอย่างแผ่วเบา ต่อไปมิติจะกลายเป็นแบบไหน ตัวมันเองก็อยากรู้มากเช่นกัน“นายหญิง ครั้งนี้เก็บกวาดคลังสมบัติส่วนตัวมาได้ตั้งห้าแห่ง แถมยังมีเหมืองทองคำด้วย” น้ำเสียงของระบบตื่นเต้น“การอัปเกรดมิติ คาดว่าจะทำให้นายหญิงตกตะลึงอย่างแน่นอน”กู้หว่านเยว่เห็นว่าแถบแสดงความคืบหน้านั้นขึ้นมาถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว จึงไม่รีบร้อนออกจากมิติ และรออยู่ข้างในนั้นเอนกายพิงเก้าอี้ยาวพลางกินองุ่นไปด้วย และผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งวันรุ่งขึ้น กู
กู้หว่านเยว่เป็นหญิงมีครรภ์ ในวันที่ฝนตกแบบนี้ ไม่ออกไปข้างนอกจะดีกว่า“มีท่านพี่อยู่เคียงข้างคอยปกป้องข้า ท่านแม่ยังกังวลอะไรอีกเจ้าคะ?”“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลน้องหญิงเป็นอย่างดี” ซูจิ่งสิงพูดเสริมนางหยางเห็นดังนั้น ก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างจนใจ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับ“ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าสองคนก็ต้องระมัดระวังหน่อย พอเจอจิ่นเอ๋อร์แล้วก็รีบกลับมา ข้างนอกฝนตกหนักขนาดนี้ เกรงว่าคงจับปลาไม่ได้แล้ว”หากตากฝนในฤดูใบไม้ผลิ จะทำให้เป็นหวัดได้ง่ายที่สุดนางหยางพูดสองสามประโยค เมื่อเห็นว่าคู่สามีภรรยาตัวน้อยออกไปแล้ว ก็ทำได้เพียงไปยังห้องครัวทางด้านนี้ กู้หว่านเยว่มองสายฝนที่ตกลงมาจากบนฟ้า ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก“น้องหญิง เหตุใดเจ้าถึงดูมีความสุขเช่นนี้ น้ำฝนนี้มีอะไรพิเศษหรือ?”เมื่อออกจากประตูบ้าน ซูจิ่งสิงเห็นว่ารอบ ๆ ไม่มีใครอยู่ จึงถือโอกาสถามข้อสงสัยในใจออกมาในเมื่อทั้งสองคนได้ฝากชีวิตไว้ซึ่งกันและกันแล้ว กู้หว่านเยว่ก็เคยพาซูจิ่งสิงเข้าไปในมิติของตนเองด้วยเวลานี้ เมื่อเผชิญกับความสงสัยของเขา นางก็ไม่คิดจะปิดบัง“ที่วันนี้ฝนตก ก็เป็นเพราะข้า”กู้หว่านเยว่ก
“เสียงนี้...เป็นจิ่นเอ๋อร์!”สีหน้าของซูจิ่งสิงเปลี่ยนไป รีบโอบกู้หว่านเยว่แล้วพุ่งตัวไปยังทะเลสาบน้ำแข็งทันทีเมื่อไปถึงก็เห็นร่างหนึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ในทะเลสาบน้ำแข็ง ส่วนซูจิ่นเอ๋อร์ตัวเปียกโชก อยากจะกระโดดลงไปในทะเลสาบ“จิ่นเอ๋อร์ เจ้าลงไปไม่ได้นะ”จินโหย่วเฉียนคว้าแขนนางไว้ “เจ้าว่ายน้ำไม่เป็น ลงไปก็ตาย”“หรือจะให้ข้าทนดูใต้เท้าฟู่จมน้ำตายไปต่อหน้าต่อตา?”ซูจิ่นเอ๋อร์ตาแดงก่ำ “ปล่อยข้านะ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”“แย่ชะมัด เหตุใดข้าถึงว่ายน้ำไม่เป็นนะ”จินโหย่วเฉียนร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่กล้าปล่อยมือ กลัวว่าซูจิ่นเอ๋อร์จะคิดสั้นกระโดดลงไปจนกระทั่งเห็นกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเดินเข้ามา ก็เหมือนเห็นผู้ช่วยชีวิต รีบตะโกนว่า“แม่นางกู้ ท่านซู พวกท่านมาได้ถูกเวลาพอดี ช่วยใต้เท้าฟู่ด้วย”“พี่ใหญ่!”ซูจิ่นเอ๋อร์พุ่งเข้าไปหาด้วยความร้อนใจอย่างมาก“ท่านรีบช่วยใต้เท้าฟู่เร็วเข้า เขาตกลงไปนานแล้ว คงใกล้จะไม่ไหวแล้ว!”ท่าทางแบบนี้ อยู่ในสายตาของจินโหย่วเฉียน ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจแต่เพราะเป็นเรื่องความเป็นความตาย เขาจึงรีบขอให้ซูจิ่งสิงชีวิตคนซูจิ่งสิงไม่พูดพร่ำทำเพลง ปล่อยก
คนธรรมดาก็ไม่สามารถไปอาบน้ำในคูเมืองได้ตามใจชอบ แล้วเขาจะว่ายน้ำเป็นได้อย่างไร?“กลับกันก่อนเถอะ”ฟู่หลานเหิงเหลือบมองเสื้อผ้าเปียก ๆ บนตัวของซูจิ่นเอ๋อร์ สีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย“ระวังเป็นหวัดล่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์ก็หันหน้าหนี แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่น“ไปกันเถอะ พวกเรากลับกันก่อน”กู้หว่านเยว่ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมาห่อตัวให้ซูจิ่นเอ๋อร์ ซูจิ่งสิงก็หยิบตะกร้าปลาขึ้นมาเมื่อทุกคนกลับถึงบ้าน นางหยางได้ยินว่าพวกเขาตกลงไปในน้ำจนเกือบจะจมน้ำตาย ก็ร้อนใจอย่างมาก“เจ้าเด็กคนนี้นี่ ไม่ทำให้แม่อุ่นใจเอาเสียเลย รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองว่ายน้ำไม่เป็น แล้วจะไปที่ทะเลสาบน้ำแข็งนั่นทำไม?”นางหยางโกรธจนอยากจะตีนางแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าที่นางทำไปก็ด้วยความหวังดี เพื่อสุขภาพของกู้หว่านเยว่ จึงฝืนทนไว้ได้“ข้าคิดว่าเจ้าแค่จับปลาอยู่แถวริมฝั่งเสียอีก”“ริมฝั่งไม่เห็นปลาเลยนี่ ข้าเห็นว่าพื้นน้ำแข็งมันแข็งแรงดี จึงเดินเข้าไปตรงกลางแต่ใครจะไปรู้ว่าจะตกลงไปในรูได้...โดนดุต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ถึงอย่างไรซูจิ่นเอ๋อร์ก็เป็นสาวแล้ว รู้สึกอับอาย จึงเถียงกลับเบา ๆ ยิ่งทำให้นางหยางโกรธจนทนไม่ไหว “โด
แม้ว่าครั้งล่าสุดที่นางตรวจชีพจรของหลี่โหวเหย ก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงอยู่ได้อีกไม่นาน“แต่เพิ่งจะเดือนกว่า ๆ คนก็จากไปแล้ว นี่มันอยู่นอกเหนือความคาดหมายของนางจริง ๆ “วันที่หลี่โหวเหยจากไป ข้าก็อยู่ที่จวนโหว”ฟู่หลานเหิงกล่าวด้วยความเสียดาย “คนก็เหมือนกับคันธนูที่ง้างจนสุดกำลัง ช่วงสุดท้ายของชีวิตร่างกายก็ทรุดโทรมหลี่โหวเหยไม่ยอมกินอาหาร ปล่อยให้ตัวเองหิวตาย”กู้หว่านเยว่อดสงสารไม่ได้ “ดูเหมือนว่าหลี่โหวเหยอยากจะปลดปล่อยตัวเอง”“หลี่โหวเหยปกป้องชายแดนมาทั้งชีวิต สุดท้ายกลับต้องพบจุดจบเช่นนี้ น่าเสียดายยิ่งนัก”นางหยางพูดแทรกขึ้นมาว่า “ที่เขากล่าวกันว่าแต่งงานต้องเลือกภรรยาที่เป็นคนดี มีคุณธรรม ก็เพราะเหตุนี้ หากแต่งงานกับภรรยาที่จิตใจไม่บริสุทธิ์ แอบวางยาพิษ เจ้าจะตายตอนไหนก็ไม่รู้”จินโหย่วเฉียนเหงื่อแตกพลั่ก “ป้าหยาง ท่านพูดเสียจนข้ากลัวเลย”แม้คำพูดจะดูหยาบคาย แต่ความหมายก็ถูกต้อง ที่เขากล่าวกันว่าผู้หญิงกลัวแต่งงานผิดคน ผู้ชายก็เช่นกัน“สวีหลานตายแล้ว เสี่ยวอันก็โตขึ้นมาก หลี่โหวเหยจากไปก็น่าจะจากไปอย่างสงบ”ฟู่หลานเหิงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “หลี่โหวเหยประจำการเฝ้าชายแดนมาห
“ฮ่องเต้ชั่วคงจะรีบหาเรื่องเปิดศึกกับเราแน่ ๆ หากตอนนี้เมืองตงโจวรุกรานพวกเราอีก ผู้ที่จะต้องบาดเจ็บก็มีเพียงประชาชนในเจดีย์หนิงกู่“ดังนั้น จนกว่าจะถึงที่สุดแล้ว ก็อย่าเพิ่งเปิดศึกกับเมืองตงโจวจะดีกว่า”กู้หว่านเยว่พูดความคิดของตัวเองออกมาซูจิ่งสิงเห็นด้วย สามีภรรยาคู่นี้มีความคิดเห็นตรงกันในเรื่องนี้เสมอ ต่างไม่ต้องการให้ไฟสงครามลุกลามไปถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์ซูจิ่นเอ๋อร์เอ่ยขึ้นด้วยความไร้เดียงสา “ในเมื่อชาวบ้านในเมืองตงโจวขาดแคลนเสบียงอาหารและเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาว เช่นนั้นเราก็ส่งบางส่วนไปให้พวกเขา จะได้ผูกมิตรไมตรีต่อกันพอพวกเขาได้สิ่งที่ต้องการไป คงจะพอใจแล้ว และไม่น่าจะเสียกำลังคนและทรัพยากรมาโจมตีเราอีก”ถึงจะไร้เดียงสาไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้พูดผิดอะไร“แต่ตอนนี้พวกเราไม่รู้จักใครในเมืองตงโจวเลย ไม่สู้ไปถามพวกเขาดูว่าต้องการอะไร หากสามารถผูกมิตรกันได้ ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดี”พวกเขาและพวกทูเจวี๋ยมีความแค้นฝังลึก ไม่มีทางคืนดีกันได้ตลอดชีวิตแต่กับเมืองตงโจวไม่เหมือนกัน ไม่เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก่อน บางทีอาจจะกลายเป็นเพื่อนกันได้“แต่จะส่งใครไปดีล่ะ การเดินทางครั้งน
ไม่นานนัก จี้ฮั่นโม่ก็มาถึงเขาทำงานอย่างละเอียดรอบคอบ บันทึกรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการสร้างถนนคอนกรีต และการขุดเหมืองในช่วงหลายวันที่ผ่านมาไว้เรียบร้อยแล้ว รอแค่ให้กู้หว่านเยว่ตรวจดู“ข้าน้อยรู้ว่าท่านต้องการดู แบบนี้จะทำให้ท่านตรวจสอบได้สะดวก”จี้ฮั่นโม่เป็นคนซื่อสัตย์ ใบหน้าที่ดูซื่อ ๆ ของเขาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยกู้หว่านเยว่ตรวจสอบอย่างละเอียดจนจบ ดวงตาของนางฉายแววชื่นชม เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็สั่งให้จี้ฮั่นโม่ดำเนินการตามแผนงานต่อไปจี้ฮั่นโม่ก็ดีใจเช่นกันเพราะอะไรน่ะหรือ ก่อนหน้านี้เขาทำงานที่กรมโยธาธิการ ส่วนใหญ่จะสร้างพระราชวังให้ฮ่องเต้และนางสนม ล้วนเป็นงานที่สิ้นเปลืองแรงงานและทรัพยากรของประชาชนแต่ตอนนี้กลับได้ทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน จี้ฮั่นโม่ผู้ที่ยึดมั่นในความถูกต้องจะไม่รู้สึกดีใจได้อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้น งบประมาณที่กู้หว่านเยว่ตั้งไว้ก็ไม่มีกำหนด นั่นหมายความว่าเขาสามารถทำงานแบบทุ่มเทสุดกำลังได้“ขอบคุณฮูหยิน นายหญิง เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”หลังจากที่จี้ฮั่นโม่จากไป กู้หว่านเยว่ก็เรียกฟู่หลานเหิงเข้ามา แล้วบอกวิธีที่นางคิดได้ในตอนกลางวัน
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้