“พี่ใหญ่ซุน ท่านดูเถอะว่าเสื้อบุนวมนี้อุ่นกว่าที่พวกท่านกำลังสวมไม่น้อยใช่หรือไม่?”นุ่นยังไม่เป็นที่นิยมในต้าฉี ทุกคนไม่รู้ว่านุ่นสามารถป้องกันความหนาวได้ ทั้งยังไม่มีเครื่องทอผ้า เพราะเหตุนี้บนตัวจึงสวมใส่เพียงผ้าป่านและผ้าฝ้ายภายในสามชั้นภายนอกสามชั้น ย่อมไม่สามารถทนต่อความหนาวเหน็บในวันหนาวเช่นนี้ได้ซุนอู่หยิบเสื้อบุนวมไป ทีแรกยังมองไม่เห็นความพิเศษอะไร ของสิ่งนี้บ้านสามสกุลซูล้วนสวมไว้บนร่างกาย ทุกคนจึงมิได้ใส่ใจจนกระทั่งวางลงบนขาครึ่งหนึ่ง พบว่าขาที่กำลังหนาวเหน็บถึงขั้นอุ่นขึ้นมา ไม่รู้สึกถึงลมหนาวที่ภายนอก นี่ถึงรู้ว่าของเล่นนี้ช่างอัศจรรย์โดยแท้“จริงเสียด้วย เสื้อบุนวมนี้ช่างเป็นของดีโดยแท้!” ดวงตาซุนอู่ทอประกาย “เสื้อบุนวมนี้เป็นนางหยางทำด้วยตนเองกระนั้นรึ?”กู้หว่านเยว่พูดยิ้มๆ “เจ้าค่ะ”“หากพวกเรานำเสื้อบุนวมนี้ไปขาย จะต้องได้ราคาดีเป็นแน่!แต่ปัญหาในตอนนี้คือพวกเราจะไปนำวัสดุเหล่านี้มาจากที่ใด?”ซุนอู่เป็นคนหยาบคนหนึ่ง ย่อมไม่มีความรู้ในเรื่องเสื้อผ้าเหล่านี้กู้หว่านเยว่คิดหาทางไว้ดีแล้ว พูดเนิบๆ “พี่ใหญ่ซุนยังจำอวิ๋นมู่ที่เดินทางพร้อมพวกเราก่อนหน้านี้ได้หรือไ
“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าก็อยากทำเสื้อฝ้ายเหมือนกัน ท่านให้ข้าเรียนทำเสื้อฝ้ายกับท่านด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ?”ซูหรานหร่านเดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงกู้หว่านเยว่ มือจับนกชายกระโปรงขึ้น เตรียมจะคุกเข่าลงแต่ถูกกู้หว่านเยว่หยุดเอาไว้ก่อน“ไม่ต้องทำถึงเช่นนี้หรอก”ซูหรานหร่านมีพ่อเช่นนี้ โง่เขลาทั้งยังหน้าบาง รักชอบเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง ก็น่าสงสารไม่น้อยหากนางกับตระกูลซูเก่าไม่ใช่น้ำบ่อเหมือนกัน นางอาจพิจารณาช่วยเหลือสักหน่อยได้ท้ายสุด กู้หว่านเยว่ก็ตัดสินใจให้โอกาสนาง นางจะคว้ามันไว้ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับตัวนางเองแล้ว“เจ้าไปหานักการซุน รับอุปกรณ์และแม่แบบมาเถอะ”“จริงหรือ?” ซูหรานหร่านดีใจมาก “ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ ความเมตตาของท่านข้าจะเก็บไว้ในใจให้ดีเจ้าค่ะ”หลังจากเช็ดน้ำตาแล้ว นางก็หันหลังกลับ วิ่งไปที่ซุนอู่เพื่อรับของ“ซูหรานหร่าน เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”ซูหัวหยางที่อยู่ด้านข้างรู้สึกว่าอำนาจของผู้เป็นบิดาถูกท้าทาย ดึงเดินมาลากนางกลับไป แต่ก็ถูกซุนอู่เฆี่ยนตีเสียก่อน“ทำอะไรน่ะ? สร้างปัญหาต่อหน้าข้า? อยากอู้งานหรือไร?”กู้หว่านเยว่พูดเอาไว้แล้ว เสื้อผ้าทุกชิ้นเหล่านักการก็จะ
เงินหนึ่งตำลึงเพียงพอสำหรับครอบครัวธรรมดาให้อยู่ได้ครึ่งเดือนอย่าเห็นว่าซาลาเปาที่นักการมักขายให้กับนักโทษจะมีราคาสูง แต่เมื่อเทียบกับราคาข้างนอกแล้วก็ยังต่ำกว่าอยู่มากไม่คิดว่า เสื้อหนึ่งตัวจะสามารถขายได้หนึ่งตำลึง ดังนั้นจางเอ้อร์จึงพยักหน้ายอมรับทันทีแต่กู้หว่านเยว่ไม่ใช่คนหัวอ่อนว่ากันว่าของหายากมีค่า ในเมืองชิงหนิวแห่งนี้หรือแม้แต่เมืองใกล้เคียงอีกหลายแห่ง นางเป็นเจ้าเดียวที่ขายเสื้อผ้าฝ้าย หากขายให้กับตระกูลสูงศักดิ์ เสื้อชิ้นหนึ่งอาจมีราคาได้มากกว่ายี่สิบตำลึงเงินหนึ่งตำลึง น้อยเกินไปแล้ว“เจ้าของร้าน ขอเพิ่มราคาอีกหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ?”“ก็ได้ ห้าตำลึงเล่า? ข้าซื้อเสื้อเจ้าห้าตำลึงเงินต่อหนึ่งตัว”กู้หว่านเยว่ส่ายหัว“เสื้อผ้าฝ้ายนี้เป็นของใหม่ ในเมืองชิงหนิวไม่อาจหาซื้อได้ หากถูกผู้สูงศักดิ์ชอบเข้า ยี่สิบตำลึงเงินก็ยังขายออกได้หากเจ้าของร้านอยากได้จริงๆ ละก็ ให้ข้าจำนวนเท่านี้”พูดจบ นางก็ทำสัญลักษณ์เลยย “แปด” เมื่อเห็นว่าเขายังลังเลอยู่ นางก็ยกเท้าขึ้น เตรียมเดินจากไปโดยไม่ลังเลใจ“เดี๋ยวก่อน แม่นางน้อย เดี๋ยวก่อน!” เจ้าของร้านพยายามกดราคาไว้ แต่เมื่อเห็นกู
ระบบแนะนำอย่างภาคภูมิใจว่า “นี่คือความสามารถเฉพาะของระบบสภาพอากาศในมิติ สามารถทำให้พืชผลสุกงอมเร็วขึ้น อีกทั้งรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการก็ไม่ด้อยไปกว่าด้านนอก”กู้หว่านเยว่หยิบพวงองุ่นมาแล้วโยนเข้าปาก ดวงตาเป็นประกายทันที“จริงด้วย องุ่นพวกนี้ หวานกว่าองุ่นธรรมดาเสียอีก!”นางรีบเก็บผลผิงกั่ว[footnoteRef:1]และหลี่จือ[footnoteRef:2]แล้วมอบให้คนในครอบครัว รวมถึงเหล่านักการ [1: แอปเปิล] [2: ลูกแพร์] “พี่สะใภ้ใหญ่ ผลไม้พวกนี้หวานมากเลย ข้าไม่เคยได้ลิ้มรสผลไม้ที่หวานขนาดนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ!”ซู่จิ่นเอ๋อร์ได้กัดเพียงครั้งเดียวก็รู้สึกราวกับตกหลุมรักซุนอู่เองก็ยังรู้สึกว่า หลังจากกินผลไม้นี้ ตนเองมีกำลังวังชาเพิ่มมากขึ้น“แม่นางน้อยกู้ ผลไม้พวกนี้ท่านซื้อมาจากที่ไหนหรือ? ข้าจะให้พี่น้องไปซื้อมาเพิ่ม”กู้หว่านเยว่อธิบายแบบสบายๆ ว่า “ซื้อมาจากพ่อค้าหน้าโรงเตี๊ยมน่ะ เห็นบอกว่าเก็บมาจากริมบ่อน้ำพุร้อน มันจึงหวานอร่อยกว่าผลไม้ทั่วไปตอนที่ข้าไปถึงก็เหลืออยู่ไม่กี่จิน[footnoteRef:3]แล้ว พ่อค้าก็คงจะกลับไปแล้ว พี่ใหญ่ซุนอย่าออกไปให้เสียเวลาเลยเจ้าค่ะ” [3: ห้าร้อยกรัม] ซุนอู่ทำได้เพ
ในใจลึกๆ รู้ดีว่าฟู่เยียนหรานไม่รู้ความ ดังนั้นจึงไม่สนใจมากนัก เดินตรงไปดังฟู่เยียนหรานกลับมา“ลุงหลี่ ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ? ปล่อยข้าไป ข้าไม่ยอมให้นางแตะต้องพ่อข้า”“มานี่ พาคุณหนูออกไปก่อน”แม่ทัพหลี่ไม่สนใจนาง ก่อนจะเทน้ำให้กู้หว่านเยว่ กล่าวขอโทษนางไปอีกประโยค“แม่นางกู้ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ท่านเป็นผู้มีเมตตาไม่เอาความผู้น้อย ดูอาการท่านอ๋องผู้เฒ่าก่อนเถอะขอรับ”“เจ้าค่ะ” กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางย่อมไม่ใช่เพราะฟู่เยียนหรานและไม่ชอบใจท่านอ๋องผู้เฒ่าหยิบน้ำมาแล้วป้อนยาสงบจิตแก่ท่านอ๋องผู้เฒ่า แล้วฉีดยาให้ท่านอ๋องผู้เฒ่าอีกเข็มหลังจากนั้นไม่นาน หนานหยางอ๋องก็ตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง“ข้า ข้าเป็นอะไรไปหรือ?”“ท่านอ๋อง ท่านมีโทสะมากเกินไป จึงอาเจียนเป็นเลือดแล้วสลบไปเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่หยิบเข็มเงินออกมาปักระบายความตึงเครียด อธิบายเสียงเรียบรื่น“ปล่อยข้านะ!”ฟู่เยียนหรานรีบผลักคนที่อยู่รอบตัวนางออกไปอย่างเร็ว เดินมาที่เตียง “ท่านพ่อ ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?ท่านอย่ามีโทสะเลยเจ้าค่ะ ข้ากับมู่หรงรักกันจริงๆ นะเจ้าคะ ขอร้องท่านพ่อสนับสนุนพวกเราด้วย”หนานหยางอ๋องโกรธจนเส้นเลือดบนหน้าผ
กู้หว่านเยว่นิ่งไปครู่หนึ่ง คาดคิดว่าฟู่เยียนหรานอาจได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดกันด้านในทำตัวลับๆ ล่อๆ ดูไม่เหมือนบุตรีแห่งของราชวงศ์แม้แต่น้อยกระนั้น กู้หว่านเยว่พลางคิดว่าในหนังสือต้นฉบับ ฟู่เยียนหรานเกือบจะวางยาพิษหนานหยางอ๋องตาย เป็นเพราะได้ยินว่าหนานหยางอ๋องคิดจะตามหาลูกสาวแท้ๆ กลับมา?“สามี สองสามวันนี้ท่านช่วยส่งคนมาจับตาดูฟู่เยียนหรานหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ?หากนางมีอะไรผิดปกติ ให้รีบบอกข้าทันที”กู้หว่านเยว่ไม่ได้บอกเหตุผลซูจิ่งสิงไปตรงๆ เพราะนางเองก็ไม่อาจเรียกได้ว่ารู้อนาคตล่วงหน้า“ได้”โชคดีที่ซูจิ่งสิงไม่ใช่คนช่างสงสัย เขาเรียกฉู่เฟิงเข้ามา และสั่งการด้วยเสียงทุ้มต่ำด้านนอกยังคงมีหิมะโปรยปราย ถนนหนทางปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน กองพะเนินสูงเท่ากับเข่ายามเดินผ่านกู้หว่านเยว่เดินเข้าครัวไปต้มน้ำแกงมาสามชาม เดินกลับมาก็เห็นฮูหยินผู้เฒ่าซูและซูหัวหยางวิ่งวุ่นไปมาหลังจากที่เห็นนาง ก็ถ่มน้ำลาย “ถุย เสนียด!”“หาเรื่องหรือไร? กล้าดีอย่างไรไม่เคารพแม่นางน้อยกู้เช่นนั้น?!” หวังปี้กำหมัดแน่นอยู่ข้างหลังเขา “อย่าหนีสิ มีปัญญารังแกผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ไม่มีปัญญาสู้ตัวต่อตัวกับข
“แม่ทัพหวัง ร่างกายท่านไม่เป็นไรแล้วใช่หรือไม่?”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้ว เห็นหวังปี้วิ่งปร๋อได้เช่นนี้ คงไม่ทรมานแล้วกระมัง?หวังปี้โบกมือด้วยความเขินอาย “เห็นคุณหนูซูถูกพ่อแม่บังคับเช่นนั้น ข้าถึงได้รู้ว่ายังมีคนที่ย่ำแย่กว่าข้าอีกเนอะ สิ่งที่ข้าเจอนับเป็นอะไรได้? ในเมื่อคุณหนูฟู่ไม่ชอบข้า ข้าก็เพียงปล่อยมือเท่านั้น ฝืนบังคับกันต่อไป คงกลายเป็นความแค้นฝังแน่น”อันที่จริง หวังปี้ไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ให้ฟู่เยียนหรานมากนัก ทั้งสองไม่เคยเจอกันมาก่อน เพียงแต่เขาไม่อยากให้ท่านอ๋องผู้เฒ่าผิดหวังเท่านั้นหลังจากที่เขาตื่นขึ้น ก็รีบไปหาท่านอ๋องผู้เฒ่า ยกเลิกการหมั้นหมายทันทีกู้หว่านเยว่มองเขาด้วยความชื่นชมหยิบขึ้นได้ วางลงเป็น สุภาพบุรุษอกสามศอก“ข้าจะไปป้อนหญ้าแห้งให้ม้าหน่อย ขอตัวก่อนนะขอรับ”พูดจบ หวังปี้ก็ยกมือประสานให้ทั้งสองคนแล้วก้าวไปที่คอกม้าเมื่อกู้หว่านเยว่กลับมาที่หอนอนรวม ทุกคนต่างกำลังยุ่งกับการตัดเย็บเสื้อผ้าฝ้าย ทำเอานางคล้ายจะว่างงานขึ้นมากู้หว่านเยว่จึงเดินเข้าครัวไปทำอาหาร ซูจิ่งสิงจึงเดินตามมาช่วยก่อฟืน หลังจากทั้งสองทำอาหารเสร็จแล้ว ก็เห็นฉู่เฟิงเดินเข้ามาพอด
กู้หว่านเยว่คิดกับตัวเองว่าไม่ว่าซูจิ่งสิงจะฉลาดแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเดาทิศทางของโครงเรื่องได้แต่เขาเดาถูก “ฟู่เยียนหรานคิดจะทำร้ายท่านอ๋องผู้เฒ่าหรือ?”กู้หว่านเยว่ตกใจมาก ผู้ชายคนนี้ฉลาดขนาดนี้เลยหรือ?แต่นางไม่ได้ตอบว่าใช่ และไม่ได้ตอบว่าไม่ใช่ เพียงโบกมือแล้วตักใส่อาหารใส่กล่องอาหาร เดินถือไปที่หอนอนรวม“พี่สะใภ้ใหญ่ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ เจ้าค่ะ ให้ท่านทำอาหารมาสองวันแล้ว”ซูจิ่นเอ๋อร์กล่าวอย่างรู้สึกผิดสองสามวันนี้นางรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก ดูเหมือนว่าจะมีประจำเดือนมาครั้งแรกนอกจากจะไปเข้าห้องน้ำและทานอาหาร กู้หว่านเยว่ก็สั่งให้นางนอนพักผ่อนบนเตียงไปดังนั้นงานเข้าครัวทำอาหาร จึงตกเป็นหน้าที่ของกู้หว่านเยว่ไปโดยปริยาย“รอเจ้าดีขึ้นแล้ว งานเข้าครัวทำอาหารก็จะกลายเป็นของเจ้าเช่นเดิม”กู้หว่านเยว่เหลือบมองนาง ซูจิ่นเอ๋อร์จึงยิ้มรับทันที การได้ไปทำงาน ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับนางหลังจากที่ครอบครัวกินข้าวเสร็จแล้ว กู้หว่านเยวว่ก็ออกไปดูสภาพอากาศ ก่อนจะพบว่าพายุหิมะเริ่มเบาลงแล้ว“พรุ่งนี้มะรืนนี้ก็ออกเดินทางได้แล้ว” กู้หว่านเยว่พูดกับซุนอู่นี่เป็นข่าวดีที่สุดในไม่กี
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้