“เหมยจื่อ”ยายเฉินตามมา แล้วจับมือของนางไว้ “อย่าพูดเช่นนี้ ถึงเขาจะไม่ดีแค่ไหน เขาก็เป็นพ่อของเจ้า”“เขาเป็นพ่อแบบไหนกัน?”เหมยจื่อเคียดแค้นที่สุด“ตั้งแต่เล็กจนโต เขารู้จักแต่ทุบตีข้า พูดไม่เข้าหูก็ถีบข้าจนกระอักเลือด”นางกอดศีรษะตัวเองไว้ แล้วร้องไห้โฮ “ถ้าไม่ใช่เพราะเขาติดหนี้พนัน พี่เจิ้งก็คงไม่โดนคนทุบตีตาย”“สามีของข้า ในวันแต่งงานวันแรก ฮ่า ๆ ๆ... ข้ายังไม่ทันได้รอให้เขามารับ เขาก็ถูกคนทุบตีจนตายระหว่างทางเสียแล้ว”“ข้ารอเขาอยู่ที่บ้านเพื่อให้เขามารับตัว แต่สุดท้ายสิ่งที่รออยู่กลับเป็นโลงศพของเขา”“ข้ากับพี่เจิ้งเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก เพียงเพราะเขาต้องการเงินสิบตำลึงเป็นค่าสินสอด พี่เจิ้งจึงทำงานเป็นช่างไม้ในเมืองทั้งวันทั้งคืน เพื่อเก็บเงินมาแต่งงานกับข้า กว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันมันยากลำบากมาก”“ทั้งหมด ทั้งหมดนี้ถูกเขาทำลาย! ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเกลียดเขามากแค่ไหน ข้าอยากให้เขาตายไปเสีย”เหมยจื่อคุกเข่าลงกับพื้น และร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด“เหมยจื่อ...”ยายเฉินนั่งลงบนพื้นด้วยความตกตะลึงนางคิดมาตลอดว่าให้เหมยจื่อได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์ นางต้องอดทนบ้างก็ไม่
เฉินลิ่วด่าทอเสียงดังลั่น “เจ้าบ้าไปแล้ว นางเด็กบ้านี่ ข้าเป็นพ่อของเจ้านะ เจ้ากล้าตีข้า เจ้ามันบ้าไปแล้ว”เหมยจื่อสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วยิ้มเยาะ “เจ้าก็คู่ควรเป็นพ่อของข้าหรือ ไอ้ขี้เมาติดการพนันอย่างเจ้า สมควรตายอยู่ในท่อระบายน้ำเน่า ๆ เสียมากกว่า!”คำพูดนี้ นางอยากจะพูดออกมาตั้งนานแล้ว พอได้ระบายออกมา ก็รู้สึกดีขึ้นเยอะเจียงเฟิ่งจับเฉินลิ่วไว้แน่น เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พี่เหมยจื่อ ไม่ต้องกลัว ข้าจับเขาไว้แล้ว มีอะไรอยากพูด มีแค้นอะไร ก็ระบายออกมาเลย”เหมยจื่อมองเฉินลิ่วที่กำลังทำหน้าเหี้ยมเกรียมแล้วส่ายหัว“ข้าแค่อยากพาท่านแม่ไปให้ไกลจากเขา”ความคับแค้นใจของนาง พูดเท่าไรก็คงไม่หมดถึงจะพูดออกไป เฉินลิ่วจะเข้าใจหรือ? เสียเวลาเปล่า“เจียงเฟิ่ง เจ้าลากคนไปจัดการที” กู้หว่านเยว่โบกมือผู้ชายใช้ความรุนแรงในครอบครัวแบบนี้ นางกลัวว่าตนเองจะอดใจไม่ไหวฆ่าเขาตายเสียก่อน“ฮูหยินวางใจ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ข้าจะจัดการเอง”เจียงเฟิ่งรีบลากตัวเฉินลิ่วเข้าไปในห้องเก็บฟืนข้าง ๆ ไม่นานนัก เสียงร้องโหยหวนของเฉินลิ่วก็ดังออกมาจากห้องเก็บฟืนเหมยจื่อกับยายเฉินจับมือกัน ฟังเสียงร้องโหยหวนนั้น
องครักษ์จันทราหลายคนขยี้ตา“สวรรค์ ข้าน้อยมีชีวิตอยู่มายี่สิบกว่าปี เพิ่งเคยเห็นนกกางเขนเอารังนกมาให้แบบนี้เป็นครั้งแรก”เจียงเฟิ่งกล่าวด้วยความตกตะลึง “นกกางเขนพวกนี้คงรู้ว่าฮูหยินเพิ่งคลอดคุณชายน้อย จึงนำของบำรุงมาให้สินะ?”คนพูดไม่ได้ตั้งใจ แต่คนฟังกลับเก็บไปคิดกู้หว่านเยว่เปิดม่านรถม้า กลับเห็นของที่วางอยู่บนรถม้าล้วนเป็นรังนก โสมแดง สิ่งของที่เหมาะสำหรับบำรุงเลือดลมหลังคลอดบุตรทั้งนั้นพวกมันมาส่งมอบความห่วงใยหรือ?“เป็นของบำรุงทั้งนั้นเลย หาถุงผ้ามาใส่เก็บไว้เถอะ”สมุนไพรพวกนี้จะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้“ขอรับ”องครักษ์จันทราหลายคนรีบหยิบถุงผ้า เก็บรังนกและโสมแดงบนรถม้าจนหมดเกลี้ยงนกกางเขนพวกนั้นก็ฉลาดเหมือนกัน เห็นว่าพวกเขาเอาถุงผ้ามาแล้ว ก็เลยไม่โยนลงบนรถม้าอีก แต่โยนสมุนไพรลงในถุงผ้าแทนถุงหลายใบถูกใส่เอาไว้จนเต็มนกกางเขนบินวนรอบกู้หว่านเยว่รอบหนึ่ง แล้วก็จากไป“อุแว้อุแว้...”ดวงตาของจ้านจ้านน้อยเป็นประกาย สีหน้าดูพึงพอใจ ไม่ต้องพูดเลยว่ามีความสุขแค่ไหนไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด กู้หว่านเยว่รู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าตัวเล็กนี่อย่างแน่นอน
เหมยจื่อกล่าวขึ้นด้วยความตกตะลึง“ก่อนหน้านี้ ข้าราชการที่นำเสบียงมาให้พวกเรา บอกว่าซูฮูหยินเป็นคนสั่งให้พวกเขานำอาหารมาแจกจ่ายชาวบ้านที่ประสบภัย”ที่แท้ซูฮูหยินก็ช่วยพวกนางไว้ตั้งนานแล้วยายเฉินรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง “ต่อไปนี้ พวกเราต้องจงรักภักดีต่อฮูหยิน”“ท่านแม่วางใจ ต่อไปฮูหยินก็คือนายของข้า ข้าจะไม่มีวันทรยศท่านอย่างแน่นอน”สีหน้าของเหมยจื่อจริงจังกู้หว่านเยว่หลังคลอดร่างกายยังอ่อนแอ ไม่ควรยืนนาน จึงรีบนอนลงบนเก้าอี้ยาว“ปิดม่านเต็นท์ลง อย่าให้ลมเข้ามา”ซูจิ่งสิงกำชับ ภรรยาของเขาเพิ่งคลอด ไม่สามารถโดนลมได้หากกล่าวจริงจังแล้วนางยังอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกายหลังคลอด แต่กู้หว่านเยว่รู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงดี แถมยังมีระบบช่วยฟื้นฟู นางจึงลุกจากเตียงแล้วเดินไปเดินมา ซูจิ่งสิงก็ทำอะไรนางไม่ได้“บังเอิญจริง ๆ พวกเจ้าสองคนมาได้ถูกเวลาพอดี เจียงเต๋อจื้อกำลังจะยกทัพมาโจมตีพวกเราแล้ว”ที่แท้ก็เป็นเพราะเจียงเต๋อจื้อเห็นว่าเถาเอ๋อร์หายไปนานไม่กลับมา เสบียงในค่ายก็ถูกขโมยไป กลัวว่าฮ่องเต้จะตำหนิ จึงตัดสินใจบุกเจดีย์หนิงกู่ก่อนเขาคิดว่าถ้าประสบความสำเร็จ ก็จะสามารถไถ่โทษได้“อีก
ไม่เพียงแต่มีชีวิตรอด แต่ยังยึดครองเจดีย์หนิงกู่ พลิกสถานการณ์กลับมาได้เจียงเต๋อจื้อรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าซูจิ่งสิงจะมีวันนี้ ตอนนั้นเขาคงไม่ไปวางอำนาจที่จวนซูตั้งแต่แรกแล้วแต่ตอนนี้ พูดอะไรก็สายไปแล้ว“ลากศพออกไป ตรวจนับกำลังพลทั้งสามกองทัพ พอฟ้ามืด ก็บุกโจมตีเจดีย์หนิงกู่”เจียงเต๋อจื้อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวมาจากท้องฟ้า ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คน“แย่แล้ว แย่แล้ว ไฟสวรรค์ เป็นไฟสวรรค์!”ทหารทั้งสามกองทัพต่างร้องเสียงหลง กุมหัววิ่งหนีกันอย่างอลหม่านไฟสวรรค์ก็คืออุกกาบาตจากท้องฟ้าที่ตกลงมายังพื้นดิน แต่คนโบราณไม่เข้าใจ พวกเขาจึงมองว่าไฟสวรรค์เป็นการลงโทษจากเทพเจ้าเจียงเต๋อจื้อได้ยินว่ามีไฟสวรรค์ ก็รีบวิ่งออกไปข้างนอกทันทีพร้อมกับเอามือกุมแผลไว้เมื่อมองออกไปนอกค่ายทหารประมาณหนึ่งลี้ ก็เห็นอุกกาบาตที่ลุกเป็นไฟตกลงมาจากท้องฟ้าเป็นระยะ ๆ ตกลงสู่พื้นดิน เสียงดังสนั่นหวั่นไหว เกือบทำให้คนตกใจตายเหล่าทหารเห็นภาพนี้ ต่างตื่นตระหนกกันไปหมด แม้ว่าไฟสวรรค์จะไม่ได้ตกลงมาในค่ายของพวกเขา แต่ดูเหมือนระยะทางจะใกล้เข้ามาเรื
“คนไหนกล้ายอมแพ้ ข้าจะฆ่าคนนั้น!”เจียงเต๋อจื้อโมโหจนชักดาบยาวออกมาเหล่าทหารต่างพากันตกใจกลัว ถอยหลังและวิ่งหนีกันกระจัดกระจาย“ข้าดูสิว่าใครกล้าพูดว่ายอมแพ้ พูดมาคนหนึ่ง ข้าจะฟันคนหนึ่ง”เขาแกว่งดาบอย่างรุนแรง ฟันทหารสองคนที่อยู่ใกล้ที่สุดจนได้รับบาดเจ็บเจียงเต๋อจื้อคลั่งไปแล้วเขาไม่ยอมให้ใครยอมแพ้ทั้งนั้น หากยอมแพ้ขึ้นมาจริง ๆ นแรกที่จะต้องตายก็คือเขาดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ มองไปรอบ ๆ แล้วจ้องมองไปทีละคนใครกล้าส่งเสียง ก็ฆ่าคนนั้นเหล่าทหารพากันถอยหลัง แต่ในใจยังคงไม่ยอมรับทันใดนั้น ก็มีแสงไฟพาดผ่านท้องฟ้า ตามมาด้วยลูกไฟขนาดมหึมาที่พุ่งตกลงมาจากฟากฟ้าเสียง “ตูม” ดังสนั่น ตกลงมาตรงตำแหน่งที่เจียงเต๋อจื้ออยู่เขายังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องออกมาด้วยซ้ำ ก็ถูกหินทับลงไปในดิน ถูกไฟที่ลุกไหม้บนหินเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านทุกคนต่างตกตะลึง ตกตะลึงอย่างสิ้นเชิงตามด้วยเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้น“ท่านแม่ทัพตายแล้ว!”“ท่านแม่ทัพถูกไฟสวรรค์ทับตายแล้ว!”“ยอมแพ้เถอะ พวกเรายอมแพ้กันเถอะ”“...”บนท้องฟ้า ซูจิ่งสิงขับเฮลิคอปเตอร์ไปยังลานโล่ง จากนั้นก็ให้กู้หว่านเยว่เก็บเฮลิคอปเตอร์กลับ
ตอนกลางคืนเมื่อซูจิ่งสิงกลับมา กู้หว่านเยว่ก็พูดเรื่องนี้กับเขา“เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้า”กู้หว่านเยว่จึงไม่สนใจเรื่องนี้อีก แล้วถามถึงเรื่องแม่น้ำมู่ตัน“หลังจากวันนั้น ทหารห้าหมื่นนายก็พากันยอมแพ้ ส่วนคนที่เหลือที่ไม่ยอมแพ้ ก็ไม่สามารถสร้างปัญหาอะไรได้แล้ว”พวกที่หนีก็หนี พวกที่ตายก็ตาย ใช้เวลาแค่สองวันก็จัดการเรียบร้อยแล้วกู้หว่านเยว่พูดอย่างภาคภูมิใจ “หากเรื่องนี้แพร่สะพัดกลับไปถึงเมืองหลวง คนคนนั้นคงนอนไม่หลับแน่”เมืองหลวงจดหมายที่ส่งด้วยนกพิราบส่งสารด่วนแปดร้อยลี้ เพิ่งจะส่งถึงมือมู่หรงถิง ฮ่องเต้ชั่ว เมื่อเห็นเนื้อความในจดหมาย มู่หรงถิงก็เงียบไปพักใหญ่ สีหน้าดำคล้ำราวกับก้นหม้อในท้องพระโรง ขุนนางส่วนใหญ่ได้รับข่าวสารนี้แล้ว แต่ไม่มีใครกล้าส่งเสียงแม้แต่คนเดียว“ดี ดีมาก ซูจิ่งสิง!”มู่หรงถิงโกรธจนนิ้วมือชา “มหาราชครูหายตัวไป เจียงเต๋อจื้อถูกทับตาย กองทัพห้าหมื่นนาย ยอมแพ้ทั้งหมด”เขาหน้ามืด ต้องจับเก้าอี้มังกรไว้จึงไม่ล้มลงไป“ซูจิ่งสิง เขากล้าดีอย่างไร กล้าดีอย่างไร?”มู่หรงถิงรู้สึกว่าซูจิ่งสิงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตอนที่อยู่เมืองหลวง เขาอยากจะจัดการซูจิ
อ๋องหกปกติชอบพาสุนัขไปเดินเล่น เล่นกับแมว ไม่ค่อยสนใจเรื่องราชการจู่ ๆ ถูกเรียกชื่อ ตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้น“เสด็จพี่ ข้าไม่ได้ไปเที่ยวหอนางโลม เอ่อ เมื่อคืนข้าก็ไม่ได้ไปนอนบนเตียงของแม่นางหานเยียน...”“ข้าถามเรื่องพวกนี้เมื่อไรกัน?” ฮ่องเต้พูดไม่ออก“ข้าถามเจ้าว่า มีวิธีไหนที่จะทำให้ซูจิ่งสิงและนางกู้แตกคอกัน?”“อ๊ะ ท่านถามข้าหรือ?”อ๋องหกยังคงดูซื่อบื้อ ๆ ทำให้ความเคลือบแคลงสงสัยในสายตาของมู่หรงถิงจางหายไปไม่น้อย“อืม ถามเจ้า เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”“เรื่องนี้ สมองของข้าคิดไม่ทัน...” อ๋องหกเกาหัว ทำท่าทางลำบากใจอย่างมาก ครุ่นคิดอยู่นาน จู่ ๆ ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง“เจ้าหัวเราะอะไร?” ฮ่องเต้รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงว่าอ๋องหกมักจะทำตัวเหลวไหลแบบนี้เสมอ เขาก็ไม่ได้ตำหนิอะไร“จู่ ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อก่อนข้ามีอนุภรรยาหลายคนในจวน เวลาที่พวกนางแย่งชิงความโปรดปรานกัน สีหน้าก็จะดูน่าเกลียดมาก ข้าก็เลยไม่ชอบพวกนางแล้ว”ดวงตาของมู่หรงถิงหรี่ลง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังออกมา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถูกต้อง พูดถูกต้อง”นางกู้คนนั้นช่วยซูจิ่งสิง เช่นนั้นเขาก็จะส่งของขวั
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้