“วีรบุรุษให้กำเนิดคนขี้ขลาดไร้ความสามารถ เมื่อทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ”กู้หว่านเยว่ไม่พอใจอยู่ครู่หนึ่ง จะถูกหรือผิด ค่อยไปว่ากันในศาล“ไปพักผ่อนเถอะ เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้า”เมื่อเห็นเอ้อร์โก่วเอะอะโวยวาย ซูจิ่งสิงก็ขมวดคิ้วบาง ๆ ไม่อยากให้คนแบบนี้มาแปดเปื้อนสายตาของภรรยา“ยังเหลืออีกหนึ่งถึงสองชั่วยามก่อนรุ่งสาง”“ก็ดีเหมือนกัน”พรุ่งนี้กู้หว่านเยว่ยังมีงานอื่นต้องทำอีก จึงไม่ฝืนอยู่ที่นี่ต่อ รีบกลับไปพักผ่อนลุงเนี่ยคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความตื่นเต้น “ขอบคุณท่านอ๋อง ขอบคุณชายาท่านอ๋อง ที่ทวงคืนความยุติธรรมให้กับลูกชายทั้งสองของข้า”ซูจิ่งสิงเอ่ยเสียงขรึม “วันนี้เจ้าต้องการจุดไฟเผายุ้งฉาง ก็ต้องถูกลงโทษตามกฎหมายด้วย เจ้าจะยอมรับหรือไม่?”ลุงเนี่ยคุกเข่าไม่ยอมลุก “เรื่องนี้ข้าน้อยทำผิดไปแล้ว ข้าน้อยยินดีรับโทษทุกอย่าง ขอเพียงลูกชายทั้งสองไม่ตายเปล่า”“อืม”ซูจิ่งสิงโบกมือให้คนมาช่วยจับเขาและเอ้อร์โก่วขึ้นมา กุมตัวไปส่งทางการในวันพรุ่งนี้“หัวหน้าหมู่บ้าน พรุ่งนี้เจ้าพาต้าหนิวไปส่งทางการพร้อมกันเลย”หัวหน้าหมู่บ้านสั่นสะท้านจากสายตาเย็นยะเยือกของซูจิ่งสิง “ขอรับ”เขากลัวว
หนานหยางอ๋องยังคงสงบนิ่งเมื่ออยู่บนรถม้า แต่เมื่อมาถึงเมืองอวี้ ก็ต้องการจะบุกเข้าไปในสกุลเผยเพื่อฆ่าล้างโคตรพวกเขาในทันทีซูจื่อชิงแนะนำเขาว่า “อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ให้นำภาพม้วนเหล่านั้นออกมาก่อน หากต้องการลงมือ ก็ต้องกวาดล้างสกุลเผยทั้งหมด”หนานหยางอ๋องจึงสงบสติอารมณ์ลงได้ มองซูจื่อชิงด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป “เมื่อก่อนเจ้ายังมีความเป็นเด็กนัก ไม่เป็นผู้ใหญ่ แต่ตอนนี้เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”ซูจื่อชิงหลุบตาลงกล่าวว่า “ความไม่เป็นผู้ใหญ่ของคนรุ่นหลังนั่นแหละที่ทำร้ายชิงหว่าน ต่อไปนี้จะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว”หนานหยางอ๋องนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะพยักหน้าเขาคุมตัวเผยเสวียนเข้าไปในคุกใต้ดินของจวนฟู่ก่อน จากนั้นซูจื่อชิงก็นำภาพม้วนออกมาตามที่อยู่ที่เผยเสวียนบอกไว้ แล้วมอบให้กับเมี่ยชิงหว่านเพื่อนำไปเผาด้วยตัวเองตอนที่เผาภาพม้วน มือของเมี่ยชิงหว่านสั่นเทิ้มอยู่ตลอดเวลาเมื่อเห็นเปลวไฟกลืนกินภาพม้วน หัวใจของเมี่ยชิงหว่านก็ผ่อนคลายลง และรู้สึกสงบสุขได้ในที่สุดช่วงบ่าย ซูจื่อชิงกลับไปรายงานซูจิ่งสิง “เผยเสวียนตายแล้ว”ซูจิ่งสิงพยักหน้า แต่เมื่อเห็นซูจื่อชิงยังไม่ไปไหนก็เลิกคิ้วขึ้น“ม
ทั้งสามคนหัวเราะครื้นเครงเป็นเสียงเดียวกันในทันทีกู้หว่านเยว่หาเวลาบอกนางหยางเรื่องที่ซูจื่อชิงและเมี่ยชิงหว่านคืนดีกันแล้ว และย่อมไม่ได้พูดถึงเรื่องสกปรกที่เผยเสวียนทำในระหว่างนั้นก่อนหน้านี้ไม่นานซูจื่อชิงเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเพราะช่วยชีวิตเมี่ยชิงหว่านมาแล้ว นางกังวลว่านางหยางจะไม่ชอบใจแต่ใครจะรู้หลังจากนางหยางฟังจบแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก “เด็กสองคนนี้ควรจะได้เป็นคู่กันอยู่แล้ว หวังว่าคราวนี้พวกเขาจะได้เรียนรู้บทเรียน ต่อไปจะได้ทะนุถนอมซึ่งกันและกันให้ดี ๆ อย่าทะเลาะกันอีกเลย”กู้หว่านเยว่อมยิ้ม นางหยางเป็นแม่สามีที่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ตามที่คิดไว้หลังจากออกจากเรือนของนางหยาง นางก็ไปพบเฉินจื่อวั่งอีกครั้งเฉินจื่อวั่งเพิ่งกลับมาจากสำนักศึกษาถงซัน รู้สึกมึนงงไปหมด“ชายาท่านอ๋อง เป็นครั้งแรกที่ข้าน้อยรู้ว่า สำนักศึกษาสามารถใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้ เจิดจรัสได้ถึงเพียงนี้ ยังมีสิ่งที่เรียกว่ากระดานดำและชอล์ก มันคือของสิ่งใดกัน ข้าน้อยไม่เคยเห็นมาก่อน”“ตอนนี้บอกข้าหน่อยว่า เจ้ายินดีที่จะเป็นผู้อำนวยการสำนักศึกษาถงซันหรือไม่?”“ยินดี ยินดี!”ก่อนหน้านี้เฉินจื่อวั่งยังลังเลอยู่
“ก็ดีเหมือนกัน”เฉินจื่อวั่งลูบศีรษะพลางคิดในใจว่า ถ้าอาจารย์ของเขามาที่นี่ได้ก็คงจะดีกว่านี้เพียงแต่ว่า นี่แค่ลองคิดดูเท่านั้นอาจารย์ของเขาคือราชครู ถึงแม้ตอนนี้จะเกษียณกลับบ้านเกิดไปแล้ว แต่นั่นก็คือราชครู ไม่มีทางมาที่เจดีย์หนิงกู่ ไม่มีทาง“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน เรื่องความคืบหน้าของสำนักศึกษา ข้าน้อยจะคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา”“อืม”กู้หว่านเยว่หยิบตำราแพทย์ที่เหลืออยู่เล่มเดียวออกมาจากมิติ มอบหมายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปจัดการ วันเวลาว่าง ๆ แสนสบายนั้นไม่เลวจริง ๆไม่ได้ร่ำเรียนวิชาแพทย์มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็สามารถใช้เวลาศึกษาค้นคว้าจากตำราแพทย์ได้พอกู้หว่านเยว่ได้เปิดอ่านเวลาก็หมดไปทั้งช่วงบ่าย หลังจากยืดเส้นยืดสายจนพอใจแล้ว ก็เห็นเมี่ยชิงหว่านและซูจื่อชิงเข้ามาส่งอาหารให้นาง“เอามาจากจินโหลว จิ่นเอ๋อร์บอกว่าท่านชอบกิน พวกข้าก็เลยเอามาให้ท่านส่วนหนึ่ง”กู้หว่านเยว่เปิดกล่องออก เห็นกุ้งแช่เหล้าจานหนึ่ง จึงดีใจเป็นที่สุดทันที“ขอบคุณนะ ข้าชอบกินจานนี้จริง ๆ”เมี่ยชิงหว่านยิ้มอย่างเก้อเขิน “เรื่องระหว่างข้ากับจื่อชิงก่อนหน้านี้ ทำให้พี่หว่านเยว่ต้องเป็นกังวล”“ไม่
“บ่าว จะเอาความบริสุทธิ์ของตัวเองมาล้อเล่นได้ยังไงเจ้าคะ?”ชิวจู๋จะล้มมิล้มแหล่ ไม่กล้าสบสายตากับกู้หว่านเยว่เมี่ยชิงหว่านกลับมองอะไรไม่ออกมากนัก ในชั่วขณะนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป“จื่อชิง เจ้าจะว่ายังไง?”กู้หว่านเยว่ทำได้เพียงมองไปทางซูจื่อชิง แต่ปรากฏว่าซูจื่อชิงส่ายหัวอย่างหนักแน่น“คืนวันนั้น ข้าไม่ได้แตะต้องชิวจู๋เลย”“คุณชายรอง ท่าน...”สายตาของชิวจู๋สับสนเล็กน้อย ทำไมซูจื่อชิงถึงพูดเช่นนี้?คืนวันนั้นชัดเจนว่านางปีนขึ้นไปในขณะที่เขากำลังสลบไสลอยู่ ว่ากันตามเหตุผลแล้วเขาไม่ควรรู้เรื่องถึงจะถูก“คืนวันนั้นข้าเมาเหล้า อารมณ์ไม่ค่อยดี แต่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรือไม่ ข้ารู้อยู่แก่ใจดี”ซูจื่อชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย“ตอนนั้นเพิ่งตื่นพอดี สมองของข้าตื้อเหลือเกิน ยังไม่อาจตอบสนองอะไรได้ทัน”“บนหัวเตียงมีคราบเลือดของข้า ตอนนั้นคุณชายรองก็เห็น”ชิวจู๋ไม่อยากยอมรับ จนทำให้ซูจื่อชิงต้องส่ายหัว “ถ้าไม่ใช่เพราะคราบเลือด ข้าคงไม่สามารถยืนยันได้ เจ้าบอกมาซิว่าบาดแผลที่มือของเจ้าคืออะไร?”“ข้า...” ชิวจู๋รีบซ่อนนิ้วมือเอาไว้ ไม่นึกเลยว่าซูจื่อชิงจะสังเกตได้อย่างรอบคอบเช่นนี้“ชิวจู๋
“ไม่จำเป็น”ซูจื่อชิงมองไปที่ร่างบางอ่อนแอของนาง ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี เลื่อนสายตา “ชิวจู๋ ต่อให้วันนี้เจ้าไม่ได้ตั้งใจไปพูดคำเหล่านั้นต่อหน้าพี่สะใภ้ใหญ่ เจ้าก็ไม่สามารถอยู่ข้างกายข้าได้อีกแล้ว”“คุณชายรอง...”ชิวจู๋โงนเงน ประกายน้ำตาเอ่อคลอเต็มดวงตาก่อนหน้านี้ซูจื่อชิงเห็นใจนางอยู่บ้าง แต่กลับเป็นเพียงความเห็นใจที่มีต่อสาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น แต่ไหนแต่ไรมาไม่มีความรักระหว่างชายหญิงเมื่อครู่ถูกนางทำร้าย บัดนี้แม้แต่ความเห็นใจก็ไม่เหลือเลยสักเศษเสี้ยว“ข้างกายข้าไม่มีที่ให้สาวใช้มีใจเป็นอื่น”หากวันใดถูกวางอุบายจริง ก็ไม่มีวันรู้“พี่สะใภ้ใหญ่ ในเมื่อนางพูดว่าบ้านของนางจัดเตรียมงานแต่งไว้ให้นางแล้ว เช่นนั้นก็รบกวนพี่สะใภ้ใหญ่มอบหนังสือปลดปล่อยทาสให้นาง ปล่อยให้นางออกไปเถอะ”ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป หนังสือปลดปล่อยทาสมอบให้เพียงสาวใช้ทำความผิด นั่นหมายถึงการไล่ออกจากจวน“ไปทำตามความนัยของเขา”กู้หว่านเยว่พยักหน้า ชิวจู๋เป็นคนของเรือนซูจื่อชิง นางเองก็คร้านจะดูแล“คุณชายรอง ท่านจะไล่บ่าวไป เหตุใดท่านใจร้ายถึงเพียงนี้? ดีชั่วอย่างไรบ่าวก็ดูแลท่านมานานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นบ่าวยังจริ
บัดนี้เส้นโครงเรื่องถูกตนเปลี่ยนแปลง ซูจิ่งสิงยังมีชีวิตอยู่ บนตัวซูจื่อชิงกลับไม่มีภาระอะไร ตรงข้ามกันทำให้ตอนนี้ยังมีความเป็นเด็กอยู่บ้าง“ใช่แล้ว พรุ่งนี้โจวเหล่าและซ่งเสวี่ยจะเดินทางมาถึงเจดีย์หนิงกู่”ซูจิ่งสิงเอ่ยเรื่องนี้ออกมาอย่างกะทันหัน ทำให้กู้หว่านเยว่ตกตะลึง“พี่หญิงซ่งมิใช่พูดว่า ผ่านไปอีกระยะเวลาหนึ่งถึงจะเดินทางมามิใช่หรือ เหตุใดโจวเหล่าเองก็มาได้เล่า?”ซูจิ่งสิงเห็นท่าทางตกตะลึงของนางนี้น่ารักมาก ยื่นมือออกไปบีบจมูกนางอย่างสุดจะหักห้ามใจ“เจ้ามิใช่พูดว่าเจ้าต้องการสร้างสำนักศึกษาแห่งหนึ่ง แต่ภายในสำนักศึกษายังขาดแคลนอาจารย์หรอกหรือ? ข้าก็เรียกตัวโจวเหล่ามาอย่างไรเล่า”กู้หว่านเยว่ว้าวุ่นใจ นางขาดแคลนอาจารย์จริง แต่นางเองก็คาดไม่ถึงว่าจะสามารถเรียกตัวโจวเหล่ามาได้ต้องรู้ว่า ในอดีตโจวเหล่าเป็นอาจารย์ขององค์รัชทายาท เป็นราชครูเชียวนะ!ให้เขามาสอนหนังสือที่เจดีย์หนิงกู่?ซูจิ่งสิงพูดยิ้มๆ “โจวเหล่าอยากเห็นเสี่ยวจ้านจ้าน เขาวางแผนสอนเสี่ยวจ้านจ้านด้วยตนเอง”กู้หว่านเยว่เข้าใจแล้วเสี่ยวจ้านจ้านเป็นลูกชายของซูจิ่งสิง ก็คือสายเลือดของอดีตองค์รัชทายาท โจวเหล่าเป็นอ
ทว่ายามอยู่ต่อหน้าโจวเซ่อ กลับไม่แสดงออกมา วางแผนถามซ่งเสวี่ยเป็นการส่วนตัว“เสี่ยวจ้านจ้านเล่า อุ้มเสี่ยวจ้านจ้านของพวกเจ้ามาให้ข้าดูเถอะ”โจวเหล่าหันซ้ายแลขวา มิอาจข่มความอยากเห็นหลานชายตัวน้อยเอาไว้ได้ตั้งนานแล้วกู้หว่านเยว่ให้สาวใช้ไปอุ้มจ้านจ้านออกมา จ้านจ้านเพิ่งตื่น สายตายังพร่ามัวจู่ๆ มองเห็นคนล้อมไว้มากเพียงนี้ กะพริบตาปริบๆ อย่างสับสน“เด็กคนนี้หน้าตาน่ารักจริงๆ มองจากพื้นฐานแล้ว โตขึ้นจะต้องมีพรสวรรค์อย่างแน่นอน”ฮูหยินผู้เฒ่าโจวอุ้มจ้านจ้านขึ้นมาชื่นชม ซ่งเสวี่ยเองก็อุ้มลูกสาวไปเล่นด้วย“เด็กคนนี้ฉลาดมาก” โจวเหล่าครุ่นคิดภายในใจ ภายภาคหน้าจะต้องเป็นกษัตริย์ผู้ทรงปรีชา“เสี่ยวจ้านจ้าน รอเจ้าโตแล้ว ข้าจะสอนเจ้าอ่านหนังสือเรียนอักษรดีหรือไม่?” โจวเหล่ายิ้มตาหยีเดินเข้าไปอ่านหนังสือ เขียนอักษร? เสี่ยวจ้านจ้านจับเคราสีขาวของโจวเหล่าทำเสียจนโจวเหล่ารีบพูด “เร็วๆ ปล่อยเคราของข้าเร็วเข้า เคราใกล้จะถูกเจ้าดึงหลุดแล้ว”จ้านจ้านไม่สนใจมากมายนัก หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขเวลาเพียงชั่วพริบตา ความคิดที่โจวเหล่ามีต่อจ้านจ้านเปลี่ยนไปมากแล้วนี่จะต้องเป็นเด็กซุกซนคนหนึ่ง!
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป