เสียงฝนพรำดังขึ้นไปทั่วโดยที่ไม่มีผู้ใดทราบว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะเป็นตอนกลางคืน ไม่สิ... พูดให้ถูกคือเวลาตี 4 ใกล้จะตี 5 ต่างหาก เช่นเดียวกับเหล่าสาวน้อยที่นอนหลับสบายเกลือกกลิ้งไปมาบนฟูก ทว่าเสียงฝนที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆได้ทำให้เด็กหนุ่ม... กรตื่นขึ้นจากภวังค์ กรชันตัวขึ้นในในทันทีโดยไร้ซึ่งอาการงัวเงีย... กลับกัน สายตาของเขาช่างดูอ่อนระทวย ไร้เรี่ยวแรง ทั้งยังไร้ซึ่งจิตวิญญาณ เหม่อลอยเสมือนภายในไม่มีสิ่งใดอยู่ เป็นเพียงภาชนะที่ว่างเปล่า เด็กหนุ่มยืนขึ้นปราศจากความลังเล โดยทิ้งเหล่าแฟนสาวไว้ในห้องนอน ด้วยสภาพไร้เรี่ยวแรงเสมือนผ่านสมรภูมิรบมาร่วมพันปีโดยมิได้พักได้ผ่อน แต่จะว่าไป... ความจริงมันหนักหนากว่านั้นเยอะ เด็กหนุ่มเดินลงไปยังชั้นหนึ่งโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ แม้เสียงฟ้าผ่าจะดังลั่น ฟ้าแลบจะแยงตา สายตาไร้วิญญาณของเด็กหนุ่มไม่ได้เปลี่ยนไปเลยซักนิด... เขายังคงเดินลงไป และเข้าไปในห้องนั่งเล่น เดินไปที่อ่างล้างหน้า มองตัวเองในกระจก...นี่หน่ะเหรอ... ใบหน้าของไอ้คนอ่อนแอที่ทำอะไรไม่ได้... เด็
ด้วยความที่กรต้องเผชิญกับสถานการณ์ไม่คาดฝัน เพราะแบบนั้น วันนี้ที่วางแผนไว้ว่าจะเป็นวันออกเดินทางกลับอาณาจักรฟอเรสเตอร์เพื่อที่จะกลับไปเก็บข้อมูลของบอส กลับกลายเป็นวันพักผ่อนของกรด้วยการบังคับของสาวๆอีกครั้ง แต่ด้วยความเหนื่อยอ่อน ความดื้อรันของกรไม่ได้แสดงให้เห็นมากนัก แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจิตใจของกรล้าแค่ไหนแม้จะไม่แสดงออกมาให้เห็นภายนอกมากนัก เป็นดังที่ว่าไป ด้วยเหตุนี้การเดินทางกลับจึงเริ่มที่วันพรุ่งนี้แทน❖❖❖❖❖———— เช้าวันต่อมาหลังจากเหตุการณ์เมื่อวาน พวกเราก็เริ่มออกเดินทางโดยนัดกันจะใช้เวทย์วาร์ปที่บ้านของเรานี่แหล่ะดูเหมือนเมื่อวานในขณะที่ฉันหลับไปหลังจากที่ระบายกับทุกคน ลิลิธกับคาเรนจะไปบอกทุกคนก่อนแล้วว่าวันนี้จะเดินทางชาญกับโชตเจ้าพวกนั้นต้องอยู่ที่นี่ซักพักเพราะเป็นผู้กล้าความจริงรินกับอลิซเองก็ต้องอยู่ แต่พวกเธอรั้นจะตามมาด้วยเพราะเป็นห่วงเรา ให้ตายสิ... เรานี่ทำยัยพวกนี้ลำบากอีกแล้วแฮะแต่ก็เพราะแบบนั้นแหล่ะ สุดท้ายคนที่จะเดินทางกลับไปยังเมืองฟอเรสเตอร์ก็มีพวกเรา 11 คน พวกเจนนี่ ไมน์ รีเบคก้า ยูมิน่า ฟลอร่าแล้วก็ซิลเวียด้วยรถยนต์แ
หลังจากที่การเดท ไม่สิ... การเยียวยาจิตใจกรด้วยความอ่อนโยนของชาลอตจบลง กรกับชาลอตก็มุ่งหน้าไปยังหน้าผาจุดเดิมที่เคยมาครั้งเมื่อเผชิญหน้ากับจิ๋นหลี่ อนึ่ง หน้าผาที่เคยถล่มไปเพราะการต่อสู้ของกรกับจิ๋นหลี่ เมอร์ลินเป็นคนซ่อมแซมให้ด้วยเวทย์มนตั้งแต่ครั้งก่อนไปแล้ว นั่นทำให้กรโล่งใจอยู่เหมือนกัน เพราะหากดูจากนิสัยของราชินีฟีโอน่าแล้ว หากทำลายทรัพย์สิน?หรือพื้นที่ภายในประเทศของเธอคงสร้างความไม่พอใจให้เธอไม่มากก็มากที่สุดแน่ และทันทีที่มาถึง ชาลอตก็หยิบสมุดจดบันทึกของตัวเองออกมา โดยมีลักษณะเป็นกระดาษที่ทำจากเนื้อไม้คล้ายคลึงกับโลกเดิมของกร ทั้งยังมีสิ่งที่คล้ายกับดินสอแต่แร่ที่ใช้ไม่ใช่แกรไฟต์ด้วย ชาลอตใช้เวลาเก็บและบันทึกข้อมูลทั้งหมดของบอสด้วยใบหน้าจริงจัง ทว่าเหงื่อแห่งความกังวลกลับไหลไม่หยุดเมื่อได้มองเห็นความสามารถของมัน เช่นเดียวกันกับกรที่ได้เห็นสิ่งที่ชาลอตจดบันทึกก็ด้วย และทั้งที่ยังคงมีความกังวล แต่การจดบันทึกก็เสร็จสิ้นลงในเวลาเพียง 3 นาทีกว่าๆเท่านั้น ก่อนที่กรและชาลอตจะรีบกลับไปที่ห้องรับรองในปราสาทที่ทุกคนรออยู่❖❖❖❖❖———— ภายใน
ในมุมมืดของห้องเด็กสถานรับเลี้ยงชั่วคราว เด็กสาวคนหนึ่ง... แมรี่ยังคงนั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมห้องเป็นกิจวัตร ออร่าเสมือนสีดำทมิฬได้ขับไล่เด็กๆที่อยู่โดยรอบไปหมดจนสุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เธอ แม้แต่กลุ่มพี่เลี้ยงที่เข้าหาด้วยรอยยิ้ม แมรี่ก็ยังไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆเสมือนเป็นตุ๊กตา ส่วนสาเหตุนั่นก็เป็นเพราะเธอกำลังอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองอยู่นั่นแหล่ะทำไม... ทำไมกัน...นี่หนูทำอะไรผิดเหรอ...ปะป๊ากับหม่าม้าเป็นชาวสวน ถึงจะไม่ได้รวยอะไร แต่ก็อยู่กันอย่างมีความสุขมาตลอดจนกระทั่งมอนสเตอร์พวกนั้น มาพรากทุกอย่างไปต่อหน้าต่อตา...โหดร้าย... โหดร้ายที่สุด...ท่านแอสทอเรียคะ? บาปของหนูมันร้ายแรงขนาดที่ต้องพรากทั้งบ้านทั้งครอบครัวของหนูไปเลยเหรอ?พอที... ไม่เอาแล้ว...จะให้หนูตายไปเลยก็ได้... แต่หนูอยากได้ปะป๊ากับหม่าม้าคืน!ถ้าท่านมีจริงก็ขอร้องเถอะค่ะ คืนครอบครัวของหนูมา! แมรี่เริ่มคร่ำครวญ สวดอ้อนวอนเทพจากศาสนาที่เธอศรัทธาโดยไม่ได้ร่ำไห้ออกมา ทว่าก็ยังกอดเข่าแน่น ความกลัดกลุ้มจำนวนมากและความอัดอั้นตันใจที่ไร้ที่พึ่งพิงของเธอเริ่มทำให้ความคิดติดลบลงเรื่อยๆ
———— วันต่อมา ภายในดันเจี้ยนอันแสนมืดมิด ที่ซึ่งรอบด้านเต็มไปด้วยหินหนาและฝุ่นโคลน กลิ่นของเหล็กและดินกระจายฟุ้งทั่วทั้งบริเวณ เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ลึกลับอันตรายที่ไม่มีใครกล้าเข้ามา ทว่า ณ ที่แห่งนี้... ในช่วงเช้าตรู่ที่บางคนยังคงอยู่ในห้วงแห่งความฝันแสนหวาน กลุ่มชายหญิงจำนวน เกือบ 20 ชีวิต ได้บรรเลงเพลงยามเช้ากันอย่างสุนทรีย์ ทว่ามิใช่การร้องรำทำเพลง หากแต่เป็นการกรำศึกกับเหล่ามอนสเตอร์สุดโหดต่างหาก เสียงกระทบกันของโลหะดังก้องไปทั่งทุกสารทิศ เสียงคำรามก้องของสัตว์ดังลั่นราวกับสัตว์ป่าหิวโหย นี่คือสถานที่ซึ่งควบรวมสิ่งอันตรายเหล่านี้ไว้ด้วยกัน... 『มหาดันเจี้ยนโบราณ』〝 มีอาถอยออกมาก่อน! 〞〝 อื้ม! 〞 สิ้นเสียงคำสั่งของเด็กหนุ่ม... กร มีอาก็ทำการถีบตัวออกจากแนวหน้าตามคำสั่งในทันที ซึ่ง ณ ตอนนี้เหล่ามอนสเตอร์ที่ปาร์ตี้ของกรกำลังปะทะกันอยู่ก็คือสเคเลตอนแมน 5 ตัว ก็อบลิน 4 ตัว ลิซาร์ดแมน 3 ตัว หนนี้ในปาร์ตี้ประกอบไปด้วยกรและเหล่าแฟนสาวทั้ง 10 พวกเจนนี่ พวกซิลเวีย โชต ชาญและคนที่ติดสอยห้อยตามมาดูดค่าประสบการณ์อย่างฟ้าอีก
———— ก่อนหน้านี้ 30 นาที , นอกอาณาจักรอาลันเชี่ยน ห่างจากอาณาจักรอาลันเชี่ยนออกไปราว 20 กิโลเมตร เป็นพื้นที่ใกล้เคียงระหว่างพรมแดนกับอีกอาณาจักรนึงที่มีชื่อว่า『อาณาจักรเทรเซีย』 ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับอาลันเชี่ยน มากพอที่จะให้ที่พักพิงกับเหล่าผู้กล้าที่มาจากอาลันเชี่ยนเลยทีเดียว และที่เมืองชายแดนของเทรเซียนี้เอง ที่มีเหล่าผู้กล้าอีกกลุ่มจากอาลันเชี่ยนเข้าพำนักและตั้งถิ่นฐานชั่วคราวอยู่ เป็นอาคารขนาดปานกลาง 4 ชั้น แต่ทำการแต่งเติมทำให้อยู่ได้กว่า 200 คน นั่นคือที่อยู่ชั่วคราวของเหล่าผู้กล้าที่มีเสือเป็นผู้นำนั่นเอง เช่นเคยที่ชั้นบนสุดคือห้องทำงานของชายนามเสือ... ลินดาซึ่งทำหน้าที่เป็นหญิงสาวเสนาธิการประจำกลุ่ม คนๆเดียวกับที่เป็นคนในปาร์ตี้เดียวกับกรครั้งเมื่อติดอยู่ในดันเจี้ยน จึงขึ้นมาที่นี่และช่วยจัดการงานเล็กๆน้อยๆเป็นประจำก่อนหน้านี้ 5 วัน เพราะสายข่าวที่กระจายอยู่ในหลายๆเมือง รวมถึงการซื้อขายข้อมูลที่ไม่รู้เจ้าหมอนั่นไปหาต้นข่าวมาจากไหนแถมด้วยการวิเคราะห์จากอะไรหลายๆอย่างของหมอนี่ เลยทำให้เรารู้ว่าอีกไม่กี่วันจะมีกองทัพบุกมาที่
ว่ากันว่าความฝันคือการจัดระเบียบข้อมูลและความทรงจำในสมอง นั่นคือหนึ่งในทฤษฎีที่ยังไม่อาจหาข้อพิสูจน์เป็นรูปธรรมได้ และว่ากันว่าเหตุการณ์ก่อนการหลับไหลกับสภาพจิตใจมีผลกระทบกับความฝันในคืนนั้นเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่กล่าวไปจะเป็นเพียงทฎษฎี แนวคิดหรือความเป็นจริงก็ตาม แต่มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว... ภายในห้วงภวังค์แห่งการหลับไหล... ชายหนุ่มคนหนึ่งนึกย้อนกลับไปตั้งแต่ที่เขายังจำความได้ นั่นทำให้เรื่องราวเมื่อหลายสิบปีก่อนถูกฉายขึ้นในหัวของเขาขณะที่กำลังหลับไหลตั้งแต่จำความได้ฉันก็โตมาในบ้านสังกะสี ซึ่งเป็นบ้านที่เช่าคนอื่นเขาต่ออีกทีและตั้งแต่จำความได้ ฉันก็ไม่เคยได้รู้จักพ่อ คนในครอบครัวคนเดียวที่รู้จักก็คือคุณแม่คุณแม่เลี้ยงฉันมากตั้งแต่เกิดยันจำความได้ อาศัยในบ้านสังกะสีและกินอยู่ด้วยรายได้ที่แม่ไปเป็นเด็กเสิร์ฟในบาร์ นั่นเลยทำให้สถานะของบ้านเราเรียกได้ว่ายากจนเต็มปากแต่นั่นก็เพียงพอสำหรับสองคน หากใช้อย่างประหยัดคุณแม่เป็นคนขยันทำงาน แถมเป็นที่ชื่นชอบของทุกๆคนในร้านเพราะเป็นคนสวยและอัธยาศัยดี และสำหรับฉันท่านก็เป็นคนที่อ่อนโยนมาก เพรา
————วันต่อมา หลังจากเหตุการณ์ที่เสือเข้ามาหาเรื่องกรเมื่อวันก่อน และกรจัดการไล่ไปแล้ว วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ต้องเดินทางตามกำหนดการณ์ ซึ่งตามกำหนด เมืองที่จะต้องเดินทางไปก่อนคือเมืองของเผ่าชาวทะเลที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของเมืองเอลฟ์ ทว่าในตอนที่กลับมาจากการซื้อของ ซิลเวียก็มาตามที่บ้านถึงที่ ว่าได้รับการติดต่อจากศรว่าเขากำลังไปทำธุระที่『อาณาจักรยูทาร์นา』 ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็อยู่กับมาริสา พี่ของกรด้วยนั่นเอง ด้วยจังหวะที่ประจวบเหมาะเสียยิ่งกว่าอะไรเช่นนั้น เลยทำให้พวกกร โดยเฉพาะอลิซอยากจะไปที่ยูทาร์นาแทน ทว่าหากยังจำกันได้... 『ยูทาร์นา』นั้นไม่เพียงแค่เป็นอาณาจักรของเผ่ามนุษย์ในบรรดา 6 อาณาจักรนี้ แต่ยังเป็นสถานที่ตั้งของโบสถ์หลักแห่ง『ศาสนจักรแอสทอเรีย』อีกด้วย หรือในอีกแง่นึง... นั่นคือเมืองที่มีศาสนาซึ่งเป็นสถานที่อันโหดร้ายของมีอา... เป็นสถานที่ที่แม่ของเธอถูกประหาร และยังเป็นที่ที่มีอาต้องทนรับสภาพทาสนอกรีตของศาสนานี้นานกว่า 3 ปี ซึ่งทุกๆคนเองก็รู้เรื่องนี้ดี และแน่นอนว่าทุกคนก็คิดแบบเดียวกันคือ เรื่องการพบศรกับพี่มาริเอาไว้ทีหลังก็ได้ ให้ถึงต
ช่วงเที่ยงเป็นเวลาพักผ่อนของใครหลายคน แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่มีนัดสำคัญในช่วงบ่าย นี่เป็นช่วงเวลาอันเหมาะสมในการเตรียมตัวสำหรับสองสาว... สำหรับเรเชลกับริต้า พวกเธอกำลังลองชุดสำหรับเดทในช่วงบ่ายกับแฟนหนุ่มสุดที่รักของพวกเธอ สำหรับเรเชล เรื่องชุดไม่ค่อยเป็นปัญหาเพราะเลือกไว้นานมาก และมีชุดตัวเก่งในแบบที่เรียบร้อยเหมาะสมกับตัวเองอยู่แล้ว ปัญหาคือชุดของน้องสาวอย่างริต้านี่แหละที่ทำให้พี่สาวคนนี้เป็นกังวลจนต้องกุมขมับ ถึงจะเป็นเสื้อยืดที่ใส่แล้วรัดรูปโชว์สะดือ และกางเกงยีนส์ขาสั้นเหมือนกับทุกทีก็เถอะ“...พี่ว่าชุดแบบนี้มันเปิดไปหน่อยนะ”“สงสัย... คุณกรน่าจะชอบ... แบบนี้ไม่ใช่เหรอ?” ริต้ามองกลับมาด้วยสายตาออดอ้อนอย่างบริสุทธิ์ใจ ในหัวเธอคงคิดอยู่แค่สามเรื่องเท่านั้นอันได้แก่ กร ครอบครัว แล้วก็กร ซึ่งอันที่จริงแนวคิดตรงนั้นก็ไม่ต่างจากเรเชลเท่าไรนัก ริต้ามองกวาดจากหัวจรดเท้า มองชุดเดรสแบบเปิดไหล่ของเรเชลแต่เป็นกระโปรงแบบคลุมเข่า เรียบร้อยเหมือนกับที่เรเชลใส่เป็นปกติ ความใคร่รู้ของริต้าจึงเกิดขึ้นในจังหวะนั
หลังจากเดทกับไมน์และรีเบคก้าจบลงพวกเราก็กลับบ้านเป็นเดทที่ดีอีกครั้งสำหรับสาว ๆ ที่ยังไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวกับเรานักเพราะถ้าว่ากันตามตรง เหล่าภรรยาของฉันหลายคนเพิ่งจะได้คบกันในช่วงที่กำลังลุยดันเจี้ยน ‘หมื่นเทวาใต้รัตนากร’ ของอาร์เคมีดีสหมายถึงเจนนี่ ไมน์ รีเบคก้า ซิลเวีย ยูมิน่า ฟลอร่า แล้วก็เฮเลน่ากับคอร์ดิเรีย ทั้งแปดคนนั่นแหละพวกเธอไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเดทกันเท่าไหร่ก็เลยยังเก้ ๆ กัง ๆ อยู่บ้างแต่ข้อดีก็คือไม่ว่าจะพาไปเดทที่ไหนพวกเธอก็ยังไม่คุ้นชินเลยมีโอกาสเรียนรู้กันและกันอีกมากหืม? แล้วความทรงจำเรื่องเดทจากเมื่อชาติก่อน ๆ ของพวกเธอที่เคยมีกับเรานี่ไม่นับเหรอ?ก็ไม่เชิงหรอกนะ... ความทรงจำเมื่อชาติก่อนมันก็เหมือนกับความทรงจำในวัยเด็กนั่นแหละ เรื่องเกิดตั้งนานแล้วใครจะไปจำรายละเอียดได้ล่ะจริงไหม?ก็จริงแหละที่ถ้าทำอะไรสักอย่างให้นึกถึง ความทรงจำพวกนั้นก็จะถูกกระตุ้นทำให้นึกออกแต่ฉันคุยกับทุกคนหลายรอบแล้วว่าอดีตก็คืออดีต จะไม่ให้มันกลายมาเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้กันและกันของพวกเราหรอกก็ด้วยเหตุนั้นแหละ ทั้งแปดคนเลยยังไม่ค่อยชินกับการไปเดทแบบทั่วไป ก็เลยพาไปเดทที่ต่าง ๆ
เวลาผ่านไปจนเกินเที่ยง ฉันเลยติดต่อบอกให้ทุกคนกินข้าวรอกันไปก่อนส่วนฉัน ฟลอร่าแล้วก็ยูมิน่าไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารใกล้ ๆนับว่าเป็นการยืดเวลาเดทได้ดี สองสาวดีใจใหญ่ที่ได้ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น น่ารักจริง ๆ เลยน้าทั้งสองคนจากนั้นช่วงบ่ายไปถึงเย็นก็จะเป็นคิวของไมน์กับรีเบคก้า ฉันก็เลยต้องกลับบ้านไปเตรียมตัวใหม่เพราะทั้งสองคนก็รออยู่ที่บ้านเหมือนกันแหล่ะนะแถมแฟนของฉันแต่ละคนก็ชอบบรรยากาศการเดทแตกต่างกันด้วยทั้งสไตล์การแต่งตัว น้ำหอม สถานที่ เวลา หรือความใกล้ชิดในที่สาธารณะเพราะทุกคนโตมาต่างกันเลยมีความต้องการคนละแบบ ก็ปกตินั่นแหล่ะแต่ไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิดเพราะฉันรู้สิ่งที่ทุกคนชอบดีอยู่แล้ว จำได้ขึ้นใจด้วยว่าไปแล้วพอพูดถึงความใกล้ชิด ไมน์กับรีเบคก้านี่ก็ออกจะเหนียมอายกว่าทุกคนหน่อยถ้าเป็นสาว ๆ ส่วนใหญ่จะเดินกอดแขนฉันกลางธารกำนัลได้สบายแต่ไมน์กับรีเบคก้าจะยังไม่ค่อยกล้าทำอย่างนั้นเท่าไหร่ ก็เป็นในทำนองเดียวกับรินนั่นแหล่ะอลิซนั้นยังพอว่าเพราะโตมาแบบรับวัฒนธรรมต่างชาติมาใช้เต็ม ๆก็ขนาดพุ่งเข้ามากอดฉันที่เป็นเพื่อนสนิทยังกับเพื่อนเพศเดียวกันได้สบาย ๆ นั่นแหล่ะ (ถึงเธอจะไม่ได้ทำแบบ
หลังจากการเที่ยวสวนสนุกของฉัน เจนนี่และเฮเลน่าจบลงด้วยความหวานชื่น พวกเราก็กลับบ้านด้วยความรู้สึกเต็มอิ่มขากลับก็มีการซื้อของที่ระลึกอย่างสร้อยคอให้พวกเธอและแน่นอน นอกเหนือจากนั้นพวกเราก็ซื้อเค้กกลับไปฝากทุกคนด้วยถึงจะมีเดทกับแฟนสาว แต่ก็ต้องไม่ลืมครอบครัวที่รออยู่บ้านด้วยโดยเฉพาะลูกสาวสุดที่รักอย่างแมรี่ นี่แหล่ะหน้าที่เสาหลักของบ้านล่ะ อื้ม ๆ!เท่านี้วันแห่งการพักผ่อนก็จบไปอีกวันด้วยความสงบสุข...ถึงก่อนนอนจะมีเรื่องจริงจังให้คิดนิดหน่อยก็เถอะนั่นเพราะระหว่างวันได้มีข้อมูลเกี่ยวกับกำหนดการคร่าว ๆ ของการประกาศความสำเร็จที่พวกเราทุกคนปราบอาร์เคมีดีสส่งเข้ามาน่ะสิก็มาจากพวกเสือ คัทยูชา แอดรูวส์แล้วก็พี่มารีนั่นแหล่ะดูเหมือนอีก 6 วันนับจากนี้จะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกถึงความสำเร็จของพวกเราพร้อมกับพิธีมอบรางวัลจากกษัตริย์ของอาณาจักรที่เป็นพันธมิตรก็... ฟังดูเป็นพิธีที่น่ารำคาญ แต่มันก็ขาดเสียมิได้หรอกแถมการทำแบบนั้นยังเป็นการตรวจสอบความร่วมมือจากอาณาจักรต่าง ๆ ให้ร่วมมือกันในการรับมือกับจอมมารในอนาคตด้วยแต่... ปัญหาก็คือพวกเราในตอนนี้ยังไม่มีเส้นสายในการติดต่อกับเผ่าปีศาจนี่แหล่ะ
ในห้องน้ำส่วนที่เป็นห้องแต่งตัวบ้านครอบครัวของกรก่อนหรือหลังเข้าไปใช้ห้องอาบน้ำรวมของบ้าน ซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่มีใครใช้งานเป็นเวลานาน มันจึงเป็นเรื่องแปลกทีเดียวที่จะมีคนเพิ่งอาบน้ำในเวลาเที่ยงเศษแบบนี้ โดยเฉพาะบ้านของกรที่ต้องตื่นมากินข้าวเช้า รวมถึงอาบและแช่น้ำรวมกันทั้งบ้านเป็นกิจวัตร“แบบนี้ดีไหมนะ? หรือแบบนี้ดี?” นั่นถึงเป็นเรื่องแปลกเมื่อมีหญิงสาวกำลังจัดทรงผมด้วยสีหน้าสายตาจริงจังในเวลาเที่ยงเศษแบบนี้ คน ๆ นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากสาวผู้มีสไตล์มากที่สุดและมีเสน่ห์ของสาวผู้ใหญ่เหลือล้นอย่างเจนนี่หนึ่งเดียวคนนี้เอง โดยปกติแล้วเธอเองก็ค่อนข้างดูแลตัวเองตลอดเวลา เรียกว่าแม้จะอยู่บ้านก็ยังแต่งหน้าแต่งตาบาง ๆ ให้ดูเป๊ะอยู่เสมอ อย่างน้อย ๆ นั่นก็เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แฟนหนุ่มอย่างกรรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ แต่ครั้งนี้ต่างออกไปเพราะเธอค่อนข้างจัดเต็มมากทีเดียว ถึงแบบนั้นก็ไม่มากเกินไปกว่าระดับที่ทำให้ดูผิดธรรมชาติ“เป็นยังไงบ้างคะเจนนี่” ในจังหวะนั้นก็มีคนเดินเข้ามาในห้องพอดิบพอดี เธอเป็นสาวหูแมวผู้เงียบขรึมดูไร้อารมณ์ที่สุ
ยามเช้าอันสดใสมาพร้อมเสียงสัตว์อรุณสวัสดิ์เป็นกิจวัตรอันสร้างความสดชื่นรับวันใหม่ได้ทุกครา ไม่มีเสียงปลุกอะไรไพเราะไปกว่านี้ กับบรรยากาศสดชื่นและน่าเย้ายวนชวนให้ตื่นเช้าเช่นนี้ คงไม่มีใครหาญกล้านอนต่อได้นอกเสียจากคนที่ทำงานจนเหนื่อยล้าหรือกำลังอยู่ในช่วงขี้เกียจสันหลังยาว เว้นเสียแต่ว่าเธอคนนั้นไม่ได้หลับเสียตั้งแต่แรก ข้อยกเว้นดังกล่าวคือฟีโอน่าที่กำลังนั่งเขียนเอกสารในห้องส่วนตัวของเธอ ในบ้านส่วนตัวที่อยู่อาศัยร่วมกันกับครอบครัวของเธอตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนเช้าตรู่นี้ อันที่จริงต่อให้เธอทำงานค้างไว้ก็คงไม่มีใครว่าเธอได้ เพราะในอาณาจักรที่เธอปกครองตอนนี้ไม่มีใครใหญ่ยิ่งไปกว่าเธออีกแล้ว ต่อให้ประกาศกับเหล่าขุนนางไปแล้วว่าจะวางมือ แต่สถานะของอดีตราชินีและหนึ่งในสมาชิกปาร์ตี้ผู้กอบกู้โลกคงไม่มีใครกล้าหือแน่นอนต่อให้ลงจากตำแหน่งไปแล้ว สิ่งที่ผลักดันฟีโอน่าให้ทำงานจึงเป็นแรงขับเคลื่อนส่วนตัวอย่างความรับผิดชอบล้วน ๆ จะว่าต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเหล่าขุนนางก็คงได้ แต่อันที่จริง... สาเหตุหลักมันเป็นเพราะเธ
“ทนไม่ไหวแล้ว!!!” เสียงโหวกเหวกโวยวายเป็นสิ่งแรกของยามเช้าอันสดใสของพวกกร ความเหนื่อยล้าจากศึกกลางคืนทำให้ทุกคนยังงัวเงีย แต่ก็ตื่นเต็มตากันหมดเพราะเสียงตะโกนของตัวป่วนประจำบ้านอย่างอลิซ ด้วยความที่ทุกคนนอนบนฟูกปูพื้นทำให้ทุกคนนอนเกลื่อนกลาด และเพราะผ่านศึกอันหนักหน่วงกันมา ทั้งสาว ๆ และกรเลยมีแค่ผ้าห่มคนละผืนทับตัวเปล่า ๆ เหมือนเด็กแรกเกิด แต่สภาพแบบนั้นไม่ได้ทำให้อลิซร่าเริงน้อยลงเลย“ได้ยินป่าว! ฉันบอกว่า ‘ทน-ไม่-ไหว-แล้ว’ อ่ะ!” เธอทำแก้มป่องทุบพื้นหลายต่อหลายที ถึงไม่รู้ว่ากำลังหงุดหงิดเรื่องอะไรก็เถอะ“มีเรื่องอะไรแต่เช้าเนี่ย?” กรที่หนุนหมอนอยู่ถึงชันตัวขึ้น เขาต้องค่อย ๆ ใช้แขนสองข้างประคองให้มีอากับรินลงหนุนหมอนแทนจากที่นอนซบไหล่เขามาตลอดคืน อาจเพราะแบบนั้นด้วยมีอากับรินเลยทำหน้ามุ่ย แต่พอได้กรลูบหัวไปคนละสองทีพวกเธอก็ยิ้มพริ้มกันเพลินจนต้องหลับต่อ“หรือว่าอยากกอดเหรอ? งั้นมามะ” กรอ้าแขนเชื้อเชิญด้วยใบหน้าระรื่น เพราะเขาเองก็อยากจะกอดอลิซเหมือนกัน“ไม่ใช่ย่ะ! ไม่สิ... ถึงจริง ๆ จะอยากกอดก็เถอะ แต่ที่จะพูดมันไม่ใช่เรื่
————วันรุ่งขึ้นหลังจบศึก, ณ มหาดันเจี้ยนโบราณเด็กหนุ่มผู้โดดเดี่ยว ภายในมหาดันเจี้ยนโบราณของฟรังซ์ ออลเดลผู้เป็นเจ้าของนั้น มีดันเจี้ยนชั้นหนึ่งที่เป็นส่วนอยู่อาศัย หากนับตามลำดับคงเป็นชั้นที่ 101 ว่าไปแล้ว มันก็คือดันเจี้ยนชั้นเดียวกับที่กรและมีอาได้เข้ามาพักหลังจากที่เคลียร์ดันเจี้ยนแห่งนี้สำเร็จแล้วนั่นเอง คฤหาสน์ของฟรังซ์นั้นมีห้องอยู่จำนวนมากทั้งที่กำลังใช้งานอยู่และที่เป็นห้องว่างพร้อมให้ปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบต่าง ๆ ตามต้องการ ในบรรดาห้องว่างทั้งหลายเหล่านั้นคือห้องชั้นใต้ดินของอาคารหลักอันมืดมิด ได้ถูกดัดแปลงเป็นห้องกรงแบบง่าย ๆ คำว่าง่าย ๆ ที่ว่านั้น คือการใส่ลูกกรงเหล็กหน้าห้องแทนประตู พื้นที่เป็นดินไม่ได้รับการตกแต่งหรือทำความสะอาดเพื่อไว้ใช้ลงโทษ นอกเหนือจากนั้นคือกุญแจมือและเท้าที่ล่ามติดโซ่ผู้กระทำผิดเอาไว้ในฐานะนักโทษอยู่กลางห้องไม่ให้ขยับไปไหนได้ และคนที่ถูกล่าม ไม่สิ... ล่ามตัวเองอยู่นั้น ก็ไม่ได้เป็นใครอื่นนอกจากอาร์เคมีดีส ตัวอาร์เคมีดีสนั้นแม้จะถูกล่ามโซ่ในสภาพอนาถาแต่กิริยาของเขากลับยังนิ่งสงบ ทั้
————ก่อนหน้านี้เล็กน้อย“แล้ว... จะเอายังไงต่อดีล่ะเนี่ย” หลังออกมาจากมหาดันเจี้ยน ‘หมื่นเทวาใต้รัตนากร’ จนมาอยู่บนชายหาดของเกาะที่อยู่ใกล้ที่สุด เมอร์ลินก็เอ่ยถามขึ้นมาเป็นคนแรก เพราะอาเธนที่เป็นคนใช้ไอเทมทำให้ทุกคนออกมาได้รวมถึงมหาปราชญ์คนอื่น ๆ นั้นไม่ได้มาด้วย เนื่องจากจำเป็นต้องทำลายแกนพลังงานของดันเจี้ยนเพื่อลดอัตราการดูดซับเท่าที่จะทำได้แม้แกนกลางของดันเจี้ยนจะกลายเป็นลาสบอสพร้อมกับอาร์เคมีดีสไปแล้วก็ตาม และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่มันก็เหมือนถูกทิ้งไว้กลางทาง คำถามของเมอร์ลิน จึงไม่ใช่อะไรนอกจากการยืนยันสิ่งที่กรจะทำหลังจากนี้ ทั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็นและกังวล แต่ว่าก่อนหน้านั้น...“เดี๋ยวก่อนสิ! นี่จะไม่สนใจไอ้เจ้ายักษ์นั่นหน่อยเหรอเนี้ยว!?”“นะ นั่นสิคะ! นั่นน่าจะเป็นเรื่องที่ควรกังวลมากกว่านะคะ!” ในขณะที่ฟลอร่ากับซาช่าต่างก็ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าจนเหมือนคนสติแตก ซึ่งถ้าบนนั้นมีแค่เมฆสีครามเหมือนปกติก็จะดี แต่เพราะไม่ใช่ พวกเธอถึงกลัวจนขนลุกกันขนาดนั้น เพราะที่อยู่บนนั้น คือมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ที่มีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่า