หลังจากนั้นปาร์ตี้ของพวกกรก็ใช้เวลาไม่นานนักในการเดินออกมานอกป่าที่เป็นวิวทิวทัศน์ตลอดเกือบชั่วโมงที่ผ่านมา สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าและกลายเป็นจุดรวมสายตาเป็นอย่างแรกของพวกกร แน่นอนว่าคือต้นไม้ยักษ์สูงเสียดฟ้า แทบหาคำเปรียบเปรยมิได้ว่ามาปลายสุดของมันไปจรดที่ดาวดวงไหน ส่วนโบราณสถานที่อยู่ในสภาพเป็นซากปรักหักพังที่ฟลอร่าบอกก่อนหน้านี้ก็อยู่เบื้องหน้าพวกกรนี้เอง ดูจากภายนอกวัสดุที่ใช้คล้ายกับอิฐโบกทับด้วยสีขาว สภาพของมันดูเก่าแก่เป็นพันปีหากใช้มาตรฐานปกติเป็นเกณฑ์ แต่เพราะที่นี่เป็นดันเจี้ยน กาลเวลาไม่น่าเป็นปัจจัยสำคัญเท่าพลังที่ดึงมาจากชีพจรพิภพมาใช้ เพราะตราบใดที่พลังที่ดึงมาใช้ยังมีอยู่ การคงสภาพวัตถุในดันเจี้ยนย่อมไม่ใช่เรื่องยาก ดังนั้น การที่มันอยู่สภาพปรักหักพัง จึงเดาได้เกือบ 100% เลยว่าเป็นความตั้งใจของดันเจี้ยนมาสเตอร์“แต่ดูภายนอกแล้ว น่าจะเรียกว่าเป็นเขาวงกตมากกว่านะคะเนี่ย”“นั่นสิ เห็นด้วยเลย” ไมน์กับกรเห็นพ้องต้องกันในเรื่องนั้นหลังสังเกตด้วยสายตาในระยะที่มองเห็น การออกแบบภายในของมันดูซับซ้อนเกินกว่าที่จะเคยเป็นสถาน
———— ในขณะเดียวกัน, บนผิวน้ำเหนือมหาดันเจี้ยน ในเวลาเดียวกันกับที่ปาร์ตี้ของพวกกรกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ไม่คาดฝันกันอยู่ ฝ่ายกองกำลังป้องกันทมี่เป็นปราการด่านแรกก่อนที่มอนสเตอร์ของมหาดันเจี้ยนจะเคลื่อนที่ไปถึงแผ่นดินใหญ่เองก็กำลังเจอศึกหนักไม่ต่างกัน เสียงปืนใหญ่ดังสนั่นไปทั่วน่าน้ำ เสียงปืนกลดังลั่นรัวราวประทัดงานเทศกาล ผสมปนเปกับเสียงร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งของเหล่ามอนสเตอร์ที่กรูกันออกมาจากปากทางน้ำวนด้วยจำนวนที่เกินกว่าจะนับด้วยสายตา ด้วยจำนวนราวกับมดแตกรังก็เพียงพอจะทำให้เหล่าทหารศึกและลูกเรือรบทุกคนหวาดผวาแล้ว ยังต้องยอมรับความจริงที่น่าสิ้นหวังอีกอย่างหนึ่งอีกคือ พวกมันทุกตัวมีสเตตัสสูงกว่าบอสของมหาดันเจี้ยนทุกตัวที่พวกกรเคยประมือด้วยเสียอีก แถมยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้สเตตัสของพวกมันเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ“เวรเอ้ย! นี่มันแย่กว่าที่คิดไว้ไม่ใช่รึไงวะเนี่ย!” เสือที่อยู่ในห้องศูนย์บัญชาการตวาดพลางทุบโต๊ะอย่างหงุดหงิด เพราะแผนที่ตนกับกรช่วยกันคิดเหมือนจะทำได้แค่ยื้อเวลาจนกว่าพวกกรจะเคลียร์มหาดันเจี้ยนได้ ซึ่งอันที่จริง การทำได้แค่ยื้อเวลาก็เ
———— ในเวลาเดียวกัน, ทางฝั่งของมีอา หลังจากการปรากฏตัวของดันเจี้ยนมาสเตอร์อย่างอาร์เคมีดีสในฐานะของศัตรูอย่างเป็นทางการ พร้อมการช่วยเหลืออย่างไม่คาดฝันจากเหล่าดันเจี้ยนมาสเตอร์ของดันเจี้ยนที่พวกกรเคยพิชิตมาแล้ว ทำให้พวกกรที่ตอนนี้ถูกแยกออกเป็น 4 ปาร์ตี้เข้าสู่ทางเข้าเพื่อไปยังชั้นที่ 2 ของมหาดันเจี้ยนโบราณแห่งนี้ได้สำเร็จ ดังเช่นปาร์ตี้ของมีอาที่ประกอบด้วยริน ชาลอต ซาช่าและเจนนี่ที่กำลังเดินวิ่งลงบันไดวนหลังจากผ่านทางเข้ามาได้ แต่อย่างไรก็ดี... การจะบอกว่าสถานการณ์ในตอนนี้โล่งอกก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะรู้กันอยู่ว่ายิ่งลงไปดันเจี้ยนชั้นที่ลึกมาเท่าไหร่ อันตรายก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นมหาทวีคูณ แม้จะปลอดภัยกว่าการที่ดันเจี้ยนมาสเตอร์ลงมาจัดการเองก็ตาม“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย! ฉันงงไปหมดแล้ว!”“แล้วดิฉันจะรู้ไหมคะเนี่ย!” แต่ที่สำคัญกว่าความอันตรายของสถานการณ์ คือเรื่องที่อยู่ ๆ เรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นดันเกิดขึ้น ทำให้ความกังวลและสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของทุกคนตื่นตัวถึงขีดสุด อาจเพราะแบบนั้นเจนนี่กับชาลอตถึงได้แสดงความกังวลออกมามากปกต
———— ในเวลาไล่เลี่ยกัน, ทางฝั่งของจิ๋นหลี่ การเผชิญหน้าระหว่างกระบี่และหมัดยังคงไม่จบสิ้นตั้งแต่หนที่จิ๋นหลี่ปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยถ่วงเวลาให้พวกกร ระยะเวลาแปรผันตรงกับความรุนแรงในการเข้าปะทะ รวมถึงความเร็วในการเคลื่อนไหวเองเช่นกัน การกระหน่ำโจมตีรัวหมัดของอาร์เคมีดีสที่พุ่งเข้าใส่จิ๋นหลี่ต่อเนื่องราวปืนกล แต่ในขณะเดียวกันจิ๋นหลี่ก็สามารถปัดป้องการโจมตีของเขาด้วยกระบี่มือเดียวได้หมดจดไร้ที่ตีทั้งที่ดูจากภายนอกทั้งสองคนแทบจะไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแค่พื้นที่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคนที่มีแต่หมัดและกระบี่รุกรับกันไปมาอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นภาพติดตานับร้อยนับพัน หลายครั้งที่อาร์เคมีดีสเปลี่ยนรูปแบบจากความต่อเนื่องเป็นความรุนแรงด้วยการเตะสวนทำให้จิ๋นหลี่ต้องกระโดดถอยหลังไปตั้งหลัก แต่หลังจากที่อาร์เคมีดีสถีบพื้นพุ่งเข้าไปทำการกระหน่ำโจมตีอีกครั้งจิ๋นหลี่ก็ยังปัดป้องการโจมตีได้เหมือนเดิม“คิดจะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน” และความดื้อรั้นนั้นของจิ๋นหลี่ รวมถึงเหล่าดันเจี้ยนมาสเตอร์คนอื่นอย่างฟรังซ์ อาเธนและเบียทริกซ์ ทำให้อาร์เคมีดีสรู้สึกหงุดหงิดอย่างช่วยไม่ได
‘พลังอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง’เป็นคำพูดจากภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ชื่อดังที่ใคร ๆ น่าจะต้องเคยได้ยินสักครั้งและคำพูดนั้นเองก็เป็นหนึ่งในคีเวิร์ดที่ใช้ระบุความเป็นตัวตนของผม... อุษณกร วัชรวิรุฬห์สำหรับตัวผมที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์รอบด้านด้วยความสามารถของ ‘สุดยอดการประมวลผล’ ผมก็คิดมาตลอดว่าวิธีการใช้ชีวิตแบบนั้นมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องไม่รู้ว่าความคิดที่ผมต้องการทำเพื่อผู้อื่นหรือการได้รับความคาดหวังพวกนั้นมาจากคนอื่นเลยอยากที่จะตอบสนองมันกันแน่ที่เริ่มก่อนแต่ไม่ว่าอย่างไหนตัวผมก็ไม่เคยสน และไม่เคยคิดสนใจด้วย เพราะอย่างไรมันก็ไม่เปลี่ยนเจตนาและผลลัพธ์ของสิ่งที่ผมจะทำอยู่ดีแต่พอมาคิดดูอีกที... พื้นฐานความคิดแบบนั้นมันอาจเปราะบางกว่าที่ผมคิดก็ได้คำว่าเปราะบางนั้น หมายถึงง่ายต่อการพังทลาย... และแนวคิดที่ง่ายต่อการพังทลาย สำหรับผมคือแนวคิดที่ไร้สิ่งยึดเหนี่ยวหรือถ้าจะพูดให้ง่ายเข้า นั่นคือ ‘เหตุผล’ ที่ว่าเราใช้ชีวิตแบบนั้น ‘เพื่ออะไร?’ดังนั้น สำหรับแนวคิดการใช้ชีวิตของตัวผม คำถามที่ใช้ในการตามหาสิ่งยึดเหนี่ยวก็คงจะเป็น...‘ทำไมถึงต้องทุ่มเทชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้อื่
หลังจากเหตุการณ์ที่ฉันเข้าไปปกป้องริน จนทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงขั้นทิ้งแผลเป็นไว้ที่แถว ๆ ใต้ชายโครงซ้ายสำหรับฉันน่ะไม่เป็นไรหรอก เพราะสำหรับฮีโร่ บาดแผลที่ได้จากการช่วยเหลือเพื่อนคนสำคัญมันคือเหรียญรางวัลแต่ดูเหมือนสำหรับรินจะไม่ใช่แบบนั้นเลยแฮะ... เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้น เท่าที่ฉันสังเกต ถึงมันจะทำให้เราสองคนสนิทกันมากขึ้นโข ถึงขนาดที่รินแทบจะตัวติดกับฉันทว่าทุกครั้งที่รินเห็นแผลเป็นฉัน เธอก็จะรู้สึกหดหู่ทุกที เห็นได้ชัดเลยว่าเธอยังรู้สึกผิดและคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองอยู่ลึก ๆเพราะแบบนั้นฉันเลยย้ำรินอีกหลายต่อหลายครั้งว่ามันไม่ใช่ความผิดของรินและพยายามทำให้เธอหายรู้สึกผิดไปเรื่อย ๆ โดยใช้เวลาเป็นตัวช่วยนั่นแหล่ะทั้งหมดที่ทำได้แล้วและอันที่จริง... หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดกขึ้นกับพวกเราอีกเลย มันเลยทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจขึ้น และมันค่อย ๆ เยียวยารินมากขึ้นไปด้วยเสริมอีกนิดว่า มันทำให้พ่อกับแม่ของรินไว้ใจฉันไปด้วย และสองบ้านเราก็สนิทกันมากขึ้นเหมือนกับบ้านของโชตไปแล้วด้วย ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีเชียวล่ะหลังจากนั้นก็เป็นช่วงที่ฉันขึ้นชั้นป
ว่ากันว่าในหนึ่งช่วงชีวิต คนเราย่อมมีจุดที่ตกต่ำที่สุดแต่สำหรับตัวฉันที่ค่อนข้างจะพูดได้เต็มปากว่าชีวิตช่างเพียบพร้อม เต็มไปด้วยมิตรสหายและครอบครัวที่ดี ไม่เคยขัดสน และความสามารถที่เต็มเปี่ยมเลยไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองขาดอะไรพูดตรง ๆ... ฉันในตอนนั้นนึกภาพตัวเองในตอนที่ตกต่ำไม่ออกเลยและนึกไม่อออกด้วยซ้ำว่าจะมีอะไรมาทำให้ฉันเป็นแบบนั้นแต่ใครจะรู้... ว่าวันนั้นจะมาถึงในช่วงที่ฉันยังเป็นวัยเด็กย่างเข้าวัยรุ่นและฉันไม่ได้คาดคิดเลยว่า มันจะถึงขนาดทำให้ความฝันเพียงหนึ่งเดียวของฉันค่อย ๆ พังทลายลงจนไม่เหลือซากตามไปด้วย❖❖❖❖❖ในวันนั้น... ควรจะเป็นวันธรรมดาทั่วไป ฉันจำได้ว่าบรรยากาศในการเรียนไม่มีอะไรแตกต่างไปจากปกติเลยสักนิด แม้แต่กับเหล่าเพื่อนสนิท พวกเราก็ยังคงสนุกสนานกับชีวิตวัยเรียนตลอดตั้งแต่เริ่มคาบเรียนจนกระทั่งช่วงบ่ายของวันนั้น อาจารย์ที่ปรึกษาของฉันอยู่ ๆ ก็เข้ามาในห้องเรียนของคาบที่อาจารย์คนอื่นกำลังสอนแล้วก็เรียกฉันไปคุย“กร ใจเย็น ๆ แล้วตั้งใจฟังนะ...”อาจารย์เปิดประโยคแบบนั้นก่อนที่จะบอกเรื่องราวทั้งหมดกับผมดูเหมือนช่วงเช้าของวันนั้น พ่อกับแม่ของฉันกำลังจะขับรถไปทำธุระต่างจั
วันกันว่ายามที่ความเศร้าโศกเกาะกินจิตใจผู้คน มักเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ฝนมักจะตกราวบรรยากาศมันอ่านใจคนได้ แต่ถ้าคิดในมุมมองกลับกัน มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่สภาพอากาศจะสามารถแปรเปลี่ยนไปตามใจคน เพราะงั้นในความเป็นจริง อาจไม่ใช่ว่าฝนชอบตกในเวลาที่คนกำลังเศร้า หากแต่เป็นเพราะการที่เกิดเหตุการณ์ฝนตกขึ้นเลยทำให้คนรู้สึกเศร้าโศกเสียมากกว่า จะด้วยเพราะภาพจำที่เคยเห็นจากภาพยนตร์ต่าง ๆ หรือเป็นเพราะได้ยินมาบ่อย ๆ จากสื่อก็เลยคิดว่ามันต้องเป็นแบบนั้นก็ตาม แต่ผลลัพธ์ก็คือ มันทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกแบบนั้นจริงในช่วงที่ฝนตก โดยไม่ขึ้นกับสภาพแวดล้อมเล็ก ๆ หรือรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ เลย อย่างสถานการณ์ที่กรกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ ท่ามกลางสายฝนที่กำลังโปรยปราย ตัวเขาที่กำลังอาบสายฝนในขณะสวมฮู้ดคลุมหน้า แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้มีไว้กันฝน หากแต่เอาไว้ปกปิดตัวตนจากศัตรู ทว่าสำหรับตอนนี้มันคงไม่จำเป็นเสียแล้วกระมัง... เพราะตอนนี้เหล่าศัตรูของกรกำลังนอนสลบเหมือดอยู่เต็มพื้นที่ในตรอกซอกตึก หมดสติหมดสภาพ พ่ายแพ้กรอย่างสมบูรณ์โดยที่ไม่สามารถสร้างบาดแผลใด
ช่วงเที่ยงเป็นเวลาพักผ่อนของใครหลายคน แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่มีนัดสำคัญในช่วงบ่าย นี่เป็นช่วงเวลาอันเหมาะสมในการเตรียมตัวสำหรับสองสาว... สำหรับเรเชลกับริต้า พวกเธอกำลังลองชุดสำหรับเดทในช่วงบ่ายกับแฟนหนุ่มสุดที่รักของพวกเธอ สำหรับเรเชล เรื่องชุดไม่ค่อยเป็นปัญหาเพราะเลือกไว้นานมาก และมีชุดตัวเก่งในแบบที่เรียบร้อยเหมาะสมกับตัวเองอยู่แล้ว ปัญหาคือชุดของน้องสาวอย่างริต้านี่แหละที่ทำให้พี่สาวคนนี้เป็นกังวลจนต้องกุมขมับ ถึงจะเป็นเสื้อยืดที่ใส่แล้วรัดรูปโชว์สะดือ และกางเกงยีนส์ขาสั้นเหมือนกับทุกทีก็เถอะ“...พี่ว่าชุดแบบนี้มันเปิดไปหน่อยนะ”“สงสัย... คุณกรน่าจะชอบ... แบบนี้ไม่ใช่เหรอ?” ริต้ามองกลับมาด้วยสายตาออดอ้อนอย่างบริสุทธิ์ใจ ในหัวเธอคงคิดอยู่แค่สามเรื่องเท่านั้นอันได้แก่ กร ครอบครัว แล้วก็กร ซึ่งอันที่จริงแนวคิดตรงนั้นก็ไม่ต่างจากเรเชลเท่าไรนัก ริต้ามองกวาดจากหัวจรดเท้า มองชุดเดรสแบบเปิดไหล่ของเรเชลแต่เป็นกระโปรงแบบคลุมเข่า เรียบร้อยเหมือนกับที่เรเชลใส่เป็นปกติ ความใคร่รู้ของริต้าจึงเกิดขึ้นในจังหวะนั
หลังจากเดทกับไมน์และรีเบคก้าจบลงพวกเราก็กลับบ้านเป็นเดทที่ดีอีกครั้งสำหรับสาว ๆ ที่ยังไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวกับเรานักเพราะถ้าว่ากันตามตรง เหล่าภรรยาของฉันหลายคนเพิ่งจะได้คบกันในช่วงที่กำลังลุยดันเจี้ยน ‘หมื่นเทวาใต้รัตนากร’ ของอาร์เคมีดีสหมายถึงเจนนี่ ไมน์ รีเบคก้า ซิลเวีย ยูมิน่า ฟลอร่า แล้วก็เฮเลน่ากับคอร์ดิเรีย ทั้งแปดคนนั่นแหละพวกเธอไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเดทกันเท่าไหร่ก็เลยยังเก้ ๆ กัง ๆ อยู่บ้างแต่ข้อดีก็คือไม่ว่าจะพาไปเดทที่ไหนพวกเธอก็ยังไม่คุ้นชินเลยมีโอกาสเรียนรู้กันและกันอีกมากหืม? แล้วความทรงจำเรื่องเดทจากเมื่อชาติก่อน ๆ ของพวกเธอที่เคยมีกับเรานี่ไม่นับเหรอ?ก็ไม่เชิงหรอกนะ... ความทรงจำเมื่อชาติก่อนมันก็เหมือนกับความทรงจำในวัยเด็กนั่นแหละ เรื่องเกิดตั้งนานแล้วใครจะไปจำรายละเอียดได้ล่ะจริงไหม?ก็จริงแหละที่ถ้าทำอะไรสักอย่างให้นึกถึง ความทรงจำพวกนั้นก็จะถูกกระตุ้นทำให้นึกออกแต่ฉันคุยกับทุกคนหลายรอบแล้วว่าอดีตก็คืออดีต จะไม่ให้มันกลายมาเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้กันและกันของพวกเราหรอกก็ด้วยเหตุนั้นแหละ ทั้งแปดคนเลยยังไม่ค่อยชินกับการไปเดทแบบทั่วไป ก็เลยพาไปเดทที่ต่าง ๆ
เวลาผ่านไปจนเกินเที่ยง ฉันเลยติดต่อบอกให้ทุกคนกินข้าวรอกันไปก่อนส่วนฉัน ฟลอร่าแล้วก็ยูมิน่าไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารใกล้ ๆนับว่าเป็นการยืดเวลาเดทได้ดี สองสาวดีใจใหญ่ที่ได้ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น น่ารักจริง ๆ เลยน้าทั้งสองคนจากนั้นช่วงบ่ายไปถึงเย็นก็จะเป็นคิวของไมน์กับรีเบคก้า ฉันก็เลยต้องกลับบ้านไปเตรียมตัวใหม่เพราะทั้งสองคนก็รออยู่ที่บ้านเหมือนกันแหล่ะนะแถมแฟนของฉันแต่ละคนก็ชอบบรรยากาศการเดทแตกต่างกันด้วยทั้งสไตล์การแต่งตัว น้ำหอม สถานที่ เวลา หรือความใกล้ชิดในที่สาธารณะเพราะทุกคนโตมาต่างกันเลยมีความต้องการคนละแบบ ก็ปกตินั่นแหล่ะแต่ไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิดเพราะฉันรู้สิ่งที่ทุกคนชอบดีอยู่แล้ว จำได้ขึ้นใจด้วยว่าไปแล้วพอพูดถึงความใกล้ชิด ไมน์กับรีเบคก้านี่ก็ออกจะเหนียมอายกว่าทุกคนหน่อยถ้าเป็นสาว ๆ ส่วนใหญ่จะเดินกอดแขนฉันกลางธารกำนัลได้สบายแต่ไมน์กับรีเบคก้าจะยังไม่ค่อยกล้าทำอย่างนั้นเท่าไหร่ ก็เป็นในทำนองเดียวกับรินนั่นแหล่ะอลิซนั้นยังพอว่าเพราะโตมาแบบรับวัฒนธรรมต่างชาติมาใช้เต็ม ๆก็ขนาดพุ่งเข้ามากอดฉันที่เป็นเพื่อนสนิทยังกับเพื่อนเพศเดียวกันได้สบาย ๆ นั่นแหล่ะ (ถึงเธอจะไม่ได้ทำแบบ
หลังจากการเที่ยวสวนสนุกของฉัน เจนนี่และเฮเลน่าจบลงด้วยความหวานชื่น พวกเราก็กลับบ้านด้วยความรู้สึกเต็มอิ่มขากลับก็มีการซื้อของที่ระลึกอย่างสร้อยคอให้พวกเธอและแน่นอน นอกเหนือจากนั้นพวกเราก็ซื้อเค้กกลับไปฝากทุกคนด้วยถึงจะมีเดทกับแฟนสาว แต่ก็ต้องไม่ลืมครอบครัวที่รออยู่บ้านด้วยโดยเฉพาะลูกสาวสุดที่รักอย่างแมรี่ นี่แหล่ะหน้าที่เสาหลักของบ้านล่ะ อื้ม ๆ!เท่านี้วันแห่งการพักผ่อนก็จบไปอีกวันด้วยความสงบสุข...ถึงก่อนนอนจะมีเรื่องจริงจังให้คิดนิดหน่อยก็เถอะนั่นเพราะระหว่างวันได้มีข้อมูลเกี่ยวกับกำหนดการคร่าว ๆ ของการประกาศความสำเร็จที่พวกเราทุกคนปราบอาร์เคมีดีสส่งเข้ามาน่ะสิก็มาจากพวกเสือ คัทยูชา แอดรูวส์แล้วก็พี่มารีนั่นแหล่ะดูเหมือนอีก 6 วันนับจากนี้จะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกถึงความสำเร็จของพวกเราพร้อมกับพิธีมอบรางวัลจากกษัตริย์ของอาณาจักรที่เป็นพันธมิตรก็... ฟังดูเป็นพิธีที่น่ารำคาญ แต่มันก็ขาดเสียมิได้หรอกแถมการทำแบบนั้นยังเป็นการตรวจสอบความร่วมมือจากอาณาจักรต่าง ๆ ให้ร่วมมือกันในการรับมือกับจอมมารในอนาคตด้วยแต่... ปัญหาก็คือพวกเราในตอนนี้ยังไม่มีเส้นสายในการติดต่อกับเผ่าปีศาจนี่แหล่ะ
ในห้องน้ำส่วนที่เป็นห้องแต่งตัวบ้านครอบครัวของกรก่อนหรือหลังเข้าไปใช้ห้องอาบน้ำรวมของบ้าน ซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่มีใครใช้งานเป็นเวลานาน มันจึงเป็นเรื่องแปลกทีเดียวที่จะมีคนเพิ่งอาบน้ำในเวลาเที่ยงเศษแบบนี้ โดยเฉพาะบ้านของกรที่ต้องตื่นมากินข้าวเช้า รวมถึงอาบและแช่น้ำรวมกันทั้งบ้านเป็นกิจวัตร“แบบนี้ดีไหมนะ? หรือแบบนี้ดี?” นั่นถึงเป็นเรื่องแปลกเมื่อมีหญิงสาวกำลังจัดทรงผมด้วยสีหน้าสายตาจริงจังในเวลาเที่ยงเศษแบบนี้ คน ๆ นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากสาวผู้มีสไตล์มากที่สุดและมีเสน่ห์ของสาวผู้ใหญ่เหลือล้นอย่างเจนนี่หนึ่งเดียวคนนี้เอง โดยปกติแล้วเธอเองก็ค่อนข้างดูแลตัวเองตลอดเวลา เรียกว่าแม้จะอยู่บ้านก็ยังแต่งหน้าแต่งตาบาง ๆ ให้ดูเป๊ะอยู่เสมอ อย่างน้อย ๆ นั่นก็เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แฟนหนุ่มอย่างกรรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ แต่ครั้งนี้ต่างออกไปเพราะเธอค่อนข้างจัดเต็มมากทีเดียว ถึงแบบนั้นก็ไม่มากเกินไปกว่าระดับที่ทำให้ดูผิดธรรมชาติ“เป็นยังไงบ้างคะเจนนี่” ในจังหวะนั้นก็มีคนเดินเข้ามาในห้องพอดิบพอดี เธอเป็นสาวหูแมวผู้เงียบขรึมดูไร้อารมณ์ที่สุ
ยามเช้าอันสดใสมาพร้อมเสียงสัตว์อรุณสวัสดิ์เป็นกิจวัตรอันสร้างความสดชื่นรับวันใหม่ได้ทุกครา ไม่มีเสียงปลุกอะไรไพเราะไปกว่านี้ กับบรรยากาศสดชื่นและน่าเย้ายวนชวนให้ตื่นเช้าเช่นนี้ คงไม่มีใครหาญกล้านอนต่อได้นอกเสียจากคนที่ทำงานจนเหนื่อยล้าหรือกำลังอยู่ในช่วงขี้เกียจสันหลังยาว เว้นเสียแต่ว่าเธอคนนั้นไม่ได้หลับเสียตั้งแต่แรก ข้อยกเว้นดังกล่าวคือฟีโอน่าที่กำลังนั่งเขียนเอกสารในห้องส่วนตัวของเธอ ในบ้านส่วนตัวที่อยู่อาศัยร่วมกันกับครอบครัวของเธอตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนเช้าตรู่นี้ อันที่จริงต่อให้เธอทำงานค้างไว้ก็คงไม่มีใครว่าเธอได้ เพราะในอาณาจักรที่เธอปกครองตอนนี้ไม่มีใครใหญ่ยิ่งไปกว่าเธออีกแล้ว ต่อให้ประกาศกับเหล่าขุนนางไปแล้วว่าจะวางมือ แต่สถานะของอดีตราชินีและหนึ่งในสมาชิกปาร์ตี้ผู้กอบกู้โลกคงไม่มีใครกล้าหือแน่นอนต่อให้ลงจากตำแหน่งไปแล้ว สิ่งที่ผลักดันฟีโอน่าให้ทำงานจึงเป็นแรงขับเคลื่อนส่วนตัวอย่างความรับผิดชอบล้วน ๆ จะว่าต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเหล่าขุนนางก็คงได้ แต่อันที่จริง... สาเหตุหลักมันเป็นเพราะเธ
“ทนไม่ไหวแล้ว!!!” เสียงโหวกเหวกโวยวายเป็นสิ่งแรกของยามเช้าอันสดใสของพวกกร ความเหนื่อยล้าจากศึกกลางคืนทำให้ทุกคนยังงัวเงีย แต่ก็ตื่นเต็มตากันหมดเพราะเสียงตะโกนของตัวป่วนประจำบ้านอย่างอลิซ ด้วยความที่ทุกคนนอนบนฟูกปูพื้นทำให้ทุกคนนอนเกลื่อนกลาด และเพราะผ่านศึกอันหนักหน่วงกันมา ทั้งสาว ๆ และกรเลยมีแค่ผ้าห่มคนละผืนทับตัวเปล่า ๆ เหมือนเด็กแรกเกิด แต่สภาพแบบนั้นไม่ได้ทำให้อลิซร่าเริงน้อยลงเลย“ได้ยินป่าว! ฉันบอกว่า ‘ทน-ไม่-ไหว-แล้ว’ อ่ะ!” เธอทำแก้มป่องทุบพื้นหลายต่อหลายที ถึงไม่รู้ว่ากำลังหงุดหงิดเรื่องอะไรก็เถอะ“มีเรื่องอะไรแต่เช้าเนี่ย?” กรที่หนุนหมอนอยู่ถึงชันตัวขึ้น เขาต้องค่อย ๆ ใช้แขนสองข้างประคองให้มีอากับรินลงหนุนหมอนแทนจากที่นอนซบไหล่เขามาตลอดคืน อาจเพราะแบบนั้นด้วยมีอากับรินเลยทำหน้ามุ่ย แต่พอได้กรลูบหัวไปคนละสองทีพวกเธอก็ยิ้มพริ้มกันเพลินจนต้องหลับต่อ“หรือว่าอยากกอดเหรอ? งั้นมามะ” กรอ้าแขนเชื้อเชิญด้วยใบหน้าระรื่น เพราะเขาเองก็อยากจะกอดอลิซเหมือนกัน“ไม่ใช่ย่ะ! ไม่สิ... ถึงจริง ๆ จะอยากกอดก็เถอะ แต่ที่จะพูดมันไม่ใช่เรื่
————วันรุ่งขึ้นหลังจบศึก, ณ มหาดันเจี้ยนโบราณเด็กหนุ่มผู้โดดเดี่ยว ภายในมหาดันเจี้ยนโบราณของฟรังซ์ ออลเดลผู้เป็นเจ้าของนั้น มีดันเจี้ยนชั้นหนึ่งที่เป็นส่วนอยู่อาศัย หากนับตามลำดับคงเป็นชั้นที่ 101 ว่าไปแล้ว มันก็คือดันเจี้ยนชั้นเดียวกับที่กรและมีอาได้เข้ามาพักหลังจากที่เคลียร์ดันเจี้ยนแห่งนี้สำเร็จแล้วนั่นเอง คฤหาสน์ของฟรังซ์นั้นมีห้องอยู่จำนวนมากทั้งที่กำลังใช้งานอยู่และที่เป็นห้องว่างพร้อมให้ปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบต่าง ๆ ตามต้องการ ในบรรดาห้องว่างทั้งหลายเหล่านั้นคือห้องชั้นใต้ดินของอาคารหลักอันมืดมิด ได้ถูกดัดแปลงเป็นห้องกรงแบบง่าย ๆ คำว่าง่าย ๆ ที่ว่านั้น คือการใส่ลูกกรงเหล็กหน้าห้องแทนประตู พื้นที่เป็นดินไม่ได้รับการตกแต่งหรือทำความสะอาดเพื่อไว้ใช้ลงโทษ นอกเหนือจากนั้นคือกุญแจมือและเท้าที่ล่ามติดโซ่ผู้กระทำผิดเอาไว้ในฐานะนักโทษอยู่กลางห้องไม่ให้ขยับไปไหนได้ และคนที่ถูกล่าม ไม่สิ... ล่ามตัวเองอยู่นั้น ก็ไม่ได้เป็นใครอื่นนอกจากอาร์เคมีดีส ตัวอาร์เคมีดีสนั้นแม้จะถูกล่ามโซ่ในสภาพอนาถาแต่กิริยาของเขากลับยังนิ่งสงบ ทั้
————ก่อนหน้านี้เล็กน้อย“แล้ว... จะเอายังไงต่อดีล่ะเนี่ย” หลังออกมาจากมหาดันเจี้ยน ‘หมื่นเทวาใต้รัตนากร’ จนมาอยู่บนชายหาดของเกาะที่อยู่ใกล้ที่สุด เมอร์ลินก็เอ่ยถามขึ้นมาเป็นคนแรก เพราะอาเธนที่เป็นคนใช้ไอเทมทำให้ทุกคนออกมาได้รวมถึงมหาปราชญ์คนอื่น ๆ นั้นไม่ได้มาด้วย เนื่องจากจำเป็นต้องทำลายแกนพลังงานของดันเจี้ยนเพื่อลดอัตราการดูดซับเท่าที่จะทำได้แม้แกนกลางของดันเจี้ยนจะกลายเป็นลาสบอสพร้อมกับอาร์เคมีดีสไปแล้วก็ตาม และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่มันก็เหมือนถูกทิ้งไว้กลางทาง คำถามของเมอร์ลิน จึงไม่ใช่อะไรนอกจากการยืนยันสิ่งที่กรจะทำหลังจากนี้ ทั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็นและกังวล แต่ว่าก่อนหน้านั้น...“เดี๋ยวก่อนสิ! นี่จะไม่สนใจไอ้เจ้ายักษ์นั่นหน่อยเหรอเนี้ยว!?”“นะ นั่นสิคะ! นั่นน่าจะเป็นเรื่องที่ควรกังวลมากกว่านะคะ!” ในขณะที่ฟลอร่ากับซาช่าต่างก็ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าจนเหมือนคนสติแตก ซึ่งถ้าบนนั้นมีแค่เมฆสีครามเหมือนปกติก็จะดี แต่เพราะไม่ใช่ พวกเธอถึงกลัวจนขนลุกกันขนาดนั้น เพราะที่อยู่บนนั้น คือมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ที่มีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่า