เฮ้อ!!!!!!!!!
เสียงที่กำลังถอนหายใจของกรนั้นดังมากพอที่จะทำให้คนที่อยู่รอบๆหันมามองได้เลย แต่เพราะอยู่คนเดียวจึงทำแบบนั้นได้อย่างเต็มที่ หลังจากเกิดอุบัติเหตุนั่นขึ้น ก็เพิ่งผ่านมาชั่วโมงกว่าๆ กรที่กำลังคิดว่าจะขอโทษรินยังไงดีก็เลยมาหาสถานที่ผ่อนคลายอารมณ์ที่ม้านั่งในสวนของลานกว้างอยู่คนเดียวนั่นเอง
โอ๊ย!!!! ทำไมปัญหาของฉันมันเยอะแบบนี้ฟ้า!!!!
อ๊ากกกก!!!! อยากหายไปชะมัดเลย....
แล้วจะทำไงให้หายโกรธดีเนี่ย... รินคงไม่เกลียดขี้หน้าของฉันไปแล้วหรอกนะ…
เฮ้อ!!!!!!!!!
หลังจากที่คิดนู่นนี่ไปเรื่อย กรก็ถอนหายใจหนักๆแบบนั้นออกมาอีกครั้ง ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาทางม้านั่งที่กรนั่งอยู่
〝เอ่อ กะ กร〞
〝!!!!?〞
ระ รินงั้นเหรอ มาหาฉันก่อนแบบนี้หมายความว่าไงเนี่ย? รึจะมาต่อว่าอะไร....เอาเถอะก็สมควรแล้วหล่ะ แต่จะให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายทำแบบนั้นก่อนไม่ได้ ก่อนอื่นเราต้องขอโทษอย่างใจจริงซะก่อน หลังจากนั้นค่อยรับฟังคำด่าทอก็ยังไม่สาย เอาหล่ะน่ะปฏิบัติการณ์ขอขมาสายฟ้าแลบเริ่มได้!!!!!!!
〝คะ คือว่า เรื่องตอนประลองนั่นฉันขอโ——〞
〝ขอประทานโทษด้วยคร้าบ!!! กระผมผิดไปแล้ว!!!!!!!!! จะจับไปต้มยำทำแกงยังไงก็เชิญเลยคร้าบบบบบบบบ!!!!!!!!!!!!!!!!!〞
กรที่ตะโกนแบบนั้นออกไป พร้อมกับก้มกราบโดยที่ศีรษะ ศอกทั้งสองและเข่าทั้งสองอยู่ในแนวเดียวกันทั้งหมด ศอกและเข่าทั้งสองข้างเองก็ต่อกันพอดี ทำให้เกิดเป็นท่ากราบแบบเบญจางคประดิษฐ์อันแสนงดงามตรงตามแบบฉบับไทยเป๊ะๆ ซึ่งที่กรสามารถทำท่านี้ได้อย่างชำนาญนั้นเป็นเพราะตัวเขาต้องใช้ท่านี้ในการเอาตัวรอดจากการถูกแกล้งอยู่บ่อยครั้งนั่นเอง
งะ เงียบไปเลยแฮะ เกิดอะไรขึ้นกัน รึว่าท่ากราบขอโทษที่ใช้เวลาฝึกฝน? มานานปีของฉันมันใช้ไม่ได้ผลกัน.....
〝อุ๊ป... ฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ!!!〞
ต่อหน้าการขอขมาของกร รินกลับหัวเราะออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแทน ท่าทางที่รินเอามือขึ้นมาป้องปากหัวเราะข้างหนึ่งอย่างสุภาพนั้นช่างดูน่ารักสมวัยจริงๆ
〝ระ......ริน〞
〝หุหุหุ! ......นายเนี่ยไม่เปลี่ยนไปเลยนะ ยังตรงไปตรงมาเหมือนเดิมเลย〞
〝อะ เอ่อ... ไม่โกรธงั้นเหรอ? เรื่องที่ฉันไปจับหน้าอ———〞
ฉับ!!
แล้วรินก็โค้งลำตัวท่อนบนลงมา แล้วเอาฝ่ามือฟาดไปที่กลางศีรษะของกรเบาๆ เพียงเพื่อกลบคำพูดของกรในขณะที่กำลังก้มกราบอยู่
〝ก็.........ถ้าบอกว่าไม่โกรธเลยมันจะฟังดูแปลกๆรึเปล่านะ แล้วตอนนั้นฉันก็แค่ตกใจสุดๆเท่านั้นเองแหละ〞
〝ยะ ยกโทษให้ง่ายๆแบบนี้ จะดีจริงๆเหรอ?〞
〝อืม〜 ก็... คงงั้นหล่ะมั้งนะ... ฉันเองก็ตบหน้านายไปแล้วด้วย ก็ถือว่าหายกันไปก็แล้วกันนะ......〞
〝ตะ แต่ว่า!!?———〞
〝แหม! ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง! แล้วก็รีบลุกขึ้นมาได้แล้ว!!! เป็นลูกผู้ชายมาก้มหัวให้คนอื่นง่ายๆแบบนี้ได้ยังไงกัน!!!〞
แล้วรินก็เอามือเท้าเอวทั้งสองข้าง การกระทำนั่นช่างเหมือนกับคุณครูที่กำลังดุเด็กนักเรียนที่ทำผิดอยู่ยังไงอย่างงั้นเลย แต่ใบหน้าที่ไม่ได้จริงจังปนขี้เล่นนิดหน่อยเลยทำให้ดูน่ารักแปลกๆ เพราะทั้งสองเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันเลยเข้าใจกันเป็นอย่างดี ความสนิทนั่นก็เลยมีประโยชน์ในเวลาที่น่าอึดอัดแบบนี้ กรที่รู้แบบนั้นก็ค่อยๆลุกขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ
แล้วทั้งสองก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่เคยมีมาก่อน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไปนั่งที่ม้านั่งด้วยกัน
หลังจากนั้นพวกเราก็คุยสัพเพเหระกันไปเรื่อย......
ทั้งเรื่องของที่โลกนี้ และของโลกเดิม...
เรื่องในวัยเด็ก เรื่องเพื่อนใหม่ ทุกๆเรื่องที่นึกออก แล้วนำความทรงจำมาแบ่งปันให้กัน... ก็นะถึงฉันจะไม่ค่อยมีเรื่องที่น่าเล่าซักเท่าไหร่ แต่พอเล่าออกไปมันก็โล่งขึ้นเยอะเลยหล่ะ
〝เฮ้อ!!! เหนื่อยจังเลย... เธอนี่คุยเก่งขึ้นเยอะเลยนะ〞
〝เอ๋! งั้นเหรอ.... คงเพราะคุยเรื่องสมัยเด็กกับนายแล้วมันเพลินดีหล่ะมั้งนะ นายคงไม่รำคาญใช่ไหม?〞
〝จะเป็นแบบนั้นได้ไง? ฉันดีใจจะตายแล้วเนี่ย〞
〝งั้นเหรอ? ค่อยยังชั่วหน่อย...〞
แล้วในขณะที่กรกำลังคุยกับรินอย่างสนุกสนานอยู่นั้น กรก็สัมผัสได้ถึงตัวตนของคนทั้ง 3 ที่แอบดูทั้งคู่อยู่...
【นี่อลิซอย่าเบียดเข้ามามากจะได้มั้ย ฉันจะมองไม่เห็นอยู่แล้ว.....】
【ไม่เอาน่าโชต ฉันเองก็อยากดูเหมือนกันน่ะ!】
【ทะ ทั้งสองคน เงียบๆหน่อยสิ! เดี๋ยวกรก็รู้ตัวหรอก...】
....เจ้าพวกนั้นแอบดูอยู่งั้นเหรอ? ไอ้พวกนี้นี่มัน!
ตำแหน่งของทั้งสามคนที่แอบดูอยู่นั้น ห่างจากกรและรินมากพอสมควร ถ้าเป็นคนปกติคงไม่มีทางได้ยินเสียงและสัมผัสได้เลยด้วยซ้ำ แต่เพราะกรมีสุดยอดการประมวลผลเลยทำให้ได้ยินแม้แต่เสียงกระซิบกันของทั้งสามคนอย่างชัดเจน แล้วก็ขยับตาดำไปมองทั้ง 3 คนด้วยหางตาโดยที่ไม่ได้หันศีรษะไปด้วย พลางขมวดคิ้ว แล้วมีเส้นเลือดปูดขึ้นมา เหมือนกับกำลังเคืองทั้ง 3 คนอยู่
【นะ นั่นไง! ผมบอกแล้วไม่เชื่อ กรรู้ตัวจนได้!】
【เอ๋〜 โกหกน่า! จะ จริงด้วยแฮะ เหมือนกำลังมองมาทางนี้นิดหน่อยด้วย...ท่าทางยั๊วสุดๆไปเลย】
【สายตาน่ากลัวชะมัด... ขอร้องหล่ะเลิกจ้องพวกเราได้แล้ว 】
พวกเอ็งนั่นแหละเฟ้ยที่ต้องเลิกจ้องฉัน!!!!
ก็อยากจะตะโกนออกไปแบบนั้นอยู่หรอกนะ แต่รินที่ยังไม่รู้ตัวว่าถูกจ้องอยู่ก็ยังอยู่ตรงนี้ซะด้วย.... ฉันเองก็ไม่อยากให้บรรยากาศในตอนนี้เสียไปซะด้วยสิ.... เมินพวกนั้นไปซักพักแล้วกัน
〝นี่ กร.......พวกเรา.......จะกลับไปโลกเดิมได้รึเปล่าน่ะ?〞
〝……………………〞
รินที่ถามกรด้วยเสียงสั่นเครือและใบหน้าหม่นหมองอย่างกะทันหัน ขยับเข้ามาใกล้กับกรจนแนบชิดติดกัน ราวกับต้องการจะปลอบโยนจิตใจอันอ่อนล้าของตัวเอง กรที่ถูกการจู่โจมกะทันหัน? ของรินเข้าก็ถึงกับหน้าแดงเลยทีเดียว แต่กรที่มองใบหน้าของรินกลับก็ทำให้รู้ว่าคำถามของเธอนั้นจริงจังมากแค่ไหน.... บนใบหน้าของรินขณะนี้ปรากฏภาพของเธอขมวดเข้าหากันจนย่น ดวงตาทั้งสองของรินก็จ้องตาของกรโดยที่ไม่มีอาการลอกแลกแม้แต่น้อย แต่เนื้อตัวกลับกำลังสั่นอยู่ กรที่เห็นแบบนั้นจึงปรับเปลี่ยนอารมณ์ให้อยู่ในโหมดซีเรียสอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองคำถามนั้นของรินอย่างจริงจัง
รินหน่ะ ไม่สิ... ทุกคนไม่เหมือนกับฉัน
พวกเธอถูกส่งมาในที่ที่ไม่รู้จักโดยที่มีครอบครัวรออยู่ที่โลกเดิม... แต่ตัวฉันไม่มี เพราะงั้นพวกเธอจะโหยหามันก็ไม่แปลกอะไร
เพราะงั้น... คำถามนั้นหน่ะ...
〝.......ฉัน ตอบคำถามนั้นไม่ได้หรอกนะ〞
〝เอ๋!!!!!〞
〝คนที่มีคำตอบอยู่ในมือหน่ะ ไม่ใช่ฉันแต่เป็นพวกเธอต่างหาก.....〞
กรตอบรินกลับไปอย่างหนักแน่นแบบนั้นเลยทำให้รินตกใจขึ้นมาเล็กน้อย
บอกไม่ได้..... จะบอกว่าที่ราชานั่นพูดเป็นเรื่องโกหกไม่ได้ ถึงแม้ถ้าไม่รีบบอกอาจจะทำให้รินเจ็บปวดมาก แต่ถ้าขืนบอกไปในเวลานี้ รินคงจะยิ่งเจ็บปวดมากกว่านี้แน่ เพราะงั้นก็ต้องเบี่ยงประเด็นลูกเดียว...
〝พวกเธอหน่ะแข็งแกร่งนี่นา.... เพราะงั้นถ้าอยากจะคว้าคำตอบแบบไหนมาไว้ในมือ มันก็เป็นทางเลือกของพวกเธอเอง.... ถ้าต้องการหล่ะก็คำตอบแบบไหนก็คว้ามาได้อยู่แล้ว......〞
แล้วก็นะ.......
〝แล้วก็นะ.....ถึงจะพึ่งพาไม่ได้มาก แต่ฉันเองก็จะพยายามเหมือนกัน......เพราะงั้นมาพยายามไปด้วยกันเถอะ!!!!〞
หลังจากที่กรพูดแบบนั้นออกมา รินก็มีน้ำตาปริ่มออกมา... ใบหน้าของรินที่กำลังหลับตาและมีน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างทั้งที่ยังยิ้มอยู่นั้น ช่างงดงามราวกับภาพวาดจากลายหัตถ์ของจิตรกรเอกยังไงอย่างงั้น
ทำผู้หญิงร้องไห้ซะแล้วแฮะ.... แถมยังให้ความหวังลมๆแล้งๆอีก...
....ฉันนี่มันเลวจริงๆ
ขณะที่กรกำลังโทษตัวเองเพราะหาคำปลอบใจให้กับรินได้ไม่ดีพอ รินก็เอาหน้าไปซบไหล่ของกรซักพัก แล้วก็ตอบกรกลับออกไป
〝ขอบใจมากนะกร...... อื้ม! เข้าใจแล้วหล่ะ...... มาพยายามกันเถอะ!!! กลับไปโลกเดิมด้วยกันพร้อมกับทุกคนนะ!〞
หลังจากนั้นรินที่พูดเหมือนกับตัดสินใจเป้าหมายได้ก็ลุกขึ้นยืน
〝ตายละ! นี่มันใกล้จะได้เวลาอาหารเย็นแล้วนี่นา รีบไปกันเถอะกร!!!〞
〝อะ อืม〞
แล้วรินก็วิ่งออกไปจากม้านั่งอย่างร่าเริงแตกต่างจากสภาพก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง จากนั้นโชต อลิซและชาญที่แอบฟังอยู่ก็โผล่มา นั่นทำให้รินตกใจเป็นอย่างมากแล้วก็หน้าแดงใหญ่หลังทั้ง 3 คนสารภาพว่าแอบดูทั้งสองคนจู๋จี๋กัน? แล้วรินก็ทุบตีโชตกับอลิซเบาๆ ชาญเองก็ถอนหายใจอย่างหน่ายๆต่อการกระทำที่คล้ายกับเด็กยังไม่โตของทั้ง 2 คนรวมถึงตัวเองด้วย แล้วหลังจากนั้นอลิซก็โบกมือเรียกกรอย่างร่าเริง ทั้ง 4 คนยิ้มให้กับกรพลางส่งเสียงประมาณว่า〝รีบไปกันเถอะ! เดี๋ยวอาหารเย็นหมดไม่รู้ด้วยนะ〞กรเองก็โบกมือพลางตะโกนว่า〝จ้าๆ....กำลังไปครับผม!!!〞กลับไปเช่นกัน แต่เพราะเรื่องที่รินพูดนั่นทำให้กรกลับมาครุ่นคิดถึงสถานการณ์ในปัจจุบันเล็กน้อยก่อนที่จะวิ่งตามทั้ง 4 คนไป
พอรินพูดแบบนั้นก็ทำให้นึกขึ้นได้..... ถึงสถานการณ์ตึงเครียดที่ฉัน... ไม่สิ ทุกคนพยายามลืมมันอยู่....
แล้วตอนนี้พวกเราทุกคนก็กำลังโดนพระราชาหลอกใช้อยู่.... หนทางกลับโลกเดิมเองจะมีอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้….
สถานการณ์ของเราในตอนนี้ค่อนข้างอันตราย เพราะถึงทุกคนจะมีสเตตัสที่มากถึงขั้นโกงก็เถอะ....
แต่ว่า...
เรายังไม่รู้จักโลกใบนี้เลยซักนิด.....
เพราะต้องใช้สมาธิไปกับการฝึกมาตลอด เลยไม่ได้หาข้อมูลเพิ่มเติมเลยจากตอนที่มาถึง....
ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตของผู้คน ระบบการปกครอง ชนชั้นทางสังคม ความขัดแย้งของแต่ละอาณาจักร การต่อสู้กับมอนสเตอร์ รวมถึงความแข็งแกร่งของปีศาจที่จะต้องสู้รบในอนาคตด้วย....
พวกเรากำลังดูถูกโลกใบนี้กันเกินไป.... ฉันเองก็เหมือนกัน...
และเพราะว่าฉันอ่อนแอแบบนี้เลยต้องให้เจ้าพวกนี้รับหน้าจัดการเรื่องพวกนั้นไป ส่วนฉัน.....ถึงบอกรินไปแบบนั้น แต่ที่จริงคงทำได้แค่ดูอยู่เฉยๆนั่นแหละ เรื่องสนับสนุนยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ....
แต่ถึงอย่างนั้นรินก็ยังตัดสินใจแล้ว.... ตัดสินใจที่จะมีชีวิตรอดบนโลกใบนี้.....
ถึงเธอจะยังไม่รู้ว่า ไม่มีทางกลับบ้านได้แล้วก็เถอะ... แต่ขนาดรินที่ปกติก็เป็นผู้หญิงบอบบางไม่เหมาะกับการจับอาวุธมีคมเลยซักนิดก็ยังพยายามขนาดนั้นเลยนะ...
แล้วฉันหล่ะ..... ฉันควรทำยังไงต่อไปดี?
จะต่อสู้ไปเพื่ออะไรกัน?
แล้วกรที่กำลังครุ่นคิดพลางถามคำถามสำคัญกับจิตใจของตัวเองอยู่เพียงลำพัง ในขณะที่กำลังวิ่งตามทั้ง 4 คนไปทานอาหารเย็นไปพร้อมกันนั้น ก็ได้สัมผัสความจริงของโลกใบนี้ขึ้นอีกนิดหลังจากนี้....
❖❖❖❖❖
นี่มัน...... ความฝันงั้นสินะ....
......น่าคิดถึงจังแฮะ
ในขณะที่หลับ กรมักจะฝันถึงตัวเองในขณะที่วิ่งเล่นกับเหล่าเพื่อนสนิทอย่างสนุกสนานในที่ต่างๆอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนกรก็ยังคงนำความทรงจำเหล่านั้นกลับมาเล่าย้อนความ ราวกับกำลังดูการฉายภาพยนตร์อัตชีวประวัติของตัวเองยังไงอย่างงั้น เพราะสำหรับกรที่มีสุดยอดการประมวลผลการฝันก็คือการจัดระเบียบความทรงจำที่เคยผ่านมาโดยที่กรยังคงรู้สึกตัวได้นั่นเอง
สงสัยที่ฝันแบบนี้จะเป็นเพราะคุยเรื่องสมัยเด็กกับรินละมั้ง.......
กรที่คิดแบบนั้นก็ปล่อยให้ฝันดำเนินต่อไป ในฝันของกรทุกคนกำลังวิ่งเล่นอยู่ในป่าโปร่งยามฤดูร้อน สีสันของป่านั้นยังคงเขียวชอุ่มและเต็มไปด้วยสีเขียวขจีแม้จะเพิ่งผ่านฤดูหนาวมาก็ตาม นี่เองก็เป็นความฝันที่เกิดขึ้นบ่อยๆขณะที่กรหลับ มันเกิดขึ้นบ่อยเสียจนกรรู้กระทั่งว่าการกระทำต่อไปของทุกคนจะเป็นอย่างไร
หลังจากนี้ทุกคนก็จะไปที่แม่น้ำกันสินะ...... แล้วพอสาดน้ำเล่นกันเสร็จ ก็จะไปเล่นไล่จับตรงเนินที่คุ้นเคยนั่นกัน...
จนถึงตอนนี้ฝันของกรก็ยังคงดำเนินต่อไปเช่นเดียวกับที่เคยฝันบ่อยๆ ขณะนี้ในฝัน พวกกรทุกคนกำลังเดินไปเป็นแถวตอน โดยมีตัวเองที่กำลังถือกิ่งไม้เล่นเดินนำอยู่ข้างหน้า....
ต่อจากนั้นพวกเรา 5 คนก็จะขานเลข ไล่ลำดับจากหน้าไปหลังโดยเริ่มจากเราสินะ....
〝หนึ่ง !!!〞
〝สอง !!!〞
〝สะ..สาม!〞
〝สี่ !〞
〝ห้า〜!!!!!〞
〝หกกกกก!!!〞
〝เจ็ด!!〞
〝!!!!!!!!!!!!!!〞
อะ....อะไรกันเมื่อกี้นี้ ถ้าฉันฟังไม่ผิด.... เหมือนได้ยินเสียงของคนที่ไม่น่าจะมีตัวตนอยู่ขึ้นมา!!!
เดี๋ยวก่อนสิ...ที่ฝันนั่น ...เหตุการณ์ทั้งหมดจนถึงตอนนี้เคยเกิดขึ้นจริงทั้งนั้น.....ไม่มีข้อยกเว้น เพราะมีสุดยอดการประมวลผลเลยทำให้มีระบบการจัดการข้อมูลในสมองยอดเยี่ยม..... ถึงเป็นการจินตนาการฉันก็สามารถแยกออกได้แน่ๆแม้จะอยู่ในฝัน..... ตอนนี้ก็ยังรู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าทั้งสองคนนั่นไม่ใช่สิ่งที่สมองปรุงแต่งขึ้นมาเอง.....
ละ....แล้วนี่มันอะไรกัน!!! เสียงของเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงที่ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยรู้จักหน้าถึงมาอยู่ในฝันของฉันได้กัน!?
.
.
แต่ทำไม.....
พอได้ยินเสียงของ 2 คนนั้นฉันถึง..... .....รู้สึกคิดถึงอย่างน่าประหลาด
แล้วกรพยายามนึกถึงใบหน้าของ 2 คนนั้น คนนึงเป็นเด็กผู้ชายผมสีบลอนด์ทองเข้ม ผิวขาวเหมือนชาวยุโรป มีขนาดตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม คาดว่าจะมีอายุน้อยที่สุด ส่วนคนนึงเป็นเด็กผู้หญิงไว้ผมสีดำยาวจนถึงกลางหลัง มีผิวสีแทนคล้ายชาวเอเชียเหมือนกับของกร ดูจากส่วนสูงของเธอคาดว่าจะมีอายุมากที่สุดในกลุ่ม
หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นเหมือนกับที่เคยฝัน ทุกคนเดินไปถึงเนินเขาแล้ววิ่งเล่นไล่จับกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศก็ยังดูอบอุ่นเช่นเคย เพียงแต่คราวนี้ไม่ใช่สมาชิก 5 คนที่กรรู้จัก แต่เป็นทั้งหมด 7 คน กรที่อยากจะรู้เรื่องราวต่อจากนั้นจึงได้ปล่อยให้ฝันดำเนินต่อไปอีก แต่จินตนาการแสนเลวร้ายกลับเข้าแทนที่ความทรงจำที่ถูกปิดผนึกนั่นไปเสียก่อน.....
หลังจากนั้น ความฝันของกรก็หยุดนิ่งลง ราวกับภาพยนตร์ในเครื่องเล่นวิดีโอได้ถูกกดปุ่มหยุดพักเอาไว้ แล้วทิวทัศน์บนเนินรอบๆตัวของเด็กทุกคนก็หายไปจนสิ้น เหลือเพียงความมืดมิดและเด็กทั้ง 7 คน กำลังหยุดนิ่งอยู่ หลังจากนั้นสติของกรก็เข้าไปอยู่ในร่างของตัวเองตอนเด็กในฝันทั้งที่ขยับไม่ได้
ซู้มมมมมมมมมมมมมมม!!!!!!!!!!!!!!
หลังจากนั้นก็มีเปลวเพลิงสีดำสนิทเสียยิ่งกว่าความมืดที่กำลังโอบล้อมทุกคนอยู่ปรากฏขึ้น เปลวเพลิงหลอมรวมกันเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่างแต่มีขนาดใหญ่โตกว่าเด็กทุกคนราวๆ 10 เมตรเห็นจะได้ แล้วบริเวณส่วนบนก็มีดวงตาสีแดงเพลิงปรากฏขึ้นมาพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่มีกรงเล็บแหลมคมเกิดขึ้นพร้อมกัน รูปร่างนั่นราวกับอสูรกายหรือปีศาจก็มิปาน แล้วหลังจากนั้น……….
ฉั๊ว!!!!!!
การฟาดกรงเล็บนั้นทำให้เด็กสาวและเด็กชายที่กรไม่รู้จักหน้ากลายเป็นก้อนเนื้อบดไร้รูปร่าง แล้วก็จางหายไป
〝!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!〞
ฉั๊ว!!!!!!
และไม่ทันได้พักหายใจ กรงเล็บนั่นก็ฟาดฟันเข้าไปตรงที่ที่โชตและชาญยืนอยู่อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นทั้งสองคนก็กลายเป็นเศษเนื้อคงสภาพไม่ได้แล้วจางหายไปในความมืด เลือดของทั้งสองคนกระเด็นมาเปื้อนใบหน้าของกรที่ยังขยับไม่ได้...
อะ.....อ้ากกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!
อะไรๆๆๆๆๆๆๆ.......
นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกัน?....... ชาญ!!!!.... โชต?........ถูกไอ้เวรนั่น? ฟาดเข้าไป.............ตายไปแล้ววววว?
ความคิดของกรเริ่มสับสนปนเปจนจับใจความไม่ได้ แต่ความฝันอันโหดร้ายก็ยังคงดำเนินต่อไป
ฉั๊ว!!!!!!
อะ......อลิซซซซซซซ!!! กะ....โกหกน่า
อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ม้ายยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!
พอซักที!!!!!!!!!!!!!! ได้โปรดเถอะะะะะะะะะะะะะะะะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
หลังจากที่อลิซหายไป แล้วกรกรีดร้องแบบนั้นอยู่ในใจ ปีศาจเพลิงก็เข้าไปหารินอย่างรวดเร็ว
ระ.......ริน
ยะ.....อย่านะ ขอทีเถอะ..... หยุดทีเถอะ......
และไม่ทันได้เตรียมใจอีกครั้ง กรก็ต้องรับความเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นไปอีก......
อย่านะโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!
ฉั๊ว!!!!!!
หลังที่กรตะโกนอย่างสุดเสียงอยู่ภายในใจ แต่เสียงนั่นกลับถูกเสียงฟาดฟันของปีศาจเพลิงกลบในเวลาแทบจะทันทีราวกับจะเยาะเย้ยกรที่ทำอะไรไม่ได้ แล้วรินเองก็กลายเป็นเศษเนื้อดังเช่นทุกคนแล้วจางหายไปในความมืดมิดเช่นกัน———
อ๊ากกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
❖❖❖❖❖
〝แฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก!...........อุ๊ก!!!!!!!! 〞
หลังจากที่กรตื่นจากฝันที่แสนน่ากลัวและโหดร้าย ก็ถึงกับหายใจหอบ ท้องไส้เองก็ปั่นปวนขึ้น รู้สึกเหมือนกับของเหลวในกระเพาะจะขย้อนออกมาได้ทุกเมื่อ ราวกับจะปัดเป่าความเครียดที่ได้รับจากความฝันนั้นให้หายไป
ฟู่ ฮ่า.... ฟู่ ฮ่า.... ฟู่ ฮ่า———————
แต่กรก็ไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองอาเจียนแต่อย่างใด เขาหายใจเข้า-ออกช้าๆ เพื่อดึงสติของตัวเองให้กลับมา
ฝะ ฝันบ้าอะไรว่ะเนี่ย หลอนชะมัด......
หรือเพราะพรุ่งนี้ต้องไปสู้กับมอนสเตอร์เลยฝันแบบนี้งั้นเหรอ.....
ตะ แต่ก่อนอื่นก็ทำให้หัวเย็นลงก่อนดีกว่า.....
แล้วกรก็ลดอัตราการเต้นของหัวใจให้ต่ำลง และปรับคลื่นสมองให้อยู่ในสภาวะต่ำ แล้วหลังจากนั้น......
วิ๊งงงงงงงง———————
เสียงที่เหมือนกับสัญญาณขาดหายในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็ดังขึ้นในหัวของกร......
เมื่อกี้นี้มัน......
พอเสียงสัญญาณที่เกิดขึ้นกะทันหันจางหายไป ก็ทำให้กรที่สมองเย็นลงแล้วนึกเรื่องที่สำคัญมากๆออก.......
กริ๊ก!!!!!——
แล้วเสียงที่คล้ายกับกุญแจถูกปลดล็อค ก็ดังขึ้นในหัวของกร เพียงแต่เสียงนั้นคล้ายกับเป็นเสียงที่ถูกสมมติขึ้นมาเสียมากกว่า......
มันเป็นเรื่องสำคัญมากแท้ๆ......
กรบ่นพึมพำแบบนั้นอยู่ในใจ
ความทรงจำพวกนี้... อยู่ในส่วนลึกขนาดไหนกัน......
.....ทำไมฉันถึงเพิ่งมานึกออกเอาป่านนี้กัน......
เป็นเพราะความฝันอันแสนน่ากลัวนั่น เลยทำให้ความทรงจำที่ถูกปิดผนึกอย่างแน่นหนามานานของกรได้ถูกปลดล็อคออกมาในที่สุด....
นึกออกแล้วหล่ะ..... ทั้งหมดเลย.....
ในขณะที่กำลังนึกเรื่องต่างๆออกมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำตาของกรก็ไหลอาบแก้มข้างซ้ายของตัวเอง
แล้วกรก็เรียกชื่อของคนที่ตัวเองโหยหามาตลอดอย่างเบาๆ....
พี่สาว————
ฮี้ๆๆๆ〜!!!คลึ๊กๆๆๆๆ!!! เสียงของม้าที่กำลังลากเกวียนขนาดใหญ่ซึ่งสามารถบรรทุกคนสิบกว่าคนได้สบายๆดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอและเป็นจังหวะ เกวียนที่ม้าลากอยู่นี้มีลักษณะคล้ายกับที่ชาวนาใช้ขนฟาง แต่เนื่องจากมีหลังคาคลุมที่นั่งอย่างแน่นหนามันถึงได้ดูเหมาะสำหรับการเดินทางระยะไกล และหากสังเกตดูจะเห็นว่ามีเกวียนที่มีม้าลากแบบเดียวกันนี้เป็นจำนวนกว่า 30 เล่ม เคลื่อนที่ติดกันเป็นขบวนอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนม้าทุกตัวจะได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี มันจึงสามารถเดินตามกันได้โดยที่ไม่ต้องมีคนคุมบังเหียนด้วยซ้ำ ส่วนด้านหน้าของขบวนก็มีทหารชายวัยกลางคนคนนึงสวมชุดเกราะหนาทั้งตัว มีบริเวณเนื้อหนังโผล่ออกมาให้เห็นบางส่วนเท่านั้นกำลังนั่งบนหลังม้าแล้วนำขบวนอยู่ คนๆนั้นก็คือ ฮันซี่นั่นเอง ส่วนรอบเกวียนของคณะเดินทางก็มีทหารคุ้มกันที่สวมชุดเกราะแบบเดียวกัน แต่สวมหมวกเหล็กไว้ทุกคนต่างจากฮันซี่ที่เปิดใบหน้าให้เห็น กำลังเดินตรวจตราอยู่รอบๆเกวียนที่มีนักเรียนทุกคนนั่งอยู่ข้างใน ในขณะที่เดินทางไปพร้อมกัน ใช่แล้ว ตอนนี้นักเรียนทุกคนกำลังอยู่ในระหว่างเดินทางไปยังแถบชานเมืองเพื่อฝึกฝนการต่อสู้กับมอนสเตอร์นั
〝เป็นยังไงบ้างกร ?〞〝ครับ คุณฮาว... ตรงทางแยก 3 แพร่งข้างหน้า ถ้าไปทางซ้ายจะมีลิซาร์ดแมนอยู่ 3 ตัว ส่วนทางขวายังไม่มีมอนสเตอร์ขวางทางจนกว่าจะถึงแยกต่อไป〞〝เป็นงั้นเหรอ? ได้ยินแล้วนะทุกคน รีบเดินไปข้างหน้า แล้วเลี้ยวขวาตรงแยกนั่นนะ... แล้วก็ระวังอย่าเดินส่งเสียงดังหล่ะ เข้าใจไหม〞〝〝.....ครับ/ค่ะ〞〞 ในทางเดินที่ปิดตายจากโลกภายนอกจนคล้ายกับจะมืดมิดแต่กลับมองเห็นได้ชัดเจน ที่ซึ่งไม่ทราบสถานที่แน่ชัดแต่ส่วนประกอบทั้งหมดนั้นสร้างมาจากหินและดินล้วนๆนี้ มีเสียงของคน 4 คนกระซิบกันอย่างเบาบางที่สุด จนแทบไม่ได้ยินเสียงอยู่ เหล่าคนที่กำลังกระซิบกันอยู่นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเหล่าสมาชิกปาร์ตี้ของกรนั่นเอง เพราะทั้งปาร์ตี้ถูกวาร์ปเข้ามาในดันเจี้ยนปริศนาที่ฮาวลี่ไม่รู้จักจึงทำให้ฮาวลี่กระวนกระวายเป็นอย่างมาก ฮาวลี่ยังเล่าอีกว่าดันเจี้ยนที่อยู่แถวๆที่ทุกคนล่านั้นมีแค่『ดันเจี้ยนเจ้าแห่งป่า』กับ『ดันเจี้ยนพรานแห่งพงไพร』ซึ่งเป็นดันเจี้ยนที่ได้รับการสำรวจจนครบถ้วนแล้ว แต่ดันเจี้ยนที่ทุกคนถูกวาร์ปมานี้กลับไม่ใช่ทั้ง 2 ดันเจี้ยนที่ว่ามา จากที่ฮาวลี่บอกกล่าว ดันเจี้ยนนั้นไม่ว่า
วูม!!!!——— พอแสงสว่างที่จ้าเสียจนแสบตาได้จางหายไป ทิวทัศน์ที่ปรากฏตรงหน้าของลินดาก็คือ บริเวณป่าแบบเดียวกับก่อนที่จะถูกวาร์ปเข้ามาในดันเจี้ยน แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คงจะเป็นสมาชิกปาร์ตี้ที่ลดลงจนเหลือแค่สามคน อันได้แก่ตัวเธอ เชษฐ์และเสือนั่นเอง ลินดาในตอนนี้ยังอยู่ในอาการสะเทือนใจอยู่พอสมควร ตอนนี้เธอกำลังรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เพื่อนร่วมปาร์ตี้ทั้ง 2 คนตายเพียงเพื่อให้ตัวเองหนีรอดไปได้ เชษฐ์ก็ยังคงนั่งคุกเข่าเอามือกุมศีรษะ ทั้งยังสั่นเป็นเจ้าเข้าอีกต่างหาก ต่างจากเสือที่แม้จะเพิ่งผ่านสถานการณ์เสี่ยงตายมาก็ยังคงทำตัวเรียบเฉยอยู่เช่นเคย〝นี่นาย!!! ตอนที่อยู่ในดันเจี้ยนเป็นบ้าอะไรหา!!!!!!〞 ทั้งที่เพิ่งออกมาจากดันเจี้ยนได้ แต่เธอกลับไม่ดีใจเลยซักนิด เพราะทนไม่ได้กับพฤติกรรมต่ำช้าแบบนั้นของเสือ ลินดาจึงได้ตะคอกใส่เสือออกไปอย่างรุนแรง〝………………〞〝ตอบฉันมาสิ!!! ทำไม... ทำไมถึงทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นได้ลงคอ!!!〞 เพราะเสือไม่ได้ตอบเธอกลับมา เธอถึงได้ตะคอกถามเสือต่อไปทั้งอย่างงั้น การตะคอกนั่นดังพอที่จะดึงสติของเชษฐ์กลับมาได้ แล้วทำให้เขาพยุงตัวขึ้นมาร่วมสนทนากับลินดาได้ใ
มืดสนิท.....ไม่รู้สึกหนาวซักนิด..... ไม่รู้สึกว่ามีร่างกายอยู่เลยด้วย....ความกลัวเอง... ก็หายไปแล้ว?ความรู้สึกที่มันอธิบายไม่ถูกนี่มันคืออะไร?หรือว่า ที่นี่จะเป็น.....ไอ้ที่เขาเรียกว่า.......โลกหลังความตายงั้นเหรอ.....ฉัน ตายไปแล้วสินะ.... ตอนนี้กรอยู่ในสภาวะที่ตัวเองไม่เข้าใจ จึงได้มีคำถามมากมายผุดเข้ามาในหัว แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองได้ผ่านเหตุการณ์อะไรมาก็เข้าใจได้เป็นอย่างแรกเลยว่าตัวเองนั้นได้ตายไปแล้วพอมาคิดดูแล้ว ยังมีเรื่องที่ยังไม่ได้ทำอีกตั้งเยอะเลยนะเนี่ย....แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายอีกต่อไปแล้วหล่ะ.....ความรู้สึกอ้างว้างแบบนี้มันก็ดีไปอีกแบบแฮะ...เอาเถอะ..... หายไปอย่างเงียบๆแบบไม่ต้องคิดอะไร ก็ดีเหมือนกันหล่ะนะ....เพราะเดิมทีตัวฉันก็ไม่มีตัวตนหรืออะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้คนอื่นจดจำอยู่แล้ว... เป็นแค่ไอ้ขี้แพ้เท่านั้นเองเพราะงั้นถึงหายไปซะ... ก็ไม่เป็นไรหรอก......【คิดแบบนั้นจริงๆอย่างงั้นเหรอ?】!!!!!!!!!!!!!!!! หลังจากที่กรคิดแบบนั้นพลางกำลังปล่อยให้สติหลุดลอยออกไป ราบกับจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไม่สนอะไรอีกแล้วนั้น จู่ๆก็มีเสียงของเด็กผู้ชายด
.......นี่มันอะไรกันเนี่ย?อยู่ดีๆก็รู้สึกเหมือนกับว่าสติลอยหายไป... แล้วตอนนี้จู่ๆมันก็กลับมาซะอย่างงั้นแล้วเมื่อกี้ก็รู้สึกเหมือนกับว่า จะมีตาลุงสวมชุดเสื้อคลุมโทรมๆที่มีหมวกคลุมหน้า กำลังจะพายเรือมารับข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่งด้วยกันหรือยังไงนี่แหล่ะ... เป็นฝันที่แปลกชะมัด อยากรู้จริงๆแฮะว่าถ้าฝันต่อไปลุงนั่นจะพาไปไหน?เอ....แต่ว่าจากความทรงจำล่าสุดเนี่ยรู้สึกว่าเราจะล้มมอนสเตอร์ทั้งหมดได้สินะ...แต่ว่าพอล้มเจ้าพวกนั้นได้ เราก็ล้มลงไป... แล้วก็เพิ่งมารู้สึกตัวเอาป่านนี้รึว่า... เราคงแค่สลบไปละมั้ง …..หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะอืม ถ้างั้นก็.... กรที่กลับมาได้สติหลังจากฟื้นขึ้นมาจากความตายกำลังพินิจพิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบันอยู่ แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองตายไปแล้วด้วยซ้ำ แล้วพอคิดว่าตัวเองสลบไปทั้งแบบนั้น เขาจึงได้ลืมตาขึ้นมาในทันที.....〝อึก! แสบตาชะมัดยาดเลย!〞 เพราะลืมตาขึ้นมาทันทีหลังจากที่ไม่ได้รับแสงมานาน ทำให้ดวงตาที่ยังไม่ได้ปรับแสง แสบตาขึ้นมา แต่จากนั้นไม่นานเมื่อปรับแสงได้แล้วสิ่งที่กรกำลังเห็นอยู่นั้นก็คือเพดานของดันเจี้ยนที่มีส่วนประกอบเป็นดินหรือหินที
อืม...............รายละเอียดข้อมูลจำเพาะ / คลังข้อมูลความทรงจำ / ตั้งค่าสเตตัส / ตั้งค่าปาร์ตี้ / ตั้งค่าสมาชิกปาร์ตี้ / อ็อปเจ็คโดยรอบ / บุคคลโดยรอบ / แผนที่ดันเจี้ยน / แผนที่โลก / เรดาร์ตรวจจับสิ่งมีชีวิต / เรดาร์ตรวจจับสิ่งไม่มีชีวิต / คลังสูตรวัสดุและแร่ธาตุ / คลังสูตรอาหาร / คลังตำราอาวุธ / คลังตำราเครื่องป้องกัน / คลังตำราเครื่องประดับ..... ในดันเจี้ยนที่ปิดตายจากโลกภายนอก ไม่ว่าจะมองไปทางซ้ายหรือทางขวา หน้า หลัง บนหรือล่างก็เป็นอิฐ หินและดินเต็มไปหมด แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ทั้งยังเพิ่งผ่านประสบการณ์เฉียดตาย ไม่สิ.....ฟื้นขึ้นมาจากความตายมาหมาดๆ แต่กรก็ยังคงไล่ดู『หน้าต่างตั้งค่า』จำนวนมากที่ลอยอยู่ในระดับสายตา รอบตัวเขาอยู่จำนวนกว่า 20 แผ่นอย่างใจเย็น แม้ก่อนหน้าจะตกใจกับหน้าต่างจำนวนมากที่ปรากฏขึ้นกะทันหันตรงหน้าก็ตาม แสดงให้เห็นเลยว่าจิตใจของกรนั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากพอสมควร.....ตั้งค่าค่าประสบการณ์ / ตั้งค่าอัตราการดรอปไอเทม / ตั้งค่าอาชีพ / คลังอาชีพ / ตั้งค่าสกิล / คลังสกิล / นูเมรัลดิสเพลย์ / ตั้งค่าหน้าต่างตั้งค่า......มีทั้งหมด 24 แผ่น
ก๊าซ!!!!!!!!!!〝ไอ้หยา! ดูเหมือนจะเห็นเราเข้าแล้วแฮะ〞 แม้ในตอนนี้กรจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรองอย่างเห็นได้ชัดจากการที่กำลังโดนมอนสเตอร์ทั้ง 7 ตัวที่มีสเตตัสสุดโหดเพ่งเล็ง แต่ทั้งคำพูดและการกระทำที่ยังดูไม่ทุกข์ร้อนแม้แต่น้อยนั่นของกร แสดงให้เห็นว่าเขานั้นยังสามารถคงความเยือกเย็นไว้ได้อยู่ แต่ก็ดูเหมือนหยิ่งยโสและประมาทไปเช่นเดียวกัน〝หะหะห่ะ!!!! มันต้องแบบนี้สิ! ค่อยน่าสนุกขึ้นมาหน่อย!!!〞ก๊าซซซซซซซซ!!!!!!!!!!ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! 〝!!!!!!!!?〞 ราวกับตอบสนองต่อคำพูดของกร กลุ่มมอนสเตอร์ทั้ง 7 ที่ได้ยินเสียงตะโกนนั่นก็วิ่งกรูเข้ามาหากรอย่างรวดเร็ว แต่ว่าพอเข้ามาจนห่างจากที่กรยืนอยู่ราวๆ 7-8 เมตร มันก็หยุดนิ่ง ขณะที่กรคิดว่ามันกำลังจะทำอะไรกัน? อยู่นั้น ก็มีลิซาร์ดแมน 2 ตัว ถือสิ่งที่มีรูปร่างคล้ายคฑา ถอยร่นไปข้างหลังราวสองถึงสามก้าว แล้วจากนั้น...ก็อบลิน 2 ตัวและลิซาร์ดแมน 3 ตัวก็ออกวิ่งมายังที่ที่กรยืนอยู่ โดยมีก็อบลินทั้งสองวิ่งนำหน้ามาคู่กันแล้วตามด้วยลิซาร์ดแมนทั้งสามที่วิ่งเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดานอยู่ข้างหลังก็อบลินมาพร้อมกัน การจัดขบวนรบอย่างร
〖 มีแค่แกคนเดียวงั้นเรอะ ไอ้หนู!!! 〗〝พะ พูดได้ด้วยเหรอ!!!!〞ตัวฉัน.... อุษณกร วัชรวิรุฬห์ไอ้หนุ่มที่มีหน้าตาสุดแสนจะธรรมดา แถมเป็นโอตาคุขั้นโคม่า แล้วยังบ้าหนังสงครามหน่อยๆ....ตอนนี้กำลังยืนประจันหน้าอยู่กับสิ่งมีชีวิตที่เคยได้ยินมาว่า เป็นสัตว์ประหลาดในตำนานกรีกหรือโรมันที่เรียกว่า สุนัขเฝ้านรก.... 『เคลเบรอส』อยู่ ด้วยอาการตกตะลึงกึ่งสงสัยกับสถานการณ์แปลกๆทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน! เนื่องจากอยู่ในสถานการณ์อันตราย กรจึงต้องระวังตัวอย่างที่สุด แต่เพราะเห็นว่าสุนัขหมาป่า 3 หัวขนสีดำขลับ ซึ่งเป็นบอสมอนสเตอร์อันน่าเกรงขาม นั้นยืนอยู่ข้างหน้าของกรกลับพูดคุยด้วยท่าทางที่เป็นมิตรกว่าที่คิด กรเลยคิดที่จะลองหยั่งเชิงมันดู〖นี่ๆ อย่าเมินคำถามของข้าสิ! 〗〝อ่อ.....โทษทีๆ พอดีทางนี้กำลังตกใจอยู่หน่ะ!!!〞〖ตกใจงั้นเหรอ? นั่นก็เป็นปฏิกิริยาปกติเวลามีคนเห็นรูปลักษณ์อันน่าหวาดหวั่นของข้าอยู่แล้วนี่นา!!!?〗〝เปล่าๆ... ที่ทางนี้ตกใจหน่ะเป็นเพราะไม่รู้ว่าแกพูดได้ยังไงอยู่ต่างหากหล่ะ....〞〖....................................〗〖ตกใจเรื่องนั้นเองหรอกเรอะ!!!!!!!!〗〝อึ๊ย!!!!〞ยะ แย่หล่ะสิ
ยามเช้าอันสดใสมาพร้อมเสียงสัตว์อรุณสวัสดิ์เป็นกิจวัตรอันสร้างความสดชื่นรับวันใหม่ได้ทุกครา ไม่มีเสียงปลุกอะไรไพเราะไปกว่านี้ กับบรรยากาศสดชื่นและน่าเย้ายวนชวนให้ตื่นเช้าเช่นนี้ คงไม่มีใครหาญกล้านอนต่อได้นอกเสียจากคนที่ทำงานจนเหนื่อยล้าหรือกำลังอยู่ในช่วงขี้เกียจสันหลังยาว เว้นเสียแต่ว่าเธอคนนั้นไม่ได้หลับเสียตั้งแต่แรก ข้อยกเว้นดังกล่าวคือฟีโอน่าที่กำลังนั่งเขียนเอกสารในห้องส่วนตัวของเธอ ในบ้านส่วนตัวที่อยู่อาศัยร่วมกันกับครอบครัวของเธอตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนเช้าตรู่นี้ อันที่จริงต่อให้เธอทำงานค้างไว้ก็คงไม่มีใครว่าเธอได้ เพราะในอาณาจักรที่เธอปกครองตอนนี้ไม่มีใครใหญ่ยิ่งไปกว่าเธออีกแล้ว ต่อให้ประกาศกับเหล่าขุนนางไปแล้วว่าจะวางมือ แต่สถานะของอดีตราชินีและหนึ่งในสมาชิกปาร์ตี้ผู้กอบกู้โลกคงไม่มีใครกล้าหือแน่นอนต่อให้ลงจากตำแหน่งไปแล้ว สิ่งที่ผลักดันฟีโอน่าให้ทำงานจึงเป็นแรงขับเคลื่อนส่วนตัวอย่างความรับผิดชอบล้วน ๆ จะว่าต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเหล่าขุนนางก็คงได้ แต่อันที่จริง... สาเหตุหลักมันเป็นเพราะเธ
“ทนไม่ไหวแล้ว!!!” เสียงโหวกเหวกโวยวายเป็นสิ่งแรกของยามเช้าอันสดใสของพวกกร ความเหนื่อยล้าจากศึกกลางคืนทำให้ทุกคนยังงัวเงีย แต่ก็ตื่นเต็มตากันหมดเพราะเสียงตะโกนของตัวป่วนประจำบ้านอย่างอลิซ ด้วยความที่ทุกคนนอนบนฟูกปูพื้นทำให้ทุกคนนอนเกลื่อนกลาด และเพราะผ่านศึกอันหนักหน่วงกันมา ทั้งสาว ๆ และกรเลยมีแค่ผ้าห่มคนละผืนทับตัวเปล่า ๆ เหมือนเด็กแรกเกิด แต่สภาพแบบนั้นไม่ได้ทำให้อลิซร่าเริงน้อยลงเลย“ได้ยินป่าว! ฉันบอกว่า ‘ทน-ไม่-ไหว-แล้ว’ อ่ะ!” เธอทำแก้มป่องทุบพื้นหลายต่อหลายที ถึงไม่รู้ว่ากำลังหงุดหงิดเรื่องอะไรก็เถอะ“มีเรื่องอะไรแต่เช้าเนี่ย?” กรที่หนุนหมอนอยู่ถึงชันตัวขึ้น เขาต้องค่อย ๆ ใช้แขนสองข้างประคองให้มีอากับรินลงหนุนหมอนแทนจากที่นอนซบไหล่เขามาตลอดคืน อาจเพราะแบบนั้นด้วยมีอากับรินเลยทำหน้ามุ่ย แต่พอได้กรลูบหัวไปคนละสองทีพวกเธอก็ยิ้มพริ้มกันเพลินจนต้องหลับต่อ“หรือว่าอยากกอดเหรอ? งั้นมามะ” กรอ้าแขนเชื้อเชิญด้วยใบหน้าระรื่น เพราะเขาเองก็อยากจะกอดอลิซเหมือนกัน“ไม่ใช่ย่ะ! ไม่สิ... ถึงจริง ๆ จะอยากกอดก็เถอะ แต่ที่จะพูดมันไม่ใช่เรื่
————วันรุ่งขึ้นหลังจบศึก, ณ มหาดันเจี้ยนโบราณเด็กหนุ่มผู้โดดเดี่ยว ภายในมหาดันเจี้ยนโบราณของฟรังซ์ ออลเดลผู้เป็นเจ้าของนั้น มีดันเจี้ยนชั้นหนึ่งที่เป็นส่วนอยู่อาศัย หากนับตามลำดับคงเป็นชั้นที่ 101 ว่าไปแล้ว มันก็คือดันเจี้ยนชั้นเดียวกับที่กรและมีอาได้เข้ามาพักหลังจากที่เคลียร์ดันเจี้ยนแห่งนี้สำเร็จแล้วนั่นเอง คฤหาสน์ของฟรังซ์นั้นมีห้องอยู่จำนวนมากทั้งที่กำลังใช้งานอยู่และที่เป็นห้องว่างพร้อมให้ปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบต่าง ๆ ตามต้องการ ในบรรดาห้องว่างทั้งหลายเหล่านั้นคือห้องชั้นใต้ดินของอาคารหลักอันมืดมิด ได้ถูกดัดแปลงเป็นห้องกรงแบบง่าย ๆ คำว่าง่าย ๆ ที่ว่านั้น คือการใส่ลูกกรงเหล็กหน้าห้องแทนประตู พื้นที่เป็นดินไม่ได้รับการตกแต่งหรือทำความสะอาดเพื่อไว้ใช้ลงโทษ นอกเหนือจากนั้นคือกุญแจมือและเท้าที่ล่ามติดโซ่ผู้กระทำผิดเอาไว้ในฐานะนักโทษอยู่กลางห้องไม่ให้ขยับไปไหนได้ และคนที่ถูกล่าม ไม่สิ... ล่ามตัวเองอยู่นั้น ก็ไม่ได้เป็นใครอื่นนอกจากอาร์เคมีดีส ตัวอาร์เคมีดีสนั้นแม้จะถูกล่ามโซ่ในสภาพอนาถาแต่กิริยาของเขากลับยังนิ่งสงบ ทั้
————ก่อนหน้านี้เล็กน้อย“แล้ว... จะเอายังไงต่อดีล่ะเนี่ย” หลังออกมาจากมหาดันเจี้ยน ‘หมื่นเทวาใต้รัตนากร’ จนมาอยู่บนชายหาดของเกาะที่อยู่ใกล้ที่สุด เมอร์ลินก็เอ่ยถามขึ้นมาเป็นคนแรก เพราะอาเธนที่เป็นคนใช้ไอเทมทำให้ทุกคนออกมาได้รวมถึงมหาปราชญ์คนอื่น ๆ นั้นไม่ได้มาด้วย เนื่องจากจำเป็นต้องทำลายแกนพลังงานของดันเจี้ยนเพื่อลดอัตราการดูดซับเท่าที่จะทำได้แม้แกนกลางของดันเจี้ยนจะกลายเป็นลาสบอสพร้อมกับอาร์เคมีดีสไปแล้วก็ตาม และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่มันก็เหมือนถูกทิ้งไว้กลางทาง คำถามของเมอร์ลิน จึงไม่ใช่อะไรนอกจากการยืนยันสิ่งที่กรจะทำหลังจากนี้ ทั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็นและกังวล แต่ว่าก่อนหน้านั้น...“เดี๋ยวก่อนสิ! นี่จะไม่สนใจไอ้เจ้ายักษ์นั่นหน่อยเหรอเนี้ยว!?”“นะ นั่นสิคะ! นั่นน่าจะเป็นเรื่องที่ควรกังวลมากกว่านะคะ!” ในขณะที่ฟลอร่ากับซาช่าต่างก็ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าจนเหมือนคนสติแตก ซึ่งถ้าบนนั้นมีแค่เมฆสีครามเหมือนปกติก็จะดี แต่เพราะไม่ใช่ พวกเธอถึงกลัวจนขนลุกกันขนาดนั้น เพราะที่อยู่บนนั้น คือมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ที่มีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่า
————ในขณะเดียวกับที่อาร์เคมีดีสและกองยานผสมกำลังปะทะกัน ลึกลงไปใต้มหาสมุทรหลายกิโลเมตร ที่ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นคนละมิติกับโลกเบื้องบนเพราะเป็นทุ่งรกร้างไร้สิ่งมีชีวิตใด ๆ แม้แต่พืชมอสสีเขียวสักตนหรือหย่อมหนึ่งก็ไม่มี ไม่สิ... แบบนั้นคงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะในทุ่งโล่งกว้างแห่งนี้ มีเพียงบริเวณเดียวเท่านั้นที่เต็มไปด้วยผู้คนรวมตัวกัน โดยมีเหล่าหญิงสาวทั้ง 19 คนโอบกอดร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังถูกฟื้นฟูสภาพจิตใจ เสียงสะอื้นของเขาเบาบางลงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ถูกความอบอุ่นจำนวนมากจากครอบครัวคนสำคัญโอบล้อม หากว่าเด็กหนุ่มคนนี้... หากกรเป็นผืนแผ่นดินที่เหือดแห้งเพราะความสิ้นหวังจากความหวาดกลัวที่จะเป็นตัวของตัวเองมาตลอด เขาก็คงเป็นผืนแผ่นดินที่กำลังชุ่มชื่นและกำลังจะมียอดอ่อนแตกรากกลายเป็นต้นไม้อีกครั้งเพราะความกลัวเหล่านั้นกำลังหายไป ตัวเขารู้สึกแบบนั้น“ขอบคุณ... ขอบคุณนะ” กรเอ่ยย้ำแบบนั้น ตัวเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพูดคำนั้นออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วในขณะที่ออกแรงกอดเหล่าภรรยาของเขาไม่หยุด เช่นเดียวกับที่พวกเธอเองก็โอบกอดเขากลับมา ตอนนี้ทั้
นานมาแล้ว... นานมากเสียจนจำเวลาที่แน่นอนไม่ได้ตัวฉันแต่เดิมเป็นเพียงจอมเวทธรรมดามาตั้งแต่เกิดในโลกที่ทุกคนใช้เวทมนตร์ได้เป็นปกติ ฉันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนักนอกจากเวทเคลื่อนย้ายในระยะไม่กี่เมตรที่ใช้ได้ตั้งแต่เด็ก กับความสามารถในการดัดแปลงพลังเวทมาใช้ในรูปแบบที่ต้องการหากจะมีสิ่งใดที่แตกต่างจากผู้อื่นในวัยเดียวกัน คือทัศนคติในการดำรงชีวิต หรือเหตุผลสำหรับการมีชีวิตอยู่กระมังเราเกิดมาทำไม... เรามีชีวิตอยู่ไปทำไม... นั่นคือคำถามสำคัญที่ทุกคนควรจะรู้แต่น้อยคนนักจะตั้งคำถามอย่างจริงจังเรื่องเหตุผลที่เกิดมานั้นไม่อาจรู้ได้... แต่เหตุผลที่เราทุกคนมีชีวิตอยู่ก็เพื่อความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย และคงเป็นคำตอบที่ถูกต้องสำหรับทุกคนทุกกรณี จะต่างก็เพียงแค่สิ่งที่ทำให้มีความสุขเท่านั้นบางคนอาจเป็นอาหารเลิศรส เสียงดนตรีอันไพเราะเสนาะหู ภาพวาดวิจิตรตระการตาหรือกลิ่นหอมหวนชวนหลงใหลแบ่งแยกประเภทมากมายตามแต่สิ่งที่แต่ละคนนั้นได้สั่งสมความชอบมาแต่กำเนิดสำหรับฉัน คือรอยยิ้มแต่ไม่ใช่รอยยิ้มของตัวฉันเอง... หากแต่เป็นรอยยิ้มของคนอื่นฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งแรกที่มีความสุขกับเรื่องแบบนี้นั้นคือเมื่อไหร
หลังจากที่ถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แน่นอนว่าฉันเองก็ตกใจ ไม่สิ... ใครล่ะจะไม่ตกใจเมื่อเรื่องที่เหมือนกับนิยายที่เคยอ่านมันเกิดขึ้นจริงกับตัวเองแต่ว่าในขณะเดียวกัน ฉันก็แอบดีใจนิดหน่อยที่มันเกิดขึ้นสาเหตุก็ไม่ใช่อะไรหรอก... นั่นเพราะว่าการถูกเคลื่อนย้ายมาต่างโลก มันก็เหมือนกับได้รีเซทสภาพแวดล้อมทั้งหมดนั่นแหล่ะในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ถ้าเป็นในต่างโลกนี่ ฉันจะสามารถสร้างสถานการณ์ที่จะเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง ตัวฉันในตอนนั้นคิดแบบนั้น และคาดหวังแบบนั้นทว่าในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลยเหมือนกับโชคชะตากำลังเล่นตลกกับฉัน... หรือถ้าพระเจ้ามีจริง หมอนั่นคงกำลังแกล้งฉันอยู่แน่ ๆฉันอดคิดแบบนั้นไม่ได้เพราะสเตตัสของฉันมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินผิดกับของคนอื่น ทั้งที่พละกำลังพื้นฐานของฉันในโลกก่อนมันสูงกว่าคนปกติทั่วไปแท้ ๆถึงจะไม่ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่นี่มันก็ผิดปกติอยู่ดี...ยังไงก็เถอะ ฉันเองก็รู้อยู่ว่าก่นด่าโชคชะตาไปมันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้เพราะงั้นก็เลยใช้วิธีเดิมในการแก้ปัญหา นั่นก็คือ ‘ช่างหัวมัน’ยิ่งถูกตอกย้ำด้วยการกลั่นแกล้งทับถมจากเจ้าเสือและทุกคนในโรงเรียนก็ยิ่งทำให้ฉ
“พวกนายได้เริ่มคิดกันยังว่าโตไปจะทำอะไร?” ในระหว่างที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้านของกรหลังเลิกเรียนเหมือนอย่างเคย อยู่ ๆ โชตก็เปิดประเด็นขึ้นมาอย่างนั้น น้ำเสียงของเขาแม้จะดูขอไปที แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกจริงจังอยู่เหมือนกันจากสีหน้าของเขา อนึ่ง... เป็นปกติที่ส่วนใหญ่แล้วหลังเลิกเรียนทุกคนจะมารวมตัวกันที่บ้านของกรทันที จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ทุกคนจะยังสวมชุดนักเรียนกันอยู่ อย่างเช่นตอนนี้ที่ทุกคนนั่งกระจัดกระจายตามโซฟา โดยกร โชตและชาญนั่งโซฟาตัวเดียวกัน ส่วนรินกับอลิซนั่งด้วยกันที่โซฟาอีกตัวฝั่งที่ติดกับกร นั่นคือเรื่องปกติของกลุ่มนี้ จะมีต่างไปก็แค่บรรยากาศเท่านั้น... ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ที่ออกไปในทางจริงจังเพราะโชตเปิดประเด็นอย่างนั้นขึ้นมา“อืม... ผมก็คงเป็นข้าราชการนั่นแหล่ะนะ” ชาญตอบแบบแทบไม่ต้องคิด เพราะดูเหมือนเขาจะมีเป้าหมายของตัวเองอยู่แล้วตั้งแต่แรก“แบบนั้นก็ดีนะ” กรพยักหน้าหลังวางมือจากเครื่องเล่นเกมในมือ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาเสียแต้มแต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับหันไปมองคู่สนทนาอย่างชาญ“นั่นสิ ทั้งมั่นคงทั้งมีสวัสดิการ พ่อ
หลังจากที่ฉันสงบสติอารมณ์ตัวเองได้ ฉันก็รีบโทรหาชาญก่อนใครเลยในตอนที่ไม่รู้ว่าจะขอความช่วยเหลือจากใคร เขาเป็นคนแรกที่ฉันนึกถึง... เพราะหมอนั่นเป็นคนเดียวที่จะทำตามคำขอทุกอย่างของฉันถึงแม้ว่าจะไม่ชอบมันก็ตามนั่นแหล่ะแต่ก็ไม่ได้ขออะไรมากไปกว่าผ้าพันแผลสะอาด ๆ หรอกนะส่วนเรื่องแผลก็ไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่คิดจนน่าประหลาดใจเลย... แค่พันแผลแล้วกดแผลไว้ ไม่กี่ชั่วโมงแผลก็ปิดสนิทจนต้องตั้งคำถามกับตัวเองเลยล่ะว่าฉันเป็นมนุษย์แน่รึเปล่า?แต่จะว่าไม่เป็นไรเลยก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะอย่างน้อยก็ได้แผลเป็นติดแถวชายโครงขวาพอมานึกดู... เมื่อตอนเด็กก็ได้แผลเป็นมาเพราะปกป้องรินด้วยเหมือนกันนี่นะ อะไรจะบังเอิญได้ขนาดนี้ไม่รู้พวกเธอจะรู้สึกผิดในตอนที่เห็นมันอีกไหม...แต่เรื่องนั้นมันก็ช่วยไม่ได้แหล่ะนะ เพราะถ้าสถานการณ์กลับกัน เป็นฉันเองก็คงรู้สึกผิดไปจนวันตายนั่นแหล่ะยังไงก็ตาม... วันถัดมาฉันก็เลยจำต้องแกล้งป่วย และเพราะไม่อยากให้มีคนเป็นห่วงมากเกินไปก็เลยกำชับกับอลิซและชาญว่าให้เก็บเป็นความลับ รวมถึงช่วยบอกให้โชตกับรินอย่ามาเยี่ยมด้วยเพราะไม่งั้น ถ้าได้ยินไปถึงหูของพ่อแม่รินกับโชตเข้าล่ะก็ คงได้