〝เป็นยังไงบ้างกร ?〞
〝ครับ คุณฮาว... ตรงทางแยก 3 แพร่งข้างหน้า ถ้าไปทางซ้ายจะมีลิซาร์ดแมนอยู่ 3 ตัว ส่วนทางขวายังไม่มีมอนสเตอร์ขวางทางจนกว่าจะถึงแยกต่อไป〞
〝เป็นงั้นเหรอ? ได้ยินแล้วนะทุกคน รีบเดินไปข้างหน้า แล้วเลี้ยวขวาตรงแยกนั่นนะ... แล้วก็ระวังอย่าเดินส่งเสียงดังหล่ะ เข้าใจไหม〞
〝〝.....ครับ/ค่ะ〞〞
ในทางเดินที่ปิดตายจากโลกภายนอกจนคล้ายกับจะมืดมิดแต่กลับมองเห็นได้ชัดเจน ที่ซึ่งไม่ทราบสถานที่แน่ชัดแต่ส่วนประกอบทั้งหมดนั้นสร้างมาจากหินและดินล้วนๆนี้ มีเสียงของคน 4 คนกระซิบกันอย่างเบาบางที่สุด จนแทบไม่ได้ยินเสียงอยู่
เหล่าคนที่กำลังกระซิบกันอยู่นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเหล่าสมาชิกปาร์ตี้ของกรนั่นเอง เพราะทั้งปาร์ตี้ถูกวาร์ปเข้ามาในดันเจี้ยนปริศนาที่ฮาวลี่ไม่รู้จักจึงทำให้ฮาวลี่กระวนกระวายเป็นอย่างมาก ฮาวลี่ยังเล่าอีกว่าดันเจี้ยนที่อยู่แถวๆที่ทุกคนล่านั้นมีแค่『ดันเจี้ยนเจ้าแห่งป่า』กับ『ดันเจี้ยนพรานแห่งพงไพร』ซึ่งเป็นดันเจี้ยนที่ได้รับการสำรวจจนครบถ้วนแล้ว แต่ดันเจี้ยนที่ทุกคนถูกวาร์ปมานี้กลับไม่ใช่ทั้ง 2 ดันเจี้ยนที่ว่ามา
จากที่ฮาวลี่บอกกล่าว ดันเจี้ยนนั้นไม่ว่าจะที่ไหนๆ ก็จะมีระดับชั้นอยู่มากมายเสมอ หากยิ่งมีระดับความยากสูงก็จะยิ่งมีจำนวนชั้นเยอะขึ้น มีพื้นที่กว้างขวาง ซับซ้อนและมีระดับความลึกมากยิ่งขึ้นเช่นกัน และหากลงไปลึกขึ้นมอนสเตอร์และกับดักก็จะแข็งแกร่งและมีมากขึ้น รวมถึงหากลงไปได้ลึกพอสมควรก็จะพบกับ『ห้องบอส』 ซึ่งเป็นผู้เฝ้ายามของชั้นนั้นๆในแต่ละช่วงอยู่เช่นกัน ซึ่งความแข็งแกร่งนั้นมากกว่ามอนสเตอร์ปกติอยู่มากโข ทั้งยังมีสกิลและสติปัญญามากกว่ามอนสเตอร์ในดันเจี้ยนที่รู้จักปรับตัวกับการต่อสู้เสียอีก แต่ถือเป็นโชคดี เพราะห้องบอสที่ว่านั้นไม่ได้มีซะทุกชั้นไป แต่ละดันเจี้ยนก็มีช่วงห่างของห้องบอสในแต่ละชั้นต่างกัน บางแห่ง 3 ชั้นจะมีห้องบอสห้องนึง บ้างก็ 8-10 ชั้นต่างกันไป แล้วหากลงไปได้จนถึง『ห้องเคลียร์ดันเจี้ยน』ก็จะพบลาสบอสที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในดันเจี้ยนนั้นๆอยู่
แล้วนอกจากกับดักกับห้องบอสแล้ว ก็ยังมีข่าวหน้ายินดีอยู่อีกอย่าง นั่นก็คือในทุกๆดันเจี้ยนนั้นจะมี『จุดหนี』อยู่ด้วยเสมอ แม้สำหรับดันเจี้ยนที่เป็นสถานที่อันตรายจะดูเหมือนเป็นความเมตตาจนเกินไป แต่หากเพราะมันแยกกับกับดักไม่ได้ด้วยตาเปล่าและต้องใช้เวทย์มนต์พิเศษช่วยในการตรวจสอบต่างหาก มันจึงดูเหมือนเป็น Booby-trap* เสียมากกว่า จึงทำให้คนทั่วไปไม่คิดจะเข้าหามัน แต่ทุกคนจะใช้วิธีออกจากทางเข้าหรือไม่ก็พิชิตบอสแทน
(* ปล. กับดักระเบิดที่ทำจากวัสดุที่หาได้ง่าย จึงทำให้มันดูเหมือนไม่มีพิษมีภัย ซึ่งช่วยให้มันอำพรางได้อย่างแนบเนียนในสายตาคนทั่วไป ซึ่งปกติก็เอาไว้หลอกล่อให้ตายใจแล้วก็ระเบิดทิ้งนั่นแหละครับ)
แต่ปาร์ตี้ของกรที่ถูกวาร์ปเข้ามากระทันหันนั้น ไม่รู้กระทั่งตำแหน่งของตัวเองว่าอยู่ชั้นไหนหรือตรงไหนในชั้นเลยด้วยซ้ำ การออกดันเจี้ยนจากทางเข้าจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย และอีกทางหนึ่งคือการพิชิตบอสประจำชั้นแล้วออกไปอย่างถูกกฏก็ทำไม่ได้เช่นกัน สาเหตุนั้นเป็นเพราะก่อนหน้านี้พวกกรได้พบกับกลุ่มมอนสเตอร์ที่เป็นโครงกระดูก จึงได้ลองให้เชษฐ์ที่มีสกิล『ตรวจสอบขั้นกลาง』ตรวจสอบเพื่อประเมินความแข็งแกร่งของมัน แล้วทุกคนในปาร์ตี้ก็ต้องตกใจกับหน้าต่างที่เชษฐ์เอาให้ดู......
ข้อมูลมอนสเตอร์
『สเคเลตอนแมน 』 เลเวล 127
《พลังโจมตี》 16,326 《พลังป้องกัน》 18,455
《พลังเวทย์》 12,545 《ความต้านทานเวทย์》 14,553
《ความว่องไว》 14,856 《พละกำลัง》 14,862
เพราะสกิลที่ผู้กล้าทุกคนมีเป็นแค่ขั้นกลางจึงตรวจสอบได้แค่เลเวลกับสเตตตัสของมอนสเตอร์เท่านั้น แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นเกินคาดจนทำทุกคนเสียวสันหลังจนขนหัวลุกเลยทีเดียว ความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ที่อยู่ตรงหน้านั้นคือที่สุดตั้งแต่ที่เคยพบเจอมาอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นทุกคนจึงได้ตัดทางเลือกพิชิตบอสออกไป เป็นเพราะขนาดมอนสเตอร์ทั่วไปที่มีอยู่เกลื่อนกลาดในชั้นยังแข็งแกร่งมากขนาดนี้ แล้วบอสจะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน...
แต่ว่านี่ก็สำรวจมานานมากแล้วนะ แต่ไม่มีอะไรที่คล้ายๆไอ้『จุดหนี』ที่คุณฮาวว่ามาเลยแฮะ... ถึงใช้ความสามารถของฉันก็ยังหาไม่เจอ ไม่สิ... ฉันไม่ได้มีสัมผัสทางเวทย์ซะหน่อยนี่นา จะไปหาเจอได้ยังไงกัน
แล้วที่ผ่านมานี่ก็แค่เดินไปทางที่มอนสเตอร์มันไม่ได้อยู่แบบสุ่มๆเท่านั้นเอง อันตรายโคตรๆเลย..... แต่ก็ยังดีที่ขอบเขตในการสำรวจของฉันกว้างพอที่จะคาดเดาไม่ให้พวกมอนสเตอร์มาเจอกับเราได้อยู่หล่ะนะ... นี่ก็คือสิ่งที่ฉันทำได้มากที่สุดในตอนนี้แล้ว...
ที่เหลือคงต้องปล่อยให้เป็นลิขิตของสวรรค์ซะละมั้ง...
พูดแบบนั้นเหมือนฝากอนาคตไว้กับไอ้แก่พระเจ้าเสเพลนั่นเลยแฮะ... งั้นไม่เอาดีกว่า
กรก็กำลังคิดไปเรื่อยเปื่อยตามปกติในขณะที่กำลังนำทางสมาชิกปาร์ตี้อยู่ แต่อย่างที่ว่าไปข้างต้น ทางเลือกสุดท้ายของปาร์ตี้จึงเหลือแค่ ต้องออกตามหา『จุดหนี』เพียงทางเดียวเท่านั้น เพราะถึงแม้ปกติจะแยกออกจากกับดักยาก แต่ปาร์ตี้ของกรในตอนนี้มีลินดาที่เป็นเอนชานเตอร์อยู่ จึงสามารถอ่านวงจรเวทย์แล้วแยกกับดักกับของจริงได้ ซึ่งที่จริงแล้วที่ทุกคนหลบหลีกกับดักมาได้ตลอดจนถึงตอนนี้ก็เป็นเพราะเธอนั่นเอง
ในตอนแรกที่ทุกคนรู้ถึงความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ แล้วกำลังกระวนกระวายกันอยู่ กรจึงได้เสนอตัวเป็นคนนำทางโดยอ้างกับทุกคนว่าตนมีความสามารถในการตรวจหาตำแหน่งของมอนสเตอร์ ซึ่งบอกอีกว่ามันเป็นคุณสมบัติพิเศษของฉายา〘การใช้ชีวิตที่ผิดพลาด〙 เพื่อป้องกันว่าหากทุกคนมาตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีสกิลที่ว่า จะทำให้ความน่าเชื่อถือหมดลง แม้ตอนแรกเสือจะโมโหเชิงดูหมิ่นกรจนถึงขั้นดึงคอเสื้อซับในของกรมาเตรียมพร้อมจะต่อย แต่เพราะฮาวลี่ห้ามไว้จึงได้ไม่เกิดเรื่องขึ้น และเพราะหลังจากนั้นกรแสดงให้เห็นว่าความสามารถของตนเป็นของจริง จึงทำให้ทุกคนเลิกกังขา แต่ก็ยกเว้นเสือคนเดียวที่ยังคงจ้องกรยังกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน ทั้งยังระวังรอบๆด้วยตัวเองอีก ทั้งที่กรบอกว่าไม่มีอะไรแท้ๆ
ให้ตายสิ... ถึงแถไปแบบนั้น แต่ทุกคนจะเชื่อรึเปล่าก็ไม่รู้ เพราะดันบอกไปว่าเป็นความสามารถของ【หมาจนตรอก】ซะด้วยสิ .....น่าสมเพชชะมัด
ก็ถ้าไม่บอกไปแบบนั้นจะมีใครเชื่อกันหล่ะ ว่าฉายาบัดซบนั่นมีคุณสมบัติพิเศษกับเขาด้วย แต่เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็ทำให้ทุกคนปลอดภัย ก็คุ้มค่าอยู่หรอก ฉันไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยซะด้วย...
แต่ไอ้เสือนี่ก็ขี้โวยวายจริงนะ... แต่ก็พอเข้าใจบ้างอยู่หรอก... ในสายตาพวกที่มีสเตตัสสุดโกง คนที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มผู้กล้าทุกคนอย่างฉัน มาบอกว่าสามารถรู้ตำแหน่งของมอนสเตอร์ทุกตัวได้ก็คงทำใจเชื่อยากหล่ะนะ....
〝ลินดา พอจะรู้สึกได้บ้างรึเปล่า?〞
〝ยังไม่.... ไม่สิ... มีอยู่ค่ะคุณฮาว! ถึงจะเบาบาง แต่แยกซ้ายข้างหน้านั่นรู้สึกได้ถึงวงจรเวทย์ด้วยค่ะ!〞
〝แยกซ้ายงั้นเหรอ!? กร ทางนั้นมีมอนสเตอร์อยู่รึเปล่า?〞
〝เอ๋! อะ อืม ถ้าตอนนี้ละก็ยังไม่มีครับ ทางกำลังสะดวกเลย...〞
〝ดีหล่ะงั้นลองไปดูกัน... ทุกคนตามมาให้เบาที่สุดนะ!〞
เพราะกรกำลังคิดอะไรไปเรื่อยจึงได้ตกใจเล็กน้อยเมื่อฮาวลี่เอ่ยถาม แต่ก็ยังตอบกลับไปได้ทันที จนถึงตอนนี้ลินดาเป็นคนคอยตรวจจับวงจรเวทย์มาตลอด แต่ว่าทั้งหมดกลับเป็นกับดักเวทย์ทั้งนั้น ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่มีเบาะแสของจุดหนีเลยสักครั้ง นั่นทำให้สมาชิกปาร์ตี้ทุกคนอ่อนล้ากันเต็มทีจากการที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตนจะได้ออกไปยังโลกเบื้องบนอีกครั้ง แต่แล้ว....
〝คะ คุณฮาวลี่คะ นั่น!!!〞
หลังจากที่พวกเราย่องผ่านแยกนั่น แล้วเดินตรงไปเกือบประมาณ 20 เมตร พวกเราก็เห็นวงเวทย์ที่มีแสงสว่างสีขาวแบบเดียวกับที่พวกเราถูกวาร์ปมาอยู่ตรงปลายสุดทางเดินซึ่งเป็นทางตัน กำลังส่องแสงสว่างไสวอยู่ตรงนั้น
〝วงเวทย์นั่นเป็นแบบเดียวกับที่วาร์ปเรามาเลย ...ไม่ผิดแน่ค่ะ นั่นคือ『จุดหนี』〞
〝〝〝!!!!!!!!!〞〞〞
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น ทุกคนยกเว้นเสือก็หันมามองหน้ากันด้วยรอยยิ้มที่ฉีกเสียจนเห็นฟัน เห็นชัดเลยว่าทุกคนดีใจจนออกนอกหน้าขนาดไหน แล้วหลังจากนั้นพวกเราทุกคนก็รีบเดินเข้าไปในวงเวทย์นั้นในทันที
〝นะ นี่ ทำไมมันไม่เกิดอะไรขึ้นเลยหล่ะ!?〞
〝เดี๋ยวก่อน! ตรงนั้นมีอะไรเขียนอยู่ด้วย!?〞
หลังจากที่ทุกคนเข้ามายืนในวงเวทย์แต่มันกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย ทำให้เชษฐ์เอ่ยถามออกมาด้วยอาการร้อนรน แต่กรที่สังเกตว่าตรงกำแพงที่อยู่ข้างหลังวงเวทย์เมื่อเดินเข้ามามันเป็นทางตัน กลับมีตัวอักษรบางอย่างกำลังเรืองแสงและปรากฏอยู่ตรงหน้าจึงสามารถตอบข้อสงสัยของทุกคนได้
〝เอ....ระดับความลึกในตอนนี้คือชั้น 23 ไม่สิ... ไม่ใช่อันนี้!〞
ตัวอักษรที่อยู่บนนั้นไม่ใช่ภาษาที่กรเคยเห็นแม้แต่น้อย ทั้งภาษาไทย อังกฤษ ญี่ปุ่นหรืออะไรก็ตามแต่ ทั้งการจัดวางประโยคและรูปแบบของตัวอักษรนั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าตัวอักษรในโลกเดิมของกรเลยซักนิด หากดูแล้วมันเหมือนเป็นรูปเรขาคณิตประกอบกับรูปภาพเสียมากกว่า เพราะงั้นพอลินดาอ่านมันได้จึงทำให้กรตกใจมาก แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าเธอเองก็มีสกิล『เข้าใจภาษาขั้นกลาง』อยู่ กรถึงได้เข้าใจ
ดูเหมือนลินดาจะพออ่านออกอยู่แฮะ โชคดีไปแฮะ
แต่ฉันเนี่ยไม่เข้าใจซักนิดเลยนะ จะโกงกันไปถึงไหนฟ่ะเนี่ยเจ้าพวกนี้... แต่ว่ารู้สึกทุกอย่างมันจะง่ายไปไหมหว่า.... แต่ไอ้เวลาที่เรามีลางสังหรณ์ในเรื่องแย่ๆเนี่ย มันดันชอบเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆซะด้วยสิ... หวังว่าฉันจะแค่คิดมากไปเองนะ...
〝วิธีเปิดการทำงานของวงจรเวทย์... นี่ไงหล่ะคุณฮาว! พวกเราสามารถกลับออกไปได้แล้วค่ะ!!!〞
〝จะ จริงงั้นเหรอ !? โอ้วสุดยอดมาก ทำได้เยี่ยมไปเลยนะทั้งสองคน ถ้ากลับไปคงต้องมีรางวัลซักหน่อยแล้ว!!!〞
〝อาๆ... ถ้ารู้แล้วก็รีบๆ เปิดวงเวทย์มันซะสิ!〞
แล้วพอลินดาแกะข้อมูลของตัวอักษรที่เขียนอยู่บนกำแพงสำเร็จ เธอก็ป่าวประกาศให้ทุกคนทราบทั่วกัน นั่นทำให้ฮาวลี่ดีใจจนถึงกับจะตบรางวัลให้กับกรและลินดาเลยทีเดียว แต่เสือก็ดันทำลายบรรยากาศครึกครื้นด้วยคำพูดตัดพ้อซะอย่างงั้น...
〝เฮ้อ〜 เข้าใจแล้วน่า...【ขอคือผู้โดดเดี่ยวเพียงลำพังในความมืดมิด แต่ในความมืดมิดนี้ตัวข้าหาได้โดดเดี่ยวไม่】〞
อะ อะไรฟะ ไอ้คำร่ายที่มันวกไปเวียนมาเนี่ย? คิดจะยั่วโมโหกันรึไงฟะ
〝【ลิฟพอยต์เอ๋ย! จงทำงานขึ้นมาซะ!!!】〞
เนื้อหาหลักไม่ได้เกี่ยวกับคำร่ายเลยนะเฮ้ย!!!
อุก... เผลอตบมุกไปจนได้
แต่ขณะที่กรกำลังผ่อนคลายอยู่กับความคิดไร้สาระเนื่องจากคิดว่าตัวเองกำลังจะได้ออกไปจากที่นี่อยู่แล้วนั้น....
อ๊อด!!!!—— อ๊อด!!!!—— อ๊อด!!!!—— อ๊อด!!!!——
หลังจากที่ลินดาได้ร่ายเวทย์ให้วงเวทย์ทำงาน เสียงที่เหมือนกับสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นมาเป็นจังหวะพร้อมกับที่มีแสงสีแดงกระพริบขึ้นมาทั่วบริเวณนั้นไปหมด
〝นะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นอีกกันแน่ครับเนี่ยยยย!!!!!!〞
〝ใจเย็นก่อน... ดูที่อยู่บนหัวนั่นสิ นั่นมันตัวเลขไม่ใช่เหรอ!!!〞
〝จะ จริงด้วย 27......26......25...... ดูเหมือนว่ามันกำลังนับถอยหลังอยู่ หรือว่าเวทย์วาร์ปมันมีคูลดาวน์งั้นเหรอ?〞
〝ทะ ทุกคน... นี่หน่ะ มันไม่น่าจะใช่คูลดาวน์แล้วหล่ะ!!!!〞
〝!!!!!!?〞
ขณะที่เชษฐ์กำลังโวยวายอยู่นั้น ลินดาก็สังเกตเห็นว่าหลังจากร่ายเวทย์เสร็จ ได้มีตัวเลขปรากฏขึ้นเหนือหัวทุกคน ฮาวลี่เองก็มองขึ้นไปจึงได้สงสัยว่ามันเป็นคูลดาวน์รึเปล่า? แต่กรที่ตะโกนบอกทุกคนแบบนั้น พลางชี้นิ้วไปยังทางเดินที่ทุกคนเดินมา ก็ทำให้ทุกคนตกใจกันใหญ่.....
ตึง!!! ตึง!!! ตึง!!! ตึง!!! ตึง!!!
กี้ๆๆๆ!!!!!!!!!
แล้วพอแสงสีแดงหยุดกระพริบ เสียงฝีเท้าหนักๆก็เริ่มมีเสียงดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นั่นมาจากทางที่กรชี้นิ้วไปนั่นเอง เป็นเสียงเดินที่ไม่ใช่ของมนุษย์แน่นอน ซ้ำร้ายยังมีเสียงร้องแหลมๆที่คล้ายกับสัตว์เลื้อยคลานดังออกมาพร้อมกันด้วย เสียงของมันนั้นทำให้เกิดแรงกดดันกับปาร์ตี้ทุกคนจนเหงื่อไหลอาบใบหน้าโชกเลยทีเดียว และแทบจะไม่ต้องคิด คำตอบของเสียงทั้งสองนั้นก็ปรากฏออกมาต่อสายตาของทุกคนในเวลาชั่วอึดใจ
มะ มอนสเตอร์ โกหกน่า!!!
มีทั้งก็อบลิน ลิซาร์ดแมนกับสเคเลตอนแมนก็ด้วย แถมจำนวนยัง...... ตั้ง 5 ตัว แต่ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ พวกนั้นมันกำลังเดินมาทางนี้เนี่ยสิ..... แถมยังเร็วมากด้วย มันต้องมาถึงก่อนที่เวทย์จะทำงานแน่
นี่มันเป็นกับดักงั้นเหรอ!? เห็นได้ชัดเลยว่าจงใจใช้จุดหนีเป็นตัวล่อให้พวกเรามาติดกับชัดๆ
แย่แน่! คราวนี้แย่ของแท้เลยหล่ะ!
〝ชะ เชษฐ์ ใช้สกิลตรวจสอบกับมอนสเตอร์พวกนั้นได้ไหม!!!!!!!!〞
〝ขะ เข้าใจแล้วครับ—————เอ๋!? โกหกน่า นี่มันบ้าชัดๆ!!!!!!! 〞
〝กะ เกิดอะไรขึ้น? ไหนเอาสเตตัสมาให้ฉันดูหน่อย!!!〞
เพราะฮาวลี่กำลังสับสนอยู่เหมือนกัน กรจึงได้ทำสิ่งที่ควรทำคือการตรวจสอบข้อมูลของศัตรูแทนฮาวลี่ที่กำลังทำท่าครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่นั่นเอง และคำตอบที่ออกมาก็ทำให้เชษฐ์กับกรตกใจสุดขีด จนเชษฐ์นั้นเข่าทรุดลงไปทั้งที่เป็นชายชาติทหารเลยทีเดียว
『ลิซาร์ดแมนเพลิง』 เลเวล 319
《พลังโจมตี》 45,498 《พลังป้องกัน》 35,486
《พลังเวทย์》 16,546 《ความต้านทานเวทย์》 24,658
《ความว่องไว》 36,548 《พละกำลัง》 35,458
〝!!!!!!!!!!!!!!!!!!〞
ละ เลเวล 300 งั้นเหรอ!!!!!!! ถะ แถมสเตตัสทั้งหมดเฉลี่ยแล้วเกือบ สามหมื่น!!
แล้วมีไอ้สัตว์ประหลาดแบบนี้ 5 ตัวงั้นเหรอ? นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ!
แย่แล้วสิ... เจ้าพวกนี้อยู่ดีๆก็ปรากฏตัวออกมาแบบไม่มีวี่แววเลยด้วยซ้ำ สัมผัสกลิ่นอายไม่ได้ซักนิดเดียวจนกระทั่งมันโผล่มาเลย
หนีกลับไปทางเดิม.....ไม่ได้ ทางที่พวกเราเข้ามา พวกนั้นก็กำลังขวางอยู่ แถมตอนนี้พวกเราถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพง ทั้ง 3 ด้านแล้ว!!!!!
พังกำแพง.....ไม่ได้ ขนาดเจ้ามอนสเตอร์พวกนี้ยังแข็งแกร่งขนาดนี้ กำแพงของดันเจี้ยนเองก็ต้องแข็งพอๆกันอยู่แล้ว!!!!!!!!!
ใช้เวทย์หลบหนี...ไม่ได้อีก ถ้ามีของแบบนั้น คงไม่ต้องใช้หนีมอนสเตอร์มาตลอดตั้งแต่แรกหรอก!!!!!
บุกทะลวงฝ่าออกไป.....เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ความแข็งแกร่งขนาดนั้นมันเกินขอบเขตของพวกผู้กล้าไปแล้ว! สเตตัสของพวกมันตอนนี้มากกว่าไอ้เสือตอนเลเวลอัพล่าสุดตั้ง 30 เท่า แถมยังมากกว่าตัวฉันตั้งเกือบ 300 เท่า!
ชิบ!———
ขณะที่กรกำลังเร่งการประมวลผลของสมองตัวเองให้เร็วมากที่สุดจนเกินขอบเขตมนุษย์ปกติไปแล้วเพื่อเค้นหาทางออกของวิกฤตตรงหน้าอยู่นั้น ช่วงเวลาไม่ถึงวินาทีหลังจากที่เชษฐ์เข่าทรุดลง คุณฮาวลี่ก็ได้เดินออกไปจากวงเวทย์แล้ววิ่งไปหาพวกมอนสเตอร์อย่างรวดเร็วจนระยะห่างของเขาห่างจากพวกกรเกือบ 10 เมตรเลยทีเดียว ซึ่งทำให้ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างพวกมอนสเตอร์กับพวกกรพอดีนั่นเอง
〝คะ คุณฮาว!!! คิดจะทำอะไรกันครับ!〞
หลังจากที่กรตะโกนถามออกไปแบบนั้น ฮาวลี่ก็หันมายิ้มให้กับพวกกรทุกคนอย่างอ่อนโยน
〝ระ หรือว่า คิดจะเสียสละตัวเองงั้นเหรอ!?〞
พอลินดาตะโกนออกมาแบบนั้น เลยทำให้ฮาวลี่หันมาตอบทุกคนอย่างรวดเร็ว นั่นอาจเป็นเพราะเขาเองก็รู้ดีว่าตัวเองคงไม่มีทางรอดและเหลือเวลาอีกไม่นาน เลยคิดว่าจะบอกเจตนาของตัวเองไปบ้างซักนิดก็ยังดีกระมั้ง....
〝ที่พวกเธอทุกคนต้องมาเจอเรื่องบ้าๆแบบนี้เป็นความรับผิดชอบของฉัน.......〞
〝มะ ไม่ใช่นะครับ คุณฮาวลี่!〞
เพราะกรเองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าเวลาแบบนี้ควรจะพูดอะไร เขาจึงทำได้แค่เรียกชื่อของฮาวลี่เท่านั้น แล้วฮาวลี่ก็พูดประโยคทิ้งทวนออกมาโดยไม่สนคำพูดของกร
〝ฉันคือ....อัศวินแห่งอาณาจักรอาลันอันทรงเกียรติ! การได้ปกป้องอนาคตของมนุษยชาติเช่นพวกเธอนับเป็นเกียรติยศและความภาคภูมิอันสูงสุดยิ่ง……〞
ฮาวลี่พูดแบบนั้นออกมาพลางชักดาบออกมาจากฝักในเวลาเดียวกัน
〝ตัวฉันเป็นมนุษย์ได้เพราะมีศักดิ์ศรีค้ำจุนจิตวิญญาณ เป็นอัศวินได้ก็เพราะครองเกียรติยศอันสูงค่า!! เพราะฉะนั้น!!!!〞
〝ฉันก็จะขอใช้ชีวิต!!!!! บนเส้นทางของอัศวินที่ฉันภาคภูมิใจ
จนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้ายยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!〞
〝คุณฮาวลี่!!!! อย่าทำแบบนั้นนะคร้าบบบบบบ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!〞
〝โอ้ววววววววววววววววววววววว !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!〞
แต่เสียงเรียกของกรก็ส่งไปไม่ถึงฮาวลี่อีกแล้ว ฮาวลี่ได้ถือดาบวิ่งเข้าไปหากลุ่มมอนสเตอร์ที่กำลังเดินเข้ามาด้วยการดีดตัวอย่างรวดเร็วจนเหลือเชื่อ การเคลื่อนไหวของเขาช่างดูสง่างามและกล้าแกร่งสมกับนามของอัศวินที่เขาได้รับเสียจริงๆ แต่ทว่า......
ฉั๊ว!!!!!!!!
ครั้งเดียวเท่านั้น.... แค่การโจมตีเพียงครั้งเดียวของมนุษย์โครงกระดูก โดยการฟันในแนวขนานกับพื้นของมัน ลำตัวท่อนบนของฮาวลี่ที่กำลังพุ่งเข้าไปหาพวกมอนสเตอร์ก็หยุดชะงักและร่วงหล่นลงมาจากท่อนล่างที่ยังทรงตัวอยู่ แล้วพอท่อนล่างของเขาล้มลงมาตาม เครื่องในอันน่าสะอิดสะเอียนรวมถึงกลิ่นเลือดก็ลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว กับกรที่มีประสาทการดมกลิ่นดีกว่าปกตินั่นทำให้เขาแทบจะอาเจียนเลยทีเดียว
〝คะ คุณฮาวลี่!!! อุ๊ก!!!〞
〝โกหกน่า นั่นแค่การโจมตีเดียวเองนะ!〞
แล้วพอเห็นภาพแบบนั้นเข้าเชษฐ์ก็ถึงกับจะอาเจียนออกมาทั้งที่กำลังนั่งอยู่เลยทีเดียว แต่ลินดากลับยังคงสงบอยู่แต่เธอก็ยังอยู่ในอาการตกใจไม่หายเช่นกัน
〝ทะ ทำไมกัน บ้าเอ้ยยยยย!!!!! โถ่เว้ยยยย!!!!〞
ในขณะที่กรตะโกนออกไปแบบนั้นด้วยความโมโหสุดขีด จนแทบจะพุ่งไปเข้าไปหาพวกมอนสเตอร์อยู่นั่นเอง พวกนั้นก็กำลังเข้ามาด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอีก คล้ายกับจะเย้ยหยันฮาวลี่ที่ไม่สามารถสกัดพวกมันไว้ได้แม้แต่วินาทีเดียวยังไงอย่างงั้น พอเป็นแบบนั้นเสือที่นิ่งเงียบมาตลอดจนถึงตอนนี้ก็ได้พูดขึ้นมา
〝ก็เพราะหมอนั่นมันอ่อนแอยังไงหล่ะ….〞
〝!!!!!!〞
หลังจากที่เสือพูดดูถูกฮาวลี่ออกมาแบบนั้น กรก็กระชากคอเสื้อซับในของเสือเหมือนกับที่เคยโดน แล้วดึงมันมาใกล้ๆอย่างรวดเร็วจนแม้แต่เสือเองก็ตกใจ ทั้งยังมองเสือด้วยแววตาอาฆาตอีกต่างหาก
〝........ทำหน้าแบบนั้นก็เป็นนี่หว่า ไอ้โอตาคุ〞
〝แก!!! เวลาแบบนี้ยังมาพูดจาไร้สาระอยู่อีกงั้นเหรอ!!!? ไม่ใช่เป็นเพราะคุณฮาวลี่หรอกเหรอห๊ะ! ที่ออกไปล่อพวกมันนั่นหน่ะ!!!〞
〝แต่ก็ไม่ช่วยให้พวกนั้นชะงักซักนิดเลยไม่ใช่รึไงวะ!!! แหกตาดูซะสิไอ้โอตาคุห่วยแตก!!!〞
เถียงไม่ออก...
ใช่แล้ว ถึงคุณฮาวลี่จะออกไปรับหน้าแบบนั้น แต่ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย... แถมพวกนั้นยังเข้ามาเร็วขึ้นเพราะกำลังกระหายเลือดอีก....
แต่ถึงแบบนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะไปด่าทอคุณฮาวลี่ได้หรอกนะ!!! ในสถานการณ์อันตรายแบบนี้เค้าเป็นคนเดียวที่กล้าออกไปยืนเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่มีทางชนะเลยนะโว้ยยย!!! แล้วจะให้ฉันยอมรับเรื่องแบบนั้นได้ยังไงกัน!!!!!
〝หยุดทะเลาะกันได้แล้วทั้งสองคน!!! ตอนนี้มันแย่แล้วนะ!!!! แบบนี้มีเวลาไม่พอแน่ๆ!!!!〞
ขณะที่กรกับเสือกำลังตะโกนใส่กันอยู่ทั้งที่กรกำลังดึงคอเสื้อของเสืออยู่ ลินดาก็ตะโกนออกมา
แบบนี้แย่แน่ๆ.... นี่ไม่ใช่เวลามามัวทะเลาะไร้สาระจริงๆนั่นแหละ แต่ว่าจะทำยังไงดีหล่ะ.....
ตอนนี้มันไม่มีเวลาแล้ว พอคิดหาทางออกของปัญหา ทางเลือกก็ถูกตัดออกไปเรื่อยๆ หนทางแก้ก็ยิ่งน้อยลงอีก... บ้าชะมัดเลย!!!!!!!
ในสถานการณ์แบบนี้ ทางที่เหลืออยู่คงมีแต่ต้อง.......
〝อะไรกัน ไม่เห็นจะยากเลย!!! ก็แค่ใช้ตัวล่อเพิ่มอีกซักตัวก็พอแล้วนี่!!!!〞
〝วะ ว่ายังไงนะ!!!!〞
แล้วพอเสือพูดสิ่งที่กรกำลังคิดอยู่ขึ้นมา จึงทำให้กรตกใจมาก
ใช่แล้ว... หากหนีไม่ได้ก็คงต้องใช้ตัวล่อเพื่อถ่วงเวลาจนกว่าวงเวทย์จะทำงาน
แต่จะทำยังไงหล่ะ เจ้าพวกมอนสเตอร์นั่นแข็งแกร่งแบบสุดๆเลยนะ จะถ่วงเวลาก็ยังแทบเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าแค่ดึงความสนใจละก็———
เปรี๊ยะๆๆๆๆ!!!!!!!!
ขณะที่กรกำลังคิดอยู่นั้น ก็รู้สึกได้ถึงกระแสไฟฟ้าแรงสูงที่ไหลผ่านจากตัวเสือมายังตัวเองได้ นั่นทำให้กรที่กำลังคิดหาทางออกอยู่ตัวชาแล้วเข่าทรุดลงไปเลย แล้วพอได้สติกลับมาเล็กน้อยจึงได้แหงนหน้ามองเสือ แต่แล้วเขาก็ต้องเสียวสันหลังวาบเมื่อได้ยินคำพูดต่อไปของเสือ
〝ใช่แล้วตัวล่อ....แกยังไงหล่ะ! เหนื่อยหน่อยนะ...ไอ้โอตาคุ!!!〞
〝!!!!!!!?〞
เพราะพูดแบบนั้นด้วยสีหน้าเย็นชาอย่างที่สุด ราวกับจะไม่สนเรื่องผิดถูกหรือศีลธรรมใดๆทั้งสิ้น จึงทำให้กรรู้สึกเสียวสันหลังวาบอีกครั้ง แต่กรในตอนนี้กลับพูดตอบกลับออกไปไม่ได้เพราะปากก็ยังชาอยู่นั่นเอง แล้วไม่รอช้าเสือก็จับศีรษะของกรแล้วดึงตัวเขาขึ้นมาจนอยู่ในระดับสายตาตัวเองโดยที่กรขัดขืนไม่ได้
〝นะ นี่นาย คิดจะทำอะไร!!!!!!!!〞
〝หืม.... ทำอะไรงั้นนนนน———เหรอ!!!!!!〞
พอลินดาถามเสือไปแบบนั้น เขาก็ตอบกลับด้วยประโยคที่ยืดเสียจนยาว แล้วเสือก็เหวี่ยงกรไปทางพวกมอนสเตอร์ในทันที หากคิดตามปกติแล้ว คงไม่มีนักเรียนปกติที่ไหนมีแรงมากพอที่จะจับคนดึงขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว แล้วเหวี่ยงคนไปได้ไกลเกือบ 10 เมตรได้ แต่ที่ทำแบบนั้นได้เป็นเพราะที่ว่ามานั่นมันเป็นปัญหาด้านความต่างของสเตตัสนั่นเอง แล้วกรก็กลิ้งไปเรื่อยๆ และกระดอนไปมาราวกับลูกบาสเกตบอลยังไงอย่างงั้น จนสุดท้ายก็หยุดนิ่งลงในที่สุด กรในตอนนี้อยู่ในท่านอนคว่ำ และนอนตัวตรง กำลังเงยหน้ามองไปยังทางที่มีวงเวทย์ฉายแสงอยู่
〝ก็กำลังพยายามเอาชีวิตรอดอยู่....ยังไงหล่ะ!〞
ขณะที่พูดแบบนั้นใช้สายตามองปะทะมาทางกร สายตาเย็นชาของเสือก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย แต่สายตาของกรที่มองกลับไปนั้น ทั้งสิ้นหวังและอ้างว้างอย่างน่าใจหาย เพราะพูดไม่ได้เขาจึงได้แต่คิดคำพูดทั้งหลายอยู่ในใจเพียงเท่านั้น
สายตาแบบนั้น.... ฉันเคยเห็นมาแล้ว!
สายตาแบบเดียวกับรินในตอนที่ตัดสินใจ..... ไม่สิ...ยังน้อยไป นั่นมันคล้ายกับสายตาของเราในตอนแรกๆที่เสียพ่อกับแม่ไปยังไงอย่างงั้น.....
มันเป็นสายตาของคนที่ตัดสินใจเรื่องสำคัญได้... ตัดสินใจว่าจะไม่สนอะไรนอกจากกฎของตัวเองอีก!!!
ถึงเราจะเป็นอริกัน แต่ฉันยังไม่เคยคิดใช้แกเป็นเหยื่อเลยนะเฮ้ย!!!
การเตรียมใจของไอ้หมอนี่... ยอมทำถึงขนาดนี้เลยเหรอวะ?
ชิ้ง!!!!!!!
และไม่ปล่อยให้พักอีกครั้ง ขณะที่กรกำลังคิดแบบนั้นอยู่ ก็มีสายตา 5 คู่ส่องประกายด้วยแสงสีแดง มองมายังที่ตัวเขานอนคว่ำอยู่ ใช่แล้วเจ้าพวกมอนสเตอร์มันกำลังมองมาที่เหยื่อตัวต่อไปของพวกมันอยู่นั่นเอง แล้วพวกมันก็เดินเข้ามาล้อมกรอบกรทั้งแบบนั้น แล้วลิซาร์ดแมนตัวนึงก็เงื้อดาบที่มีรูปร่างแปลกๆขึ้นมาเหนือร่างของกรที่ยังคงนอนอยู่แล้วก็ฟาดมันลงมาอย่างรวดเร็ว
ตู้มมมมมม!!!!!!!!!!!!!
เสียงดังที่เกิดจากดาบใหญ่ของเจ้าลิซาร์ดแมนหวดลงมาโดนพื้นดินจนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ดังขึ้นราวกับประทัดใหญ่ๆเลยทีเดียว แต่ที่ตรงนั้นไม่มีตัวกรอยู่ นั่นก็เพราะในชั่วพริบตาที่ลิซาร์ดแมนกระดิกนิ้วโดยมีแนวโน้มจะไปคว้าดาบ กรได้ใช้แรงที่เหลืออยู่น้อยนิดในการกัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรงจนเลือดออกเพื่อใช้ความเจ็บปวดนั่นทำให้ร่างกายกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็พลิกตัวหลบดาบที่ฟาดลงมานั่นได้อย่างฉิวเฉียด
〝เห หลบได้ด้วยแฮะ〞
แฮ่ก!!! แฮ่ก!!! แฮ่ก!!! แฮ่ก!!! แฮ่ก!!!
เสือพูดชื่นชมกรที่หลบได้อย่างฉิวเฉียดแต่ก็ยังคงมีสายตาเย็นชาเหมือนเดิม กรที่กำลังเหนื่อยหอบและหายใจถี่ขึ้นเพื่อเร่งการไหลเวียนเลือดให้ร่างกายกลับมาทำงานอยู่นั้น จึงไม่ได้ยินเสียงที่เสือพูดออกมาเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังต้องใช้สมาธิในการจับการเคลื่อนไหวของมอนสเตอร์ ในระดับนาโนเมตร ในเวลาเสี้ยววินาทีของเศษเสี้ยววินาที แถมยังมีตั้ง 5 ตัวพร้อมกันอีกต่างหาก เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถหลบการโจมตีที่รวดเร็วเสียจนเกินขอบเขตการตอบสนองด้วยปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ของมนุษย์ปกติไปแล้วแบบนั้นได้ แต่ถึงทำเรื่องสุดยอดแบบนั้นอยู่ กรก็ยังสามารถพูดคุยได้ตามปกติอยู่เลย จึงได้ตะโกนไปทางที่พวกเสือยืนอยู่
〝เห้ยไอ้เสือ!!!! เล่นบ้าอะไรวะ!!!!! กูไม่ขำด้วยนะเว้ย!!!!!!!!!!!!!!〞
แม้กรจะพูดออกมาด้วยเสียงที่หนักอึ้ง แต่เสือก็ยังคงมองมาทางกรด้วยสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม โดยที่ไม่ได้ตอบกรกลับไป
แย่แล้วสิ... แค่หลบก็เต็มที่แล้ว... ไม่สิโชคยังดีที่เรามีสุดยอดการประมวลผล เลยสามารถคาดเดาทางดาบล่วงหน้าได้เกือบ 3 วินาที ซึ่งก็มากพอที่จะทำให้สเตตัสแบบเราหลบพวกนี้ทั้ง 5 ตัวด้วยการเคลื่อนไหวน้อยที่สุดได้...
สเตตัสต่ำกว่าตั้ง 300 เท่า เราเองยังแปลกใจเลยที่หลบได้...
จากที่สังเกต... ถึงสเตตัสจะต่างกันถึง 300 เท่า แต่ความเร็วของมันกลับไม่ได้เร็วกว่าเรา 300 เท่าตามไปด้วย มันเร็วกว่าแค่ประมาณ 50 เท่าเห็นจะได้
ก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน แต่ถ้านั่นคือข้อได้เปรียบที่ไม่ทำให้ตายในทันที ก็ถือว่าโชคดีสุดๆแล้ว...
...แต่ถึงเป็นแบบนั้นก็ทำได้แค่หลบอยู่กับที่เท่านั้น ผละออกไปจากตรงนี้ไม่ได้เลยซักนิด… ไอ้เจ้าพวกนี้มันแกล้งเราอยู่รึไงวะ ไม่สิ...ดูเหมือนมันจะเร็วขึ้นเรื่อยๆแล้วด้วย แย่หล่ะสิหรือว่าเราจะทำให้มันโกรธกัน!?
วิ้ง!!!!!!!!!!
แล้วเสียงที่ทุกคนรอคอยมาตลอดก็ดังขึ้นมา แต่เสียงนั่นกลับทำให้กรใจหายจนหล่นมาอยู่ตาตุ่มเลยทีเดียว เสียงที่ว่านั่นก็คือ เสียงของวงเวทย์ของจุดหนีกำลังทำงานนั่นเอง ดูเหมือนกรจะใช้สมาธิในการหลบพวกมอนสเตอร์เสียจนไม่ได้สังเกตเวลาที่เหลือจนกระทั่งเวลาครบเลยทีเดียว แต่เพราะแบบนั้นโดยผลลัพธ์แล้วก็คือ เขาสามารถถ่วงเวลาให้สมาชิกปาร์ตี้ทุกคนได้นั่นเอง เสือที่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงได้พูดสิ่งที่ทำให้กรตกใจมากยิ่งขึ้นไปอีก
〝ยิ่งกว่าที่คิดซะอีกนะ.... ยอดไปเลยแฮะไอ้『สุดยอดการประมวลผล』ของแกเนี่ย.... น่าเสียดายชะมัดที่มันมาอยู่กับคนอย่างแก!〞
〝!!!!!!!!!!!!!!!!!!!?〞
กรที่กระตุกไปเล็กน้อยกับคำพูดของเสือไปราวๆ 0.0032 วินาที เลยโดนมนุษย์โครงกระดูกใช้ดาบยาวคมเดียวฟันชะแลบไปที่แก้มขวาจนเป็นรอยแผลยาวเกือบ 5 เซนติเมตร แล้วเลือดก็ไหลอาบลงมาจากแผลนั่นจึงได้สติทันที แล้วรับมือกับการโจมตีต่อไปของกลุ่มมอนสเตอร์พลางคิดถึงเรื่องที่เสือพูดไปในตัว
นี่มันบ้าชัดๆ!!! ไอ้หมอนี่รู้ความสามารถของฉันอยู่แล้วงั้นเหรอ?
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!? นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่วะ!
〝กะ แก! ทำไมถึงได้รู้!?〞
แน่นอนว่าเสือไม่ได้ตอบกรเหมือนเดิม
〝หยุดพูดจาไร้สาระกันได้แล้ว!!!! กร!! รีบวิ่งมาทางนี้เร็วๆเข้า!!!〞
〝มะ ไม่ได้!!! ฉันขยับออกไปจากตรงนี้ไม่ได้เลยซักนิด!!!〞
〝กรอด!!!!!!!!!!〞
ลินดาที่ได้ยินทั้งสองคนคุยกัน แม้จะไม่รู้เนื้อหาก็ตาม แต่เธอก็ยังตะคอกใส่เสือ แล้วรีบตะโกนเรียกกรให้รีบมา แต่พอกรตอบกลับมาแบบนั้นทำให้ลินดาที่เป็นคนเยือกเย็นถึงกับกัดฟันแน่นเลยทีเดียว แล้วหลังจากนั้นแค่ชั่วครู่ แสงสว่างจากวงเวทย์ก็สว่างจ้าขึ้นจนแสบตา แล้วกรที่หรี่ตามองไปยังบริเวณนั้นพลางหลบมอนสเตอร์ไปด้วยก็ได้ยินคำพูดของเสือเข้า
〝โทษทีหว่ะไอ้โอตาคุ.............. มนุษย์เรา......โลกของเรามันก็เน่าเฟะแบบนี้แหล่ะ———〞
วิ้ง!!!!———
หลังจากสิ้นคำพูดนั้นของเสือ แสงสว่างของวงเวทย์ที่เคยมีในตอนที่พบครั้งแรกก็หายไปจนสิ้นพร้อมกับร่างของทั้ง 3 คนที่อยู่ในวงเวทย์ แค่เห็นภาพนั้นก็ทำให้กรรู้สึกใจสั่นในทันทีด้วยสัญชาตญาณ ที่เหลือไว้ก็แค่วงกลมอันซับซ้อนที่มีตัวอักษรแปลกๆเขียนไว้ด้วยผงสีขาวคล้ายๆกับผงชอล์กและก็ความว่างเปล่าที่ทำให้รู้สึกสิ้นหวังอยู่เพียงลำพังเท่านั้นเอง———
วูม!!!!——— พอแสงสว่างที่จ้าเสียจนแสบตาได้จางหายไป ทิวทัศน์ที่ปรากฏตรงหน้าของลินดาก็คือ บริเวณป่าแบบเดียวกับก่อนที่จะถูกวาร์ปเข้ามาในดันเจี้ยน แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คงจะเป็นสมาชิกปาร์ตี้ที่ลดลงจนเหลือแค่สามคน อันได้แก่ตัวเธอ เชษฐ์และเสือนั่นเอง ลินดาในตอนนี้ยังอยู่ในอาการสะเทือนใจอยู่พอสมควร ตอนนี้เธอกำลังรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เพื่อนร่วมปาร์ตี้ทั้ง 2 คนตายเพียงเพื่อให้ตัวเองหนีรอดไปได้ เชษฐ์ก็ยังคงนั่งคุกเข่าเอามือกุมศีรษะ ทั้งยังสั่นเป็นเจ้าเข้าอีกต่างหาก ต่างจากเสือที่แม้จะเพิ่งผ่านสถานการณ์เสี่ยงตายมาก็ยังคงทำตัวเรียบเฉยอยู่เช่นเคย〝นี่นาย!!! ตอนที่อยู่ในดันเจี้ยนเป็นบ้าอะไรหา!!!!!!〞 ทั้งที่เพิ่งออกมาจากดันเจี้ยนได้ แต่เธอกลับไม่ดีใจเลยซักนิด เพราะทนไม่ได้กับพฤติกรรมต่ำช้าแบบนั้นของเสือ ลินดาจึงได้ตะคอกใส่เสือออกไปอย่างรุนแรง〝………………〞〝ตอบฉันมาสิ!!! ทำไม... ทำไมถึงทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นได้ลงคอ!!!〞 เพราะเสือไม่ได้ตอบเธอกลับมา เธอถึงได้ตะคอกถามเสือต่อไปทั้งอย่างงั้น การตะคอกนั่นดังพอที่จะดึงสติของเชษฐ์กลับมาได้ แล้วทำให้เขาพยุงตัวขึ้นมาร่วมสนทนากับลินดาได้ใ
มืดสนิท.....ไม่รู้สึกหนาวซักนิด..... ไม่รู้สึกว่ามีร่างกายอยู่เลยด้วย....ความกลัวเอง... ก็หายไปแล้ว?ความรู้สึกที่มันอธิบายไม่ถูกนี่มันคืออะไร?หรือว่า ที่นี่จะเป็น.....ไอ้ที่เขาเรียกว่า.......โลกหลังความตายงั้นเหรอ.....ฉัน ตายไปแล้วสินะ.... ตอนนี้กรอยู่ในสภาวะที่ตัวเองไม่เข้าใจ จึงได้มีคำถามมากมายผุดเข้ามาในหัว แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองได้ผ่านเหตุการณ์อะไรมาก็เข้าใจได้เป็นอย่างแรกเลยว่าตัวเองนั้นได้ตายไปแล้วพอมาคิดดูแล้ว ยังมีเรื่องที่ยังไม่ได้ทำอีกตั้งเยอะเลยนะเนี่ย....แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายอีกต่อไปแล้วหล่ะ.....ความรู้สึกอ้างว้างแบบนี้มันก็ดีไปอีกแบบแฮะ...เอาเถอะ..... หายไปอย่างเงียบๆแบบไม่ต้องคิดอะไร ก็ดีเหมือนกันหล่ะนะ....เพราะเดิมทีตัวฉันก็ไม่มีตัวตนหรืออะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้คนอื่นจดจำอยู่แล้ว... เป็นแค่ไอ้ขี้แพ้เท่านั้นเองเพราะงั้นถึงหายไปซะ... ก็ไม่เป็นไรหรอก......【คิดแบบนั้นจริงๆอย่างงั้นเหรอ?】!!!!!!!!!!!!!!!! หลังจากที่กรคิดแบบนั้นพลางกำลังปล่อยให้สติหลุดลอยออกไป ราบกับจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไม่สนอะไรอีกแล้วนั้น จู่ๆก็มีเสียงของเด็กผู้ชายด
.......นี่มันอะไรกันเนี่ย?อยู่ดีๆก็รู้สึกเหมือนกับว่าสติลอยหายไป... แล้วตอนนี้จู่ๆมันก็กลับมาซะอย่างงั้นแล้วเมื่อกี้ก็รู้สึกเหมือนกับว่า จะมีตาลุงสวมชุดเสื้อคลุมโทรมๆที่มีหมวกคลุมหน้า กำลังจะพายเรือมารับข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่งด้วยกันหรือยังไงนี่แหล่ะ... เป็นฝันที่แปลกชะมัด อยากรู้จริงๆแฮะว่าถ้าฝันต่อไปลุงนั่นจะพาไปไหน?เอ....แต่ว่าจากความทรงจำล่าสุดเนี่ยรู้สึกว่าเราจะล้มมอนสเตอร์ทั้งหมดได้สินะ...แต่ว่าพอล้มเจ้าพวกนั้นได้ เราก็ล้มลงไป... แล้วก็เพิ่งมารู้สึกตัวเอาป่านนี้รึว่า... เราคงแค่สลบไปละมั้ง …..หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะอืม ถ้างั้นก็.... กรที่กลับมาได้สติหลังจากฟื้นขึ้นมาจากความตายกำลังพินิจพิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบันอยู่ แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองตายไปแล้วด้วยซ้ำ แล้วพอคิดว่าตัวเองสลบไปทั้งแบบนั้น เขาจึงได้ลืมตาขึ้นมาในทันที.....〝อึก! แสบตาชะมัดยาดเลย!〞 เพราะลืมตาขึ้นมาทันทีหลังจากที่ไม่ได้รับแสงมานาน ทำให้ดวงตาที่ยังไม่ได้ปรับแสง แสบตาขึ้นมา แต่จากนั้นไม่นานเมื่อปรับแสงได้แล้วสิ่งที่กรกำลังเห็นอยู่นั้นก็คือเพดานของดันเจี้ยนที่มีส่วนประกอบเป็นดินหรือหินที
อืม...............รายละเอียดข้อมูลจำเพาะ / คลังข้อมูลความทรงจำ / ตั้งค่าสเตตัส / ตั้งค่าปาร์ตี้ / ตั้งค่าสมาชิกปาร์ตี้ / อ็อปเจ็คโดยรอบ / บุคคลโดยรอบ / แผนที่ดันเจี้ยน / แผนที่โลก / เรดาร์ตรวจจับสิ่งมีชีวิต / เรดาร์ตรวจจับสิ่งไม่มีชีวิต / คลังสูตรวัสดุและแร่ธาตุ / คลังสูตรอาหาร / คลังตำราอาวุธ / คลังตำราเครื่องป้องกัน / คลังตำราเครื่องประดับ..... ในดันเจี้ยนที่ปิดตายจากโลกภายนอก ไม่ว่าจะมองไปทางซ้ายหรือทางขวา หน้า หลัง บนหรือล่างก็เป็นอิฐ หินและดินเต็มไปหมด แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ทั้งยังเพิ่งผ่านประสบการณ์เฉียดตาย ไม่สิ.....ฟื้นขึ้นมาจากความตายมาหมาดๆ แต่กรก็ยังคงไล่ดู『หน้าต่างตั้งค่า』จำนวนมากที่ลอยอยู่ในระดับสายตา รอบตัวเขาอยู่จำนวนกว่า 20 แผ่นอย่างใจเย็น แม้ก่อนหน้าจะตกใจกับหน้าต่างจำนวนมากที่ปรากฏขึ้นกะทันหันตรงหน้าก็ตาม แสดงให้เห็นเลยว่าจิตใจของกรนั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากพอสมควร.....ตั้งค่าค่าประสบการณ์ / ตั้งค่าอัตราการดรอปไอเทม / ตั้งค่าอาชีพ / คลังอาชีพ / ตั้งค่าสกิล / คลังสกิล / นูเมรัลดิสเพลย์ / ตั้งค่าหน้าต่างตั้งค่า......มีทั้งหมด 24 แผ่น
ก๊าซ!!!!!!!!!!〝ไอ้หยา! ดูเหมือนจะเห็นเราเข้าแล้วแฮะ〞 แม้ในตอนนี้กรจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรองอย่างเห็นได้ชัดจากการที่กำลังโดนมอนสเตอร์ทั้ง 7 ตัวที่มีสเตตัสสุดโหดเพ่งเล็ง แต่ทั้งคำพูดและการกระทำที่ยังดูไม่ทุกข์ร้อนแม้แต่น้อยนั่นของกร แสดงให้เห็นว่าเขานั้นยังสามารถคงความเยือกเย็นไว้ได้อยู่ แต่ก็ดูเหมือนหยิ่งยโสและประมาทไปเช่นเดียวกัน〝หะหะห่ะ!!!! มันต้องแบบนี้สิ! ค่อยน่าสนุกขึ้นมาหน่อย!!!〞ก๊าซซซซซซซซ!!!!!!!!!!ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! 〝!!!!!!!!?〞 ราวกับตอบสนองต่อคำพูดของกร กลุ่มมอนสเตอร์ทั้ง 7 ที่ได้ยินเสียงตะโกนนั่นก็วิ่งกรูเข้ามาหากรอย่างรวดเร็ว แต่ว่าพอเข้ามาจนห่างจากที่กรยืนอยู่ราวๆ 7-8 เมตร มันก็หยุดนิ่ง ขณะที่กรคิดว่ามันกำลังจะทำอะไรกัน? อยู่นั้น ก็มีลิซาร์ดแมน 2 ตัว ถือสิ่งที่มีรูปร่างคล้ายคฑา ถอยร่นไปข้างหลังราวสองถึงสามก้าว แล้วจากนั้น...ก็อบลิน 2 ตัวและลิซาร์ดแมน 3 ตัวก็ออกวิ่งมายังที่ที่กรยืนอยู่ โดยมีก็อบลินทั้งสองวิ่งนำหน้ามาคู่กันแล้วตามด้วยลิซาร์ดแมนทั้งสามที่วิ่งเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดานอยู่ข้างหลังก็อบลินมาพร้อมกัน การจัดขบวนรบอย่างร
〖 มีแค่แกคนเดียวงั้นเรอะ ไอ้หนู!!! 〗〝พะ พูดได้ด้วยเหรอ!!!!〞ตัวฉัน.... อุษณกร วัชรวิรุฬห์ไอ้หนุ่มที่มีหน้าตาสุดแสนจะธรรมดา แถมเป็นโอตาคุขั้นโคม่า แล้วยังบ้าหนังสงครามหน่อยๆ....ตอนนี้กำลังยืนประจันหน้าอยู่กับสิ่งมีชีวิตที่เคยได้ยินมาว่า เป็นสัตว์ประหลาดในตำนานกรีกหรือโรมันที่เรียกว่า สุนัขเฝ้านรก.... 『เคลเบรอส』อยู่ ด้วยอาการตกตะลึงกึ่งสงสัยกับสถานการณ์แปลกๆทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน! เนื่องจากอยู่ในสถานการณ์อันตราย กรจึงต้องระวังตัวอย่างที่สุด แต่เพราะเห็นว่าสุนัขหมาป่า 3 หัวขนสีดำขลับ ซึ่งเป็นบอสมอนสเตอร์อันน่าเกรงขาม นั้นยืนอยู่ข้างหน้าของกรกลับพูดคุยด้วยท่าทางที่เป็นมิตรกว่าที่คิด กรเลยคิดที่จะลองหยั่งเชิงมันดู〖นี่ๆ อย่าเมินคำถามของข้าสิ! 〗〝อ่อ.....โทษทีๆ พอดีทางนี้กำลังตกใจอยู่หน่ะ!!!〞〖ตกใจงั้นเหรอ? นั่นก็เป็นปฏิกิริยาปกติเวลามีคนเห็นรูปลักษณ์อันน่าหวาดหวั่นของข้าอยู่แล้วนี่นา!!!?〗〝เปล่าๆ... ที่ทางนี้ตกใจหน่ะเป็นเพราะไม่รู้ว่าแกพูดได้ยังไงอยู่ต่างหากหล่ะ....〞〖....................................〗〖ตกใจเรื่องนั้นเองหรอกเรอะ!!!!!!!!〗〝อึ๊ย!!!!〞ยะ แย่หล่ะสิ
〖หึหึ... ดูเหมือนจะรู้ถึงพลังของข้าแล้วสินะเจ้าหนู〗〝กรอด !!!!!!!!!〞 และในขณะที่กรกำลังตกใจอย่างสุดขีดกับสเตตัสที่แสดงอยู่ตรงหน้า เคลเบรอสก็พูดขึ้นมาด้วยท่าทีที่ยังสบายๆเช่นเคย แถมน้ำเสียงยังมีอาการดูถูกเล็กน้อยอีกต่างหาก นั่นทำให้กรเริ่มที่จะทนฟังไม่ได้ ทั้งยังโมโหขึ้นมาจนต้องกัดฟันแน่นเลยทีเดียวเวรเอ๊ย!!! แบบนี้ก็หมายความว่าถ้าสร้างความเสียหายในการโจมตีแต่ละครั้งได้ไม่ถึง 12 ล้าน ก็จะโจมตีมันไม่เข้าเลยงั้นเหรอไม่สิ... คิดว่าเดิมทีสเตตัสพลังป้องกันไม่น่าจะคำนวณแบบนั้นนี่นา เพราะไอ้ที่สู้ด้วยในตอนที่อยู่จุดหนีนั่น พลังของฉันมีไม่พอที่จะมะลวงพลังป้องกันแน่ๆ แต่ก็ยังโค่นพวกนั้นได้......กริ๊ง!!! แล้วเสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นมาในสติของกร แล้วหน้าต่างนูเมรัลดิสเพลย์ซึ่งเป็นหน้าต่างช่วยคำนวณก็มาปรากฏตรงหน้าของกร พร้อมกับแสดงผลลัพธ์ที่ยิ่งทำให้กรหดหู่ยิ่งกว่าเดิม【คำเตือน! บอสมอนสเตอร์ข้างหน้ามีระดับสูงเกินไป ไม่สามารถหลบหนีได้! ความเป็นไปได้ที่จะหลบหนี คือ 0.000014% ความเป็นไปได้ที่จะชนะในการต่อสู้กับมอนสเตอร์ตรงหน้านั้น คือ 0.00000047% สามารถถ่วงเ
เวรเอ๊ย!!!......บัดซบ!!!ขยับซักทีสิฟ่ะ! แกเป็นร่างกายของฉันไม่ใช่รึไงกัน!!! เพราะโดนการโจมตีอันแสนหนักหน่วงของเคลเบรอสไปอย่างต่อเนื่อง จนทำให้กรในตอนนี้ไม่สามารถที่จะขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย ขณะที่เคลเบรอสเดินออกไปทางตรงข้ามเหมือนกับว่าหมดความสนใจในตัวกร กรจึงทำได้แค่หงุดหงิดอยู่ในใจเพียงเท่านั้นขยับ.....ขยับสิโว้ยยย!!!!!!บ้าเอ๊ย!!! แบบนี้มันก็เหมือนกับตอนนั้นเลยไม่ใช่รึไงกัน!!!ทำได้แค่จมอยู่กับความอัปยศของตัวเองอยู่ตรงนี้งั้นเหรอ.....ทำได้แค่ทนดูไอ้บ้านั่นมันหยามหน้าอยู่ตรงนี้งั้นเหรอ.....ทำได้แค่นอนรอความตายอยู่ตรงนี้งั้นเหรอ.....คิดว่าจะยอมรึไงกัน!.....อุตส่าห์ฟื้นขึ้นมาจากความตายนั่นได้แล้วแท้ๆเชียว!หลังจากผ่านเรื่องแบบนั้นมาแล้ว ใครมันจะไปอยากตายกันว่ะ!!!เวรเอ๊ย!!ขยับซิฟ่ะ!...ขยับซักทีสิโว้ยยย!!!!!! แน่นอนว่ากรยังไม่ยอมแพ้ซักนิดเดียว แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ร่างกายกลับมาทำตามคำสั่งแต่อย่างใด กรจึงทำได้แค่ตะโกนด่าทอตัวเองอยู่ในใจเท่านั้นเอง แต่ในขณะที่กรกำลังตะโกนแบบนั้นในใจอยู่เรื่อยๆนั้น ก็มีเสียงประกาศที่ไม่ทราบเพศดังขึ้นในสติของกร【เงื่อนไขเสร็จ
ยามเช้าอันสดใสมาพร้อมเสียงสัตว์อรุณสวัสดิ์เป็นกิจวัตรอันสร้างความสดชื่นรับวันใหม่ได้ทุกครา ไม่มีเสียงปลุกอะไรไพเราะไปกว่านี้ กับบรรยากาศสดชื่นและน่าเย้ายวนชวนให้ตื่นเช้าเช่นนี้ คงไม่มีใครหาญกล้านอนต่อได้นอกเสียจากคนที่ทำงานจนเหนื่อยล้าหรือกำลังอยู่ในช่วงขี้เกียจสันหลังยาว เว้นเสียแต่ว่าเธอคนนั้นไม่ได้หลับเสียตั้งแต่แรก ข้อยกเว้นดังกล่าวคือฟีโอน่าที่กำลังนั่งเขียนเอกสารในห้องส่วนตัวของเธอ ในบ้านส่วนตัวที่อยู่อาศัยร่วมกันกับครอบครัวของเธอตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนเช้าตรู่นี้ อันที่จริงต่อให้เธอทำงานค้างไว้ก็คงไม่มีใครว่าเธอได้ เพราะในอาณาจักรที่เธอปกครองตอนนี้ไม่มีใครใหญ่ยิ่งไปกว่าเธออีกแล้ว ต่อให้ประกาศกับเหล่าขุนนางไปแล้วว่าจะวางมือ แต่สถานะของอดีตราชินีและหนึ่งในสมาชิกปาร์ตี้ผู้กอบกู้โลกคงไม่มีใครกล้าหือแน่นอนต่อให้ลงจากตำแหน่งไปแล้ว สิ่งที่ผลักดันฟีโอน่าให้ทำงานจึงเป็นแรงขับเคลื่อนส่วนตัวอย่างความรับผิดชอบล้วน ๆ จะว่าต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเหล่าขุนนางก็คงได้ แต่อันที่จริง... สาเหตุหลักมันเป็นเพราะเธ
“ทนไม่ไหวแล้ว!!!” เสียงโหวกเหวกโวยวายเป็นสิ่งแรกของยามเช้าอันสดใสของพวกกร ความเหนื่อยล้าจากศึกกลางคืนทำให้ทุกคนยังงัวเงีย แต่ก็ตื่นเต็มตากันหมดเพราะเสียงตะโกนของตัวป่วนประจำบ้านอย่างอลิซ ด้วยความที่ทุกคนนอนบนฟูกปูพื้นทำให้ทุกคนนอนเกลื่อนกลาด และเพราะผ่านศึกอันหนักหน่วงกันมา ทั้งสาว ๆ และกรเลยมีแค่ผ้าห่มคนละผืนทับตัวเปล่า ๆ เหมือนเด็กแรกเกิด แต่สภาพแบบนั้นไม่ได้ทำให้อลิซร่าเริงน้อยลงเลย“ได้ยินป่าว! ฉันบอกว่า ‘ทน-ไม่-ไหว-แล้ว’ อ่ะ!” เธอทำแก้มป่องทุบพื้นหลายต่อหลายที ถึงไม่รู้ว่ากำลังหงุดหงิดเรื่องอะไรก็เถอะ“มีเรื่องอะไรแต่เช้าเนี่ย?” กรที่หนุนหมอนอยู่ถึงชันตัวขึ้น เขาต้องค่อย ๆ ใช้แขนสองข้างประคองให้มีอากับรินลงหนุนหมอนแทนจากที่นอนซบไหล่เขามาตลอดคืน อาจเพราะแบบนั้นด้วยมีอากับรินเลยทำหน้ามุ่ย แต่พอได้กรลูบหัวไปคนละสองทีพวกเธอก็ยิ้มพริ้มกันเพลินจนต้องหลับต่อ“หรือว่าอยากกอดเหรอ? งั้นมามะ” กรอ้าแขนเชื้อเชิญด้วยใบหน้าระรื่น เพราะเขาเองก็อยากจะกอดอลิซเหมือนกัน“ไม่ใช่ย่ะ! ไม่สิ... ถึงจริง ๆ จะอยากกอดก็เถอะ แต่ที่จะพูดมันไม่ใช่เรื่
————วันรุ่งขึ้นหลังจบศึก, ณ มหาดันเจี้ยนโบราณเด็กหนุ่มผู้โดดเดี่ยว ภายในมหาดันเจี้ยนโบราณของฟรังซ์ ออลเดลผู้เป็นเจ้าของนั้น มีดันเจี้ยนชั้นหนึ่งที่เป็นส่วนอยู่อาศัย หากนับตามลำดับคงเป็นชั้นที่ 101 ว่าไปแล้ว มันก็คือดันเจี้ยนชั้นเดียวกับที่กรและมีอาได้เข้ามาพักหลังจากที่เคลียร์ดันเจี้ยนแห่งนี้สำเร็จแล้วนั่นเอง คฤหาสน์ของฟรังซ์นั้นมีห้องอยู่จำนวนมากทั้งที่กำลังใช้งานอยู่และที่เป็นห้องว่างพร้อมให้ปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบต่าง ๆ ตามต้องการ ในบรรดาห้องว่างทั้งหลายเหล่านั้นคือห้องชั้นใต้ดินของอาคารหลักอันมืดมิด ได้ถูกดัดแปลงเป็นห้องกรงแบบง่าย ๆ คำว่าง่าย ๆ ที่ว่านั้น คือการใส่ลูกกรงเหล็กหน้าห้องแทนประตู พื้นที่เป็นดินไม่ได้รับการตกแต่งหรือทำความสะอาดเพื่อไว้ใช้ลงโทษ นอกเหนือจากนั้นคือกุญแจมือและเท้าที่ล่ามติดโซ่ผู้กระทำผิดเอาไว้ในฐานะนักโทษอยู่กลางห้องไม่ให้ขยับไปไหนได้ และคนที่ถูกล่าม ไม่สิ... ล่ามตัวเองอยู่นั้น ก็ไม่ได้เป็นใครอื่นนอกจากอาร์เคมีดีส ตัวอาร์เคมีดีสนั้นแม้จะถูกล่ามโซ่ในสภาพอนาถาแต่กิริยาของเขากลับยังนิ่งสงบ ทั้
————ก่อนหน้านี้เล็กน้อย“แล้ว... จะเอายังไงต่อดีล่ะเนี่ย” หลังออกมาจากมหาดันเจี้ยน ‘หมื่นเทวาใต้รัตนากร’ จนมาอยู่บนชายหาดของเกาะที่อยู่ใกล้ที่สุด เมอร์ลินก็เอ่ยถามขึ้นมาเป็นคนแรก เพราะอาเธนที่เป็นคนใช้ไอเทมทำให้ทุกคนออกมาได้รวมถึงมหาปราชญ์คนอื่น ๆ นั้นไม่ได้มาด้วย เนื่องจากจำเป็นต้องทำลายแกนพลังงานของดันเจี้ยนเพื่อลดอัตราการดูดซับเท่าที่จะทำได้แม้แกนกลางของดันเจี้ยนจะกลายเป็นลาสบอสพร้อมกับอาร์เคมีดีสไปแล้วก็ตาม และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่มันก็เหมือนถูกทิ้งไว้กลางทาง คำถามของเมอร์ลิน จึงไม่ใช่อะไรนอกจากการยืนยันสิ่งที่กรจะทำหลังจากนี้ ทั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็นและกังวล แต่ว่าก่อนหน้านั้น...“เดี๋ยวก่อนสิ! นี่จะไม่สนใจไอ้เจ้ายักษ์นั่นหน่อยเหรอเนี้ยว!?”“นะ นั่นสิคะ! นั่นน่าจะเป็นเรื่องที่ควรกังวลมากกว่านะคะ!” ในขณะที่ฟลอร่ากับซาช่าต่างก็ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าจนเหมือนคนสติแตก ซึ่งถ้าบนนั้นมีแค่เมฆสีครามเหมือนปกติก็จะดี แต่เพราะไม่ใช่ พวกเธอถึงกลัวจนขนลุกกันขนาดนั้น เพราะที่อยู่บนนั้น คือมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ที่มีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่า
————ในขณะเดียวกับที่อาร์เคมีดีสและกองยานผสมกำลังปะทะกัน ลึกลงไปใต้มหาสมุทรหลายกิโลเมตร ที่ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นคนละมิติกับโลกเบื้องบนเพราะเป็นทุ่งรกร้างไร้สิ่งมีชีวิตใด ๆ แม้แต่พืชมอสสีเขียวสักตนหรือหย่อมหนึ่งก็ไม่มี ไม่สิ... แบบนั้นคงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะในทุ่งโล่งกว้างแห่งนี้ มีเพียงบริเวณเดียวเท่านั้นที่เต็มไปด้วยผู้คนรวมตัวกัน โดยมีเหล่าหญิงสาวทั้ง 19 คนโอบกอดร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังถูกฟื้นฟูสภาพจิตใจ เสียงสะอื้นของเขาเบาบางลงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ถูกความอบอุ่นจำนวนมากจากครอบครัวคนสำคัญโอบล้อม หากว่าเด็กหนุ่มคนนี้... หากกรเป็นผืนแผ่นดินที่เหือดแห้งเพราะความสิ้นหวังจากความหวาดกลัวที่จะเป็นตัวของตัวเองมาตลอด เขาก็คงเป็นผืนแผ่นดินที่กำลังชุ่มชื่นและกำลังจะมียอดอ่อนแตกรากกลายเป็นต้นไม้อีกครั้งเพราะความกลัวเหล่านั้นกำลังหายไป ตัวเขารู้สึกแบบนั้น“ขอบคุณ... ขอบคุณนะ” กรเอ่ยย้ำแบบนั้น ตัวเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพูดคำนั้นออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วในขณะที่ออกแรงกอดเหล่าภรรยาของเขาไม่หยุด เช่นเดียวกับที่พวกเธอเองก็โอบกอดเขากลับมา ตอนนี้ทั้
นานมาแล้ว... นานมากเสียจนจำเวลาที่แน่นอนไม่ได้ตัวฉันแต่เดิมเป็นเพียงจอมเวทธรรมดามาตั้งแต่เกิดในโลกที่ทุกคนใช้เวทมนตร์ได้เป็นปกติ ฉันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนักนอกจากเวทเคลื่อนย้ายในระยะไม่กี่เมตรที่ใช้ได้ตั้งแต่เด็ก กับความสามารถในการดัดแปลงพลังเวทมาใช้ในรูปแบบที่ต้องการหากจะมีสิ่งใดที่แตกต่างจากผู้อื่นในวัยเดียวกัน คือทัศนคติในการดำรงชีวิต หรือเหตุผลสำหรับการมีชีวิตอยู่กระมังเราเกิดมาทำไม... เรามีชีวิตอยู่ไปทำไม... นั่นคือคำถามสำคัญที่ทุกคนควรจะรู้แต่น้อยคนนักจะตั้งคำถามอย่างจริงจังเรื่องเหตุผลที่เกิดมานั้นไม่อาจรู้ได้... แต่เหตุผลที่เราทุกคนมีชีวิตอยู่ก็เพื่อความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย และคงเป็นคำตอบที่ถูกต้องสำหรับทุกคนทุกกรณี จะต่างก็เพียงแค่สิ่งที่ทำให้มีความสุขเท่านั้นบางคนอาจเป็นอาหารเลิศรส เสียงดนตรีอันไพเราะเสนาะหู ภาพวาดวิจิตรตระการตาหรือกลิ่นหอมหวนชวนหลงใหลแบ่งแยกประเภทมากมายตามแต่สิ่งที่แต่ละคนนั้นได้สั่งสมความชอบมาแต่กำเนิดสำหรับฉัน คือรอยยิ้มแต่ไม่ใช่รอยยิ้มของตัวฉันเอง... หากแต่เป็นรอยยิ้มของคนอื่นฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งแรกที่มีความสุขกับเรื่องแบบนี้นั้นคือเมื่อไหร
หลังจากที่ถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แน่นอนว่าฉันเองก็ตกใจ ไม่สิ... ใครล่ะจะไม่ตกใจเมื่อเรื่องที่เหมือนกับนิยายที่เคยอ่านมันเกิดขึ้นจริงกับตัวเองแต่ว่าในขณะเดียวกัน ฉันก็แอบดีใจนิดหน่อยที่มันเกิดขึ้นสาเหตุก็ไม่ใช่อะไรหรอก... นั่นเพราะว่าการถูกเคลื่อนย้ายมาต่างโลก มันก็เหมือนกับได้รีเซทสภาพแวดล้อมทั้งหมดนั่นแหล่ะในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ถ้าเป็นในต่างโลกนี่ ฉันจะสามารถสร้างสถานการณ์ที่จะเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง ตัวฉันในตอนนั้นคิดแบบนั้น และคาดหวังแบบนั้นทว่าในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลยเหมือนกับโชคชะตากำลังเล่นตลกกับฉัน... หรือถ้าพระเจ้ามีจริง หมอนั่นคงกำลังแกล้งฉันอยู่แน่ ๆฉันอดคิดแบบนั้นไม่ได้เพราะสเตตัสของฉันมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินผิดกับของคนอื่น ทั้งที่พละกำลังพื้นฐานของฉันในโลกก่อนมันสูงกว่าคนปกติทั่วไปแท้ ๆถึงจะไม่ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่นี่มันก็ผิดปกติอยู่ดี...ยังไงก็เถอะ ฉันเองก็รู้อยู่ว่าก่นด่าโชคชะตาไปมันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้เพราะงั้นก็เลยใช้วิธีเดิมในการแก้ปัญหา นั่นก็คือ ‘ช่างหัวมัน’ยิ่งถูกตอกย้ำด้วยการกลั่นแกล้งทับถมจากเจ้าเสือและทุกคนในโรงเรียนก็ยิ่งทำให้ฉ
“พวกนายได้เริ่มคิดกันยังว่าโตไปจะทำอะไร?” ในระหว่างที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้านของกรหลังเลิกเรียนเหมือนอย่างเคย อยู่ ๆ โชตก็เปิดประเด็นขึ้นมาอย่างนั้น น้ำเสียงของเขาแม้จะดูขอไปที แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกจริงจังอยู่เหมือนกันจากสีหน้าของเขา อนึ่ง... เป็นปกติที่ส่วนใหญ่แล้วหลังเลิกเรียนทุกคนจะมารวมตัวกันที่บ้านของกรทันที จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ทุกคนจะยังสวมชุดนักเรียนกันอยู่ อย่างเช่นตอนนี้ที่ทุกคนนั่งกระจัดกระจายตามโซฟา โดยกร โชตและชาญนั่งโซฟาตัวเดียวกัน ส่วนรินกับอลิซนั่งด้วยกันที่โซฟาอีกตัวฝั่งที่ติดกับกร นั่นคือเรื่องปกติของกลุ่มนี้ จะมีต่างไปก็แค่บรรยากาศเท่านั้น... ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ที่ออกไปในทางจริงจังเพราะโชตเปิดประเด็นอย่างนั้นขึ้นมา“อืม... ผมก็คงเป็นข้าราชการนั่นแหล่ะนะ” ชาญตอบแบบแทบไม่ต้องคิด เพราะดูเหมือนเขาจะมีเป้าหมายของตัวเองอยู่แล้วตั้งแต่แรก“แบบนั้นก็ดีนะ” กรพยักหน้าหลังวางมือจากเครื่องเล่นเกมในมือ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาเสียแต้มแต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับหันไปมองคู่สนทนาอย่างชาญ“นั่นสิ ทั้งมั่นคงทั้งมีสวัสดิการ พ่อ
หลังจากที่ฉันสงบสติอารมณ์ตัวเองได้ ฉันก็รีบโทรหาชาญก่อนใครเลยในตอนที่ไม่รู้ว่าจะขอความช่วยเหลือจากใคร เขาเป็นคนแรกที่ฉันนึกถึง... เพราะหมอนั่นเป็นคนเดียวที่จะทำตามคำขอทุกอย่างของฉันถึงแม้ว่าจะไม่ชอบมันก็ตามนั่นแหล่ะแต่ก็ไม่ได้ขออะไรมากไปกว่าผ้าพันแผลสะอาด ๆ หรอกนะส่วนเรื่องแผลก็ไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่คิดจนน่าประหลาดใจเลย... แค่พันแผลแล้วกดแผลไว้ ไม่กี่ชั่วโมงแผลก็ปิดสนิทจนต้องตั้งคำถามกับตัวเองเลยล่ะว่าฉันเป็นมนุษย์แน่รึเปล่า?แต่จะว่าไม่เป็นไรเลยก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะอย่างน้อยก็ได้แผลเป็นติดแถวชายโครงขวาพอมานึกดู... เมื่อตอนเด็กก็ได้แผลเป็นมาเพราะปกป้องรินด้วยเหมือนกันนี่นะ อะไรจะบังเอิญได้ขนาดนี้ไม่รู้พวกเธอจะรู้สึกผิดในตอนที่เห็นมันอีกไหม...แต่เรื่องนั้นมันก็ช่วยไม่ได้แหล่ะนะ เพราะถ้าสถานการณ์กลับกัน เป็นฉันเองก็คงรู้สึกผิดไปจนวันตายนั่นแหล่ะยังไงก็ตาม... วันถัดมาฉันก็เลยจำต้องแกล้งป่วย และเพราะไม่อยากให้มีคนเป็นห่วงมากเกินไปก็เลยกำชับกับอลิซและชาญว่าให้เก็บเป็นความลับ รวมถึงช่วยบอกให้โชตกับรินอย่ามาเยี่ยมด้วยเพราะไม่งั้น ถ้าได้ยินไปถึงหูของพ่อแม่รินกับโชตเข้าล่ะก็ คงได้