หลังจากที่นายอำเภอหวังได้ลากตัวบัณฑิตเฝิงและเสี่ยวชิวผู้เป็นฆาตกรตัวจริงจากไปแล้ว คืนนั้นทั้งคืนเรือนเมฆาคล้อยก็ตกอยู่ในความเงียบงันอันน่าประหลาด
ไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบกระซาบใด ๆ มีเพียงสายลมยามค่ำคืนที่พัดหวีดหวิวราวกับกำลังขับขานเรื่องราวที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งเพิ่งเกิดขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวลือก็ได้แพร่สะพัดออกไปไกลเกินกว่าแค่ในเรือนพัก...ชาวบ้านในหมู่บ้านเมฆาคล้อยต่างร่ำลือกันปากต่อปากถึงคุณชายหลี่เหยาบัณฑิตหนุ่มปริศนาผู้ปรากฏตัวขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน
แต่กลับสามารถคลี่คลายคดีฆาตกรรมซ้อนที่ซับซ้อนได้ราวกับมีตาทิพย์ สามารถมองเห็นเรื่องราวทะลุปรุโปร่งไปเสียทุกอย่าง แต่เจ้าของตำนานคนใหม่ในยามนี้กลับกำลังนั่งขมวดคิ้วอยู่เงียบ ๆ ภายในห้องพักของตน
หลังจากจื่อเหยาพักผ่อนได้ไม่นาน ร่างโปร่งแสงสองร่างก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของนาง จึงทำให้เธอสะดุ้งตกใจเล็กน้อยก่อนจะเก็บอาการของตนให้เป็นปกติ
'ทำไมยังอยู่กันอีก' นางคิดอย่างสงสัยถึงวิญญาณทั้งสองดวงที่กำลังมองมาทางตนด้วยความซาบซึ้งใจ
และยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะได้รับคำตอบ ร่างน่าสังเวชใจทั้งสองก็ได้คุกเข่าลงและคำนับนางอย่างนอบน้อมเป็นการขอบคุณที่ช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้แก่พวกเขา
'เอาละ ข้ารับคำขอบใจของพวกเจ้าแล้ว' นางกล่าว ก่อนจะรู้สึกแปลกใจที่ยังไม่เห็นร่างวิญญาณทั้งคู่จะหายไป
'พวกท่านไปตามทางของตนเถอะ' นางกล่าวออกมาอีกครั้ง ทว่าทุกสิ่งก็ยังคงเหมือนเดิม อีกทั้งดูเหมือนว่าร่างของพวกเขากลับเด่นชัดขึ้นจากเดิมและไม่มีทีท่าว่าจะจากไปเสียด้วย
[ติ๊ง!] ในขณะที่หรงจื่อเหยายังจับต้นชนปลายไม่ได้ เสียงของระบบไขความจริงพลันดังขึ้นในหัวของเธอ
[ท่านไขคดีฆาตกรรมซ้อนและเปิดโปงแผนการที่ซับซ้อนได้สำเร็จ รางวัลพิเศษ: องครักษ์แห่งวิญญาณระดับ 1 คำอธิบาย: วิญญาณของผู้ตายที่ท่านช่วยเหลือและมีความผูกพันกับคดี จะถูกผูกติดและยอมรับท่านเป็นนายหญิง และท่านสามารถเรียกใช้เพื่อสืบข่าวสารในบริเวณที่วิญญาณสิงสู่ได้จนกว่าพวกเขาจะหมดห่วงอย่างแท้จริง]
"อะไรนะ!?" จื่อเหยาเผลอร้องออกมาเสียงดัง พร้อมกับยกมือขึ้นกุมขมับทันที (ให้ตายสิ! แค่เห็นผีก็ปวดหัวจะแย่แล้ว นี่ยังจะมีวิญญาณมาเป็นผู้ติดตามอีกอย่างนั้นเหรอ)
แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดอะไรต่อ เสี่ยวชุนก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดอาหารเช้าพอดี
"คุณหนู ท่านดูสิเจ้าคะ พวกเขาใช่กลั่นแกล้งเราหรือไม่" เสี่ยวชุนฟ้องผู้เป็นนายทันทีด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
จื่อเหยามองสิ่งที่วางอยู่บนถาดนั้นแล้วก็ทำให้นางต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่...เพราะมันคือข้าวต้มถ้วยเล็ก ๆ ที่เหลวใสจนแทบจะไม่มีเมล็ดข้าวให้เห็น
ทว่า...ในวินาทีนั้นเอง จื่อเหยาก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา นางเหลือบมองชามข้าวต้มในถาดสลับกับวิญญาณสองตนที่ยืนนิ่งอย่างนอบน้อมอยู่ห่าง ๆ
(หึ หึ ในวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ) นางคิด ก่อนจะหันไปทางดวงวิญญาณทั้งสองตน 'ข้ายอมรับพวกเจ้าเป็นองครักษ์วิญญาณก็ได้ แต่มีเงื่อนไข'
วิญญาณทั้งสองพยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียง
'พวกเจ้าต้องทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของข้าในเรือนนี้ดีขึ้นข้าต้องการรู้ความลับของทุกคนที่นี่ ใครก็ตามที่สามารถทำให้ข้าอยู่ดีกินดีและจัดการบ่าวไพร่พวกนี้ให้อยู่หมัดได้ ข้าจะยอมรับพวกเจ้าเป็นองครักษ์'
อาเฉียงซึ่งเป็นวิญญาณบุรุษดูจะมีโทสะมากกว่านางจาง 'นายหญิงโปรดบัญชามาเถิด หรือจะให้ข้าน้อยไปหลอกหลอนพวกมันให้จับไข้หัวโกร๋น พวกมันจะได้ไม่กล้าหือกับนายหญิงอีก' แม้น้ำเสียงของเขาจะยานคางกระนั้นใบหน้าแทบจะฉีกคนให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้เลยทีเดียว
"ไร้ประโยชน์" จื่อเหยาเผลอแย้งขึ้นอย่างลืมตัว
"คุณหนู ท่านหมายถึงบ่าวหรือเจ้าคะ" เสี่ยวชุนทำหน้าตาจะร้องไห้หลังได้ยินคำพูดของผู้เป็นนาย
"ไม่ใช่ ข้าไม่ได้ว่าเจ้าข้ากำลัง..." จื่อเหยารู้สึกอับจนหนทางยิ่งนัก เพราะหากจะให้นางพูดความจริงก็กลัวบ่าวตัวน้อยจะหวาดกลัว "ข้าว่าบ่าวพวกนั้นต่างหาก" จื่อเหยารีบแก้ตัว
"จริงนะเจ้าคะ" แววตาของเสี่ยวชุนในตอนนี้ช่างเหมือนลูกสุนัขตัวน้อยไม่มีผิด มันทั้งดูใสซื่อและบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก
"จริงสิ" จื่อเหยายืนยัน ก่อนจะแสร้งหลับตาและสื่อสารกับวิญญาณตรงหน้าต่อไป 'หากพวกมันป่วยกันหมด แล้วใครจะทำงานให้ข้าเล่า? ข้าไม่ต้องการความวุ่นวาย ข้าต้องการการควบคุมและการควบคุมที่ดีที่สุด...มาจากข้อมูล เข้าใจหรือไม่'
เมื่อได้ยินเช่นนั้น วิญญาณของนางจางซึ่งเคยเป็นหัวหน้าแม่ครัวและรู้เรื่องชาวบ้านดีที่สุดก็ตาโตเป็นประกาย นางรีบรายงานทันที
'นายหญิงเจ้าคะ! นางหลิน...คนที่ขึ้นมาเป็นแม่ครัวแทนบ่าว มันชอบยักยอกของดี ๆ ในครัวไปให้บ้านสามีของมันเสมอเจ้าค่ะ! แล้วก็เอาของเน่าเสียมาทำอาหารให้บ่าวไพร่กิน!'
อาเฉียงรีบเสริมเพราะกลัวจะไม่ได้รับการยอมรับ 'ถ้าเรื่องเช่นนี้ ข้าน้อยก็พอรู้เรื่องของพ่อบ้านสวีมาเหมือนกันขอรับ ชายคนนี้แม้เขากลัวภรรยาของตนเองยิ่งกว่าอะไรดี แต่กลับแอบเลี้ยงดูแม่นางไป๋หลี่นักแสดงจากโรงงิ้วในอำเภอไว้เป็นบ้านเล็ก ซ่อนไว้ที่กระท่อมท้ายหมู่บ้านขอรับ!'
หลังจากนั้นเรื่องราวซุบซิบและความลับสกปรกของคนในเรือนก็พรั่งพรูออกมาจากปากของวิญญาณทั้งสองไม่หยุด จนจื่อเหยามองเห็นช่องทางที่จะพลิกสถานการณ์ของตนเองได้อย่างชัดเจน
นางยิ้มมุมปาก 'ดี...ดีมาก' สิ้นคำกล่าวนี้นางก็พลันลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับหันไปสั่งบ่าวรับใช้ผู้ซื่อสัตย์
"เสี่ยวชุน เจ้าจงไปที่โรงครัว บอกนางหลินว่าข้าวต้มถ้วยนี้ไม่ใช่อาหารสำหรับคุณหนูใหญ่ ให้ทำสำรับใหม่มาให้ข้าเดี๋ยวนี้ต้องเป็นข้าวสวยร้อน ๆ กับข้าวสามอย่างที่ดีที่สุด"
"แต่ว่า...นางหลินคงไม่ยอมแน่เจ้าค่ะ" เสี่ยวชุนกล่าวอย่างกังวล
"ถ้าเช่นนั้นก็ดี...ข้าจะได้มีเหตุผลไปเยี่ยมเยียนโรงครัวด้วยตนเองสักครา"
และก็เป็นดังคาด ไม่นานนักเสี่ยวชุนก็วิ่งหน้าตื่นกลับมารายงานว่านางหลินไม่ยอมทำตาม แถมยังอ้างว่าเป็นคำสั่งของพ่อบ้านสวีที่ให้ประหยัด
จื่อเหยาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง นางเดินออกจากห้องพักเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่คดีคลี่คลาย การปรากฏตัวของนางทำให้เหล่าบ่าวไพร่ที่อยู่บริเวณนั้นต่างพากันหยุดชะงักและหลีกทางให้โดยอัตโนมัติ พร้อมกับทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่นางด้วยความยำเกรงอย่างไม่รู้ตัว
นางเดินตรงไปยังหน้าโรงครัว ที่ซึ่งพ่อบ้านสวียืนกอดอกรออยู่ด้วยสีหน้าไม่พอใจหลังจากได้ยินคำขอของคุณหนูผู้ถูกเนรเทศ
"คุณหนูใหญ่ ท่านมีธุระอะไรกับโรงครัวเช่นนั้นรึ?" เขาถามเสียงแข็ง จื่อเหยาไม่ตอบคำถามนั้น แต่นางก้าวเข้าไปใกล้แล้วกระซิบด้วยเสียงที่เบาพอให้ได้ยินกันแค่สองคน
"พ่อบ้านสวี...ข้าไม่ทราบว่าการประหยัดของท่าน จะรวมถึงค่าใช้จ่ายที่ท่านมอบให้...แม่นางไป๋หลี่ด้วยหรือไม่ ข้าอยากรู้ยิ่งนัก หากฮูหยินของท่านที่อยู่ในเมืองหลวงทราบเรื่องนี้เข้านางจะว่ากระไร?"
ฉับพลัน! ใบหน้าที่เคยขึงขังของพ่อบ้านสวีก็ซีดขาวราวกับไก่ต้ม! เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นเต็มหน้าผาก เขามองจื่อเหยาด้วยสายตาราวกับเห็นภูตผีปีศาจ
ที่เขาหวาดกลัวนั้นย่อมมีเหตุผลหากนังแก่ที่เมืองหลวงรู้เข้า...เขาจะมีความสุขได้เช่นไรอีกทั้งไหนจะงานนี้อีก รวมถึงผลประโยชน์ที่ควรได้อีกหลายอย่างด้วย ที่สำคัญคือไป๋หลี่นางกำลังมีทายาทตัวน้อย ๆ ให้เขาเชยชม
ทว่า "คุณหนูใหญ่ท่านพูดอะไร" เขายังแสร้งทำเป็นไขสือ
"ท่านไม่รู้จริงอย่างนั้นหรือ" หรงจื่อเหยาหรี่ตามอง ซึ่งท่าทางเช่นนี้ของนางยิ่งทำให้พ่อบ้านวัยกลางคนเริ่มรู้สึกหนาวไปถึงไขสันหลัง กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมรับ
"ถ้าเช่นนั้นเห็นทีว่า ข้าคงต้องไปเยี่ยมแม่นางไป๋หลี่ที่คณะโรงงิ้วสักหน" จบคำพูดนี้พ่อบ้านผู้ทระนงตนก็หน้าซีดเอ่ยปากสั่นทันที
"ขะ...ข้าน้อยผิดไปแล้ว!" เขากล่าวพลางค้อมตัวลงต่ำจนแทบจะติดพื้น พร้อมกับคิดว่า (นางรู้ได้อย่างไร) เจ้าตัวพยายามขบคิดและก็ได้โยงไปถึงญาติผู้น้องของคนตรงหน้า (หรือว่าคุณชายหลี่คนนั้นจะมีตาทิพย์จริง ๆ )
"ข้าน้อยผิดไปแล้วขอรับ! ข้าน้อยจะสั่งให้โรงครัวจัดสำรับที่ดีที่สุดให้คุณหนูใหญ่ทันทีขอรับ! ขอคุณหนูใหญ่โปรดเมตตาด้วย!"
"ได้สิ หากท่านดูแลข้าเป็นอย่างดี เรื่องอาหารการกินรวมถึงเบี้ยหวัดที่ควรได้ก็ต้องได้ ข้ารับรองได้ว่าลูกชายของท่านจะคลอดออกมาอย่างปลอดภัย" จบคำกล่าวนี้ของนางก็ยิ่งทำให้ใบหน้าของพ่อบ้านเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเป้ง ๆ ผุดขึ้นมามากมาย
"ขะ...ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ" พ่อบ้านสวีตอบรับเสียงสั่น และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาหรงจื่อเหยากับเสี่ยวชุนก็ใช้ชีวิตสุขสบายขึ้นมากภายในเรือนเมฆาคล้อยแห่งนี้อย่างแท้จริง