[พาร์ท : ขาล]
ย้อนไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน
ผมกระดกเหล้าอยู่ในคลับ ที่ปลายหางคิ้วแตกเพราะมีปัญหากับเทคนิกวิทยาลัยตรงข้ามนิดหน่อย เรามีปัญหากันเรื่องแหวนรุ่นที่ออกแบบคล้ายกันโดยบังเอิญ แน่นอนว่าอีกฝ่ายเป็นพวกอีโก้จัดไม่ชอบเหมือนใคร เลยยกพวกมาตะลุมบอนระหว่างที่ผมกับเพื่อนขึ้นรถเมล์ด้วยเรื่องปัญญาอ่อนแค่นั้น
แต่ก็อย่างว่า ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายมันสูงเหมือนตึก ขนาดแค่มองหน้ากันยังไม่พอใจจนแทบฆ่ากันตาย นับประสาอะไรกับแหวนรุ่นที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แทนศักดิ์ศรีฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ของเด็กช่าง
แต่ถ้าถามว่าเรื่องนั้นเป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำให้ผมให้ความสำคัญจนถึงขั้นมานั่งก๊งเหล้ากับเพื่อนทั้งที่ปกติจะนอนอยู่บ้านมั้ย
ไม่ว่ะ ผมไม่ใส่ใจ
ผมก็แค่อกหัก แล้วก็กำลังหาที่พึ่งทางใจที่ไม่ใช่การจีบผู้หญิงคนใหม่ และมันก็มาลงตัวที่น้ำเมามากกว่า
“พี่หมี่อายุยี่สิบห้าแล้ว ก็ไม่แปลกมั้ยวะที่จะมีคนคุย” เพื่อนในกลุ่มเดียวกันเริ่มเข้าประเด็นที่จี้ใจมาตลอดขึ้นในขณะที่นั่งกระดิกตีนชงเหล้าอยู่อีกฝั่ง ผมนั่งเงียบ ก่อนที่จะเสยผมยาวๆ ของตัวเองขึ้นอย่างหัวเสีย
“กูรู้ ไม่ต้องย้ำ” เสียงที่เปล่งออกไปห้วนจัดซะจนเพื่อนต้องเงียบกันทั้งกลุ่ม เพราะมันรู้ดีว่าถ้าเป็นเรื่องของเธอ มักจะมีอิทธิพลในใจผมเสมอ เพราะถ้าเกิดพูดอะไรไม่เข้าหูกว่านี้ ผมอาจจะลงมือทำอะไรลงไปก็ได้
ผมชื่อ ‘ขาล’ เป็นเด็ก ปวส. ปีหนึ่ง เทคนิคเครื่องกลหรือเรียกง่ายๆ ว่าเด็กช่างยนต์อย่างที่รู้จักกันทั่วไป เห็นแบบนี้จะให้พูดว่าวันๆ มีแต่เรื่องตีกันก็ไม่ถูก เพราะเด็กช่างก็เหมือนนักเรียนนักศึกษาทั่วไป แค่เน้นไปทางสายอาชีพ เรียนหนักไม่ต่างกับสายอื่น แต่ไม่ได้เรียนทุกวัน มันเลยมีบ้างที่บางวันจะต้องมีเรื่อง เพราะพอผู้ชายมาอยู่รวมกันมากๆ ปัญหาก็เกิดขึ้นง่าย และมักจบด้วยการใช้กำลัง
ใช่ และผมก็เป็นหัวหน้าเทคนิกเครื่องกลรุ่นปัจจุบัน ที่ควบคุมกลุ่มเด็กช่างยนต์เป็นจำนวนเกือบร้อยในวิทยาลัย นั่นเพราะนิสัยส่วนตัวที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับใครง่ายๆ ต่อยตีเก่ง ตัวใหญ่กว่าคนอื่นด้วยส่วนสูง 190 พร้อมลายสักเต็มตัว ท่าทางโดดเด่นที่ดูจะเป็นผู้นำคนได้ ก็เลยได้รับการยอมรับจากรุ่นพี่ปีที่แล้ว
ซึ่งผมมีชีวิตที่เลือดร้อนอย่างงี้เป็นปกติมาตลอด จนกระทั่ง ‘เธอ’ บอกว่าอยากให้ผมหยุด
ใช่ และเธอที่ว่าก็คือผู้หญิงในบทสนทนาที่ทำให้ผมช้ำใจจนถึงที่สุดในวันนี้ หลังจากที่รู้มาว่าเธอมีคนคุยจากที่ปล่อยตัวโสดมาจนอายุยี่สิบสี่ ไม่สนว่าจะเป็นใครด้วย เพราะถ้ายิ่งรู้อาจจะเกิดอาการอยากตามไปฆ่ามันให้แหลกคามือที่อาจริมายุ่งกับผู้หญิงที่ผมหมายปองมานานก็ได้
เธอชื่อ ‘บะหมี่’ เป็นเจ้าของชื่ออาหารที่ผมชอบเป็นอันดับหนึ่ง และยังเป็นชื่อของผู้หญิงที่ผมชอบมาตั้งแต่เด็กจนโต
พี่หมี่เป็นลูกสาวของลุงบ้านข้างๆ ผมกับเธอรู้จักกันตั้งแต่เด็ก ซึ่งผมในตอนนั้นมันก็แค่เด็กผู้ชายทั่วไปที่ไม่รู้ประสีประสาอะไร รู้แค่อย่างเดียวว่าพี่บะหมี่คือผู้หญิงที่คอยเล่นกับผมตั้งแต่ยังเด็ก เธอหน้าตาสวย ผมดำขลับยาวถึงหลัง และตัวเล็กน่ารัก เธอเป็นผู้หญิงคนแรกๆ ได้มั้งในชีวิตผม และผมก็แอบชอบเธอมาโดยตลอด
พี่หมี่เคยพูดกับผมว่าสเป็คผู้ชายในฝันของเธอจะต้องเป็นผู้ชายที่เข้มแข็ง ตัวใหญ่ แข็งแรง ซึ่งผมก็พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองทุกอย่างให้เป็นอย่างที่เธอชอบ จากเด็กผู้ชายตัวเล็กเท่าลูกหมา กลายเป็นยักษ์ใหญ่ ผมสัก ต่อยตี ทำทุกอย่างให้เธอเห็นว่าผมแข็งแกร่งกว่าผู้ชายคนอื่น
พี่หมี่เริ่มเรียนหมอและจบออกมาทำงานเป็นแพทย์หญิงที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผมรู้ว่าเธอโสดมาจนอายุยี่สิบสี่ จนเมื่อไม่กี่วันรู้จากสายมาว่าเธอเริ่มไปไหนมาไหนกับผู้ชายคนนึง ซึ่งดูทรงน่าจะยังเป็นแค่คนคุย
ไม่ว่าจะหน้าไหนก็ตาม กูชอบเธอก่อน กูมองมาตั้งนาน ทำทุกอย่างเพื่อพี่หมี่คนเดียว คนที่เธอจะคบด้วยต้องเป็นกูดิวะ
แต่ในบางทีก็รู้สึกหงุดหงิดกับความใจแคบของตัวเองเหมือนกันว่ะ
ให้ตาย แม่งเพราะพูดกี่ทีว่าชอบ พี่หมี่ก็ได้แต่ยิ้ม ไม่ตอบอะไร ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เธอเป็นผู้หญิงที่ผมเดาใจไม่เคยถูก
ช่างแม่งละกัน แดกเหล้าให้เมา แล้วกลับไปคลั่งรักต่อจนกว่าจะตาย
ยังไงก็เลิกชอบไม่ได้อยู่แล้ว
“เฮ้ยๆ ไอ้ขาล มึงใจเย็น” เพื่อนร่วมวงเหล้ามองผมที่ยกขวดวอดก้าซดลงคออย่างบ้าคลั่ง ผมกระดกจนครึ่งขวดพร้อมกับใช้หลังมือปาดริมฝีปาก ไอ้ช้ำอ่ะมันช้ำอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้ตัดใจแค่เพราะรู้ว่าเธอคุยๆ กับใคร ก็คงไม่
ผมผงกหัวไปข้างหลัง เอนตัวพิงกับเก้าอี้ วอดก้าแค่นี้ไม่ทำให้ผมเมาได้หรอก เพราะผมเมาอย่างอื่นไปแล้วไง
อย่างเช่น... เมารักพี่หมี่
จนสายตาตวัดไปที่โต๊ะข้างหลัง มีผู้หญิงในเรือนผมสีชมพูอ่อนเต้นส่ายสะโพกได้รูปอย่างยั่วยวนอยู่กลางวง ผมจ้องไปที่เธอนิ่ง ก่อนที่จะแค่นหัวเราะ
คิดว่าอกหักเฉยๆ เลยมาที่นี่เหรอไง
ชีวิตผมขับเคลื่อนด้วยพี่หมี่ ที่ทำอยู่อ่ะ จงใจล้วนๆ
นั่นก็เพราะว่าทุกวันเสาร์เธอจะไม่ต้องเข้ากะกลางคืน พี่หมี่ก็จะมาปลดปล่อยที่คลับนี้เป็นประจำ และผมก็จะตามมาเป็นสตอล์กเกอร์เฝ้าเธอทุกครั้ง เหมือนชีวิตมีเวลาว่างมาก
น่าตลกดีที่ทำยังไงก็ตัดใจจากเธอไม่ได้
และเพราะหุ่นสะบึมเย้ายวนของคนตัวเล็กที่โยกอย่างเร้าอารมณ์อยู่ตรงนั้น แม้ว่าจะเป็นมุมอับที่เธอถือโอกาสปลดปล่อยความเครียดจากงาน แต่ก็ยังสะกดสายตาของผู้ชายทั่วไปให้มองมาที่เอวคอดกิ่วที่พลิ้วไหวอยู่ดี
ชุดที่ใส่วันนี้ก็โป๊น่าดู
ไม่ชอบ รู้มั้ย
ผมกัดฟันแน่นตอนที่กำขวดเหล้าจนแทบแหลก เพื่อนในวงเหล้าเองก็พอรู้ใจว่าทำไมผมถึงมาที่นี่ เลยได้แต่นั่งกระดกเหล้าลงคอมองผู้หญิงแถวๆ นี้ไปเงียบๆ ไม่มีใครกล้ามองไปทางพี่หมี่ตรงนั้นแม้เธอจะสะกดสายตาแค่ไหน เพราะรู้ดีว่าผมมันขี้หวงเหมือนหมาบ้า
จนกระทั่งมีผู้ชายคนนึงมายุ่มย่ามกับเธอ ผมถึงได้หยัดกายลุกขึ้นเต็มความสูง แล้วเดินออกไปโดยไม่มีเสียงห้าม พวกมันรู้ดีว่าผมเป็นคนยังไง และไม่มีใครห้ามเวลาผมโกรธได้
หมับ
ฝ่ามือหนาคว้าข้อมือเล็กของผู้หญิงในชุดเดรสเกาะอกสั้นให้หันกลับมา หลังจากที่เห็นว่าเธอกำลังจะชนแก้วกับไอ้หน้าไหนสักคนในคลับ พี่หมี่ชะงัก เธอตัวเล็กเพราะส่วนสูงแค่ 158 เลยต้องแหงนหน้าขึ้นมองผมที่รวบไหล่มนเข้ามาชิดอก จนผู้ชายที่ตั้งท่าจะชนแก้วกับเธอต้องถอยหนีไปเพราะท่าทางผมมันกำลังหวงเธอได้ที่จนมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากสีหน้า
“อะ น้องขาล” ถึงผมจะโตจนตัวใหญ่กว่าเธอมากขนาดนี้ พี่หมี่ก็ยังทำเหมือนผมเป็นเด็กอยู่ดี ดูเหมือนเธอจะไม่รู้สึกตัวเลยว่ากำลังโดนหึงหวงจนแทบบ้า จะทำยังไงก็ไม่เคยรู้ “บังเอิญจังเลย”
“ครับ บังเอิญ” ผมโกหก ทั้งที่จริงๆ จงใจมาแดกเหล้าที่นี่เพราะรู้ว่าเธอจะมาปล่อยตัวในนี้ ถ้าบอกว่าผมแค่หวง คงไม่ใช่ เพราะผมทั้งหวง ทั้งห่วง และจะตามเธออยู่แบบนี้จนกว่าเธอจะถีบหัวส่งผมไปแบบ ‘จริงจัง’ “พี่หมี่ปล่อยตัวจังนะครับวันนี้”
อดที่จะดุไม่ได้ เพราะรู้ว่าพี่หมี่เขาขี้ยั่ว แต่ก็ดูเหมือนว่าคนตัวเล็กในอ้อมแขนจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่
“อื้อออ วันนี้เจอเรื่องแย่ๆ ที่รอพอมาอ่ะ” รอพอที่ว่าคงเป็นคำย่อที่ใช้เรียกโรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่ ร่างเล็กซุกหน้ากับอกหนาของผมอย่างออดอ้อนเหมือนที่เธอทำประจำ และผมไม่รู้ว่าเธอเจตนาเพราะเธอมีใจ หรือเธอแค่ขี้อ่อย แต่ก็ไม่เคยห้ามที่เธอเข้ามาแหย่แบบนี้เหมือนกัน “พี่เมามากเลยยย”
“ผมรู้” ใช่ ถ้าอ้อนเก่งถูไถเก่งขนาดนี้ คงเมาพอตัว
“ขาลไปส่งพี่ที่ห้องหน่อยสิ” ดวงหน้าหวานเงยหน้าขึ้นชันคางกับอกหนาของผมพร้อมกับคำเชิญชวนกลายๆ พาลทำให้ใจสั่น
ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ชิน แต่เธอเป็นคนที่ผมชอบมาก แถมตอนนี้ผมก็เมาอยู่ด้วย
“ที่คอนโดพี่เหรอครับ” โคตรชอบ อยากพาเธอกลับตอนนี้ทั้งๆ ที่เพิ่งก๊งเหล้าไม่ถึงชั่วโมง แต่ต้องทำเหมือนไม่รู้สึกเหี้ยอะไร
“อื้อ พี่รู้ว่าขาลรู้ว่าพี่ออกมาอยู่คนเดียวแล้ว ใช่มั้ยคะ”
“ใช่ ผมรู้” ผมตอบเพราะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเธอหมด ไม่ว่าจะเรื่องโรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่ ไม่ว่าจะที่อยู่คอนโดที่เธอย้ายออกไป กับพี่หมี่ผมว่าง่ายเสมอ กับคนอื่นผมอาจจะไม่เป็นมิตร แต่สำหรับเธอ แค่ขอมา ผมทำให้ได้ทุกอย่าง เเม้ว่าเธอจะเห็นผมเป็นแค่ตัวเลือกในชีวิตเธอก็ตาม “แต่ผมติดรถเพื่อนมา”
“ขับรถพี่ก็ได้นะคะ เดี๋ยวพี่ให้กุญแจ” เธอพูดแทรกเสียงเนิบนาบ พร้อมกับควักพวงกุญแจจากร่องอกขาวๆ ที่โผล่พ้นออกมาจากชุดเกาะอกที่ผมพิจารณาตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่าถอดโคตรง่ายออกมา ไออุ่นจากกุญแจรถที่วางบนฝ่ามือ ทำให้ผมกำมันแน่น
“ถ้าเมา ก็ให้ผมไปส่ง อย่าไปทำแบบนี้กับใคร”
ผมพึมพำ ทั้งที่รู้ว่าพี่หมี่ไม่ได้สนใจหรอก เธอไม่เคยคิดจะมองผม เธอทำกับผมเหมือนที่ทำกับผู้ชายทุกคนที่สนใจเธอ ผมรู้ว่าพี่หมี่ไม่อยากมีแฟน ไม่อยากจริงจังกับใคร แต่การที่เธอเลือกที่จะคุยกับใครทั้งที่รู้ว่าผมตามจีบอยู่ ผมก็เดาใจเธอไม่ถูกเหมือนกัน
แต่ผมไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวก่ายบอกให้เธอเลิกคุยทั้งที่ในใจผมโคตรอยากจะทำแม่งแค่ไหน เอาตรงๆ มั้ย ผมกลัวเธอเกลียดผม
กับเรื่องอื่นเดือดเป็นบ้า แต่พอกับเธอ ก็แค่ลูกหมาเชื่องๆ ตัวนึง
ผมรู้แค่ว่า ผมคงไม่โกรธเธอ แล้วจะยอมตื้อเธออยู่แบบนี้ จนกว่าพี่หมี่จะมองผมเป็นมากกว่าน้องชายสมัยเด็กในสักวันนึง
หมอที่สองกัดฟันแน่น หุนหันพลันแล่นผุดลุกออกไปจากห้องพักแพทย์ทันทีอย่างเสียหน้า ฉันพ่นลมหายใจออกมาหลังจากที่เขากระแทกบานประตูปิดเสียงดัง ผ่อนปรนความเครียดทั้งหมดได้ในเพียงเสี้ยววินาที ค่อยๆ ก้าวเดินด้วยส้นสูงที่เพิ่งขยี้ยอดอกของหมอสองไปนั่งบนเก้าอี้เลื่อน นวดขมับของตัวเองอย่างเคร่งเครียดเมื่อกี้นี้มันอะไรกันฉันเพิ่งจะแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมออกไป และปรามาสหมอที่สองด้วยถ้อยคำหยาบคายในแบบที่ฉันไม่เคยพูดกับใครแต่มันกลับรู้สึกโล่งข้างในอย่างน่าประหลาดถ้าไม่ถืออคติจนเกินไป ในคราวที่น้องขาลมัดฉันไว้ก็เป็นอารมณ์แบบนี้ หัวมันโล่งปลอดโปร่ง รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่างที่สะสมมานาน... รู้สึกดีจังฉันกระตุกยิ้มออกมา ค่อยๆ ยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างแบบมีมาดเล็กน้อย ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันคงกลัวป๊าจะรู้ว่าฉันทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรเอาไว้ แต่ในเวลานี้ฉันไม่แคร์อีกแล้วฉันชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้ชอบตัวเองที่เลือกจะจัดการกับปัญหาทุกอย่างด้วยความรุนแรงฉันผุดลุกขึ้น นี่เพิ่งจะข้ามวันที่ฉันเลิกกับน้องขาล เป็นข้ามวันที่รู้ตัวเองหลังจากที่น้องขาลหันหลังให้ มันจะพอเป็นไปได้มั้ย ถ้าฉันจะกลับไปหาเขา น้
“ผมจะไม่เปลี่ยนตัวเองเพื่อพี่อีกแล้วว่ะ”“...”“เพราะผมรู้แล้ว... ว่าสำหรับพี่ ทำไปก็เท่านั้น” เขาสบถคำหยาบออกมาใส่หน้าฉัน “โคตรไร้ค่า ผมแม่งเป็นแค่ขยะสำหรับพี่ก็แค่นั้น”ฉันชะงักไป นิ่งอึ้งกับสิ่งที่น้องขาลพูด ในขณะที่เพิ่งสังเกตคราบเลือดที่ข้อศอกของคนตัวใหญ่ที่ก้มหน้าลงจนผมยาวๆ ปรกหน้า เขาผละมือออก ในขณะที่จะหันหลังให้ แต่ฉันกลับเลือกที่จะคว้าชายแขนเสื้อของเขาเอาไว้น้องขาลชะงักไป เขายืนหันแผ่นหลังกว้างให้ฉันอยู่แบบนั้นโดยที่ไม่คิดที่จะหันกลับมามองด้วยซ้ำหัวใจของฉันกระตุกวูบ ในขณะที่จะกลั้นใจพูดออกไป“หนูมีแผลนี่” เขาเหลือบมามองแค่เพียงหางตา ก่อนที่จะกระตุกแขนข้างที่เป็นแผลออกจากมือของฉันทันที“เพิ่งสังเกตเหรอ?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เป็นตั้งนานแล้ว”“พี่...”“...”“ให้พี่ทำแผลให้มั้ย?”“ไม่จำเป็น” เขาปฏิเสธทันที เป็นคำปฏิเสธที่เย็นชาจนฉันตัวสั่น เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลงเป็นฝ่ายโดนปฏิเสธ “กลับไปซะ”จนเขาหันกลับมา ออกปากไล่ฉันอย่างเย็นชา พร้อมกับโยนกุญแจรถในกระเป๋ากางเกงคืนให้ฉันที่รับแทบไม่ทัน ฉันพยายามเงยหน้าขึ้นมองน้องขาล แต่กลับพบแต่ดวงตาที่ว่างเปล่า“พี่หมี่
ผมเบิกตากว้าง ดวงตาลุกโพลง แต่ไม่ได้กระโตกกระตากหรือออกมาจากตรงนั้นเหมือนว่าพี่หมี่จะไม่เห็นผม เธอก้าวเข้าไปนั่งข้างคนขับ ในขณะที่ไอ้เด็กที่ชื่อเหยี่ยวนั่นเป็นฝ่ายสังเกตเห็นผมก่อน เราจ้องหน้ากันในระยะห่างไม่ไกลนัก ผมจะเข้าไปกระชากมันออกมาตอนนี้เลยก็ยังได้ หากแต่ผมกำลังยั้งคิดอยู่จนมันแสยะยิ้มออกมา แววตาของไอ้เด็กนั่นไม่เหมือนครั้งแรกและหลายๆ ครั้งที่เจอกันมันกำลังประกาศ... ชัยชนะผมกำแฮนด์รถแน่นจนแทบแหลกคามือ ไอ้เวรนั่นเข้าไปในรถ นั่งในที่ที่เคยเป็นตำแหน่งของผม มันเคยเป็นผมเมื่อวานและหลายๆ วันที่ผ่านมาที่คอยไปรับไปส่งเธอที่โรงพยาบาล แต่ตอนนี้มันกลับกันหลังจากที่ผมถูกไล่กลับไป เธอก็เรียกมันมาที่นี่งั้นเหรอพี่หมี่เรียกมันมาค้างด้วย... ใช่รึเปล่าทั้งที่ยังไม่ได้เลิกกับกูด้วยซ้ำบรืน!ผมบิดรถจนเกิดเสียงดังสุดมือด้วยความโกรธ มันเดือดทะลุจนแทบหยุดความบ้าคลั่งในใจและความคิดที่ว่าอยากจะฆ่ามันให้ตายไม่ได้ยังไงก็ตาม วันนี้ผมต้องได้คำตอบไวกว่าที่คิด ผมเคลื่อนตัวรถออกไปด้วยความรวดเร็ว พุ่งตามรถซีวิคสีแดงเลือดหมูของพี่หมี่ไป แววตาที่คลุ้มคลั่งอยู่ภายใต้หมวกกันน็อคแบบปิดไม่มิดพี่หมี่ไม่เห็
BDSM คือเซ็กซ์ประเภทหนึ่ง ไม่ว่าจะมัด ตรึง ฟาดแรงๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเซ็กซ์ที่สนองกามารมณ์ของคนประเภทที่ชอบความรุนแรงมากกว่าปกติ หรือบางคนที่ชอบโดนทำรุนแรงใส่ผมจัดอยู่ในประเภท ‘ซาดิสต์’ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลองทำแบบนี้กับใคร ไม่มีใครยอมรับรสนิยมของผม และผมเองก็ไม่เคยยอมรับตัวเอง ที่ผ่านมาก็แค่ยังไม่ได้เจอใครที่ทำให้หัวใจสั่นเร้าจนอยากทำอะไรรุนแรงจนเธอบอบช้ำเท่านี้พี่หมี่เป็นผู้หญิงคนแรก ที่ผมเฝ้าฝันว่าสักวันจะได้ฟาดเธอแรงๆ แล้วมีเซ็กซ์ไปด้วย ประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่าเธอคือม้าของผมในชีวิตจริงผมใจดีกับเธอ ยอมตามใจเธอเหมือนหมาผู้ซื่อสัตย์ นั่นเพราะผมอยากทำ ผมอยากแสดงให้เธอเห็นและไว้ใจว่าผมจะรักเธอ ภักดีกับเธอแค่เพียงคนเดียวเท่านั้นแต่ไม่เคยมีใครบอกว่าหมามันจะไม่กัด ถูกมั้ยแน่นอน ไม่มีอะไรหยุดยั้งความต้องการที่แสนซาดิสต์ของผมได้ วันนี้ผมพกเชือกขาวลูกเสือมาเพื่อมัดเธอไว้ แล้วบรรเลงบทเพลงตามที่ผมต้องการ สาดสีและละเลงรักบนร่างกายเธอผมก็แค่หึงไม่ชอบที่เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องกับไอ้เวรนั่น ไม่ชอบที่มันก้าวเข้ามาเรียนในรุ่นเดียวกัน ไม่ชอบที่จะรู้สึกลางๆ ว่าเหมือนตัวเองกำลังจะถูกเขี่ยทิ้งในอีกไม่
ฉันสั่นระริก ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอเอ่ยปากอ้อนวอนออกไปได้ยังไง ท่าทางที่น้องขาลเป็นวันนี้ในวันที่เรามีเซ็กซ์กันดูไม่ปกติ มันแปลกประหลาดมาก เขาเอาเชือกมามัดข้อมือฉัน จับไพล่หลัง พร้อมกับจัดท่าให้อยู่ในท่าหมอบคลานโดยไม่สามารถใช้มือค้ำยันได้ฉันไม่รู้ว่าเซ็กซ์แบบนี้คืออะไร ไม่รู้อะไรเลย รู้แค่ว่ากลัว มันสั่นไปหมดข้อมือที่ถูกรัดแน่นพยายามบิดเพื่อตัดขาดพันธนาการ แต่ยิ่งดิ้นหนีกลับยิ่งรัดแน่น มือที่ถูกไพล่หลังอยู่ตึงแน่นจนรู้สึกชาแปลบๆ แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกทุกอย่าง ทุกสัมผัส มันชัดขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อปลายนิ้วสากตวัดผ่านกลีบดอกไม้ ฉันกลับรู้สึกได้ถึงความชื้นที่ล้นทะลักออกมาจากร่องสวาทแต่การถูกมัดแบบนี้มันไม่ปกติ สมองฉันทำงานหนักมากเพื่อที่จะปฏิเสธการกระทำนี้“ฮึก... ได้โปรด”แต่เสียงที่เปล่งออกไปกลับสั่นพร่าจนรู้สึกได้ มันพ่นออกไปโดยไม่ทันได้รู้สึกตัวด้วยซ้ำ ในหัวของฉันมันตีรวนกันหลายอย่างตั้งแต่ที่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะเรื่องพ่อหรือเรื่องที่สอง หรือแม้แต่น้องขาลที่มีท่าทางก้าวร้าวมากขึ้น แต่พอโดนมัด โดนทรมาน กลับรู้สึกหัวโล่ง ขาวโพลนอย่างน่าประหลาดภายในสมองร้องบอกตัวเองว่าน้องขาลคนนี้ไม่ใช
น้องขาลนิ่งไปทันที เขาเอียงคอไปมองโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของฉัน แววตาคมปลาบหันกลับมาสบตากับฉัน เย็นเยียบจนรู้สึกสั่นกลัวน้องขาลไม่เหมือนเดิมมาตั้งแต่เมื่อวาน และฉันก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร“งั้นขอเช็คโทรศัพท์หน่อยสิครับพี่หมี่”ฉันเม้มริมฝีปาก ฉันแค่คิดนะ เหมือนว่าเขาจะไม่ไว้ใจฉันเลย ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าพอเริ่มคบกับน้องขาล เขาก็เปลี่ยนไปนิดๆ หน่อยๆ“จะเช็คทำไมคะ ไม่ไว้ใจพี่เหรอ” น้ำเสียงที่ถามกลับไปห้วนสั้นไม่ต่างกัน ไม่รู้ว่าจะมาชวนทะเลาะอะไรในตอนที่เพิ่งเจอเรื่องพวกนั้นมาด้วยนะ“ผมเช็คไม่ได้เหรอครับ ผมจะได้รู้ตัว” น้ำเสียงที่พ่นออกมามีแววประชดเจือปนเล็กน้อย แม้ว่าฉันจะไม่อยากจะเชื่อว่าน้องขาลจะออกปากประชดประชันได้ เพราะก่อนที่เราจะคบกันเขาเป็นสุนัขที่ดีมาโดยตลอด แต่พอตกปากรับคำขอคบเป็นแฟน ขาลเริ่มแสดงท่าทีเป็นใหญ่ขึ้นทีละน้อยและฉันก็... ไม่ค่อยชอบท่าทางถือดีนั่นเท่าไหร่“เช็คก็ได้ค่ะ เอาเลย” ฉันไม่ชอบเวลามีใครมางอแงในเวลาที่ฉันกำลังหัวเสีย เลยพยักเพยิดหน้าไปทางมือถือที่นอนนิ่งอยู่บนโต๊ะ น้องขาลสบตาฉันกลับ เขากัดริมฝีปาก กำหมัดแน่น แล้วเดินผ่านไหล่ฉันไปกดโทรศัพท์ดูด้วยร่างกำยำที่เกร็งเครี