ในเมื่อมีบัญชีที่เซี่ยฉงอวิ๋นจัดการไว้ให้แล้ว เยว่อวิ๋นจึงไม่ต้องมาเสียเวลานั่งตรวจเอง หลังจากกินอาหารกลางวันกันเรียบร้อยแล้ว นางจึงสั่งให้พวกฉีเฟยนึ่งซาลาเปาไส้เนื้อจำนวนกว่าร้อยลูกครั้นพอตกเย็นถึงเวลาที่ทุกคนเฝ้ารอคอย คนงานแต่ละคนที่เดินออกไป ก็มีถุงเงินกับซาลาเปาไส้เนื้ออีกคนละสองลูกในมือกลับบ้า
ถึงกับให้เงินค่าขนมเด็กๆ เดือนละหนึ่งตำลึง นายหญิงของนางช่างสุรุ่ยสุร่ายโดยแท้“นี่เป็นเงินค่าขนมของพวกเจ้า ให้ไว้เพื่อต่อไปจะได้มีติดตัวเผื่อเหตุจำเป็น” เยว่อวิ๋นบอกยิ้มๆ นางเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองไม่เคยให้ค่าขนมเด็กๆ เลยดวงตาเรียวของหลีจวินเพ่งมองก้อนตำลึงเงินตรงหน้าอย่างสนใจ ก่อนจะเอ่ยถาม “นี่คือเง
แน่นอนว่าการกระทำของพวกเขาไม่ล่วงรู้ถึงเยว่อวิ๋น ทว่าอันที่จริงถึงรู้นางก็ไม่คิดมากอยู่แล้ว เพราะคนจำนวนไม่กี่สิบที่ย่าฮวาวางแผนจะใช้กดดันนางนั้น นางสามารถตีทุกคนล้มคว่ำได้หมดโดยไม่ต้องออกแรงด้วยซ้ำค่ำคืนนั้นเยว่อวิ๋นจึงยังคงนอนหลับฝันดีอยู่ในอ้อมแขนของสามี โดยไม่ได้รับรู้เลยว่ามีคนแทบจะอกแตกตาย เพ
เยว่อวิ๋นยืนฟังคำพูดเหล่านั้นโดยไม่กล่าวขัด นางปล่อยให้พวกเขาได้ระบายกันอย่างเต็มที ไม่นานถ้อยคำไม่น่าฟังก็หนักขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่เซี่ยเหล่าเกินที่ตามออกมาทีหลังเพราะไม่ไว้วางใจ ฟังแล้วยังอดแสดงความโมโหแทนไม่ได้“เหลวไหล! หลานสะใภ้ข้าช่วยคนถือเป็นการทำดี ครอบครัวจางเอ้อร์ทำร้ายคนไม่สำเร็จจึงใช้วิธีบี
“พวกเจ้าฟังคำพูดของนางสิ นอกจากจะไม่เพียงไม่สำนึก แล้วยังกล้าแสดงท่าทางโอหังถึงขั้นนี้ พวกเราอย่าไปยอมอ่อนให้แก่คนพรรค์นี้เด็ดขาดนะ” ป้าจ้าวรีบออกมากล่าวคำพูดปลุกระดมคนแทน นางมองไปทางแม่เฒ่าเซี่ยที่พลาดพลั้งให้แก่เยว่อวิ๋น พลางสบถด่าว่าตัวไร้ประโยชน์อยู่ในใจลูกสะใภ้คนเดียวยังไม่มีปัญญาจะจัดการ นางแ
ผู้ใหญ่บ้านยิ่งพูดก็ยิ่งติดลม ไม่นานคนในกลุ่มก็ถูกเขาลากลงมาด่าเรียงตัวบุคคล ส่วนเยว่อวิ๋นที่เขามองว่าเป็นผู้มีพระคุณของหมู่บ้าน ก็ถูกติดป้ายคนดีที่แสนอ่อนแอให้อย่างน่าสงสารเยว่อวิ๋น ข้าถูกรังแกได้ง่ายดายถึงขนาดนั้นเลยหรือนี่ ไม่รู้ตัวเลยสักนิดนะนี่...ชาวบ้าน คนอ่อนแอที่ท่านพูดถึง เพิ่งจะเอ่ยปากท้
ถึงแม้เยว่อวิ๋นจะบอกว่าให้รอพูดคุยพร้อมกันทีเดียวในตอนเย็น แต่ก็ไม่อาจขัดขวางความอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านกับความอยากเล่าของผู้ใหญ่บ้านได้ดังนั้นกว่าที่นางจะส่งพวกเขาทั้งหมดจากไปได้ เวลาก็ล่วงเลยจนถึงเวลากินอาหารกลางวันของคนงานแล้วรอจนทุกคนมารวมตัวกันเพื่อกินอาหาร เยว่อวิ๋นจึงประกาศบอกให้พวกเขาไปร
หากเป็นคนอื่นคงนึกตำหนิว่าฮ่องเต้ทำเกินกว่าเหตุ เพราะมองว่าคนอื่นๆ ในสกุลไม่ควรต้องมาพลอยโชคร้ายไปกับการกระทำของหลี่อี้กับหวังสวี่ ทว่าเยว่อวิ๋นนั้นแตกต่างเยว่อวิ๋นในอดีตเติบโตมากับการแบกรับชื่อเสียงของวังอ๋อง ดังนั้นในสายตานางการที่พวกเขาทุกคนกินใช้เสวยสุขกับอำนาจและเงินทองของหวังสวี่กับหลี่อี้ ก็
เห็นแววตาโล่งใจในดวงตาของอีกฝ่าย ทั้งคู่พลันหัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนจะหารือเรื่องสัญญาขี้ผึ้งทาเท้าต่อหลีจวินนั่งฟังพลางกอดอกใบหน้าคิดหนัก เขามองบรรยากาศผ่อนคลายตรงหน้าแล้วอดนึกหวาดวิตกในใจไม่ได้ ‘แย่แล้วๆ ปีศาจเซี่ย ดูเหมือนฐานกำแพงของเจ้าเวลานี้จะไม่ค่อยมั่นคงแล้วล่ะ’สุดท้ายขี้ผึ้งทาเท้าก็ถูกลง
เช้าวันต่อมาเยว่อวิ๋นกับเซี่ยต้าจวงมุ่งหน้าเข้าตำบลแต่เช้า มองด้านหลังที่มีกลุ่มเด็กน้อยนั่งเรียงราย เซี่ยต้าจวงพลันอดส่ายหน้าไม่ได้ น้องสะใภ้รองตามใจเด็กๆ มากจริงๆเยว่อวิ๋นมองตามสายตาก็พอเข้าใจความคิดของเซี่ยต้าจวง แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ก็นางแพ้สายตาออดอ้อนของสองซาลาเปานี่นา ส่วนคนอื่นๆ นั้นจะว่าอย
“ยังมีอะไรอีก” ฮ่องเต้ตรัสถามเมื่อเห็นท่าทีอึกอักของโจวหนี“คือ หมอหญิงผู้นั้นมีนิสัยที่พิเศษกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย” เห็นแก่เงินเป็นพิเศษ…“เดิมทีอาการบาดเจ็บของข้าเกิดขึ้นก็เพราะนาง นางจึงมอบยารักษาให้ แต่ก็เก็บเงินไปด้วย” แถมยังแพงมาก ตั้งห้าสิบตำลึงแน่ะ“หากพระองค์จะให้นางตรวจดูตัวยาให้ละก็...” ถูก
ขนาดตัวเขาเองถ้าไม่ใช่เพราะเชื่อมั่นในคำพูดของซีเอ๋อร์ หลายปีมานี้ก็คงถอดใจยอมเชื่อว่าที่ร่างกายของจวินเอ๋อร์อ่อนแอแบบนี้ เป็นเพราะเหตุการณ์คลอดยากไปแล้วด้วยซ้ำสามปี…“สองสามีภรรยาคู่นั้นเป็นคนแบบไหน” คนที่กล้าท้าทายอำนาจของฮ่องเต้ จะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปได้หรือโจวหนีขมวดคิ้ว นึกถึงอาการบาดเจ
เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงช่วงกลางวันแสงแดดเจิดจ้าอากาศอบอุ่น ครั้นเย็นย่ำเข้าสู่ราตรีกลับหนาวเย็น ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบอาบน้ำบ่อยนักแต่ฉีเฟยรู้ดีว่าเยว่อวิ๋นนั้นมีนิสัยรักสะอาด ไม่ว่าจะกลับถึงบ้านดึกแค่ไหนหรือหนาวเพียงใดก็ต้องอาบน้ำก่อนเสมอ นางจึงเตรียมต้มน้ำร้อนรอพร้อมไว้ก่อนแล้วเนื่องจากเวลาไม่
พูดมาถึงตรงนี้สีหน้าจางเอ้อร์ก็แสดงความขุ่นเคืองขึ้นหลายส่วน “ข้าช่วยเหลือพวกเจ้ามาตั้งนาน ไม่เพียงพวกเจ้าจะไม่สำนึกบุญคุณ ยังกล้าช่วยเยว่ซื่อกลั่นแกล้งมารดาข้า ช่างเป็นคนดีกันเหลือเกิน”หลายคนได้ยินคำพูดนี้ก็ก้มหน้าไม่กล้าสู้สายตา โดยเฉพาะคนที่ก่นด่าย่าฮวากับครอบครัวจาง“บุญคุณงั้นหรือ” เยว่อวิ๋นไห
“เอาล่ะ พอกันได้แล้ว” เห็นว่าบ้านจางถูกด่าจนคนกลายเป็นนกกระทาหดหัวไม่กล้าสู้หน้าใคร ผู้ใหญ่บ้านที่เมื่อครู่แอบยืนสะใจจึงค่อยออกมาตวาดห้าม“ต่อไปนี้จงฟังกันให้ดี ข้าจะพูดเรื่องสำคัญแล้ว ด้วยความเสียสละของยายหนูอวิ๋น หมู่บ้านพวกเราจะเปิดโรงสมุนไพร ต่อไปใครที่ไปเก็บสมุนไพรมา ต้องการจะขายก็นำมาขายได้ที่
หากเป็นคนอื่นคงนึกตำหนิว่าฮ่องเต้ทำเกินกว่าเหตุ เพราะมองว่าคนอื่นๆ ในสกุลไม่ควรต้องมาพลอยโชคร้ายไปกับการกระทำของหลี่อี้กับหวังสวี่ ทว่าเยว่อวิ๋นนั้นแตกต่างเยว่อวิ๋นในอดีตเติบโตมากับการแบกรับชื่อเสียงของวังอ๋อง ดังนั้นในสายตานางการที่พวกเขาทุกคนกินใช้เสวยสุขกับอำนาจและเงินทองของหวังสวี่กับหลี่อี้ ก็
ถึงแม้เยว่อวิ๋นจะบอกว่าให้รอพูดคุยพร้อมกันทีเดียวในตอนเย็น แต่ก็ไม่อาจขัดขวางความอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านกับความอยากเล่าของผู้ใหญ่บ้านได้ดังนั้นกว่าที่นางจะส่งพวกเขาทั้งหมดจากไปได้ เวลาก็ล่วงเลยจนถึงเวลากินอาหารกลางวันของคนงานแล้วรอจนทุกคนมารวมตัวกันเพื่อกินอาหาร เยว่อวิ๋นจึงประกาศบอกให้พวกเขาไปร