แสงแดดลอดผ้าม่านเข้ามาในห้อง ความอุ่นของมันทำให้ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ความรู้สึกแรกหลังตื่นคือหัวหนักอึ้ง ราวกับดื่มเหล้าเมาหนักไปด้วย ทั้งที่คนเมาเมื่อคืนคือพี่แทนแท้ ๆ
เอาจริงนะ ร่างกายว่าปวดร้าวหนักหน่วงแล้ว แต่ที่ยิ่งกว่าคือ หนักอกหนักใจ มากกว่า
‘เรื่องเมื่อคืนมัน เกิดขึ้นจริงใช่ไหมเนี่ย’
ภาพในค่ำคืนที่ผ่านมาถาโถม เสียงกระซิบชื่อฉัน สัมผัสของมือที่จับไปทั่วร่างทุกซอกทุกมุม ยังคงวนเวียนในหัว ฉันจำได้หมด ตั้งแต่เสียง ภาพ และความรู้สึกอันเร่าร้อน
แต่ถึงจะจำได้ทุกอณูขนาดนั้น ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“เขาเป็นเกย์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเขาถึงมีอารมณ์กับฉันได้” ฉันพึมพำออกมาเบา ๆ “หรือว่ามันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบของเขากัน”
ฉันยังหาบทสรุปไม่ได้ เขาเห็นฉันในสถานะอะไรในคืนที่ผ่านมา น้องสาวที่รู้จัก น้องในวงการ หรือคนที่เขาสามารถกอดได้ในคืนเหงาแบบนี้?
‘ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวจัง’
ฉันค่อย ๆ ลุกจากเตียงอย่างระมัดระวัง ไม่อยากให้พี่แทนรู้สึกตัว ฉันนั่งมองไปรอบ ๆ เสื้อผ้าที่กระจัดกระจายเกลื่อนบนพื้น ซึ่งเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุดในคืนที่ผ่านมา แถมยังมีชิ้นยางบาง ๆ อุปกรณ์ป้องกันสำหรับการร่วมรักที่มันวางเต็มพื้น
‘ให้ตายเถอะเมื่อคืนกี่รอบกันเนี่ย’
ฉันเดินร่างเปลือยเก็บมันไปทิ้งให้เข้าที่ จากนั้นก็เก็บชุดของตัวเองมาสวมใส่แล้วก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าเมื่อคืนฉันใส่ซีทรูสุดเอ็กซ์ กับ ผ้าคลุมอาบน้ำมา พระเจ้า! เดินออกจากคอนโดไปไก่โห่แบบนี้ คนมองฉันว่ามาซัมติงกับใครในคอนโดแน่ (ซึ่งมันก็จริง)
ฉันคว้ากระเป๋าแล้วเดินย่องเงียบออกจากห้องไป ในใจตีกันยุ่งไปหมด ทั้งเขิน ทั้งเจ็บ ทั้งสับสน และทั้งน้อยใจ
ณ ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าพี่แทนจะรู้สึกยังไง แต่ที่ฉันรู้...ความรู้สึกของฉันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
(ณ คอนโดของฉัน)
ฉันกลับมาถึงคอนโดในยามสาย อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่องตัวเองผ่านกระจก ร่องรอยของการร่วมรัก ยังพอมีให้เห็นตามเรือนร่าง ดีนะที่มันอยู่ในจุดที่ลับตาคนได้อย่างเช่นทรวงอกฉัน
“บ้าเอ้ย!” ฉันพึมพำออกมาแล้วรีบตบหน้าตัวเองเบา ๆ เรียกสติ
‘เสียงข้อความเข้า’
พี่กรีน : น้องมิ้นอย่าลืมนะคะ มีถ่ายละคร บ่ายโมง นัดแต่งหน้าที่กองสิบเอ็ดโมงนะคะ
Mint : รู้แล้วค่ะพี่กรีน มิ้นกำลังจะออกไปค่ะ
ฉันพิมพ์ตอบกลับไปสั้น ๆ ก่อนจะรีบแต่งตัวแต่งหน้า แล้วออกจากคอนโดทันที
(กองถ่าย)
ฉันมาตามเวลานัดที่พี่กรีนได้แจ้งไว้ และเข้าไปเตรียมตัวในห้องแต่งตัวตามเคย วันนี้มีฉากท้ายของบทรุ้งวัยสาวแล้วล่ะ จากนั้นฉันก็จะได้พักยาว ๆ เสียที
“น้องมิ้น มาเร็วจังนะ ว่าแต่ทำไมวันนี้ดูเหมือนคนไม่ได้นอนเลยล่ะ ขอบตาคล้ำเชียว” พี่เนยช่างแต่งหน้าประจำตัวเอ่ยถามขึ้น เมื่อเช้าฉันก็ไม่ได้สังเกตหรอก แต่เมื่อโดนทัก ฉันก็เดินไปส่องกระจกบานใหญ่ตรงหน้าเพื่อดูสภาพตัวเองอีกครั้ง
“อื้อหือ ขอบตาคล้ำจริง ๆ ด้วย” ฉันหันหน้าไปยิ้มแหยะ ๆ กับพี่เนย
“แต่ไม่เป็นไรค่ะ ระดับพี่จัดการให้ได้อยู่แล้ว”
“ขอบคุณนะคะ วันนี้คงเปลืองเครื่องสำอางหน่อย ฮี่ฮี่” ฉันฉีกยิ้มไป ก่อนจะนั่งลงเก้าหน้าโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมให้พี่เนยละเลงตบแต่งแล้วล่ะ
“วันนี้เห็นว่าต้องเข้าฉากเยอะเลย กับพระเอกวัยหนุ่มหน้ามนด้วยใช่ไหม แต่ดูมิ้นวันนี้แล้วจะไหวไหมเนี่ย” พี่เนยพูดด้วยความเป็นห่วง
“ไหวสิคะ พี่เนยก็รู้...เรื่องงานแสดงมิ้นเต็มร้อยอยู่แล้ว”
“นั่นสิเนาะ อ่ะจริงสิ พี่มีเรื่องจะเม้าท์” และแล้วข่าวในวงการบันเทิงที่หาได้ใกล้ที่สุดก็เริ่มขึ้น พวกคุณน่าจะรู้เรื่องข่าวซุบซิบส่วนใหญ่ก็หลุดมาจากคนในกองนี่แหละ และฉันก็มักจะได้ฟังจากพวกเขาบ่อย ๆ ในขณะที่ตัวเองก็ต้องระวังพวกเขาไว้บ้างเหมือนกัน
“เรื่องอะไรคะ พี่เนย” ฉันมองพี่เนยผ่านกระจกโต๊ะเครื่องแป้งด้วยใบหน้าสนใจ
“เรื่องคุณแทน คนเขียนบทนะสิ” เพียงเท่านั้นฉันก็เริ่มหูผึ่ง
“คะ? พี่แทนทำไมเหรอคะ” ฉันถึงกับต้องเหลียวไปมองพี่เนยด้วยความสนใจ
“ในกองเขาลือกันให้แซด ว่าคนเขียนบทปกติเขาไม่ค่อยจะลงมาช่วยกำกับเลย แต่ระยะหลังมานี่ เขาดูกระตือรือร้นมาก พี่ว่าเขาอินกับละครเรื่องนี้มากเลยนะ”
“งั้นเหรอคะ?” ฉันตอบไปสั้น ๆ
“น้องมิ้นไม่คิดแบบนั้นเหรอ”
“คิดสิคะ พี่แทนดูอินกับบทที่เขียนจริง ๆ ค่ะ ฮ่า...” ฉันหัวเราะในลำคอเบา ๆ
‘อินกับบท หรืออินกับอะไรกันแน่ ก็ไม่รู้’
ฉันนั่งนิ่งให้พี่เนยแต่งหน้าไม่นานนัก คนในกองก็ตะโกนเรียกว่าถึงคิวถ่ายฉันแล้ว นั่นจึงทำให้ฉันต้องทำสมาธิและพร้อมเข้าสู่บทบาทการทำงานอย่างจริงจัง
“พี่มิ้น มาทางนี้หน่อยค่ะ” เสียงสไตลิสต์เรียกฉันให้ไปเช็กชุดอีกครั้งก่อนจะถ่ายทำฉากถัดไป ระหว่างที่เดินผ่านจอมอนิเตอร์ ฉันชะงักเล็กน้อย
‘พี่แทนอยู่ตรงนั้น’
เขานั่งอยู่มุมหนึ่งข้างผู้กำกับอย่างเคย แถมกำลังคุยกับผู้กำกับด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาทำตัวสบาย ๆ แบบนี้ได้เก่งจริง ๆ หรือว่าฉันมันไม่มีอะไรให้น่าจดจำกันนะ
ในขณะที่ฉันเหม่อคิดอะไรจนฟุ้ง นัยน์ตาของเราสบกันครั้งหนึ่ง ทำให้ฉันต้องรีบเบือนหน้าหนี และพยายามจะเดินออกไปจากตรงนั้น แต่แล้ว...
“เมื่อคืนได้กลับห้องไหมครับ” เสียงทุ้มเขาเอ่ยขึ้น ขณะฉันกำลังจะเดินผ่านไป แต่เขากล้าถามโต้ง ๆ แบบนี้ได้ไงกัน ทั้งที่ผู้กำกับก็นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาแท้ ๆ
ฉันหันกลับไปมองก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ
“ค่ะ” ฉันตอบเพียงสั้น ๆ ส่วนเขาก็ยิ้มและพยักหน้ากลับไม่พูดอะไรแล้วหันไปสนใจคุยงานกับผู้กำกับต่อ
‘เฮ้อ...นึกว่าเขาจะพูดมากกว่านี้ซะแล้ว แต่ฉันควรโล่งใจไม่ใช่รึไง แล้วทำไมหัวใจถึงดันเจ็บแปลบกันนะ’
ฉันเดินตามสไตลิสต์เข้าไปที่ห้องแต่งตัว น้อง ๆ ช่วยกันปลดเข็มขัดชุดฉันออกช้า ๆ มือฉันยังเย็นเฉียบ
‘จะให้ลืมได้ง่าย ๆ ยังไงกัน เหอะ…’
ฉันพึมพำกับตัวเอง พลางหัวเราะออกมาอยากเจ็บปวด นัยน์ตายังเผลอมองรอยจาง ๆ บนไหล่ที่ยังฉายชัด พานให้รู้สึกเจ็บนิด ๆ บอกกับตัวเอง
‘ไม่เป็นไรหรอกมิ้น เขาแค่เมา เขาไม่ได้คิดอะไร เขาเป็นเกย์ เป็นแกเองที่ทำให้มาอยู่ในจุดนี้ เขาไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ก็แกมันหลงรักเกย์เองนี่นา’
พอคิดแบบนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย ๆ แล้วล่ะ
“ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก”
“ฉากพร้อมแล้วค่ะ” เสียงทีมงานตะโกนลั่นทำเอาฉันสะดุ้งจากอาการเหม่อลอย
“ค่ะ กำลังจะออกไปค่ะ” น้องสไตลิสต์รีบจัดชุดฉันให้เข้าที่ ก่อนที่ฉันจะเดินออกไปตามเสียงเรียก
ทีมงานทุกคนพร้อม ในฉากนี้จะเป็นส่วนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของบทรุ้งวัยสาว ซึ่งฉันต้องเข้าฉากกับดินนักแสดงชายหน้าใหม่ที่รับ บทธีร์วัยหนุ่ม
“โอเค พร้อมนะ กล้องเตรียม มิ้นกับดินยืนให้ตรงมาร์กนะครับ! แอคชั่น!” เสียงผู้กำกับดังขึ้น ทุกฝ่ายในกองถ่ายตื่นตัว โดยเฉพาะวันนี้เป็นฉากสารภาพรักครั้งแรกของพระเอกวัยหนุ่ม
“รุ้ง...” เสียงดินในบทธีร์เอ่ยอย่างอ่อนโยน สีหน้าเขาจริงจังพอสมควร “ผมชอบรุ้งนะ ผมอยากจับมือเดินไปด้วยกันหลังจากนี้ ผมอยากทำให้รุ้งมีความสุข” ฉันสบตาเขา พลางยิ้มจาง ๆ เข้าถึงบทบาท ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“แต่ฉันมีลูกแล้วนะธีร์ คุณจะรับได้เหรอคะ” ฉันกับดินเข้าถึงบทบาท แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกได้ว่ากำลังโดนพลังงานบางอย่างที่ทำให้เย็นยะเยือกแผ่มาจากที่ไหนสักแห่ง
“คัต! เอาใหม่ครับ ทั้งสองหายใจเข้าลึก ๆ เดี๋ยวจะถ่ายเทกสอง” เสียงผู้กำกับขัดขึ้นอีกครั้ง ฉันกับดินจึงเตรียมเข้าตำแหน่งใหม่ น้องดินหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหันมาพูดกับฉัน
“ฉากนี้ผมตื่นเต้นมากครับ ได้สารภาพรักกับพี่มิ้นทั้งที” เขายิ้มตาหยีแฝงแซว “ขอให้เทกนี้ผ่านนะครับ ผมจะได้ไม่ต้องใจเต้นหลายรอบ” ดินพูดพร้อมกับรอยยิ้มสดใส ทำเอาฉันอดพูดแซวไม่ได้
“น้องดินบอกตัวเองเถอะค่ะ ไม่งั้นพี่ก็จะทำให้น้องดินใจเต้นไปเรื่อย ๆ” เราสองคนหัวเราะคิกคักกัน
ในรอบนี้เราสองคนตั้งใจเล่นส่งบทกันมาก แล้วมันก็ถ่ายเพียงสองเทกจริง ๆ ฉากจบของวัยสาวหมดเพียงเท่านี้ ทั้งกองลุกขึ้นปรบมือให้ ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักตามมุมของตัวเอง ส่วนฉันก็กลับไปนั่งพักห้องส่วนตัวตามเคย
ฉันที่กำลังเช็ดเครื่องสำอางอยู่ จู่ ๆ พี่แทนก็เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา ปิดประตูลงกลอนซะด้วย มาแปลกแฮะ
“วันนี้เล่นดีมาก ๆ ครับ เข้ากับบทมาก” เขาพูดเสียงเรียบ ๆ ทำให้ฉันหันไปยิ้มให้เขา
“ถ่ายไปตั้งสองเทกเลยค่ะ แอบเกร็งนิดหน่อย”
“เกร็งเพราะบท หรือคนเล่นด้วย?”
“คะ?” ฉันเลิกคิ้วมองพี่แทน แต่สุดท้ายก็คลายยิ้มให้เขา “แต่น้องดินเขามีฟีลที่ดีนะคะ เหมือนกำลังจีบจริงเลย”
“ถ้าเป็นเรื่องจริงในชีวิต คงมีคนเขินจริงไปแล้วสินะครับ” ฉันฟังก็ได้แต่รู้สึกไม่เข้าใจ จึงหัวเราะออกมา
“ทำไมพี่แทนพูดเหมือน หวงนักละคะ” เขาหันมาจ้องฉัน สีหน้าขรึมลงเล็กน้อย
“ไม่ได้หวงครับ” เขาตอบทันที “แค่รู้สึกว่าฉากแบบนั้น ถ้าเล่นกับคนที่เหมาะสมกันจริง ๆ มันจะดีและจบได้ในเทกเดียว”
เขาหันหลังให้ฉันแล้วเดินออกไป ปล่อยให้ฉันงงกับคำพูดเขาจนต้องเกาหัวหงึก ๆ
10ความอึดอัดและสับสนแสงแดดลอดผ้าม่านเข้ามาในห้อง ความอุ่นของมันทำให้ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ความรู้สึกแรกหลังตื่นคือหัวหนักอึ้ง ราวกับดื่มเหล้าเมาหนักไปด้วย ทั้งที่คนเมาเมื่อคืนคือพี่แทนแท้ ๆเอาจริงนะ ร่างกายว่าปวดร้าวหนักหน่วงแล้ว แต่ที่ยิ่งกว่าคือ หนักอกหนักใจ มากกว่า‘เรื่องเมื่อคืนมัน เกิดขึ้นจริงใช่ไหมเนี่ย’ภาพในค่ำคืนที่ผ่านมาถาโถม เสียงกระซิบชื่อฉัน สัมผัสของมือที่จับไปทั่วร่างทุกซอกทุกมุม ยังคงวนเวียนในหัว ฉันจำได้หมด ตั้งแต่เสียง ภาพ และความรู้สึกอันเร่าร้อนแต่ถึงจะจำได้ทุกอณูขนาดนั้น ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี“เขาเป็นเกย์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเขาถึงมีอารมณ์กับฉันได้” ฉันพึมพำออกมาเบา ๆ “หรือว่ามันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบของเขากัน”ฉันยังหาบทสรุปไม่ได้ เขาเห็นฉันในสถานะอะไรในคืนที่ผ่านมา น้องสาวที่รู้จัก น้องในวงการ หรือคนที่เขาสามารถกอดได้ในคืนเหงาแบบนี้?‘ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวจัง’ฉันค่อย ๆ ลุกจากเตียงอย่างระมัดระวัง ไม่อยากให้พี่แทนรู้สึกตัว ฉันนั่งมองไปรอบ ๆ เสื้อผ้าที่กระจัดกระจายเกลื่อนบนพื้น ซึ่งเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุดในคืนที่ผ่านมา แถมยังมีชิ้นยางบาง ๆ อุปกรณ์ป้องกั
ความเมาเป็นเหตุ...สังเกตได้‘Rrrrrr’เสียงมือถือดังขึ้นตอนเกือบตีสอง ขณะที่ฉันกำลังเฝ้าพระอินทร์อยู่แท้ ๆ แต่คนปลายสายก็ไม่หยุดโทรเข้ามาสักทีทำให้ฉันต้องตื่นมารับมันทั้งที่ตายังปิดอยู่ด้วยซ้ำ“ฮัลโหล! โทรมาทำไมดึก ๆ ดื่น ๆ เนี่ย คนนอนอยู่เว้ย!” ฉันตวาดด้วยความหงุดหงิด“มิ้นครับ...อยู่ไหน”“พี่แทน?” เสียงของเขาแหบพร่า แฝงเจือความเมาอย่างชัดเจน“ครับ...” เขาตอบสั้น ๆ แล้วขาดช่วงไป“อยู่คอนโดค่ะ พี่โอเคไหมทำไมเสียงเป็นแบบนี้”“ไม่โอเค...ครับ...พี่อยู่...แถว ๆ คอนโด...เก่า ขับรถ...ไม่ได้”“พี่อยู่คนเดียวเหรอ” ใจฉันกระตุกวูบ อดเป็นห่วงไม่ได้“อืม...” เสียงเขาขาดช่วงไป แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงพึมพำฟังยากมากกว่าเดิม “มารับหน่อยได้ไหม ไม่อยากโทรหาใครอื่นนอกจากหนู”“พี่บอกชื่อร้านมาเดี๋ยวมิ้นไปรับค่ะ” ในขณะที่พูด
8บทที่เปลี่ยนไป‘ปัง!’ พอประตูห้องคอนโดปิดลง ฉันก็ทรุดตัวลงพิงประตูแล้วถอนหายใจยาว นี่มือยังสั่นอยู่เลยนะ หน้าก็ร้อนราวกับไฟลวก ไม่รู้ว่าเป็นไข้หรือเพ้อเกินขนาดกันแน่“พี่แทนจูบฉัน แล้วฉันก็จูบเขากลับไป โอ๊ย!” ฉันร้องลั่นห้อง วิ่งไปกระโจนลงเตียงนอน หยิบหมอนข้างมากอดแน่นแล้วกลิ้งไปมาอย่างบ้าคลั่งบนเตียง ร่างกายปั่นป่วนไปหมด“บ้าเอ้ย บ้าจริง บ้าที่สุด!” ฉันทั้งกลิ้ง ตีหมอนข้าง ถีบผ้าห่มจนยับ สภาพเรียกว่าเละก็ทำไงได้ จูบนั่นมันไม่ใช่จูบธรรมดาเลย มันมีเอฟเฟคต่อใจฉันแรงมาก มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉัน‘แทบหยุดหายใจ’แล้วฉันก็ดันเผลอหลับตาพริ้มแบบเต็มใจ ไม่สิรุกเขาด้วยซ้ำ ถ้านี่คือฉากบทนั้นต่อหน้ากล้อง ใครเห็นก็คงคิดว่าฉันตกหลุมรักพระเอกในฉากจริง ๆ แล้วล่ะ“ไม่ใช่โว้ย! เขาเป็นเกย์ เขาไม่ได้คิดอะไรกับจูบนั้นซะหน่อย” ฉันร้องบอกตัวเองเสียงดังอีกครั้ง เพื่อเตือนสติตัวเอง แล้วดึงผ้าห่มคลุมโป่งไปทั้งตัว หัวใจไม่ยอมฟัง มันยังคงเต้นแรงอยู่ในอกแต่...ตอนนี้ ฉันต้องพยายามคิดไว้ว่ามันคือซ้อมบท การแสดง มันเป็นเพียงแค่...‘งาน’ฉันกอดหมอนข้างแน่นขึ้นอีก กลิ้งไปมาอีกครั้งแล้วสมองก็ผุดคำหนึ่งขึ้นมา ‘เขาเป็
7จะ...จูบกับเกย์ฉันเดินออกมายืนรอที่ลานจอดรถด้วยท่าทีนิ่งขรึม กอดอกทอดสายตามองรถคันหรู ที่เคยเห็นมาเพียงครั้งหนึ่งเคลื่อนมาจอดตรงหน้าฉัน แต่ฉันยังคงยื่นนิ่งทื่อ เพราะสมองยังคิดถึงบทฉากใหม่ที่ถูกยัดเข้ามาอยู่“ขึ้นมาสิครับ” พี่แทนเลื่อนกระจกรถลง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล หึ...คนที่ยัดฉากจูบมาให้ฉันดื้อ ๆ ยังมีหน้ายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันสะบัดตัวแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะขึ้นรถของเขารถคันหรูเคลื่อนตัวอย่างนุ่มนวลบนถนนยามค่ำคืน แสงไฟข้างทาง สาดส่องลอดผ่านกระจกมากระทบใบหน้าเขาถึงฉันจะโมโหพี่แทนอยู่ แต่พอมองหน้าที่ดูเย็น ๆ นิ่ง ๆ ของเขาก็ต้องยอมรับว่าทำให้ใจสงบ หล่อราวกับฉันเอื้อมไม่ถึง ว่าแล้วก็ได้แต่อิจฉาผู้ชายชะมัด จนอยากเกิดใหม่เป็นผู้ชายไปจีบเขาบ้าง แต่ก็คงได้แต่ฝันพี่แทนยังคงขับรถด้วยท่าทีนิ่งสงบ ไม่พูดอะไรออกมา ส่วนฉันก็เอาแต่มองหน้าต่างฝั่งตัวเอง ทั้งที่ใจสับสนวุ่นวายไปหมด“มิ้น...” เสียงพี่แทนทำลายความเงียบอย่างอ่อนโยน“ว่าไงคะ” ฉันตอบกลับแต่ไม่มองหน้าเขา จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกอยากทำให้พี่แทนรู้ว่า ฉันหงุดหงิดที่เขายัดบทให้ฉันไปจูบกับผู้ชาย (คนอื่น)“โมโหอะไร
6ห้องแต่งตัว หัวใจเต้นระริก“โอ๊ย! เหนื่อยจังโว๊ย” ฉันสบถออกมา หลังกลับมาถึงคอนโดก็แทบสลบคาโซฟา มันทั้งเหนื่อยล้าไปทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะอินไปกับบทที่ได้รับมากไปหน่อย‘วันนี้เก่งมากครับ’ จู่ ๆ คำพูดที่พี่แทนพูดกับฉัน ก็วนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด จากใบหน้าบึ้งตึง เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัวจนหยิบหมอนที่อยู่ใกล้มือมาปิดหน้าตัวเอง“กรี้ด...เขาชมฉันด้วย ฉันชอบเขาจัง พี่เกย์สุดหล่อขา...” หัวใจฉันมันเต้นตุบตับ ยิ่งกว่าเข้าซีนกับพระเอกในละครที่เคยแสดงด้วยกันซะอีกเอาเถอะ ฉันก็แค่หลงรักเขาข้างเดียว ยังไงซะ...เขาก็คงไม่หันมามองฉันหรอก แต่ถึงจะปลอบใจตัวเองขนาดนั้น หัวใจก็ไม่หยุดเต้นสักที‘เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!’ ฉันตบหน้าตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติตัวเอง ก่อนจะลุกเดินไปอาบน้ำเพื่อเข้านอน(วันรุ่งขึ้น)วันนี้คิวถ่ายฉันมีซีนเดียวเท่านั้น ก็ตามที่บอกแม้ฉันจะเล่นเป็นบทนำร่วมแต่บทแม่วัยสาวของฉัน มันไม่ได้เด่นมากขนาดนั้น ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีค่ะฉากในวันนี้ของฉันคือ รุ้งคุณแม่ยังสาว ต้องปกป้องลูกชายของตัวเองจากความจน และการโดนกดขี่จากคนรอบข้าง เสื้อผ้าที่ได้สวมใส่ก็เป็นผ้าฝ้ายสีซีด ต้องทำตัวให้ดูโทรมที่สุดเท่าที่
5 เข้ากองวันแรกวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันแรกของการถ่ายทำมาถึง แต่แทนที่ฉันจะได้สวมบทแม่ยังสาวและร้องห่มร้องไห้ในฉากแสนสะเทือนใจ กลับกลายเป็นว่าต้องมานั่ง รอ...รอ...และก็รอ เฮ้อ...สาเหตุไม่ใช่ใครที่ไหน ดีนี่ ดาราผู้รับบทช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มีบทมากที่สุด มาสายกว่าชั่วโมง สีหน้าเธอดูเหนื่อยล้า และซีดเผือดเหมือนยังไม่ได้นอนผู้จัดการของเธอก็เอาแต่พ่นคำหยาบออกมา แม้แต่ฉันที่ได้ยินยังรำคาญหู โวยวายเรื่องสคริปต์ เรื่องฉาก เรื่องตารางถ่ายทำที่แน่นเกินไป ฉันที่นั่งฟังเงียบ ๆ พานนึกในใจว่าไม่ใช่ที่ดีนี่ไม่พร้อมหรอก น่าจะเป็นผู้จัดการของเธอต่างหากที่ไม่พร้อมจะทำหน้าที่นี้ฉันยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้เพื่อรอคิวถ่าย แต่...ดีนี่แสดงได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ผ่านไปเทคแล้วเทคเล่าเกือบยี่สิบรอบ ผู้กำกับเริ่มถอนหายใจแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทีมไฟ ทีมกล้องเริ่มเบือนสายตาจากจอมอนิเตอร์ หันมามองหน้ากันแทนและคิวของฉันก็ถูกเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ แต่ที่น่าหนักใจกว่า คือดีนี่เริ่มร้องไห้หนัก เธอนั่งขดตัวอยู่มุมห้องจนไม่ม