‘ปัง!’
พอประตูห้องคอนโดปิดลง ฉันก็ทรุดตัวลงพิงประตูแล้วถอนหายใจยาว นี่มือยังสั่นอยู่เลยนะ หน้าก็ร้อนราวกับไฟลวก ไม่รู้ว่าเป็นไข้หรือเพ้อเกินขนาดกันแน่
“พี่แทนจูบฉัน แล้วฉันก็จูบเขากลับไป โอ๊ย!” ฉันร้องลั่นห้อง วิ่งไปกระโจนลงเตียงนอน หยิบหมอนข้างมากอดแน่นแล้วกลิ้งไปมาอย่างบ้าคลั่งบนเตียง ร่างกายปั่นป่วนไปหมด
“บ้าเอ้ย บ้าจริง บ้าที่สุด!” ฉันทั้งกลิ้ง ตีหมอนข้าง ถีบผ้าห่มจนยับ สภาพเรียกว่าเละ
ก็ทำไงได้ จูบนั่นมันไม่ใช่จูบธรรมดาเลย มันมีเอฟเฟคต่อใจฉันแรงมาก มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉัน
‘แทบหยุดหายใจ’
แล้วฉันก็ดันเผลอหลับตาพริ้มแบบเต็มใจ ไม่สิรุกเขาด้วยซ้ำ ถ้านี่คือฉากบทนั้นต่อหน้ากล้อง ใครเห็นก็คงคิดว่าฉันตกหลุมรักพระเอกในฉากจริง ๆ แล้วล่ะ
“ไม่ใช่โว้ย! เขาเป็นเกย์ เขาไม่ได้คิดอะไรกับจูบนั้นซะหน่อย” ฉันร้องบอกตัวเองเสียงดังอีกครั้ง เพื่อเตือนสติตัวเอง แล้วดึงผ้าห่มคลุมโป่งไปทั้งตัว หัวใจไม่ยอมฟัง มันยังคงเต้นแรงอยู่ในอก
แต่...ตอนนี้ ฉันต้องพยายามคิดไว้ว่ามันคือซ้อมบท การแสดง มันเป็นเพียงแค่...‘งาน’
ฉันกอดหมอนข้างแน่นขึ้นอีก กลิ้งไปมาอีกครั้งแล้วสมองก็ผุดคำหนึ่งขึ้นมา ‘เขาเป็นเกย์แล้วไง ใช่ว่าเราจะรู้สึกกับเขาไม่ได้ซะหน่อย’
(เช้าวันต่อมา)
ฉันลืมตาตื่นด้วยสภาพโทรมสุด ๆ เพราะทั้งหัว ยังคงวนเวียนเพ้อหนักนึกถึงริมฝีปากของใครบางคนอยู่เลย ทำให้ทั้งคืนแทบจะไม่ได้หลับ
แต่ชีวิตมันก็ต้องเดินต่อ โดยเฉพาะวันนี้ ที่ฉันต้องเข้ากองถ่ายและที่สำคัญต้องเข้าฉากจูบกับพระเอกช่วงวัยหนุ่มด้วย
ฉันมาถึงกองเร็วกว่าใคร นั่งอยู่โต๊ะเครื่องแป้ง วันนี้พี่เนยเมคอัพอาร์ติสประจำตัวมาทำงานแล้ว หลังจากลาป่วยไปร่วมสองสัปดาห์
“เฮ้อ...” ฉันถอนหายใจยาว
“เป็นอะไรไปคะน้องมิ้น วันนี้สีหน้าไม่ค่อยดีเลย” พี่เนยถาม ในขณะที่มือยังคงละเลงแต่งหน้าฉันอยู่
“พอนึกถึงซีนที่ต้องถ่ายวันนี้ก็กดดันนิดหน่อยค่ะพี่เนย ไม่มีอะไรหรอก” ฉันยิ้มบาง ๆ ก่อนจะปล่อยให้พี่เนยแต่งหน้าต่อ
งานก็คืองาน มิ้น แกเคยผ่านมาหมดแล้ว ฉันบอกกับตัวเองไปแบบนั้น ถึงจะเคยจูบในละครมานับไม่ถ้วน แต่ทำไมฉากวันนี้ กลับรู้สึกเหมือนมีใครยืนจ้องอยู่ตลอดเวลาก็ไม่รู้ รู้สึกหน่วงแปลก ๆ
การถ่ายทำเริ่มต้นขึ้น
“โอเค เข้าฉากนะครับ! กล้องพร้อม! ไฟพร้อม!” เสียงผู้กำกับดังขึ้น ทำให้ทุกคนในกองเริ่มตื่นตัว ฉันยืนต่อหน้าพระเอกวัยหนุ่ม เขาหล่อแบบใส ๆ หน้าแดงเล็กน้อย ดูเกร็งกว่าใครทั้งหมดในกอง ส่วนฉันไม่ได้เขินไม่ได้เกร็งอะไรหรอก ยังไงซะเมื่ออยู่ต่อหน้ากล้องความประหม่าของฉันมันก็ถูกสลัดออกไปอย่างมืออาชีพอยู่ดี
“พร้อมนะน้องมิ้น ซ้อมบทที่เพิ่มมาแล้วใช่ไหม” ผู้กำกับยิ้มให้ฉัน
“ซ้อมมาอย่างดีเลยค่ะ” ฉันยิ้มอย่างมั่นใจ ยกมือแตะริมฝีปากเบา ๆ มองไปยังโค้ชพิเศษที่ซ้อมด้วยกันเมื่อคืน ที่วันนี้เขายืนอยู่ข้าง ๆ ผู้กำกับ เพื่อมาช่วยดูฉากที่เพิ่มด้วยตัวเองเลยแฮะ
“แอคชั่น!”
ฉันมองตาพระเอกตรงหน้า มือของเขาสัมผัสแก้มฉันเบา ๆ ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาช้า ๆ ฉันค่อย ๆ หลับตาพริ้มอินไปกับบท ก่อนจะรู้สึกถึงลมหายใจร้อนรดผ่านหน้า และริมฝีปากของเรากำลังจะสัมผัสกัน...
“คัต!” เสียงทุ้มตะโกนลั่น มาจากพี่แทน ทั้งกองหันขวับไปหาเขาอย่างพร้อมเพรียงเงียบไปทั้งกอง รวมถึงฉันด้วย
“ขอเปลี่ยนเป็นใช้มุมกล้องแทนครับ” พี่แทนกลับมาสุขุมพูดนิ่ง ๆ
“ทำไมละครับคุณแทน ฉากจูบนี้...ถ้าจูบจริงมันจะเรียลกว่ารึเปล่า” ผู้กำกับหันไปพูดกับเขา
“จากที่ผมดูในจอมิเตอร์ องศาและท่าทางของน้องผู้ชายมันไม่รับกันครับ แถมนัยน์ตายังแสดงได้ไม่อินเท่าไหร่ ซูมเข้าจังหวะใบหน้า และเฉือนมุมให้ดูเหมือนจูบจริง ไม่ต้องเตะกันจริง ๆ ก็พอครับ” บรรยากาศเงียบสนิททั้งกอง ผู้กำกับขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ต้องพยักหน้ารับ
“โอเคครับ เอาแบบนั้นก็ได้ รับทราบนะทีมกล้อง”
ฉันนิ่งงัน มองไปที่เขา แต่เขากลับยักคิ้วยิ้มมุมปากมาให้ ตอนนี้ไม่รู้จะต้องรู้สึกยังไง เสียดาย? โกรธ? หรือโล่งใจกันแน่
สุดท้าย...ฉันก็แค่ทำหน้าตาตามบทต่อไป จนถ่ายเสร็จ ไม่ได้แม้แต่จะเฉียดริมฝีปากพระเอกวัยหนุ่มหน้าใสคนนั้นด้วยซ้ำ จวบจนเดินกลับมายังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าในสตูด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยคำถาม
ฉันถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก นั่งลงโซฟากลางห้องแต่งตัวเตรียมจะเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ยังไม่ทันได้รูดซิปด้านหลังให้สุด ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ ก่อนจะเปิดออกทันทีโดยไม่รอให้ฉันได้อนุญาต
“อ้าวพี่แทน เข้ามาทำไมคะ” ฉันหันไปมองเขา ด้วยท่าทีงุนงง
เขายืนพิงประตู มือล้วงกระเป๋ากางเกง ท่าทางเหมือนคนไม่ทุกข์ร้อนอะไร เขาเข้าออกห้องแต่งตัวของฉันด้วยท่าที่สบายใจเฉิบแบบนี้เนี่ยนะ ถึงเขาจะเป็นเกย์ แต่ยังไงเขาก็เป็นผู้ชาย ถ้าฉันเปลือยอยู่จะทำยังไงเล่า
“เห็นเดินออกมาเร็ว เลยแวะมาดูว่ายังโอเคไหม”
“โอเคค่ะ แต่ติดนิดหน่อย” ฉันพูดพลางกลับไปรูดซิปขึ้นตามเดิม แล้วเดินไปหยิบผ้าคลุมไหล่มาคลุม
“แค่นิดหน่อย?”
“ค่ะ แค่เตรียมใจจะจูบเต็มที่ตั้งแต่เมื่อคืน แต่ไม่ได้ใช้จริงหน้างาน มิ้นเสียดายจัง” ฉันพูดจบ พี่แทนเลิกคิ้วทันที มุมปากยกขึ้นอย่างมีเลศนัย เขาเดินเข้ามาใกล้ จนฉันต้องชะงักเล็กน้อย
“เสียใจเหรอ?” เขาถามเบา ๆ กับฉัน
“ค่ะ ก็นิดหน่อย พระเอกหน้าใสในวงการเลยนะคะ ฮ่า...” ฉันหัวเราะกลบเกลื่อน “แบบทำใจไว้แล้ว ว่าต้องเต็มที่กับจูบ มันเลยรู้สึกเฟลนิด ๆ”
พี่แทนเงียบไม่พูดอะไรต่อ กลับเอื้อมมือมาจับข้อมือฉันไว้ แล้วโน้มใบหน้าเข้ามา อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากของเขาสัมผัสฉันอีกครั้ง ฉันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ นี่ ไม่ใช่การซ้อมบท แต่เป็นจูบจริง ๆ แถมยังรับรู้ได้ถึงแรงอารมณ์ที่เอ่อล้นในสัมผัสหวาน
ฉันตกใจเล็กน้อยในตอนแรก แต่พอได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ และฝ่ามือร้อน ๆ ฉันก็เหมือนถูกฉุดเข้าไปในภวังค์แห่งฝัน
ริมฝีปากฉันตอบสนองกลับไป เอื้อมมือโอบต้นคอเขาไว้ ก่อนจะรุกกลับอย่างใจกล้า
จูบนี้...เนิ่นนานผ่านไป ไม่มีใครยอมละริมฝีปาก มันยาวนานจนน่ากลัวว่าเราจะหยุดไม่อยู่
จนเมื่อริมฝีปากเขาถอนออก ฉันยังคงก้มหน้าหลับตานิ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นช้า ๆ และถูกเขาจับคางให้เงยหน้ามองเขา เขามองฉันแล้วยิ้มเล็ก ๆ อย่างคนเจ้าเล่ห์
“แบบนี้ พอจะบรรเทาได้รึเปล่าครับ”
ฉันมองหน้าพี่แทนอยู่แบบนั้น ไม่ได้ตอบอะไร เพราะตอนนี้สมองฉันมันขาวโพลนไปหมดแล้ว บรรเทาอะไรกัน ยิ่งเขาทำแบบนี้ฉันยิ่งอยากได้ไอ้จูบบ้านี้อีกนะสิ แถมมีแต่ทำให้หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าเดิม จนอกจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว
“เอ่อ...ต้องขอบคุณพี่ไหมคะ” ฉันพูดออกไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
ฉันหันหลังไปหยิบกระเป๋า แล้วหันกลับไปพูดกับพี่แทนอีกครั้ง
“งั้น...หนูกลับก่อนนะคะพี่แทน พอดีมีนัดนวดตัว เอ่อ...ไม่ใช่ค่ะ หนูหมายถึงนัดแท็กซี่รออยู่แล้วค่ะ ไปก่อนนะคะ” ให้ตายเถอะตอนนี้ฉันลิ้นพันแถมพูดจาไม่รู้เรื่องเลย
ฉันไม่รอฟังคำตอบเขาต่อด้วยซ้ำ เดินเร็วออกจากห้อง แล้ววิ่งตรงดิ่งไปยังรถของตัวเองที่จอดไว้ในลานจอด
(ในรถของตัวเอง)
ฉันทิ้งหลังพิงเบาะ แอร์ในรถเย็นยะเยือก แต่ใบหน้าฉันกลับร้อนผ่าวจนอยากเอาหน้ามุดแอร์ไปทั้งหัว
“นี่ฉันเสียสติไปแล้ว ชุดยังไม่ได้เปลี่ยนคืนเลย แล้วไปบอกเขาว่า เรียกแท็กซี่ทั้งที่เอารถมาเองเนี่ยนะ” มือฉันสั่นเล็กน้อย ขณะกดปุ่มสตาร์ทรถ หัวใจเจ้ากรรมก็เต้นไม่หยุด แถมริมฝีปากยังร้อนวาบไม่ลืมสัมผัสนั้นเลย
“โอ๊ย! บ้าบอที่สุด” ฉันร้องออกมา เอาหัวโขกพวงมาลัยไปสามที
“จะเขินอะไรนักหนาวะ เขาแค่จูบเพื่อช่วยบรรเทาอาการอินบทเท่านั้นเอง แต่ทำไม...ฉันถึงอยากจูบเขาอีกจัง แบบอีกหลาย ๆ ทีอ่ะ”
ฉันเหยียบคันเร่งออกรถช้า ๆ ไม่กล้าส่องกระจกมองหลัง ไม่กล้ามองกลับไปยังสตูที่เพิ่งออกมา ไม่กล้าเพราะกลัวว่าเขาจะยืนมองฉันอยู่ตรงนั้น พร้อมรอยยิ้มที่ไม่เคยรับมือได้เลย
10ความอึดอัดและสับสนแสงแดดลอดผ้าม่านเข้ามาในห้อง ความอุ่นของมันทำให้ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ความรู้สึกแรกหลังตื่นคือหัวหนักอึ้ง ราวกับดื่มเหล้าเมาหนักไปด้วย ทั้งที่คนเมาเมื่อคืนคือพี่แทนแท้ ๆเอาจริงนะ ร่างกายว่าปวดร้าวหนักหน่วงแล้ว แต่ที่ยิ่งกว่าคือ หนักอกหนักใจ มากกว่า‘เรื่องเมื่อคืนมัน เกิดขึ้นจริงใช่ไหมเนี่ย’ภาพในค่ำคืนที่ผ่านมาถาโถม เสียงกระซิบชื่อฉัน สัมผัสของมือที่จับไปทั่วร่างทุกซอกทุกมุม ยังคงวนเวียนในหัว ฉันจำได้หมด ตั้งแต่เสียง ภาพ และความรู้สึกอันเร่าร้อนแต่ถึงจะจำได้ทุกอณูขนาดนั้น ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี“เขาเป็นเกย์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเขาถึงมีอารมณ์กับฉันได้” ฉันพึมพำออกมาเบา ๆ “หรือว่ามันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบของเขากัน”ฉันยังหาบทสรุปไม่ได้ เขาเห็นฉันในสถานะอะไรในคืนที่ผ่านมา น้องสาวที่รู้จัก น้องในวงการ หรือคนที่เขาสามารถกอดได้ในคืนเหงาแบบนี้?‘ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวจัง’ฉันค่อย ๆ ลุกจากเตียงอย่างระมัดระวัง ไม่อยากให้พี่แทนรู้สึกตัว ฉันนั่งมองไปรอบ ๆ เสื้อผ้าที่กระจัดกระจายเกลื่อนบนพื้น ซึ่งเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุดในคืนที่ผ่านมา แถมยังมีชิ้นยางบาง ๆ อุปกรณ์ป้องกั
ความเมาเป็นเหตุ...สังเกตได้‘Rrrrrr’เสียงมือถือดังขึ้นตอนเกือบตีสอง ขณะที่ฉันกำลังเฝ้าพระอินทร์อยู่แท้ ๆ แต่คนปลายสายก็ไม่หยุดโทรเข้ามาสักทีทำให้ฉันต้องตื่นมารับมันทั้งที่ตายังปิดอยู่ด้วยซ้ำ“ฮัลโหล! โทรมาทำไมดึก ๆ ดื่น ๆ เนี่ย คนนอนอยู่เว้ย!” ฉันตวาดด้วยความหงุดหงิด“มิ้นครับ...อยู่ไหน”“พี่แทน?” เสียงของเขาแหบพร่า แฝงเจือความเมาอย่างชัดเจน“ครับ...” เขาตอบสั้น ๆ แล้วขาดช่วงไป“อยู่คอนโดค่ะ พี่โอเคไหมทำไมเสียงเป็นแบบนี้”“ไม่โอเค...ครับ...พี่อยู่...แถว ๆ คอนโด...เก่า ขับรถ...ไม่ได้”“พี่อยู่คนเดียวเหรอ” ใจฉันกระตุกวูบ อดเป็นห่วงไม่ได้“อืม...” เสียงเขาขาดช่วงไป แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงพึมพำฟังยากมากกว่าเดิม “มารับหน่อยได้ไหม ไม่อยากโทรหาใครอื่นนอกจากหนู”“พี่บอกชื่อร้านมาเดี๋ยวมิ้นไปรับค่ะ” ในขณะที่พูด
8บทที่เปลี่ยนไป‘ปัง!’ พอประตูห้องคอนโดปิดลง ฉันก็ทรุดตัวลงพิงประตูแล้วถอนหายใจยาว นี่มือยังสั่นอยู่เลยนะ หน้าก็ร้อนราวกับไฟลวก ไม่รู้ว่าเป็นไข้หรือเพ้อเกินขนาดกันแน่“พี่แทนจูบฉัน แล้วฉันก็จูบเขากลับไป โอ๊ย!” ฉันร้องลั่นห้อง วิ่งไปกระโจนลงเตียงนอน หยิบหมอนข้างมากอดแน่นแล้วกลิ้งไปมาอย่างบ้าคลั่งบนเตียง ร่างกายปั่นป่วนไปหมด“บ้าเอ้ย บ้าจริง บ้าที่สุด!” ฉันทั้งกลิ้ง ตีหมอนข้าง ถีบผ้าห่มจนยับ สภาพเรียกว่าเละก็ทำไงได้ จูบนั่นมันไม่ใช่จูบธรรมดาเลย มันมีเอฟเฟคต่อใจฉันแรงมาก มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉัน‘แทบหยุดหายใจ’แล้วฉันก็ดันเผลอหลับตาพริ้มแบบเต็มใจ ไม่สิรุกเขาด้วยซ้ำ ถ้านี่คือฉากบทนั้นต่อหน้ากล้อง ใครเห็นก็คงคิดว่าฉันตกหลุมรักพระเอกในฉากจริง ๆ แล้วล่ะ“ไม่ใช่โว้ย! เขาเป็นเกย์ เขาไม่ได้คิดอะไรกับจูบนั้นซะหน่อย” ฉันร้องบอกตัวเองเสียงดังอีกครั้ง เพื่อเตือนสติตัวเอง แล้วดึงผ้าห่มคลุมโป่งไปทั้งตัว หัวใจไม่ยอมฟัง มันยังคงเต้นแรงอยู่ในอกแต่...ตอนนี้ ฉันต้องพยายามคิดไว้ว่ามันคือซ้อมบท การแสดง มันเป็นเพียงแค่...‘งาน’ฉันกอดหมอนข้างแน่นขึ้นอีก กลิ้งไปมาอีกครั้งแล้วสมองก็ผุดคำหนึ่งขึ้นมา ‘เขาเป็
7จะ...จูบกับเกย์ฉันเดินออกมายืนรอที่ลานจอดรถด้วยท่าทีนิ่งขรึม กอดอกทอดสายตามองรถคันหรู ที่เคยเห็นมาเพียงครั้งหนึ่งเคลื่อนมาจอดตรงหน้าฉัน แต่ฉันยังคงยื่นนิ่งทื่อ เพราะสมองยังคิดถึงบทฉากใหม่ที่ถูกยัดเข้ามาอยู่“ขึ้นมาสิครับ” พี่แทนเลื่อนกระจกรถลง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล หึ...คนที่ยัดฉากจูบมาให้ฉันดื้อ ๆ ยังมีหน้ายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันสะบัดตัวแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะขึ้นรถของเขารถคันหรูเคลื่อนตัวอย่างนุ่มนวลบนถนนยามค่ำคืน แสงไฟข้างทาง สาดส่องลอดผ่านกระจกมากระทบใบหน้าเขาถึงฉันจะโมโหพี่แทนอยู่ แต่พอมองหน้าที่ดูเย็น ๆ นิ่ง ๆ ของเขาก็ต้องยอมรับว่าทำให้ใจสงบ หล่อราวกับฉันเอื้อมไม่ถึง ว่าแล้วก็ได้แต่อิจฉาผู้ชายชะมัด จนอยากเกิดใหม่เป็นผู้ชายไปจีบเขาบ้าง แต่ก็คงได้แต่ฝันพี่แทนยังคงขับรถด้วยท่าทีนิ่งสงบ ไม่พูดอะไรออกมา ส่วนฉันก็เอาแต่มองหน้าต่างฝั่งตัวเอง ทั้งที่ใจสับสนวุ่นวายไปหมด“มิ้น...” เสียงพี่แทนทำลายความเงียบอย่างอ่อนโยน“ว่าไงคะ” ฉันตอบกลับแต่ไม่มองหน้าเขา จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกอยากทำให้พี่แทนรู้ว่า ฉันหงุดหงิดที่เขายัดบทให้ฉันไปจูบกับผู้ชาย (คนอื่น)“โมโหอะไร
6ห้องแต่งตัว หัวใจเต้นระริก“โอ๊ย! เหนื่อยจังโว๊ย” ฉันสบถออกมา หลังกลับมาถึงคอนโดก็แทบสลบคาโซฟา มันทั้งเหนื่อยล้าไปทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะอินไปกับบทที่ได้รับมากไปหน่อย‘วันนี้เก่งมากครับ’ จู่ ๆ คำพูดที่พี่แทนพูดกับฉัน ก็วนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด จากใบหน้าบึ้งตึง เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัวจนหยิบหมอนที่อยู่ใกล้มือมาปิดหน้าตัวเอง“กรี้ด...เขาชมฉันด้วย ฉันชอบเขาจัง พี่เกย์สุดหล่อขา...” หัวใจฉันมันเต้นตุบตับ ยิ่งกว่าเข้าซีนกับพระเอกในละครที่เคยแสดงด้วยกันซะอีกเอาเถอะ ฉันก็แค่หลงรักเขาข้างเดียว ยังไงซะ...เขาก็คงไม่หันมามองฉันหรอก แต่ถึงจะปลอบใจตัวเองขนาดนั้น หัวใจก็ไม่หยุดเต้นสักที‘เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!’ ฉันตบหน้าตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติตัวเอง ก่อนจะลุกเดินไปอาบน้ำเพื่อเข้านอน(วันรุ่งขึ้น)วันนี้คิวถ่ายฉันมีซีนเดียวเท่านั้น ก็ตามที่บอกแม้ฉันจะเล่นเป็นบทนำร่วมแต่บทแม่วัยสาวของฉัน มันไม่ได้เด่นมากขนาดนั้น ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีค่ะฉากในวันนี้ของฉันคือ รุ้งคุณแม่ยังสาว ต้องปกป้องลูกชายของตัวเองจากความจน และการโดนกดขี่จากคนรอบข้าง เสื้อผ้าที่ได้สวมใส่ก็เป็นผ้าฝ้ายสีซีด ต้องทำตัวให้ดูโทรมที่สุดเท่าที่
5 เข้ากองวันแรกวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันแรกของการถ่ายทำมาถึง แต่แทนที่ฉันจะได้สวมบทแม่ยังสาวและร้องห่มร้องไห้ในฉากแสนสะเทือนใจ กลับกลายเป็นว่าต้องมานั่ง รอ...รอ...และก็รอ เฮ้อ...สาเหตุไม่ใช่ใครที่ไหน ดีนี่ ดาราผู้รับบทช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มีบทมากที่สุด มาสายกว่าชั่วโมง สีหน้าเธอดูเหนื่อยล้า และซีดเผือดเหมือนยังไม่ได้นอนผู้จัดการของเธอก็เอาแต่พ่นคำหยาบออกมา แม้แต่ฉันที่ได้ยินยังรำคาญหู โวยวายเรื่องสคริปต์ เรื่องฉาก เรื่องตารางถ่ายทำที่แน่นเกินไป ฉันที่นั่งฟังเงียบ ๆ พานนึกในใจว่าไม่ใช่ที่ดีนี่ไม่พร้อมหรอก น่าจะเป็นผู้จัดการของเธอต่างหากที่ไม่พร้อมจะทำหน้าที่นี้ฉันยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้เพื่อรอคิวถ่าย แต่...ดีนี่แสดงได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ผ่านไปเทคแล้วเทคเล่าเกือบยี่สิบรอบ ผู้กำกับเริ่มถอนหายใจแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทีมไฟ ทีมกล้องเริ่มเบือนสายตาจากจอมอนิเตอร์ หันมามองหน้ากันแทนและคิวของฉันก็ถูกเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ แต่ที่น่าหนักใจกว่า คือดีนี่เริ่มร้องไห้หนัก เธอนั่งขดตัวอยู่มุมห้องจนไม่ม