เมื่อซุปตาร์เบอร์ต้นของประเทศเลือกจะรับเล่นแต่ ‘บทตัวประกอบ’ เรื่องราวไม่ได้จบแค่งานแสดง แต่คือการเล่นกับหัวใจของเขาด้วย เธอ : มิ้น นักแสดงสาวผู้เคยสั่นสะเทือนวงการด้วยฝีมือ แต่เลือกที่จะหลีกทางให้ดาวรุ่งและรับเพียงบทตัวประกอบ ด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครรู้ เขา : แทน ทายาทสื่อที่ผันตัวมาเป็นผู้เขียนบท และเป็นรุ่นพี่ที่เธอเข้าใจผิดว่าเป็นเกย์มาตลอด เมื่อเส้นทางของวงการบันเทิงนำทั้งสองให้กลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง ท่ามกลางฉากดราม่า ข่าวฉาว ความเข้าใจผิด และบาดแผลจากอดีต พวกเขาจะรับมืออย่างไรกันนะ?
View More(กองถ่ายละคร)
ฉันเดินทางมาก่อนเวลาตามนัดของกองถ่าย เข้ามานั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในห้องพักส่วนตัวริมห้องมุมเดิม ข้างตัวฉันยังคงมีบทละครที่ถูกยัดใส่มือไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนตอนถ่ายบทคนใช้ของนางเอก
พี่กรีนผู้จัดการส่วนตัวของฉัน อยากให้รับบทนี้มาก ๆ แต่ฉันยังไม่รับปากหรอก ถึงจะเป็นพี่แทนก็เถอะ เพราะคำปฏิญาณในใจฉันมันยังหนักแน่น ตอนนี้แค่เห็นมันฉันก็รู้สึกตื่นกลัวอยู่เลย
“น้องมิ้น พี่อยากถามตั้งนานแล้ว ผู้ชายคนนั้นที่ยื่นบทให้น้องมิ้นวันก่อน เขาเป็นใครเหรอคะ?” เสียงพี่เนย เมคอัพอาร์ติสประจำตัว เอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อมระหว่างทาแป้งพัฟที่แก้มฉันเบา ๆ
“เขาเป็นรุ่นพี่สมัยเรียนมหาลัยค่ะ” ฉันตอบเรียบ ๆ “ไม่เจอกันนานมากแล้วค่ะ จนเกือบจะลืมชื่อเขาไปแล้วด้วยซ้ำ” ฉันยิ้มตอบ
“แต่เขาทักน้องมิ้นทันทีเลยนะ เหมือนไม่เคยลืมน้องมิ้นเลย ฮ่า...” พี่เนยหัวเราะเบา ๆ แซวฉันก่อนพูดเสริม “เดินเข้ามาปุ๊บ ยื่นบทให้ปั๊บ แถมยังเรียกชื่อจริง ไม่ธรรมดาเลยนา...” สิ่งที่พี่เนยพูด ทำเอาฉันเงียบ ไม่ใช่เพราะฉันเขินหรอก แต่ฉันไม่แน่ใจต่างหากว่าเขาเข้ามายื่นบทนี้ให้ฉันเพราะบังเอิญหรือว่าจงใจกันแน่ เป็นใครก็ต้องงงไหมล่ะ
ฉันรู้ดีว่า...ชื่อของเขาคือ ‘แทนคุณ ณรงค์วิทย์’ เป็นถึงลูกชายเจ้าของเครือสื่อระดับประเทศ ช่องโทรทัศน์ นิตยสาร เว็บไซต์ และอีกมากมายเกี่ยวกับโซเชียล ที่ใหญ่พอจะล้มดาราดังให้กลายเป็นดาราดับได้ภายในวันเดียว
แต่หลังจากเขาเรียนจบ ฉันก็ไม่ได้ข่าวอีกเลย แม้แต่ในข่าววงการสื่อบันเทิงที่เป็นธุรกิจของบ้านเขา ก็ไร้เงาข่าวของเขาเช่นกัน
ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน และไม่มีใครคิดว่าเขาจะกลับมาในฐานะคนเขียนบทแบบนี้ แม้แต่ฉันเองด้วย
ความทรงจำของฉันที่มีต่อเขา ค่อนข้างน้อยมากเพราะไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น เราได้เจอกันเฉพาะกิจกรรมของคณะ เนื่องจากเรียนคณะเดียวกัน
ฉันเคยนั่งหลังเขาในคลาสสื่อสารมวลชนที่เป็นวิชาเลือก แอบมองหลังคอเขาบ่อย ๆ และไม่เคยคิดว่าเขาจะจำฉันได้ด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะเสื้อแจ็คเกตที่ฉันให้เขายืมไปรึเปล่านะ เขาเลยยังจำฉันได้ดี
“ว่าแต่บทที่จะเล่นวันนี้มันเป็นบทแม่ของนางเอกไม่ใช่เหรอคะ แล้วที่ถืออยู่นั่นมัน…บทนำวันก่อนนินา หรือว่าน้องมิ้นจะ...” พี่เนยถามอีกครั้ง
“บทที่จะเล่นวันนี้ มิ้นจำได้ขึ้นใจแล้วค่ะ ส่วนบทที่ถืออยู่ มิ้นไม่ได้ตอบตกลงหรอก แค่อยากลองอ่านสักหน่อย อย่างน้อยก็เป็นบทที่คนรู้จักเขียนน่ะพี่” ฉันยิ้มให้พี่เนยแล้วเปิดบทเล่มนั้น...หน้าที่หนึ่ง
‘คนคนหนึ่ง...เดินผ่านเข้ามาในชีวิตของทุกคนเหมือนเงา แต่กลับส่องสว่างขึ้นทุกครั้ง...ที่ถูกมองเห็น’
ฉันอ่านในใจแล้วชะงัก นี่มันไม่ใช่บทเปิดละครรึเปล่ามันน่าจะเป็นถ้อยคำของใครบางคน
ฉันยังคงไม่เข้าใจแต่ก็พลิกไปอีกหน้า พบว่าเนื้อหาทั้งหมดไม่ใช่บทละครฉบับเต็ม แต่เป็นเพียง ‘บทร่าง’ ที่เขียนขึ้นด้วยภาษาเหมือนกำลังพูดกับฉัน
บทนำที่ไม่มีคำว่า ‘นางเอก’ หรือ ‘ตัวประกอบ’
มีแค่บทของ ‘ผู้หญิงคนหนึ่งที่หายไปจากแสงไฟ ทั้งที่เธอคือคนเดียวที่เคยสว่างโดยไม่ต้องมีไฟส่องแสง’
“ประโยคนี้มัน...”
ฉันอ่านจบในสิบห้านาที และในขณะนั้นเอง...มือของฉันก็วางบทลงช้า ๆ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ อยู่ในภวังค์แห่งความคิดไปต่าง ๆ นานา
“คุณมิ้นคะ กองพร้อมแล้วค่ะ” เสียงของคนในกองถ่ายเรียกฉัน และนั่นก็ทำให้ฉันต้องสลัดความคิดทุกอย่างที่ฟุ้งซ่านออกจากสมองไปให้หมด
“แอคชั่น!” เสียงตะโกนจากผู้กำกับในกองถ่ายดังกึกก้องกลางสตูดิโอ ฉันนั่งยอง ๆ ข้างเตียงไม้เก่า มือเล็ก ๆ สั่นระริกถือถ้วยข้าวต้มที่พร็อพจัดไว้ให้ ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ราวกับคนผ่านโลกมามากกว่าห้าสิบปี แม้อายุจริงของฉันจะเพิ่งยี่สิบปลาย ๆ ไม่กี่เดือนก่อนนี้เอง
“ลูก...กินข้าวเถอะนะลูก เดี๋ยวไม่มีแรงนะจ๊ะ” เสียงฉันเอื้อนเอ่ยอย่างระมัดระวัง จังหวะเนิบช้า และอ่อนโยนแบบแม่ในละครน้ำเน่าเป๊ะ!
กล้องซูมเข้าไปที่หน้านางเอกของเรื่อง ซึ่งกำลังแกล้งหายใจรัวระรินเหมือนจะตายรอมร่อ ส่วนฉันอยู่ในเฟรมมุมล่างสุดของภาพ เห็นหน้าแค่ครึ่งเท่านั้นแหละ
แต่นะ...ฉันเต็มที่กับบทของฉันเสมอ ต่อให้จะไม่ใช่นางเอก ต่อให้ไม่มีใครพูดถึง ฉันก็ไม่แคร์หรอก ฉันมีความสุขจะตาย เมื่อได้แสดงบทเล็ก ๆ แต่ท้าทายแบบนี้ ยังไงก็ได้เงินอยู่ดี
“แม่จะอยู่กับลูก...จนถึงลมหายใจสุดท้ายนะ”
“คัต!”
เสียงสั่งคัตดังขึ้นในจังหวะที่พอดีเป๊ะ ทำเอาฉันถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ก่อนจะลุกขึ้นช้า ๆ แล้วยิ้มให้กับทีมงาน
‘แต่ว่านั่งนานไปหน่อยปวดเข่าชะมัด’
“ดีมากเลยค่ะพี่มิ้น ฉากนี้อินมากเลยค่ะ หนูร้องไห้ตามเลย” ผู้ช่วยผู้กำกับยื่นทิชชูให้ฉันซับหน้า
“ขอบคุณค่ะ” ฉันตอบเสียงหวานก่อนจะเช็ดน้ำตาเล็ก ๆ ของตัวเองเบา ๆ
“แม่เล่นดีมากเลยค่ะ” เสียงนางเอกหน้าใหม่มาแรงที่รับบทลูกสาวดังแทรกขึ้นมา พร้อมรอยยิ้มกว้างที่สดใส
“ไม่ใช่แม่จริง ๆ ก็ต้องให้เหมือนแม่จริง ๆ ล่ะเนอะ” ฉันแซวขำ ๆ “น้องฟ้าเองก็เล่นได้สบายขึ้นเยอะเลยนะ”
แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งประกาศกลางกอง
“เทคนี้ผ่านครับ! พี่แทนบอกให้ข้ามเข้าฉากสามต่อได้เลย” ฉันชะงักเล็กน้อย กับคำว่า ‘พี่แทนบอกว่า’ ก็เขานั่นแหละคนเขียนบท คนที่เข้ามาช่วยผู้กำกับ คนที่อนุมัติทุกซีน และเป็นคนที่เขียนบทแม่นี้ขึ้นกะทันหัน จนผู้กำกับยังต้องเรียกฉันมาอย่างชุลหุก นี่สินะผู้กำกับเงาที่ไม่เคยเห็นและเพิ่งได้รู้จัก
มาตอนนี้ ก็โดนดึงมาแสดงตัวประกอบอย่างแม่ที่โผล่หน้ามาในตอนสุดท้ายเนี่ยแหละ ไม่รู้ฉันคิดไปเองรึเปล่า ว่าเขาเหมือนกำลังกดดันให้ฉันรับ ‘บทนำ’ เรื่องนั้นอยู่
การถ่ายทำฉากสามเริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีพัก ฉันเองอารมณ์ก็กำลังมาเต็มที่ ในขณะที่ต้องนั่งยอง ๆ ถ่ายกับนางเอกที่ป่วยบนเตียง น้องนางเอกคงยังใหม่มาก พานทำให้ต้องถ่ายไปหลายเทคพอสมควร
“มุมกล้องปรับให้มิ้นอีกนิดนะ ซีนเมื่อกี้สื่ออารมณ์ได้ดีเลย” เสียงทุ้ม นุ่มละมุนนั้น ดังขึ้นจากด้านหลังฉัน ไม่ใช่ใครอื่นหรอก ก็พี่แทนนั่นแหละ ฉันหันไปยิ้มตามมารยาทเอ่ยกับเขา “ขอบคุณค่ะ ผอ.”
พี่แทนยิ้มบาง ดวงตาเหมือนจ้องสำรวจอะไรบางอย่าง พานทำให้ฉันต้องกลับมามองรอบ ๆ ตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติไปรึเปล่า
“ถ้ามีอะไรไม่สะดวก บอกได้เลยนะ พี่ตั้งใจเขียนบทนี้ไว้ให้จริง ๆ” พี่แทนย้ำกับฉันเรื่องเขียนบทแม่ให้ฉัน แต่ทำไมฉันกลับนึกไปถึงบทนั้นซะมากกว่า
“พี่แทนคาดหวังมิ้นขนาดนี้ก็แย่สิคะ” ฉันเท้าสะเอวเลิกคิ้วตอบเสียงเรียบ ๆ แต่ก็แฝงด้วยแววขำ
“ก็หนูเก่ง พี่ชมจริง ๆ” เขาพูดพลางหันไปส่งแผ่นคิวซีนให้ผู้ช่วยข้างตัวเอง
“หนูขอรับคำชมไว้แล้วกันค่ะ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าไม่ได้คะแนนพิเศษจากมิ้นหรอกนะคะ” ฉันยกยิ้มมุมปาก ภายในใจก็ยังคงสงสัย ถ้าเขาเป็นผู้ชายทั่วไปฉันคงคิดว่าเขาจีบฉันรึเปล่า แต่นี่...เขาเป็นเกย์ แล้วจะเขียนบทแม่ลูกซึ้ง ๆ ให้ฉันทำไม หรือว่าจู่ ๆ ก็คิดถึงมิตรภาพสมัยเรียนขึ้นมา เอาจริงก็ไม่ได้สนิทกันมากขนาดนั้นซะหน่อย
“คุณแทนครับ คิวซีนห้า เดี๋ยวต้องรันก่อนบ่ายสองนะครับ แต่วันนี้ถ่ายไปหลายเทคแล้ว ไม่รู้ว่า คุณมิ้นยังไหวอยู่ไหม” เสียงผู้ช่วยวิ่งเข้ามาสะกิดเขา
“ไหวสิ...” พี่แทนตอบก่อนที่ฉันจะเปิดปากเสียอีก “ฉากห้า ถ้ามิ้นไม่อยู่ ผมก็ไม่ถ่ายให้” คำพูดนั่นทำเอาผู้ช่วยเลิ่กลั่ก ส่วนฉันเองก็ต้องหรี่ตามองเขา
“ผอ. อยากชมฉันแบบตรง ๆ ก็ชมเลยค่ะ ไม่ต้องพูดอ้อมค้อมก็ได้ ฉันไม่เขินหรอก ฉันชิน...คำชมฉันได้รับมันมาบ่อยแล้ว ทำมาเป็นบอกไม่มีมิ้นจะไม่อยู่ถ่ายขนาดนี้ เดี๋ยวคนก็เต้าข่าวเสีย ๆ หาย ๆ หรอกค่ะ” ฉันพูดแบบประชดปนขำ เขาเองก็หัวเราะเบา ๆ
“งั้นพี่จะชมเธอตรง ๆ ก็ได้” เขาเว้นจังหวะนิดหน่อย พานดึงสายตาให้ฉันหันไปสบตาอีกครั้ง “หนูเก่งกว่าที่พี่คาดไว้เยอะ จนอยากถ่ายทุกฉากที่มีหนูเลย” สิ้นคำ ฉันเงียบไปสักพัก แต่ก็แกล้งแซวกลับ
“แหม...ชมแบบนี้ระวังนะคะ คนจะหาว่าจีบตัวประกอบแบบหนู” พี่แทนไม่พูดอะไร เขาเพียงยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับไปยังมุมจอมอนิเตอร์ โดยมีผู้ช่วยเดินตามหลัง
แต่จะว่าไป เกย์หล่อเรียกฉันว่า ‘หนู’ นี่ทำเอาใจสั่นเหมือนกันนะเนี่ย ฮี่ฮี่...
[TAN PART]
“คุณแทนครับ ถามจริง...จีบน้องมิ้นรึเปล่าเนี่ย ไม่ได้นะครับผมชอบก่อน” ผู้ช่วยกล่าวแบบนั้น ผมเพียงแต่ยื่นแฟ้มบทให้ผู้ช่วยพลางพูดเรียบ ๆ ว่า
“เรื่องหน้าขอเพิ่มฉากแม่ลูกร้องไห้เป็นพิเศษหน่อยนะ ผมเชื่อว่าตัวประกอบคนนี้...จะขโมยซีนได้แน่”
[END TAN PART]
7จะ...จูบกับเกย์ฉันเดินออกมายืนรอที่ลานจอดรถด้วยท่าทีนิ่งขรึม กอดอกทอดสายตามองรถคันหรู ที่เคยเห็นมาเพียงครั้งหนึ่งเคลื่อนมาจอดตรงหน้าฉัน แต่ฉันยังคงยื่นนิ่งทื่อ เพราะสมองยังคิดถึงบทฉากใหม่ที่ถูกยัดเข้ามาอยู่“ขึ้นมาสิครับ” พี่แทนเลื่อนกระจกรถลง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล หึ...คนที่ยัดฉากจูบมาให้ฉันดื้อ ๆ ยังมีหน้ายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันสะบัดตัวแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะขึ้นรถของเขารถคันหรูเคลื่อนตัวอย่างนุ่มนวลบนถนนยามค่ำคืน แสงไฟข้างทาง สาดส่องลอดผ่านกระจกมากระทบใบหน้าเขาถึงฉันจะโมโหพี่แทนอยู่ แต่พอมองหน้าที่ดูเย็น ๆ นิ่ง ๆ ของเขาก็ต้องยอมรับว่าทำให้ใจสงบ หล่อราวกับฉันเอื้อมไม่ถึง ว่าแล้วก็ได้แต่อิจฉาผู้ชายชะมัด จนอยากเกิดใหม่เป็นผู้ชายไปจีบเขาบ้าง แต่ก็คงได้แต่ฝันพี่แทนยังคงขับรถด้วยท่าทีนิ่งสงบ ไม่พูดอะไรออกมา ส่วนฉันก็เอาแต่มองหน้าต่างฝั่งตัวเอง ทั้งที่ใจสับสนวุ่นวายไปหมด“มิ้น...” เสียงพี่แทนทำลายความเงียบอย่างอ่อนโยน“ว่าไงคะ” ฉันตอบกลับแต่ไม่มองหน้าเขา จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกอยากทำให้พี่แทนรู้ว่า ฉันหงุดหงิดที่เขายัดบทให้ฉันไปจูบกับผู้ชาย (คนอื่น)“โมโหอะไร
6ห้องแต่งตัว หัวใจเต้นระริก“โอ๊ย! เหนื่อยจังโว๊ย” ฉันสบถออกมา หลังกลับมาถึงคอนโดก็แทบสลบคาโซฟา มันทั้งเหนื่อยล้าไปทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะอินไปกับบทที่ได้รับมากไปหน่อย‘วันนี้เก่งมากครับ’ จู่ ๆ คำพูดที่พี่แทนพูดกับฉัน ก็วนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด จากใบหน้าบึ้งตึง เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัวจนหยิบหมอนที่อยู่ใกล้มือมาปิดหน้าตัวเอง“กรี้ด...เขาชมฉันด้วย ฉันชอบเขาจัง พี่เกย์สุดหล่อขา...” หัวใจฉันมันเต้นตุบตับ ยิ่งกว่าเข้าซีนกับพระเอกในละครที่เคยแสดงด้วยกันซะอีกเอาเถอะ ฉันก็แค่หลงรักเขาข้างเดียว ยังไงซะ...เขาก็คงไม่หันมามองฉันหรอก แต่ถึงจะปลอบใจตัวเองขนาดนั้น หัวใจก็ไม่หยุดเต้นสักที‘เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!’ ฉันตบหน้าตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติตัวเอง ก่อนจะลุกเดินไปอาบน้ำเพื่อเข้านอน(วันรุ่งขึ้น)วันนี้คิวถ่ายฉันมีซีนเดียวเท่านั้น ก็ตามที่บอกแม้ฉันจะเล่นเป็นบทนำร่วมแต่บทแม่วัยสาวของฉัน มันไม่ได้เด่นมากขนาดนั้น ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีค่ะฉากในวันนี้ของฉันคือ รุ้งคุณแม่ยังสาว ต้องปกป้องลูกชายของตัวเองจากความจน และการโดนกดขี่จากคนรอบข้าง เสื้อผ้าที่ได้สวมใส่ก็เป็นผ้าฝ้ายสีซีด ต้องทำตัวให้ดูโทรมที่สุดเท่าที่
5 เข้ากองวันแรกวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันแรกของการถ่ายทำมาถึง แต่แทนที่ฉันจะได้สวมบทแม่ยังสาวและร้องห่มร้องไห้ในฉากแสนสะเทือนใจ กลับกลายเป็นว่าต้องมานั่ง รอ...รอ...และก็รอ เฮ้อ...สาเหตุไม่ใช่ใครที่ไหน ดีนี่ ดาราผู้รับบทช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มีบทมากที่สุด มาสายกว่าชั่วโมง สีหน้าเธอดูเหนื่อยล้า และซีดเผือดเหมือนยังไม่ได้นอนผู้จัดการของเธอก็เอาแต่พ่นคำหยาบออกมา แม้แต่ฉันที่ได้ยินยังรำคาญหู โวยวายเรื่องสคริปต์ เรื่องฉาก เรื่องตารางถ่ายทำที่แน่นเกินไป ฉันที่นั่งฟังเงียบ ๆ พานนึกในใจว่าไม่ใช่ที่ดีนี่ไม่พร้อมหรอก น่าจะเป็นผู้จัดการของเธอต่างหากที่ไม่พร้อมจะทำหน้าที่นี้ฉันยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้เพื่อรอคิวถ่าย แต่...ดีนี่แสดงได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ผ่านไปเทคแล้วเทคเล่าเกือบยี่สิบรอบ ผู้กำกับเริ่มถอนหายใจแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทีมไฟ ทีมกล้องเริ่มเบือนสายตาจากจอมอนิเตอร์ หันมามองหน้ากันแทนและคิวของฉันก็ถูกเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ แต่ที่น่าหนักใจกว่า คือดีนี่เริ่มร้องไห้หนัก เธอนั่งขดตัวอยู่มุมห้องจนไม่ม
4บทบาทนักแสดงพี่แทนยังคงส่งข้อความหาฉันไม่หยุดเพื่อถามความคืบหน้าว่าฉันจะรับเล่นบท ‘แม่วัยสาว’ รึเปล่าเล่นทั้งโทร ทั้งส่งข้อความ ด้วยน้ำเสียงหล่อละมุน ปนลูกอ้อนแบบนี้ ถึงใจฉันจะแข็งเป็นหิน แต่น้ำหยดลงหินทุกวันมันก็...แถมวันนี้พี่แทนยังสั่งให้พี่กรีนผู้จัดการส่วนตัวของฉัน มาหาฉันถึงห้องเพื่อรอฟังคำตอบ นี่เขากะจะมัดมือชกฉันชัด ๆ“มิ้น รับเล่นบทนี้เถอะ ถือว่าพี่ขอร้องพี่ไม่อยากโดนไล่ออกนะ” พี่กรีนยกมือไหว้ฉันทำเอาฉันตกใจ จนต้องรีบจับมือเขาไว้ให้เขานั่งลง“เดี๋ยวสิพี่กรีน พวกเขากดดันพี่ขนาดนั้นเลยเหรอคะ” ฉันเบิกตาโพลงมอง“ก็ไม่ได้พูดหรอก แต่พี่รู้สึกว่าทางคุณแทนเขาตั้งใจสร้างเรื่องนี้มากจริง ๆ ทุกคนก็คาดหวังว่ามิ้นจะรับเล่น ตอนนี้เหมือนสายตาพวกเขาจ้องมาที่พี่หมดเลยนะสิ พวกเบื้องหลังก็ทักมาไม่หยุดหย่อน ขอร้องนะน้องมิ้น งานอื่น ๆ พี่ไม่เคยจะบังคับ ตามใจมิ้นมาตลอด แต่เรื่องนี้พี่ขอเถอะนะ รับบทนี้นะ” น้ำเสียงที่สั่นเครือของพี่กรีนทำให้ฉันยิ่งรู้สึกว่าการไม่รับบทนี้ส่งผลกระทบให้ใครต่อหลายคนเกินไป“พี่กรีน พี่ไปดื่มน้ำเย็นให้หายร้อนก่อนดีไหม เดี๋ยวมิ้นขออ่านบทที่พี่แทนให้มาก่อน” พี่กรีนเงยห
3ซีนเดียว...ล้านวิวหลังจากฉันถ่ายทำบทแม่นางเอกละครเรื่องนั้นจบไป ฉันก็มีเวลาพักผ่อนนั่งไถโซเชียลเสียที ว่าผลตอบรับละครเป็นไงบ้างหลังออกอากาศไปห้าตอน เพราะยังไงซะบทฉันก็มีแค่ช่วงต้น ๆ กับตอนท้ายเท่านั้นแหละตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะเป็นนักแสดงตัวประกอบ เคยอยู่วงการบันเทิงมานานพอจะรู้ว่า ‘ซีนแม่ร้องไห้’ ยังไงมันก็ไม่ใช่ไฮไลต์หรอก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับความรันทดของนางเอกกับพระเอก แต่...#ละครคุณแม่ปังมาก#แม่นางเอกเล่นดีเกิน#แท้จริงมิ้นคือนางเอก#ขอซีนแม่นางเอกเพิ่มได้ไหม#ร้องไห้ตามแม่เลยอ่ะT_T“อะไรกันเนี่ย!” ฉันพึมพำกับตัวเองขณะเลื่อนหน้าโซเชียลบนมือถือ เทรนด์แท็กอันดับ หนึ่งถึงห้าของประเทศ ณ เวลานี้ เป็นบทแม่ที่ฉันแสดงทั้งหมด แถมหลายคนยังตัดคลิปฉากฉันร้องไห้เต็มหน้าฟีดในนั้นมีคลิปหนึ่งที่ถูกรีทวีตเกือบเก้าหมื่นครั้ง เป็นคลิปตัดฉากฉันในบทแม่วิภา กำลังร้องไห้บอกลาลูกสาว ก่อนจะเดินหันหลังกลับไปพร้อมเสียงสะอื้นเงียบ ๆคลิปยาวไม่ถึงนาที ฉันจำได้ว่าใช้เวลาถ่ายจริง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ‘Rrrrr’เสียงมือถือฉันดังขึ้นและพบว่า พี่กรีนผู้จัดการส่วนตัวของฉันโทรมา(นี่...มิ้นเห็นแท็กใน
2เพราะบทนำ...มันเหนื่อยเกินไป(หลังจากเลิกกอง)ฉันได้นำขนมที่เตรียมไว้แจกจ่ายให้กับทีมงานทุกคนเพราะไม่ใช่แค่นักแสดงที่เหนื่อยกับการทำงาน แต่ทีมงานทุกคนที่อยู่เบื้องหลังก็เหนื่อยไม่ต่างกัน แถมพอเลิกกองพวกเขาก็ยังไม่เลิกงานอีกสิ่งที่ฉันทำได้นั้นคือตั้งใจในสายอาชีพ ยิ่งฉันแสดงได้ดีเท่าไหร่ งานของพวกเขาก็จะเดินเร็วมากขึ้น (นักแสดงคนอื่นก็ต้องให้ความร่วมมือด้วยนะ)ในขณะที่ฉันกำลังจะโทรหาผู้จัดการส่วนตัว เสียงเปิดประตูห้องแต่งตัวก็ดังขึ้น“จะกลับเลยไหม เดี๋ยวพี่ไปส่งหนูเอง” ฉันหันหน้าไปทางเสียงนั้น‘พี่แทนเหรอ?’ พี่แทนที่นิ่ง เงียบ สุภาพเกินมนุษย์ปกติ แถมพูดเพราะเหมือนหลุดจากพระเอกในละคร ‘โอ๊ย! แบบนี้ยิ่งใช่เลย! เกย์ในอุดมคติ’“เอ่อ...เกรงใจค่ะพี่ เดี๋ยวพี่กรีนก็ไปส่งอยู่แล้ว” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเบาอย่างสงบเสงี่ยมเช่นกัน ยังไงซะเขาก็เป็นถึงผู้อำนวยการ อีกทั้งยังเป็นคนเขียนบทอีกไม่ใช่แค่นั้น ไม่นานมานี้ฉันก็เพิ่งได้รู้มาว่า ต้นสังกัดของฉันก็กลายเป็นบริษัทในเครือของบริษัทครอบครัวเขาไปแล้ว“หื้ม...คุณกรีนเหรอ เขากลับไปแล้วนะ เมื่อกี้พี่เห็นเขาโดนเรียกตัวด่วนจากบริษัทนะครับ”“ว่าไงนะ! แล้ว
Comments