แชร์

ข่าวของซูเต๋อ

ผู้เขียน: l3oonm@
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-22 11:27:47

ผ่านมาเกือบเดือนผลผลิตในนาข้าวของจิ่วเม่ยก็ดูจะงอกงามกว่าของผู้อื่นมากนัก ของชาวบ้านที่มาช่วยนางทำนาก็ดีไม่แพ้ของนาง

มีเพียงซูเจินที่รู้ว่า แมลงต่างๆ ทั้งหนู มิได้กินผลผลิตในนาข้าวของเรือนนาง แม้แต่ของชาวบ้านที่ช่วยเหลือจิ่วเม่ยก็ได้รับการละเว้น

คงมีแต่ของตระกูลชุยที่ปีนี้แทบจะไม่เหลือผลผลิตให้เก็บเกี่ยว หากถึงช่วงเก็บเกี่ยวก็คงได้แต่เก็บไว้กิน มิอาจจะนำไปขายแลกเงินได้

ผ่านมาอีกสองเดือนซูเจินน้อยที่ถูกนำไปที่นาด้วยก็ถูกจับให้นั่งรอที่ใต้ต้นไม้เช่นเดิม ตอนนี้ไม่ใครกังวลเป็นห่วงนางมากแล้ว เพราะหลายครั้งที่ผ่านมาทำให้รู้ว่านางเป็นเด็กที่รู้เรื่องเพียงใด

ซูเจินนางจะคลานไปรอบๆ อย่างสนใจ และหยุดมองพวกเขาทำงาน เด็กน้อยจะคลานอยู่ไม่ห่างทำให้พวกเขาทำงานได้อย่างเต็มที่

แต่แปลกที่เด็กคนอื่นมาเล่นกับนาง นางจะไม่ค่อยเล่นด้วย ได้แต่มองพวกเขาเล่นเท่านั้น แต่หากมีเด็กคนใดที่รังแกนาง ไม่ต้องให้ซูเจินนางลงมือ เสี่ยวอี่ก็สั่งให้พวกมดไปกัดเด็กคนนั้นแล้ว ยังดีที่มดเพียงสองสามตัวเท่านั้นที่กัด

พอซูเจินนางอายุได้เกือบขวบ ข่าวของชูเต๋อก็ส่งมาถึงหมู่บ้าน สงครามสิ้นสุดลงแล้ว และเขากำลังเดินทางกลับมา ลุงหวงกับป้าหวงที่นำจดหมายมาส่งเมื่อรู้เรื่องก็ได้แต่ยินดีกับจิ่วเม่ยด้วย

ซูเจินในตอนนี้นางเริ่มจะสื่อสารเล็กน้อยตอบโต้ได้เป็นคำแล้ว นางก็อดที่จะตั้งตารอท่านพ่อคนใหม่ของนางไม่ได้

“แม่ หิว” ซูเจินลูบท้องที่กลมของนาง บอกจิ่วเม่ยที่กำลังล้างมือ เพื่อจะพานางไปกินข้าวพอดี

“ได้ ได้ เจินเออร์ น้อยของแม่หิวเสียแล้ว” นางอุ้มบุตรสาวขึ้นแล้วพาไปที่ห้องโถง

แต่ก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านในห้องโถง ซูเจินก็ดึงสาบเสื้อของมารดาไว้ แล้วชี้มือไปที่กวางตัวใหญ่ที่อยู่นอกกำแพงด้านหลังเรือน

“สวรรค์” จิ่วเม่ยร้องเสียงดัง นางไม่เคยเห็นกวางเดินเข้ามาในหมู่บ้านมาก่อน

เมื่อกวางที่อยู่ด้านหลังเรือนเห็นซูเจินมันก็ก้มหัวลง ก่อนจะล้มลงที่พื้น จิ่วเม่ยที่อุ้มบุตรสาวอยู่ก็รีบเดินไปดูอย่างรวดเร็ว

พอไปถึงจึงได้รู้ว่า กวางตัวนั่นตายเสียแล้ว ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เมื่อเดือนก่อน ที่บุตรสาวเริ่มจะกินข้าวและเนื้อคำโตได้ ไก่ป่าก็เดินเข้ามาตายในลานเรือนของนาง

จิ่วเม่ยจึงได้ทำอาหารให้ซูเจินได้กิน เมื่อคืนซูเจินบ่นอยากกินเนื้อ เสี่ยวเตี๋ยจึงได้เข้าป่าไปดูว่ามีสัตว์ตัวใดที่ใกล้สิ้นอายุขั้นแล้ว ก็พบว่ากวางตัวหนึ่งที่อายุมากเต็มทีใกล้จะตาย จึงได้ยินยอมยกเนื้อของตนเองให้ซูเจินกินแทน

หากไม่มีงานเลี้ยงในหมู่บ้าน ชาวบ้านและที่เรือนของนางจะมีเพียงเนื้อแห้งที่ทำเก็บไว้กิน หรือไม่ก็หากไม่ฝากซื้อเนื้อหมูในเมืองนางก็แทบจะไม่ได้กินเนื้อเลย

จิ่วเม่ยวางตัวซูเจินลงกับพื้นให้บุตรสาวนั่งรอนาง ก่อนที่จะเปิดประตูด้านหลังเรือนออกไปดู เห็นว่ากวางตายลงแล้ว จึงได้ลากเขามาในเรือน

นางอุ้มบุตรสาวไปที่บ้านของลุงหวง เพื่อให้เขาจัดการเนื้อกวางให้นาง

“ท่านลุงหวง ท่านป้าหวง อยู่หรือไม่เจ้าคะ” นางร้องเรียนอยู่ด้านหน้า

ไม่นานป้าหวงก็เดินออกมาเปิดประตูเรือนให้นาง “อาเม่ยมีเรื่องอันใด แล้วพวกเจ้าสองแม่ลูกกินข้าวมาแล้วหรือยัง” ตระกูลหวงกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่

“ทำไว้แล้วเจ้าค่ะ แต่ยังไม่ได้กิน ข้าจะรบกวนให้ พี่ไฉ ไปจัดการกวางให้ข้าที” หวงไฉบุตรชายคนโตของป้าหวง เขาทำงานอยู่ที่ร้านขายหมูในเมือง เรื่องชำแหละ นางจึงต้องนึกถึงเขาคนแรก

“โอ้ กวางอย่างนั้นหรือ เจ้าไปได้มาได้อย่างไร” ป้าหวงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ เพราะไม่เคยได้ยินว่าจิ่วเม่ยนางล่าสัตว์ได้ หรือเคยเห็นนางขึ้นไปวางกับดักสักครั้ง

“ท่านไปที่เรือนของข้า แล้วข้าจะเล่าให้ฟังเจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยไม่กล้าเล่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นที่เรือนของนางให้ป้าหวงฟังที่หน้าเรือน เพราะยังมีชาวบ้านไม่น้อยที่เดินผ่านไปผ่านมา

หากพวกเขารู้เรื่องไม่รู้จะคิดว่านางและบุตรสาวเป็นพวกปีศาจหรือไม่ เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรก ตอนนี้นางเริ่มเชื่อแล้วว่าบุตรสาวของนางต้องมีอะไรที่แตกต่างจากเด็กทั่วไป

“ได้ๆ เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะรีบตามไป” 

จิ่วเม่ยเดินกลับเรือน เพื่อมากินข้าวกับบุตรสาว ในตอนนี้ซูเจินไม่ให้มารดาป้อนข้าวอีกแล้ว นางพยายามใช้มือน้อยๆ ของนางตักข้าวเข้าปาก แม้จะหกบ้าง แต่จิ่วเม่ยก็ไม่เคยบ่น ยอมให้บุตรสาวได้ทำทุกสิ่งที่นางต้องการด้วยตนเอง

พอสองแม่ลูกกินข้าวเสร็จ ลุงหวง ป้าหวงก็พาหวงไฉมาที่เรือนพอดี เมื่อทั้งสามเห็นกวางก็อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง

“เจ้าว่าอย่างไรนะ” ลุงหวงเอ่ยถามเสียงดัง

“มันเดินมาตายเองเจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยยิ้มแห้งให้พวกเขา ก็มันเดินมาเองจริงๆ จะให้นางบอกเช่นไร

“สวรรค์ ประหลาดนัก เพิ่งต่ายไม่นานจริงด้วย” หวงไฉเดินเข้ามาจับที่ตัวกวางมันยังอุ่นๆ อยู่ ทั้งยังไม่มีร่องรอยการถูกทำร้าย

“แล้วเจ้าจะให้ข้าจัดการเช่นไร” หวงไฉเงยหน้าขึ้นมาถามจิ่วเม่ย

“ข้าจะเก็บไว้บางส่วน และจะแบ่งให้พวกท่านกับชาวบ้านที่ช่วยเหลือข้า ที่เหลือขายได้หรือไม่เจ้าคะ” 

เงินในมือของนางตอนนี้เหลือไม่เยอะแล้ว แต่ข้าวที่เก็บเกี่ยวไว้มากก็ยังไม่ได้คิดที่จะเอาออกไปขาย รอให้สามีกลับมาจัดการเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นนางก็ต้องรบกวนชาวบ้านอีก

“ได้เรื่องนี้ไม่อยาก ขายในหมู่บ้านก็พอ แต่ราคาคงได้ไม่ดีเท่าในเมือง”

“เท่านั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”

แต่ป้าหวงไม่เห็นด้วยที่นางจะแบ่งเนื้อให้พวกเขา เปล่าๆ ทั้งยังจะแจกจ่ายผู้อื่นอีก

“อาเม่ยมิใช่ว่าข้าไม่อยากได้เนื้อ แต่เจ้าเก็บไว้กินมากเสียหน่อย เจินเออร์กำลังโต หากเจ้าแจกและขายหมด นางจะกินอันใด” ป้าหวงที่อุ้มซูเจินอยู่ก็เอ่ยขึ้น

ซูเจินรู้ดีว่าสิ่งที่ป้าหวงเอ่ย ก็เพราะเป็นห่วงพวกนางสองแม่ลูก นางยังหอมแก้มเขาไปหนึ่งที

“ฮ่า ฮ่า เจินเออร์ เจ้าเห็นด้วยกับยายใช่หรือไม่” นางบีบจมูกของซูเจินอย่างรักใคร่ หลานนางก็มีหลายคนแล้ว แต่ไม่มีคนใดที่รู้ความเช่นซูเจินสักคน

“เช่นนั้นข้าก็จะเก็บไว้มากเสียหน่อย แต่ส่วนของพวกท่านที่ข้าให้ก็อย่าได้ปฏิเสธเลยเจ้าค่ะ”

ซูเจินก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย สัตว์ป่าที่สิ้นอายุขัยยังมีอีกไม่น้อย หากนางอยากกินเนื้อก็แค่บอกเสี่ยวเตี๋ยก็พอ

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ซูเจิน นายหญิงแห่งพฤกษา   ออกเดินทางอีกครั้ง(ตอนจบ)

    เยี่ยนเฟยหยางประคองซูเจินไปที่เกี้ยวแปดคนหามหลังใหญ่ ชุดเจ้าสาวที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อต้องแสงแดดกับเปล่งประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดาวนับล้านดวงอยู่ที่ชุดของนาง ยิ่งทำให้คุณหนูต้องไปอ้อนวอนบิดามารดาให้ไปถามจวนตระกูลซูว่าไปตัดชุดที่ใดมา แต่ก็มิได้รับคำตอบซูเจินถูกเยี่ยนเฟยหยางประคองเข้าตำหนักของเขา ทั้งคู่ข้ามกระถางไฟก่อนที่จะไปหยุดที่แท่นกราบไหว้ฟ้าดินด้านหน้ามีเสด็จพ่อ เสด็จแม่และไทเฮาของเยี่ยนเฟยหยางนั่งอยู่ เสียงสวีกงกงขันทีของเยี่ยนเฟยหยางร้องบอกให้พวกเขากราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้บิดามารดา ก่อนจะคำนับกันเองซูเจินที่กำลังลุกขึ้น เพราะคิดว่าเสร็จสิ้นพิธีแล้ว แต่กลับถูกเยี่ยนเฟยหยางดึงรั้งมือของนางไว้ให้นั่งลงตามเดิม“ข้าเยี่ยนเฟยหยาง ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และเสด็จย่า ว่าทั้งชีวิตจะมีเพียงซูเจินเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียว หากผิดคำสาบานขอให้ฟ้าดินลงโทษ” ซูเจินจะร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วขุนนางที่ได้เข้าร่วมพิธีงานมงคลต่างตกตะลึง เพราะยังไม่มีเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดที่กล้าเอ่ยสาบานเช่นนี้ออกมาสิ้นเสียงของเยี่ยนเฟยหยางท้องฟ้าที่กระจ่างใส ก็คำรามขึ้นเป็นการตอบรับคำของเขา ยิ

  • ซูเจิน นายหญิงแห่งพฤกษา   งานมงคล

    เป็นเช่นที่เยี่ยนเฟยหยางว่า เพราะซูเจินอยากให้หวังกงกงได้เดินทางไปทั่วแคว้นเพื่อท่องเที่ยวกับนาง ทั้งชีวิตเขาแทบจะอยู่เพียงในรั้ววัง หากฮ่องเต้ไม่เสด็จที่ใดเขาก็ไม่ได้ไปเช่นกันหวังกงกงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มหน้าบาน ต่างจากฮ่องเต้ที่เบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไหนว่าจะอยู่กับเขาอีกสองปี แต่ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะทิ้งเขาไปเสียแล้วเป็นอย่างที่ฮ่องเต้คิด หนึ่งเดือนต่อมาซูเจินนางก็ขอเข้าวัง ครั้งนี้นางแลกตัวหวังกงกงกับน้ำวิเศษของนาง“เหอะ เจ้าผิดคำพูด หวังกงกงขอเวลาเจิ้นอีกสองปี แต่นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปีเจ้าก็จะมาขโมยตัวเขาไปแล้วรึ”“เช่นนั้น พระองค์ต้องการอันใดเพคะ” นางขมวดคิ้วคิด เพราะนางคิดมาแล้วว่าจะพาหวังกงกงออกเดินทางไปด้วยกัน“เจิ้นต้องการจะเป็นผู้ฝึกตน” ซูเจินและหวังกงกงหันไปมองที่ฮ่องเต้อย่างตกใจ“พระองค์รู้หรือไม่ หากเป็นผู้ฝึกตนต้องละทิ้งบัลลังก์ พระองค์จะยินยอมหรือเพคะ” หากมีฮ่องเต้ที่มีอายุยืนยาว จะไม่สร้างเรื่องปั่นป่วนขึ้นมาอย่างนั้นรึ“เจิ้นเข้าใจเรื่องนี้ดี และคิดหาทางออกไว้แล้ว” “เสด็จพ่อ พระองค์ตัดสินพระทัยแล้วรึพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนเฟยหยางที่เพิ่งเรียกสติกลับมาได้เอ่ยถามออกม

  • ซูเจิน นายหญิงแห่งพฤกษา   ถึงเวลากลับเมืองหลวง

    “เรื่องนี้...” นางคิดว่าอย่างไร การแต่งงานในวัยเพียงสิบห้าหนาวก็ดูเหมือนจะเร็วไป“เจ้ากลัวอันใด”“ข้าคิดว่ามันเร็วเกินไป ที่จะแต่งงานในวัยสิบห้าหนาว”“เจินเจิน สตรีแคว้นต้าเยี่ยนวัยเท่านี้นับว่าไม่เร็วแล้ว” เขาเริ่มจะไม่สบอารมณ์แล้ว ที่นางไม่ยอมตอบรับเสียที“เอาเถิดอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกหลายเดือน” นางบอกปัดไป ก่อนจะไล่เขาให้ไปที่ห้องพัก“ไม่ ข้าจะเข้าไปในมิติของเจ้า” เยี่ยนเฟยหยางคิดจะเข้าไปฝึกในมิติต่อ“เจ้าค่ะ” ซูเจินพาเข้าไปด้านใน สุดท้ายนางก็ต้องอยู่ฝึกด้วยกันกับเขา“นายหญิง ดอกไม้ที่ข้าปลูกไว้ รู้ว่าท่านทั้งสองกำลังจะเข้าสู่ขั้นเซียนจึงยอมสละสองดอกมาให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูเจินมองดอกหลันฮวาที่นางเคยสัมผัสตอนที่มาที่นี่“ข้าจับมันได้ใช่หรือไม่” นางไม่รู้ว่าหากจับแล้วจะได้กลับไปที่โลกเดิมหรือไม่ นางก็ตอบไม่ได้ว่าอยากกลับไปหรือเปล่าแต่ก่อนที่หลันฮวาจะเอ่ยตอบ เยี่ยนเฟยหยางที่เห็นท่าทางของซูเจินดูไม่สบายใจ ที่นางต้องจับดอกไม้ที่หลันฮวานำมา ก็อดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้“เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าจับมัน”นางถอนหายใจออกมา ในเมื่อเขาอยากรู้นางก็ไม่คิดจะปิดบัง ก่อนจะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของนาง จนได้ม

  • ซูเจิน นายหญิงแห่งพฤกษา   ต้าเยี่ยนมีผู้ฝึกตน

    ในตอนแรกที่คิดว่านับเดือนกว่าจะถึง แต่เอาเข้าจริง นางเดินทางเพียงยี่สิบวันเท่านั้น จากหนานไห่จนถึงเขตชายแดนเหนือ ด้วยการนำทางของเสี่ยวมี่ ที่หาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดให้นางนางแวะที่เมืองหน้าด่านของชายแดนเหนือ เพื่อนำเสบียงอาหารออกมาแจกจ่ายให้กับค่ายผู้อพยพเพราะจำนวนคนที่นางมองเห็นคร่าวๆ ก็นับเกือบแสนคนเห็นจะได้ เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าสงครามกำลังเกิดขึ้นจริงรึซูเต๋อเข้าไปพบเจ้าเมือง ที่รู้จักกับเขาดี เพื่อแจ้งเรื่องที่ทางการให้นำเสบียงออกมาแจกจ่าย ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดคิดหาที่มาของเสบียงอีกแล้วเพราะจำนวนคนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน เสบียงที่มีเพียงพอให้พวกเขากินวันหนึ่งมื้อเท่านั้น ยิ่งได้เสบียงมาเพิ่มก็สามารถต่อชีวิตชาวบ้านไปได้อีกวันครั้งนี้ซูเจินนำเสบียงออกมามากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังต้องนำออกมาเกือบทุกวัน ถึงจะเพียงพอให้ทุกคนได้กินอิ่มท้องนางอยู่ที่เมืองด่านหน้าของชายแดนเหนือได้สามวัน จึงออกเดินทางไปหัวเมืองอื่นต่อ สามหัวเมืองหลักที่อยู่ด่านหน้าล้วนแต่มีคนอพยพนับแสนคน ซูเจินจึงต้องอยู่จัดการเรื่องเสบียงหลายวันเกือบหนึ่งเดือนที่นางต้องจัดการเรื่องเสบียง โดยที่ไม่รู้เลยว่าทางชายแดนเหนือที่

  • ซูเจิน นายหญิงแห่งพฤกษา   ศึกนอกศึกใน

    หวังกงกงรีบเดินเข้าไปจับตัวนางกำนัลไว้ แล้วค้นตัวจนได้ยาหุ่นเชิดมาทันที เขานำมาส่งให้เยี่ยนเฟยหยางเพื่อตรวจสอบ แล้วออกไปจัดการนางกำนัลที่ตำหนักของไทเฮาแต่เยี่ยนเฟยหยางกลับเดินเข้าไปหาทั้งสองคนแล้วนำยากรอกเข้าไปในปากแทน“เมื่อพวกท่านกล้าทำร้ายเสด็จพ่อและเสด็จย่าก็จงมีชีวิตอยู่เช่นพวกเขาเถิด” ดวงตาแข็งกร้าวของเยี่ยนเฟยหยาง ทำให้ทั้งสองอดที่จะหวาดกลัวออกมาไม่ได้ทั้งคู่ไม่คิดว่าเยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ คิดว่าเรื่องทั้งหมดที่วางแผนไว้จะแล้วเสร็จก่อนที่เยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงแต่คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต เพราะเยี่ยนเฟยหยางเดินทางกลับมาถึงเร็วทำให้สิ่งที่พวกเขาคิดไว้ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเมื่อจัดการทั้งสองคนเรียบร้อย เยี่ยนเฟยหยางรีบเดินทางไปที่ตำหนักของฮองเฮาและพี่ใหญ่ของตนทันทีพอไปถึงจึงพบว่าทั้งสองอาการไม่ต่างจากเสด็จย่าของตนนัก เมื่อช่วยทั้งสองให้พ้นอันตรายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปพูดคุยกับเสด็จพ่อ เรื่องภูเขาแร่ที่เว่ยอ๋องส่งคนไปทันที“เรื่องนี่เห็นทีเสนาบดีตู้ก็คงรวมมือด้วย หากเจ้ากลับมาไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น” ฮ่องเต้ให้หวังกงกงนำยาที่ใช้

  • ซูเจิน นายหญิงแห่งพฤกษา   หุ่นเชิด

    เยี่ยนเฟยหยางแทบไม่อยากจะเชื่อ เพราะพระองค์ยังดูแข็งแรง แทบไม่เคยเปรยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนสักครั้ง ส่วนเรื่องให้ผู้ใดขึ้นเป็นรัชทายาทเขามิได้สนใจ“ย่าให้องครักษ์เงาไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังมิทัน ที่จะรู้เรื่องราวดี ย่าก็ล้มป่วยจนมิอาจลุกจากเตียงได้ ว่าแต่เจ้าเอาอะไรให้ยาดื่ม” นางอดที่จะสงสัยไม่ได้“หลานได้น้ำวิเศษมาจากเจินเจิน และในตอนนี้หลานก็เป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่ขอท่านย่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป จนกว่าหลานจะหาตัวคนร้ายได้พ่ะย่ะค่ะ”“ย่า เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปดูเสด็จพ่อของเจ้าเถิด พี่ชายเจ้าย่าก็มิได้เห็นมาสักพักแล้ว” ไทเฮาตบที่หลังมือของหลานชายเบาๆ“เสด็จย่า พระองค์ทรงแสร้งป่วยต่อไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ หลานเห็นนางกำนัลของท่านดูมิน่าไว้ใจนัก”“เรื่องนี้ย่าก็พอจะรู้ว่าบ้าง แต่ยังมิอาจทำอันใดได้ ด้วยกลัวว่าคนร้ายจะรู้ตัวเสียก่อน”“หลานเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่าพักผ่อนก่อนเถิด” เยี่ยนเฟยหยางประคองไทเฮาให้นอนลงเช่นเดิมเขาคลายลมปราณที่ปิดกั้นเสียงเอาไว้ แล้วเดินออกจากห้องบรรทมไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หวังกงกงที่ยืนรออยู่หน้าตำหนักก็เดินเข้ามาหาทันที“องค์ชายห้า กระหม่อมมิรู้ว่าสมควรพู

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status