แชร์

ท่านพ่อกลับมาแล้ว

ผู้เขียน: l3oonm@
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-22 11:28:10

ซูเจินก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย สัตว์ป่าที่สิ้นอายุขัยยังมีอีกไม่น้อย หากนางอยากกินเนื้อก็แค่บอกเสี่ยวเตี๋ยก็พอ

หวงไฉเมื่อเห็นว่าตกลงกันได้แล้ว เขาก็ลงมือชำแหละเนื้อกวางทันที ฝีมือของหวงไฉทำให้ซูเจินจ้องมองอย่างสนใจ แม้แต่เลือดกวางก็ถูกเก็บเอาไว้ เนื้อถูกส่วนเขาชำแหละออกมาแทบไม่เหลือติดกระดูกเลย

เขากวางหวงไฉก็รับปากว่าจะนำไปขายที่ร้านยาให้นาง เพราะเขากวางที่สมบูรณ์เช่นนี้ได้ราคาไม่น้อยเลยทีเดียว หนังกวางก็ถูกถลกออกมาได้ไร้ที่ติ

ในตอนแรกหวงไฉก็คิดจะนำไปขายให้จิ่วเม่ย แต่นางจะเก็บไว้ทำรองเท้าให้สองพ่อลูกมากกว่า เรื่องนี้จึงไม่ได้ขัดนาง

เนื้อกวางถูกชำแหละออกมาได้มากถึงเกือบหนึ่งร้อยชั่ง (1ชั่ง=500กรัม) จิ่วเม่ยให้ป้าหวงเลือกไปสิบชั่ง ส่วนเรือนอื่นนางเก็บไว้ให้เรือนละสองชั่ง ก็อีกสิบชั่ง ตัวนางที่อยู่เพียงสองคนแม่ลูกเก็บไว้สิบชั่งเช่นกัน ก่อนจะให้หวงไฉออกหน้านำที่เหลือไปขายให้นาง

“ขายชั่งละหกสิบอิแปะเจ้าเห็นเป็นเช่นไร” หากขายในเมืองเนื้อที่สดใหม่อย่างน้อยต้องได้ชั่งละหนึ่งร้อยอิแปะ

แต่เพราะนางไม่อาจจะเดินทางไปขายได้ อีกทั้งก็อยากจะแบ่งให้ชาวบ้านในราคาที่ไม่แพง ราคาหกสิบอิแปะจึงนับว่าเหมาะสม

ค่าเงิน

1 อิแปะ = 1 เหรียญทองแดง

1 ก้วน = 100 อิแปะ

1 ตำลึงเงิน = 1 ก้วน (100 อิแปะ)

1 ตำลึงทอง = 10 ตำลึงเงิน

หวงไฉนำเนื้อกวางใส่ตะกร้าแล้วยกออกไป ขายกับลุงหวงที่จะนำเนื้อไปเก็บที่เรือน ป้าหวงอยู่ช่วยจิ่วเม่ยเก็บของและหมักเนื้อของนางเสียก่อน

ซูเจินเมื่อเห็นป้าหวงจะนำกระดูกกวางไปโยนทิ้งนางก็ร้องห้ามไว้เสียก่อน

“ย่า” เพราะนางพูดยังไม่ชัด ทั้งยังพูดได้ทีละคำ จึงทำให้สื่อสารได้อย่างลำบาก

“เรียกยายรึ” ป้าหวงหันกลับมามองซูเจินที่ปกตินางจะเรียกป้าหวงว่ายาย

“ไม่...ทิ้ง”

“กระดูกรึ เจ้าจะเอาไปเล่นมิได้” ป้าหวงมองนางอย่างเอ็นดู

“กิน...ดะ ได้”

“หึ ไม่ได้ มันกินไม่ได้เจินเออร์ เนื้อมีเยอะนัก ยายจะทำของอร่อยให้เจ้ากิน”

ซูเจินอยากจะร้องไห้นัก นางจะบอกป้าหวงเช่นใดดี กระดูกกวางมีประโยชน์ไม่น้อย หากนำมาต้มเป็นซุปจะช่วยเพิ่มแคลเซียมให้นางได้มากนัก

ซูเจินส่ายหน้าสู้ตาย นางเดินเตาะแตะเข้ามากอดขาป้าหวง พร้อมทั้งเงยหน้ามองอย่างออดอ้อนเช่นที่นางชอบทำ ยามที่ขอของอร่อยจากป้าหวง

“ต้ม ย่อยยย” 

“เอาไปต้มหรือ ทำน้ำแกงใช่หรือไม่” จิ่วเม่ยเอ่ยถามบุตรสาว

เพราะนางรู้ดีว่าซูเจินต่างกับเด็กในวัยเดียวกันมากนัก เหมือนนางจะรู้เรื่องต่างๆ อย่างดี

“ใช่ ใช่” นางพยักหน้าราวกับไก่จิก

“เช่นนั้นก็อย่าทิ้งเลยเจ้าค่ะ ข้าจะลองทำน้ำแกงให้นางกิน”

“เพ้ย เจ้าตามใจนางประหลาดนัก ได้ๆ ข้าจะล้างทำความสะอาดให้” สุดท้ายป้าหวงก็ยอมตามใจ และช่วยล้างทำความสะอาด

ความจริงซูเจินนางก็เสียดาย เครื่องในอยู่ไม่น้อย แต่ไม่รู้ว่าจะพูดเช่นใดว่ามันกินได้ จึงได้แต่มองดูท่านแม่นางนำไปทิ้งอย่างเสียดาย

เมื่อหมักเนื้อและนำไปตากเรียบร้อย จิ่วเม่ยก็นำกระดูกไปต้มน้ำแกงทิ้งไว้ ก่อนจะนำเนื้อที่แบ่งไว้ออกไปให้เรือนที่ช่วยเหลือนางตอนที่ทำนากับป้าหวง

ป้าหวงอุ้มซูเจินแล้วเดินไปพร้อมกับจิ่วเม่ย ชาวบ้านทั้งห้าเรือนที่ได้เนื้อจากนาง ต่างขอบคุณจิ่วเม่ยยกใหญ่ หากไม่มีความสามารถเรื่องวางกับกัดสัตว์พวกเขาก็แทบจะไม่ได้กินเนื้อ หากไม่ซื้อเขากิน

พอกลับมาถึงเรือน น้ำแกงที่เคี่ยวไว้ก็เดือดได้ที่ ป้าหวงจ้องมองจิ่วเม่ยที่กำลังตักน้ำแกงในชามเพื่อชิมอย่างไม่มั่นใจ

“อร่อย หวานมากเจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยร้องขึ้น

“จริงหรือ” ป้าหวงยังทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อนางลองตักน้ำแกงเข้าปาก ก็ต้องแสดงอาการไม่ต่างจากจิ่วเม่ยสักนิด

"จริงด้วย ไม่น่าเชื่อว่าน้ำแกงจะหวานเช่นนี้” กลายเป็นว่า ป้าหวงแบ่งกระดูกที่ยังมีอีกมากกลับเรือนของนางไปกว่าครึ่ง เพื่อทำน้ำแกงให้ทุกคนได้กิน

ชาวบ้านที่ป้าหวงเดินผ่านต่างเอ่ยถามนางเรื่องกระดูกที่นางถือกลับเรือน เพราะไม่เห็นว่าบ้านนางจะมีสุนัขที่รอกินกระดูกสักตัว

คนตระกูลหวงต่างก็แปลกใจไม่น้อยที่วันนี้ ที่ป้าหวงทำน้ำแกงกระดูกกวาง ทั้งยังนำกระดูกมาให้หลานทั้งสองของนางแทะเนื้อที่ติดอยู่อีกด้วย

แต่เมื่อทุกคนได้ลองกินก็พบว่าน้ำแกงทั้งหวานและส่งกลิ่นหอม เนื้อที่ติดอยู่ที่กระดูก เมื่อได้แทะไปด้วยก็เพิ่มความอร่อยได้มากทีเดียว

“ต่อไป ข้าต้องนำกระดูกที่ทิ้งกลับมาที่เรือนแล้วขอรับ” หวงไฉแทะไปด้วยแล้วเอ่ยออกมา

“ดีดี ข้าจะแบ่งไปให้อาเม่ย ต้มให้เจินเออร์บ้าง” 

หลังจากนั้น ซูเจินนางก็ได้แทะกระดูกหมูไปอีกนาน จนเมื่อนางเริ่มพูดได้ แล้วบอกมารดาของนาง จึงได้เลิกนำมาให้นางทุกวันเสียที เป็นนานๆ ทำให้นางได้กินสักครั้ง

ก่อนงานวันเกิดครบรอบหนึ่งหนาวของซูเจิน ซูเต๋อก็เดินทางกลับมาถึงเมืองเหอหนาน ลุงหวงรีบให้หลานชายวิ่งมาส่งข่าวที่เรือนของจิ่วเม่ย

“ท่านน้า ท่านน้าเม่ย อยู่หรือไม่ขอรับ” หวงฉือ บุตรชายของหวงไฉ ตะโกนเรียกเสียงดัง

“ฉือเออร์ มีเรื่องอันใดรึ เข้าเรือนก่อนมา” ซูเจินเดินเตาะแตะมายืนมองอยู่ที่ด้านหลังของมารดานาง

หวงฉือรีบเดินเข้าไปจูงมือของซูเจินอย่างสนิทสนม เพราะเขามักจะตามป้าหวงมาเล่นกับซูเจินบ่อยครั้ง

“เจินเออร์ ท่านน้าเม่ย ท่านอาเต๋อกลับมาแล้วขอรับ เขากำลังไปที่เรือนตระกูลชุย ท่านย่าจึงบอกให้ข้ามาบอกท่าน”

“กะ กลับมาแล้ว” จิ่วเม่ยดวงตาพร่าไปด้วยน้ำตา นางอดที่จะดีใจไม่ได้ เมื่อรู้ว่าสามีกลับมาเสียที

“ท่านน้าไปเลยขอรับ ข้าจะพาเจินเออร์ตามท่านไป”

“ได้ ได้ ขอบใจเจ้ามาก” จิ่วเม่ยรีบวิ่งไปทางเรือนตระกูลชุย

“เจินเออร์ จะได้พบหน้าท่านพ่อเจ้าแล้ว ดีใจหรือไม่” หวงฉือเอ่ยถาม พร้อมทั้งอุ้มซูเจินเดินตามจิ่วเม่ยไป

ซูเจินไม่รู้ว่านางจะบอกเขาเช่นไรดี ว่านางดีใจหรือไม่ เพราะยังไม่เคยเห็นหน้าผู้เป็นบิดาสักครั้ง แต่ตอนนี้นางเริ่มจะไม่พอใจแล้ว ที่เด็กน้อยวัยสิบหนาวมาอุ้มนางเช่นนี้

แต่จะทำอย่างไรได้ ขาที่สั้นของนางคงเดินไปได้ไม่ไกลก็เหนื่อยแล้ว เสี่ยวเตี๋ยบินมาเกาะที่ไหล่ของซูเจิน

“นายหญิงท่านไม่ต้องกังวล บิดาของท่านผู้นี้ ข้าเคยพบว่าก่อน เขาจิตใจดีไม่น้อย และยังปกป้องท่านกับท่านแม่ของท่านได้อย่างแน่นอน” ซูเจินพยักหน้าอย่างเข้าใจ

พอใกล้เข้าเรือนตระกูลชุย นางก็ได้ยินเสียงโวยวายของบุรุษและเสียงด่าทอของนางไห่ซื่อ

“หึ ท่านพ่อของเจ้าคงทะเลาะกับนางไห่ซื่ออยู่” หวงฉือกระซิบบอกซูเจิน

“เจ้าไปดูเสียหน่อย หากพวกเขาตีกัน ข้าจะได้ไม่เข้าไป” ใครจะเข้าไปให้ตัวเองถูกลูกหลง

“เจ้าค่ะ” เสี่ยวเตี๋ยบินล่วงหน้าไปสืบเรื่องให้ซูเจิน

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ซูเจิน นายหญิงแห่งพฤกษา   ออกเดินทางอีกครั้ง(ตอนจบ)

    เยี่ยนเฟยหยางประคองซูเจินไปที่เกี้ยวแปดคนหามหลังใหญ่ ชุดเจ้าสาวที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อต้องแสงแดดกับเปล่งประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดาวนับล้านดวงอยู่ที่ชุดของนาง ยิ่งทำให้คุณหนูต้องไปอ้อนวอนบิดามารดาให้ไปถามจวนตระกูลซูว่าไปตัดชุดที่ใดมา แต่ก็มิได้รับคำตอบซูเจินถูกเยี่ยนเฟยหยางประคองเข้าตำหนักของเขา ทั้งคู่ข้ามกระถางไฟก่อนที่จะไปหยุดที่แท่นกราบไหว้ฟ้าดินด้านหน้ามีเสด็จพ่อ เสด็จแม่และไทเฮาของเยี่ยนเฟยหยางนั่งอยู่ เสียงสวีกงกงขันทีของเยี่ยนเฟยหยางร้องบอกให้พวกเขากราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้บิดามารดา ก่อนจะคำนับกันเองซูเจินที่กำลังลุกขึ้น เพราะคิดว่าเสร็จสิ้นพิธีแล้ว แต่กลับถูกเยี่ยนเฟยหยางดึงรั้งมือของนางไว้ให้นั่งลงตามเดิม“ข้าเยี่ยนเฟยหยาง ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และเสด็จย่า ว่าทั้งชีวิตจะมีเพียงซูเจินเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียว หากผิดคำสาบานขอให้ฟ้าดินลงโทษ” ซูเจินจะร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วขุนนางที่ได้เข้าร่วมพิธีงานมงคลต่างตกตะลึง เพราะยังไม่มีเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดที่กล้าเอ่ยสาบานเช่นนี้ออกมาสิ้นเสียงของเยี่ยนเฟยหยางท้องฟ้าที่กระจ่างใส ก็คำรามขึ้นเป็นการตอบรับคำของเขา ยิ

  • ซูเจิน นายหญิงแห่งพฤกษา   งานมงคล

    เป็นเช่นที่เยี่ยนเฟยหยางว่า เพราะซูเจินอยากให้หวังกงกงได้เดินทางไปทั่วแคว้นเพื่อท่องเที่ยวกับนาง ทั้งชีวิตเขาแทบจะอยู่เพียงในรั้ววัง หากฮ่องเต้ไม่เสด็จที่ใดเขาก็ไม่ได้ไปเช่นกันหวังกงกงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มหน้าบาน ต่างจากฮ่องเต้ที่เบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไหนว่าจะอยู่กับเขาอีกสองปี แต่ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะทิ้งเขาไปเสียแล้วเป็นอย่างที่ฮ่องเต้คิด หนึ่งเดือนต่อมาซูเจินนางก็ขอเข้าวัง ครั้งนี้นางแลกตัวหวังกงกงกับน้ำวิเศษของนาง“เหอะ เจ้าผิดคำพูด หวังกงกงขอเวลาเจิ้นอีกสองปี แต่นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปีเจ้าก็จะมาขโมยตัวเขาไปแล้วรึ”“เช่นนั้น พระองค์ต้องการอันใดเพคะ” นางขมวดคิ้วคิด เพราะนางคิดมาแล้วว่าจะพาหวังกงกงออกเดินทางไปด้วยกัน“เจิ้นต้องการจะเป็นผู้ฝึกตน” ซูเจินและหวังกงกงหันไปมองที่ฮ่องเต้อย่างตกใจ“พระองค์รู้หรือไม่ หากเป็นผู้ฝึกตนต้องละทิ้งบัลลังก์ พระองค์จะยินยอมหรือเพคะ” หากมีฮ่องเต้ที่มีอายุยืนยาว จะไม่สร้างเรื่องปั่นป่วนขึ้นมาอย่างนั้นรึ“เจิ้นเข้าใจเรื่องนี้ดี และคิดหาทางออกไว้แล้ว” “เสด็จพ่อ พระองค์ตัดสินพระทัยแล้วรึพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนเฟยหยางที่เพิ่งเรียกสติกลับมาได้เอ่ยถามออกม

  • ซูเจิน นายหญิงแห่งพฤกษา   ถึงเวลากลับเมืองหลวง

    “เรื่องนี้...” นางคิดว่าอย่างไร การแต่งงานในวัยเพียงสิบห้าหนาวก็ดูเหมือนจะเร็วไป“เจ้ากลัวอันใด”“ข้าคิดว่ามันเร็วเกินไป ที่จะแต่งงานในวัยสิบห้าหนาว”“เจินเจิน สตรีแคว้นต้าเยี่ยนวัยเท่านี้นับว่าไม่เร็วแล้ว” เขาเริ่มจะไม่สบอารมณ์แล้ว ที่นางไม่ยอมตอบรับเสียที“เอาเถิดอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกหลายเดือน” นางบอกปัดไป ก่อนจะไล่เขาให้ไปที่ห้องพัก“ไม่ ข้าจะเข้าไปในมิติของเจ้า” เยี่ยนเฟยหยางคิดจะเข้าไปฝึกในมิติต่อ“เจ้าค่ะ” ซูเจินพาเข้าไปด้านใน สุดท้ายนางก็ต้องอยู่ฝึกด้วยกันกับเขา“นายหญิง ดอกไม้ที่ข้าปลูกไว้ รู้ว่าท่านทั้งสองกำลังจะเข้าสู่ขั้นเซียนจึงยอมสละสองดอกมาให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูเจินมองดอกหลันฮวาที่นางเคยสัมผัสตอนที่มาที่นี่“ข้าจับมันได้ใช่หรือไม่” นางไม่รู้ว่าหากจับแล้วจะได้กลับไปที่โลกเดิมหรือไม่ นางก็ตอบไม่ได้ว่าอยากกลับไปหรือเปล่าแต่ก่อนที่หลันฮวาจะเอ่ยตอบ เยี่ยนเฟยหยางที่เห็นท่าทางของซูเจินดูไม่สบายใจ ที่นางต้องจับดอกไม้ที่หลันฮวานำมา ก็อดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้“เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าจับมัน”นางถอนหายใจออกมา ในเมื่อเขาอยากรู้นางก็ไม่คิดจะปิดบัง ก่อนจะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของนาง จนได้ม

  • ซูเจิน นายหญิงแห่งพฤกษา   ต้าเยี่ยนมีผู้ฝึกตน

    ในตอนแรกที่คิดว่านับเดือนกว่าจะถึง แต่เอาเข้าจริง นางเดินทางเพียงยี่สิบวันเท่านั้น จากหนานไห่จนถึงเขตชายแดนเหนือ ด้วยการนำทางของเสี่ยวมี่ ที่หาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดให้นางนางแวะที่เมืองหน้าด่านของชายแดนเหนือ เพื่อนำเสบียงอาหารออกมาแจกจ่ายให้กับค่ายผู้อพยพเพราะจำนวนคนที่นางมองเห็นคร่าวๆ ก็นับเกือบแสนคนเห็นจะได้ เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าสงครามกำลังเกิดขึ้นจริงรึซูเต๋อเข้าไปพบเจ้าเมือง ที่รู้จักกับเขาดี เพื่อแจ้งเรื่องที่ทางการให้นำเสบียงออกมาแจกจ่าย ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดคิดหาที่มาของเสบียงอีกแล้วเพราะจำนวนคนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน เสบียงที่มีเพียงพอให้พวกเขากินวันหนึ่งมื้อเท่านั้น ยิ่งได้เสบียงมาเพิ่มก็สามารถต่อชีวิตชาวบ้านไปได้อีกวันครั้งนี้ซูเจินนำเสบียงออกมามากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังต้องนำออกมาเกือบทุกวัน ถึงจะเพียงพอให้ทุกคนได้กินอิ่มท้องนางอยู่ที่เมืองด่านหน้าของชายแดนเหนือได้สามวัน จึงออกเดินทางไปหัวเมืองอื่นต่อ สามหัวเมืองหลักที่อยู่ด่านหน้าล้วนแต่มีคนอพยพนับแสนคน ซูเจินจึงต้องอยู่จัดการเรื่องเสบียงหลายวันเกือบหนึ่งเดือนที่นางต้องจัดการเรื่องเสบียง โดยที่ไม่รู้เลยว่าทางชายแดนเหนือที่

  • ซูเจิน นายหญิงแห่งพฤกษา   ศึกนอกศึกใน

    หวังกงกงรีบเดินเข้าไปจับตัวนางกำนัลไว้ แล้วค้นตัวจนได้ยาหุ่นเชิดมาทันที เขานำมาส่งให้เยี่ยนเฟยหยางเพื่อตรวจสอบ แล้วออกไปจัดการนางกำนัลที่ตำหนักของไทเฮาแต่เยี่ยนเฟยหยางกลับเดินเข้าไปหาทั้งสองคนแล้วนำยากรอกเข้าไปในปากแทน“เมื่อพวกท่านกล้าทำร้ายเสด็จพ่อและเสด็จย่าก็จงมีชีวิตอยู่เช่นพวกเขาเถิด” ดวงตาแข็งกร้าวของเยี่ยนเฟยหยาง ทำให้ทั้งสองอดที่จะหวาดกลัวออกมาไม่ได้ทั้งคู่ไม่คิดว่าเยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ คิดว่าเรื่องทั้งหมดที่วางแผนไว้จะแล้วเสร็จก่อนที่เยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงแต่คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต เพราะเยี่ยนเฟยหยางเดินทางกลับมาถึงเร็วทำให้สิ่งที่พวกเขาคิดไว้ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเมื่อจัดการทั้งสองคนเรียบร้อย เยี่ยนเฟยหยางรีบเดินทางไปที่ตำหนักของฮองเฮาและพี่ใหญ่ของตนทันทีพอไปถึงจึงพบว่าทั้งสองอาการไม่ต่างจากเสด็จย่าของตนนัก เมื่อช่วยทั้งสองให้พ้นอันตรายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปพูดคุยกับเสด็จพ่อ เรื่องภูเขาแร่ที่เว่ยอ๋องส่งคนไปทันที“เรื่องนี่เห็นทีเสนาบดีตู้ก็คงรวมมือด้วย หากเจ้ากลับมาไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น” ฮ่องเต้ให้หวังกงกงนำยาที่ใช้

  • ซูเจิน นายหญิงแห่งพฤกษา   หุ่นเชิด

    เยี่ยนเฟยหยางแทบไม่อยากจะเชื่อ เพราะพระองค์ยังดูแข็งแรง แทบไม่เคยเปรยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนสักครั้ง ส่วนเรื่องให้ผู้ใดขึ้นเป็นรัชทายาทเขามิได้สนใจ“ย่าให้องครักษ์เงาไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังมิทัน ที่จะรู้เรื่องราวดี ย่าก็ล้มป่วยจนมิอาจลุกจากเตียงได้ ว่าแต่เจ้าเอาอะไรให้ยาดื่ม” นางอดที่จะสงสัยไม่ได้“หลานได้น้ำวิเศษมาจากเจินเจิน และในตอนนี้หลานก็เป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่ขอท่านย่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป จนกว่าหลานจะหาตัวคนร้ายได้พ่ะย่ะค่ะ”“ย่า เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปดูเสด็จพ่อของเจ้าเถิด พี่ชายเจ้าย่าก็มิได้เห็นมาสักพักแล้ว” ไทเฮาตบที่หลังมือของหลานชายเบาๆ“เสด็จย่า พระองค์ทรงแสร้งป่วยต่อไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ หลานเห็นนางกำนัลของท่านดูมิน่าไว้ใจนัก”“เรื่องนี้ย่าก็พอจะรู้ว่าบ้าง แต่ยังมิอาจทำอันใดได้ ด้วยกลัวว่าคนร้ายจะรู้ตัวเสียก่อน”“หลานเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่าพักผ่อนก่อนเถิด” เยี่ยนเฟยหยางประคองไทเฮาให้นอนลงเช่นเดิมเขาคลายลมปราณที่ปิดกั้นเสียงเอาไว้ แล้วเดินออกจากห้องบรรทมไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หวังกงกงที่ยืนรออยู่หน้าตำหนักก็เดินเข้ามาหาทันที“องค์ชายห้า กระหม่อมมิรู้ว่าสมควรพู

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status