เสียงร้องของไห่กวงที่วิ่งจากท้ายหมู่บ้านไปจนเรือนของตระกูลชุยที่กลางหมู่บ้าน ปลุกให้ชาวบ้านที่ต่างเข้านอนไปแล้วลุกขึ้นออกมาดูอย่างสงสัย
“นั่นมันน้องชายนางไห่ซื่อมิใช่หรือ” หนึ่งในชาวบ้านที่ออกมาดูมองไปที่ไห่กวงที่วิ่งผ่านหน้าไป
“มาทำอันใดยามนี้” พวกเขาต่างเดินตามไปอย่างสงสัย
“ท่านพี่ ท่านพี่ เปิดประตูเร็วเข้า” ไห่กวงตะโกนร้องเรียกพี่สาวอยู่ที่หน้าเรือน
นางไห่ซื่อลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างแปลกใจ นางคุยกับน้องชายไว้แล้วว่า พรุ่งนี้นางจะพาชาวบ้านไปที่เรือนของจิ่วเม่ย เพื่อให้พวกเขาเห็นกับตา ว่าทั้งคู่ลอบนัดพบกัน
“นั่นเสียงอากวงมิใช่รึ” ต้าหลางลุกตามเมียขึ้นมานั่ง ก่อนที่จะเดินออกจากเรือนเพื่อไปดู
พอเปิดประตูเรือนเท่านั้น นางไห่ซื่อก็กรีดร้องออกมา เมื่อเห็นผึ้งบินอยู่รอบตัวน้องชาย ใบหน้าของเขาเริ่มจะบวมเป็นหัวหมูแล้ว
เสี่ยวมี่เห็นนางไห่ซื่อ ก็สั่งให้ผึ้งที่บินล้อมไห่หวง บินไปต่อยที่ปากของนางทันที
“โอ๊ยยย” นางไห่ซื่อกรีดร้องออกมาอย่างเสียขวัญ ทั้งปัดป้องและวิ่งหนีเข้าไปหลบอยู่ในเรือน
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” ชาวบ้านไปตามลุงหวงที่เป็นผู้นำหมู่บ้านมา เพราะไห่กวงไม่ใช่คนในหมู่บ้าน หากเกิดเรื่องร้ายกับเขาย่อมไม่ดี อีกอย่างเขาอยากจะรู้ว่าไห่กวงมาทำอะไรที่หมู่บ้านในตอนมืดค่ำเช่นนี้
ชาวบ้านมองตามฝูงผึ้งไปอย่างประหลาดใจ เพียงแค่ลุงหวงมาถึง ก็หนีหายไปเสียแล้ว ต่างมองเขาอย่างชื่นชม คนที่เพิ่งมายังไม่รู้เรื่องแต่ได้รับสายตาเช่นนี้ถึงกับกระอักกระอ่วนใจเลยทีเดียว
แต่ก่อนที่จะมีผู้ใดเอ่ยเล่าสิ่งที่เห็นให้หัวหน้าหมู่บ้านได้รู้เรื่องราว ต่างก็ต้องไปตามตัวหมอมาดูอาการของสองพี่น้องเสียก่อน เพราะไห่กวงหมดสติไปเสียแล้ว
“ไปทำอันใดมา ถึงได้โดนผึ้งต่อยมากมายเช่นนี้” ท่านหมอซง ได้แต่ส่ายหน้า เขาเป็นเพียงหมอเท้าเปล่าที่มีความรู้เล็กน้อยเท่านั้น ได้แต่ส่ายหน้าและให้ส่งไห่กวงเข้าไปหาหมอในเมืองแทน
ซิ่วอิงแอบมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ที่ห้องของนางอย่างหวัดกลัว ยิ่งเห็นปากของมารดา นางก็อดที่จะสั่นสะท้านไม่ได้ พอผึ้งบินเข้ามาใกล้ นางก็กรีดร้องแล้วกลับเข้าไปอยู่ในห้องแทน
ต้าหลางจำต้องเช่าเกวียนวัวของชาวบ้าน แล้วรีบพาสองพี่น้องเข้าไปในเมืองทันที
ชาวบ้านที่เห็นไห่กวงวิ่งมาจากท้ายหมู่บ้านก็บอกเรื่องที่ตนรู้ให้ลุงหวงฟัง ลุงหวงรีบเดินไปที่ท้ายหมู่บ้านเพื่อดูว่าเกิดเรื่องกับจิ่วเม่ยและบุตรสาวหรือไม่ เพราะไห่กวงเป็นน้องชายของไห่ซื่อ ชื่อเสียงของเขาก็ไม่ค่อยจะดีนัก
จิ่วเม่ยสะดุ้งตื่นอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกอยู่ที่หน้าเรือน นางตบหลังของซูเจินที่สะดุ้งตื่นเช่นกันให้นางนอนต่อ ก่อนจะลุกออกไปดูผู้ที่มาเยือน
“มีเรื่องอันใดเจ้าคะ” เมื่อเปิดประตูเรือนออกไปจิ่วเม่ยก็ต้องประหลาดใจ เพราะมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่อยู่หน้าเรือนของนาง
“เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” ลุงหวงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่เจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยทำหน้ามึนงง นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ลุงหวงถึงได้ถามนางเช่นนี้
“ชาวบ้านเห็นไห่กวงวิ่งมาจากท้ายหมู่บ้าน หากเจ้าไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว”
จิ่วเม่ยเบิกตากว้าง ตัวของนางสั่นสะท้านออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อได้ยินว่าไห่กวงวิ่งจากท้ายหมู่บ้านไปที่เรือนของพี่สาวเขา
“จริงหรือเจ้าคะ เมื่อครึ่งชั่วยามได้ ข้าได้ยินเสียงร้องที่หน้าเรือน แต่พอออกมาดูกลับไม่พบสิ่งใด ข้าจึงได้กลับไปนอนต่อ”
ลุงหวงใบหน้าเคร่งเครียดขึ้น เมื่อได้ยินสิ่งที่จิ่วเม่ยบอก แสดงว่าไห่กวงมาที่เรือนของนางจริง หากไม่ถูกฝูงผึ้งต่อยเข้าเสียก่อน ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับสองแม่ลูก
“ไม่มีเรื่องอันมดแล้ว เจ้ากลับเข้าเรือนเถิด ไป ไปแยกย้ายไปพักผ่อน พรุ่งนี้ยังต้องทำนาอีก” ลุงหวงโบกมือไล่ทุกคน เขาไม่อยากให้จิ่วเม่ยกังวลมากกว่าเดิม
ต้องรอให้ไห่กวงกับนางไห่ซื่อหายดีเสียก่อน ค่อยสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่เขาก็พอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว ว่าสองพี่น้องไม่มีทางพูดความจริงอย่างแน่นอน
กว่าต้าหลางจะนำเกวียนกลับมาคืนก็เกือบสายแล้ว นางไห่ซื่อปากบวมเป่งจนพูดไม่เป็นภาษา นางหลบอยู่แต่ในห้องไม่กล้าออกมาเพราะอับอายชาวบ้านคนอื่น
ส่วนไห่กวงตอนนี้ยังต้องอยู่ที่โรงหมอ ไม่อาจพากลับมาด้วยได้ แม้ไม่มีอาการร้ายแรง แต่ใบหน้าของเขาก็บวมจนดูไม่ออกว่าเป็นผู้ใด
ตอนเช้าซูเจินนางยังตามมารดาไปนอนที่ใต้ต้นไม้ข้างนาเช่นเดิม เสี่ยวมี่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางฟังอย่างสนุกสนาน
เสียงหัวเราะของเด็กน้อยดังไปทั่วจนชาวบ้านที่กำลังทำนาต่างพากันยิ้มตาม จิ่วเม่ยและคนอื่นเริ่มจะชินเสียแล้ว ที่เห็นราวแมลง นก บินวนอยู่ใกล้ๆ กับซูเจิน
ในตอนแรกก็หวาดกลัวว่าจะเกิดอันตรายแต่หลายวันเข้าเห็นว่าไม่เป็นอันใด จึงได้วางใจลง ทำงานของพวกนางต่อ
จิ่วเม่ยเริ่มจะชินแล้ว แม้แต่อยู่ในเรือนนางยังเห็นมด ผีเสื้อ และผึ้งอย่างละตัว อยู่ข้างกายบุตรสาวตลอด หากนางมองไม่ผิดทั้งสามตัวเป็นตัวเดิม
นางอดจะสงสัยไม่ได้ ว่าเหตุใดไห่กวงถึงได้โดนผึ้งต่อยได้ แต่เมื่อมองผึ้งตัวน้อยที่นอนอยู่บนอกบุตรสาว จิ่วเม่ยก็จ้องมองมันอย่างสงสัย
แต่นางก็ต้องสลัดเรื่องที่คิดทิ้งไป จะเป็นไปได้อย่างไร ที่แมลงพวกนี้กำลังทำหน้าที่ปกป้องนางและบุตรสาวอยู่
ในแต่ละวันของซูเจินก็ไม่มีเรื่องใดที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนางจะกินแล้วนอนเท่านั้น ส่วนไห่กวงก็ไม่กล้ามาที่หมู่บ้านอีกเลย นางไห่หวงพอมีความคิดที่อยากจะจัดการกับสองแม่ลูก นางก็ต้องพบกับเรื่องร้าย หากไม่โดนมดรุมกัด ในตอนกลางคืนก็โดนหนูแอบเข้ามากัดเท้าของนางในห้องนอน
แม้ต้าหลางจะหาทางกำจัด และไล่แมลง สัตว์เลื้อยคลานในเรือนทุกหนทาง แต่ก็มิอาจหมดไป จนทั้งสองแทบไม่มีเวลาไปจัดการเรื่องอื่นเลย
ชุยฟงก็ไม่กลับมาอยู่ที่เรือน โดยหาข้ออ้างพักอยู่ที่สำนักศึกษา แต่ความจริงแล้วตัวเขาไปพักอยู่กับสหายและทำเรื่องเลวร้ายอยู่ในเมือง
ชุยซิ่วอิง นางยังมิได้ออกเรือน จึงมิอาจย้ายไปอยู่ที่อื่นได้ ห้องของนางก็มีหนู แมลงเข้าไปอยู่บ่อยครั้ง เสียงกรีดร้องที่ออกมาจากเรือนตระกูลชุย ชาวบ้านเรือนข้างเคียงเริ่มจะชินเสียแล้ว
ไม่รู้ว่าคนทั้งเรือนไปลบหลู่เทพเจ้าองค์ใด ถึงได้พบแต่เรื่องโชคร้าย
เยี่ยนเฟยหยางประคองซูเจินไปที่เกี้ยวแปดคนหามหลังใหญ่ ชุดเจ้าสาวที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อต้องแสงแดดกับเปล่งประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดาวนับล้านดวงอยู่ที่ชุดของนาง ยิ่งทำให้คุณหนูต้องไปอ้อนวอนบิดามารดาให้ไปถามจวนตระกูลซูว่าไปตัดชุดที่ใดมา แต่ก็มิได้รับคำตอบซูเจินถูกเยี่ยนเฟยหยางประคองเข้าตำหนักของเขา ทั้งคู่ข้ามกระถางไฟก่อนที่จะไปหยุดที่แท่นกราบไหว้ฟ้าดินด้านหน้ามีเสด็จพ่อ เสด็จแม่และไทเฮาของเยี่ยนเฟยหยางนั่งอยู่ เสียงสวีกงกงขันทีของเยี่ยนเฟยหยางร้องบอกให้พวกเขากราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้บิดามารดา ก่อนจะคำนับกันเองซูเจินที่กำลังลุกขึ้น เพราะคิดว่าเสร็จสิ้นพิธีแล้ว แต่กลับถูกเยี่ยนเฟยหยางดึงรั้งมือของนางไว้ให้นั่งลงตามเดิม“ข้าเยี่ยนเฟยหยาง ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และเสด็จย่า ว่าทั้งชีวิตจะมีเพียงซูเจินเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียว หากผิดคำสาบานขอให้ฟ้าดินลงโทษ” ซูเจินจะร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วขุนนางที่ได้เข้าร่วมพิธีงานมงคลต่างตกตะลึง เพราะยังไม่มีเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดที่กล้าเอ่ยสาบานเช่นนี้ออกมาสิ้นเสียงของเยี่ยนเฟยหยางท้องฟ้าที่กระจ่างใส ก็คำรามขึ้นเป็นการตอบรับคำของเขา ยิ
เป็นเช่นที่เยี่ยนเฟยหยางว่า เพราะซูเจินอยากให้หวังกงกงได้เดินทางไปทั่วแคว้นเพื่อท่องเที่ยวกับนาง ทั้งชีวิตเขาแทบจะอยู่เพียงในรั้ววัง หากฮ่องเต้ไม่เสด็จที่ใดเขาก็ไม่ได้ไปเช่นกันหวังกงกงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มหน้าบาน ต่างจากฮ่องเต้ที่เบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไหนว่าจะอยู่กับเขาอีกสองปี แต่ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะทิ้งเขาไปเสียแล้วเป็นอย่างที่ฮ่องเต้คิด หนึ่งเดือนต่อมาซูเจินนางก็ขอเข้าวัง ครั้งนี้นางแลกตัวหวังกงกงกับน้ำวิเศษของนาง“เหอะ เจ้าผิดคำพูด หวังกงกงขอเวลาเจิ้นอีกสองปี แต่นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปีเจ้าก็จะมาขโมยตัวเขาไปแล้วรึ”“เช่นนั้น พระองค์ต้องการอันใดเพคะ” นางขมวดคิ้วคิด เพราะนางคิดมาแล้วว่าจะพาหวังกงกงออกเดินทางไปด้วยกัน“เจิ้นต้องการจะเป็นผู้ฝึกตน” ซูเจินและหวังกงกงหันไปมองที่ฮ่องเต้อย่างตกใจ“พระองค์รู้หรือไม่ หากเป็นผู้ฝึกตนต้องละทิ้งบัลลังก์ พระองค์จะยินยอมหรือเพคะ” หากมีฮ่องเต้ที่มีอายุยืนยาว จะไม่สร้างเรื่องปั่นป่วนขึ้นมาอย่างนั้นรึ“เจิ้นเข้าใจเรื่องนี้ดี และคิดหาทางออกไว้แล้ว” “เสด็จพ่อ พระองค์ตัดสินพระทัยแล้วรึพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนเฟยหยางที่เพิ่งเรียกสติกลับมาได้เอ่ยถามออกม
“เรื่องนี้...” นางคิดว่าอย่างไร การแต่งงานในวัยเพียงสิบห้าหนาวก็ดูเหมือนจะเร็วไป“เจ้ากลัวอันใด”“ข้าคิดว่ามันเร็วเกินไป ที่จะแต่งงานในวัยสิบห้าหนาว”“เจินเจิน สตรีแคว้นต้าเยี่ยนวัยเท่านี้นับว่าไม่เร็วแล้ว” เขาเริ่มจะไม่สบอารมณ์แล้ว ที่นางไม่ยอมตอบรับเสียที“เอาเถิดอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกหลายเดือน” นางบอกปัดไป ก่อนจะไล่เขาให้ไปที่ห้องพัก“ไม่ ข้าจะเข้าไปในมิติของเจ้า” เยี่ยนเฟยหยางคิดจะเข้าไปฝึกในมิติต่อ“เจ้าค่ะ” ซูเจินพาเข้าไปด้านใน สุดท้ายนางก็ต้องอยู่ฝึกด้วยกันกับเขา“นายหญิง ดอกไม้ที่ข้าปลูกไว้ รู้ว่าท่านทั้งสองกำลังจะเข้าสู่ขั้นเซียนจึงยอมสละสองดอกมาให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูเจินมองดอกหลันฮวาที่นางเคยสัมผัสตอนที่มาที่นี่“ข้าจับมันได้ใช่หรือไม่” นางไม่รู้ว่าหากจับแล้วจะได้กลับไปที่โลกเดิมหรือไม่ นางก็ตอบไม่ได้ว่าอยากกลับไปหรือเปล่าแต่ก่อนที่หลันฮวาจะเอ่ยตอบ เยี่ยนเฟยหยางที่เห็นท่าทางของซูเจินดูไม่สบายใจ ที่นางต้องจับดอกไม้ที่หลันฮวานำมา ก็อดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้“เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าจับมัน”นางถอนหายใจออกมา ในเมื่อเขาอยากรู้นางก็ไม่คิดจะปิดบัง ก่อนจะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของนาง จนได้ม
ในตอนแรกที่คิดว่านับเดือนกว่าจะถึง แต่เอาเข้าจริง นางเดินทางเพียงยี่สิบวันเท่านั้น จากหนานไห่จนถึงเขตชายแดนเหนือ ด้วยการนำทางของเสี่ยวมี่ ที่หาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดให้นางนางแวะที่เมืองหน้าด่านของชายแดนเหนือ เพื่อนำเสบียงอาหารออกมาแจกจ่ายให้กับค่ายผู้อพยพเพราะจำนวนคนที่นางมองเห็นคร่าวๆ ก็นับเกือบแสนคนเห็นจะได้ เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าสงครามกำลังเกิดขึ้นจริงรึซูเต๋อเข้าไปพบเจ้าเมือง ที่รู้จักกับเขาดี เพื่อแจ้งเรื่องที่ทางการให้นำเสบียงออกมาแจกจ่าย ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดคิดหาที่มาของเสบียงอีกแล้วเพราะจำนวนคนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน เสบียงที่มีเพียงพอให้พวกเขากินวันหนึ่งมื้อเท่านั้น ยิ่งได้เสบียงมาเพิ่มก็สามารถต่อชีวิตชาวบ้านไปได้อีกวันครั้งนี้ซูเจินนำเสบียงออกมามากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังต้องนำออกมาเกือบทุกวัน ถึงจะเพียงพอให้ทุกคนได้กินอิ่มท้องนางอยู่ที่เมืองด่านหน้าของชายแดนเหนือได้สามวัน จึงออกเดินทางไปหัวเมืองอื่นต่อ สามหัวเมืองหลักที่อยู่ด่านหน้าล้วนแต่มีคนอพยพนับแสนคน ซูเจินจึงต้องอยู่จัดการเรื่องเสบียงหลายวันเกือบหนึ่งเดือนที่นางต้องจัดการเรื่องเสบียง โดยที่ไม่รู้เลยว่าทางชายแดนเหนือที่
หวังกงกงรีบเดินเข้าไปจับตัวนางกำนัลไว้ แล้วค้นตัวจนได้ยาหุ่นเชิดมาทันที เขานำมาส่งให้เยี่ยนเฟยหยางเพื่อตรวจสอบ แล้วออกไปจัดการนางกำนัลที่ตำหนักของไทเฮาแต่เยี่ยนเฟยหยางกลับเดินเข้าไปหาทั้งสองคนแล้วนำยากรอกเข้าไปในปากแทน“เมื่อพวกท่านกล้าทำร้ายเสด็จพ่อและเสด็จย่าก็จงมีชีวิตอยู่เช่นพวกเขาเถิด” ดวงตาแข็งกร้าวของเยี่ยนเฟยหยาง ทำให้ทั้งสองอดที่จะหวาดกลัวออกมาไม่ได้ทั้งคู่ไม่คิดว่าเยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ คิดว่าเรื่องทั้งหมดที่วางแผนไว้จะแล้วเสร็จก่อนที่เยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงแต่คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต เพราะเยี่ยนเฟยหยางเดินทางกลับมาถึงเร็วทำให้สิ่งที่พวกเขาคิดไว้ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเมื่อจัดการทั้งสองคนเรียบร้อย เยี่ยนเฟยหยางรีบเดินทางไปที่ตำหนักของฮองเฮาและพี่ใหญ่ของตนทันทีพอไปถึงจึงพบว่าทั้งสองอาการไม่ต่างจากเสด็จย่าของตนนัก เมื่อช่วยทั้งสองให้พ้นอันตรายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปพูดคุยกับเสด็จพ่อ เรื่องภูเขาแร่ที่เว่ยอ๋องส่งคนไปทันที“เรื่องนี่เห็นทีเสนาบดีตู้ก็คงรวมมือด้วย หากเจ้ากลับมาไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น” ฮ่องเต้ให้หวังกงกงนำยาที่ใช้
เยี่ยนเฟยหยางแทบไม่อยากจะเชื่อ เพราะพระองค์ยังดูแข็งแรง แทบไม่เคยเปรยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนสักครั้ง ส่วนเรื่องให้ผู้ใดขึ้นเป็นรัชทายาทเขามิได้สนใจ“ย่าให้องครักษ์เงาไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังมิทัน ที่จะรู้เรื่องราวดี ย่าก็ล้มป่วยจนมิอาจลุกจากเตียงได้ ว่าแต่เจ้าเอาอะไรให้ยาดื่ม” นางอดที่จะสงสัยไม่ได้“หลานได้น้ำวิเศษมาจากเจินเจิน และในตอนนี้หลานก็เป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่ขอท่านย่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป จนกว่าหลานจะหาตัวคนร้ายได้พ่ะย่ะค่ะ”“ย่า เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปดูเสด็จพ่อของเจ้าเถิด พี่ชายเจ้าย่าก็มิได้เห็นมาสักพักแล้ว” ไทเฮาตบที่หลังมือของหลานชายเบาๆ“เสด็จย่า พระองค์ทรงแสร้งป่วยต่อไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ หลานเห็นนางกำนัลของท่านดูมิน่าไว้ใจนัก”“เรื่องนี้ย่าก็พอจะรู้ว่าบ้าง แต่ยังมิอาจทำอันใดได้ ด้วยกลัวว่าคนร้ายจะรู้ตัวเสียก่อน”“หลานเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่าพักผ่อนก่อนเถิด” เยี่ยนเฟยหยางประคองไทเฮาให้นอนลงเช่นเดิมเขาคลายลมปราณที่ปิดกั้นเสียงเอาไว้ แล้วเดินออกจากห้องบรรทมไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หวังกงกงที่ยืนรออยู่หน้าตำหนักก็เดินเข้ามาหาทันที“องค์ชายห้า กระหม่อมมิรู้ว่าสมควรพู