ทั้งสามกลับลงมาจากป่าในเวลาไม่นาน ทั้งยังได้ไก่ป่ากับกระต่ายป่าที่สิ้นอายุขัยแล้วเดินมาตายก่อนที่ซูเจินนางจะออกจากป่าอีกสามตัว
ชาวบ้านเมื่อเห็นว่าซูเต๋อเข้าไปในป่าไม่นานก็ได้สัตว์ป่าออกมาด้วย ต่างก็อดจะชื่นชมเขาไม่ได้ ซูเต๋อได้แต่ยิ้มแห้งให้พวกเขา เพราะเขายังไม่ได้ลงมือทำอันใดสักอย่าง
ซูเจินเมื่อกลับมาถึงเรือนนางก็นำเห็ดทั้งหมดออกมาให้บิดามารดาของนาง
“ข้าจะนำไปขายเพียงสามดอกเท่านั้น เพราะไม่รู้ว่าจะขายได้เท่าใด เจินเออร์ เจ้าเก็บไว้เสียก่อน” ซูเจินนางจึงเก็บทั้งหมดเข้าไปในมิติ
ตอนนี้นางอ่อนเพลียยิ่งนัก ปกติมารดาจะให้นางนอนพักในตอนกลางวัน แต่เพราะขึ้นเขาวันนี้นางจึงไม่ได้นอนกลางวัน
“เจินเออร์คงง่วงแล้ว ท่านพี่ข้าพานางไปพักก่อนนะเจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยเห็นเปลือกตาบุตรสาวที่ใกล้จะปิดลง จึงได้พานางไปนอนพักเสียก่อน
สองสามีภรรยาช่วยกันจัดการเห็ดและสัตว์ป่าที่ได้กลับมา ซูเต๋อยังนำไก่ป่าไปแบ่งให้เรือนตระกูลหวงอีกหนึ่งตัว ป้าหวงในตอนแรกก็จะไม่รับ แต่เมื่อรู้ว่าที่เรือนของซูเต๋อยังมีไก่ป่ากับกระต่ายป่าอีกก็ยินยอมรับมาแต่โดยดี
ก่อนที่ซูเต๋อจะกลับมาซูเจินนางก็ตื่นขึ้นมาเพราะท้องของนางส่งเสียงร้องประท้วงออกมา
“พรุ่งนี้พี่จะเข้าเมือง เจ้ามีสิ่งใดอยากได้หรือไม่”
“ข้าอยากได้ผ้ามาตัดชุดใหม่ให้เจินเออร์เจ้าค่ะ ชุดเก่าของนางเริ่มจะใส่ได้แล้ว” จิ่วเม่ยมองซูเจินที่ตักข้าวเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
“หึหึ ได้ แล้วตัวเจ้าเล่า”
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่มีสิ่งใดที่อยากได้ อีกห้าวันเจินเออร์นางจะครบขวบปี พานางไปขอพรดีหรือไม่ท่านพี่”
“ได้ แล้วแต่เจ้า”
ซูเจินนางก็อยากจะเข้าเมืองเช่นกัน เพราะกลัวว่าบิดาจะถูกหลอกซื้อเห็ดหลินจือในราคาถูกกว่าที่ควรจะได้
“ไป”
“เจินเออร์ อยากไปขอพรที่วัดใช่ไหมลูก” จิ่วเม่ยเช็ดปากให้บุตรสาว
“พ่อ” นางส่ายหัว พร้อมทั้งชี้มือไปที่บิดา
“อยากเข้าเมืองอย่างนั้นรึ”
“อืม”
“ครั้งหน้าดีหรือไม่ลูก พ่อต้องไปจัดการเรื่องเห็ดที่ได้มา คงไม่มีเวลาพาเจ้าเที่ยวเล่น”
“ไป” นางส่งสายตาอ้อนวอนบิดา ซูเต๋อเห็นสายตาเช่นนี้ครั้งแรกก็ใจอ่อนทันที
“เช่นนั้นก็ไปกันทั้งหมดเถิด”
“ท่านพี่ตามใจนางนัก” จิ่วเม่ยอดจะมองค้อนสามีไม่ได้ ที่เห็นแววตาของบุตรสาวก็ยอมแล้ว หากอยู่กันไปอีกนานกว่านี้ คงได้รู้ถึงความเจ้าเล่ห์ของนาง
“เอาเถิด มิใช่เรื่องลำบากอันใด พี่จะซื้อเกวียนวัวด้วย จะได้หาเมล็ดผักมาปลูก ที่ดินข้างเรือนที่เจ้าซื้อเพิ่มจะได้ไม่เสียเปล่า”
เขาเพิ่งกลับมาจึงยังไม่ได้จัดการที่ดินข้างเรือน ยังต้องล้อมรั้วเพิ่ม ทั้งยังต้องดูด้วยว่าจะปลูกผักอันใด
ซูเจินยิ้มจนเห็นเหงือกที่จะได้ออกไปเที่ยวเล่นอีกแล้ว ตั้งแต่ที่นางมาภพนี้ ไกลสุดที่นางได้ไปตอนที่อยู่กับมารดาเห็นจะเป็นเรือนตระกูลหวงและที่นา
คืนนี้ซูเจินยังคงร้องนอนห้องข้างเช่นเดิม จิ่วเม่ยจึงคิดว่าหากขายเห็ดได้เงินมากคงจะต้องซื้อเครื่องนอนเพิ่มให้นางใหม่ ผ้าห่มที่ซูเจินใช้จึงไม่ได้หนามากนัก หากถึงหน้าหนาว คงได้ลำบากอย่างแน่นอน
รุ่งเช้าสามคนพ่อแม่ลูกจึงได้พากันเดินไปขึ้นเกวียนวัวที่หน้าหมู่บ้าน จิ่วเม่ยใช้ผ้าห่อเห็ดหลินจือดอกใหญ่ทั้งสามดอกอย่างดี ก่อนที่จะเอาไว้ด้านล่างของตะกร้า
เมื่อเห็นผักป่าที่อยู่ด้านหลังของซูเต๋อ ต่างก็พากันส่ายหัว ผักเพียงแค่นี้เดินทางไปทั้งครอบครัวจะคุ้มอันใด
“ขอรับ” ซูเต๋อไม่สนสายตาที่มองมาของผู้อื่น เขาจ่ายเงินค่าเกวียนสี่อิแปะก่อนจะพากันขึ้นไปนั่งด้านใน
ซูเจินที่นั่งอยู่บนตักของซูเต๋อหัวของนางสั่นคลอนไปตลอดทางอย่างน่าสงสาร ยังดีที่ซูเต๋อจับหัวของบุตรสาวให้พิงกับอกแกร่งของเขาไว้ แรงสั่นสะเทือนจึงลดลง กลายเป็นกล่อมให้ซูเจินน้อยหลับสนิทแทน
สหายของซูเจินทั้งสามยังคงติดตามมาด้วย โดยซ่อนอยู่ในตะกร้าตรงหน้าของจิ่วเม่ย
หนึ่งชั่วยาม (2ชั่วโมง) ก็เดินทางมาถึงประตูเมือง ซูเต๋อส่งซูเจินที่ยังหลับอยู่ให้จิ่วเม่ย ตัวเขาสะพายตะกร้าแล้วเดินเข้าไปจ่ายเงินค่าผ่านประตูเมือง
ซูเต๋อค่อยนำสมุนไพรมาขายหลายครั้งแล้ว จึงพอจะรู้ว่าร้านไหนที่ให้ราคายุติธรรม เขาจึงพาสองแม่ลูกมุ่งหน้าไปที่ร้านทันที โดยไม่ได้หยุดแวะที่ร้านอื่น
พอถึงร้านขายยา ซูเจินนางก็ตื่นขึ้นพอดี เสี่ยวเอ้อหน้าร้านเห็นหน้าซูเต๋อก็ออกมายิ้มแย้มต้อนรับเข้าอย่างสนิทสนม
“พี่เต๋อ ข้าไม่พบท่านเสียนาน คิดว่าไปขายให้ร้านอื่นเสียแล้ว”
“ข้าเพิ่งกลับมาจากชายแดนเหนือ เมื่อสองวันที่แล้ว”
“สวรรค์ ท่านเข้าร่วมกองทัพอย่างนั้นหรือ” เสี่ยวเอ้อมองสำรวจร่างกายของซูเต๋อก็ไม่พบว่าเขาบาดเจ็บที่ใด
“อืม”
“ดีดี ท่านมิได้บาดเจ็บกลับมาใช่หรือไม่”
“ไม่ วันนี้ข้าจะมาขายสมุนไพร” ซูเต๋อกลัวว่าจิ่วเม่ยนางจะอุ้มบุตรสาวไม่ไหวเสียก่อนจึงได้เปิดของที่อยู่ในตะกร้าให้เสี่ยวเอ้อดู
“ท่านตามข้ามา” เขาเกือบจะร้องออกมาแล้ว แต่ยังดีที่ตะครุบปากของตนเองไว้ได้ทัน
ทั้งสามเดินตามเข้าไปด้านในห้องรับรอง รอไม่นาน ชายวัยกลางคนก็เดินเข้ามาด้านใน
ซูเต๋อลุกขึ้นทันที “คารวะหลงจู๊อู๋ขอรับ”
“ไหน ไหน ข้าขอดูหน่อย” เขาเอ่ยถามด้วยเสียงที่ซ่อนความตื่นเต้นไหวไม่มิด
เพราะเพิ่งจะมีคำสั่งมาจากเมืองหลวงให้หาโสมหรือเห็ดหลินจือมาให้ได้ คนที่ต้องการยังพร้อมที่จะสู้ราคาอีกด้วย หากเขานำไปมอบให้นายท่านเจ้าของโรงหมอได้คงได้รางวัลไม่น้อย
ซูเต๋อจึงได้หยิบห่อผ้าขึ้นมาวางลงบนโต๊ะ เพียงแค่ห่อผ้าถูกเปิดออก หลงจู๊อู๋ก็อ้าปากค้างตกตะลึงเรียบร้อยแล้ว
“สวรรค์ ข้าเพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรก เจ้า เจ้าได้มาได้อย่างไร”
“เอ่อ เรื่องนี้”
“ไม่ ไม่เป็นข้าที่ถามผิดไป เจ้าไม่ต้องตอบก็ได้” เพราะเขาเห็นท่าทางที่ลำบากใจของซูเต๋อจึงไม่อยากจะคาดคั้น ด้วยเกรงว่าเขาจะนำไปขายที่อื่นเสีย
“เจ้ารอประเดี๋ยวข้าต้องไปตามท่านหมอกู้มาตรวจสอบ” เขาไม่รู้ถึงอายุของเห็ดตรงหน้าด้วยซ้ำ จึงไม่กล้าจะเสนอราคาให้ซูเต๋อ
ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ ชายชราหนวดขาวก็พุ่งตัวเข้ามาในห้องรับรองอย่างรวดเร็ว จนซูเจินที่กำลังดื่มน้ำที่มารดานางป้อนให้ตกใจจนสำลักออกมา
“โอ้ เด็กน้อยเจ้าเป็นอันใดหรือไม่ ข้าเพียงตื่นเต้นไปหน่อย ไม่คิดว่าจะทำให้เจ้าตกใจเช่นนี้” เขาลูบจมูกอย่างเก้อเขิน
เยี่ยนเฟยหยางประคองซูเจินไปที่เกี้ยวแปดคนหามหลังใหญ่ ชุดเจ้าสาวที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อต้องแสงแดดกับเปล่งประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดาวนับล้านดวงอยู่ที่ชุดของนาง ยิ่งทำให้คุณหนูต้องไปอ้อนวอนบิดามารดาให้ไปถามจวนตระกูลซูว่าไปตัดชุดที่ใดมา แต่ก็มิได้รับคำตอบซูเจินถูกเยี่ยนเฟยหยางประคองเข้าตำหนักของเขา ทั้งคู่ข้ามกระถางไฟก่อนที่จะไปหยุดที่แท่นกราบไหว้ฟ้าดินด้านหน้ามีเสด็จพ่อ เสด็จแม่และไทเฮาของเยี่ยนเฟยหยางนั่งอยู่ เสียงสวีกงกงขันทีของเยี่ยนเฟยหยางร้องบอกให้พวกเขากราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้บิดามารดา ก่อนจะคำนับกันเองซูเจินที่กำลังลุกขึ้น เพราะคิดว่าเสร็จสิ้นพิธีแล้ว แต่กลับถูกเยี่ยนเฟยหยางดึงรั้งมือของนางไว้ให้นั่งลงตามเดิม“ข้าเยี่ยนเฟยหยาง ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และเสด็จย่า ว่าทั้งชีวิตจะมีเพียงซูเจินเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียว หากผิดคำสาบานขอให้ฟ้าดินลงโทษ” ซูเจินจะร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วขุนนางที่ได้เข้าร่วมพิธีงานมงคลต่างตกตะลึง เพราะยังไม่มีเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดที่กล้าเอ่ยสาบานเช่นนี้ออกมาสิ้นเสียงของเยี่ยนเฟยหยางท้องฟ้าที่กระจ่างใส ก็คำรามขึ้นเป็นการตอบรับคำของเขา ยิ
เป็นเช่นที่เยี่ยนเฟยหยางว่า เพราะซูเจินอยากให้หวังกงกงได้เดินทางไปทั่วแคว้นเพื่อท่องเที่ยวกับนาง ทั้งชีวิตเขาแทบจะอยู่เพียงในรั้ววัง หากฮ่องเต้ไม่เสด็จที่ใดเขาก็ไม่ได้ไปเช่นกันหวังกงกงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มหน้าบาน ต่างจากฮ่องเต้ที่เบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไหนว่าจะอยู่กับเขาอีกสองปี แต่ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะทิ้งเขาไปเสียแล้วเป็นอย่างที่ฮ่องเต้คิด หนึ่งเดือนต่อมาซูเจินนางก็ขอเข้าวัง ครั้งนี้นางแลกตัวหวังกงกงกับน้ำวิเศษของนาง“เหอะ เจ้าผิดคำพูด หวังกงกงขอเวลาเจิ้นอีกสองปี แต่นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปีเจ้าก็จะมาขโมยตัวเขาไปแล้วรึ”“เช่นนั้น พระองค์ต้องการอันใดเพคะ” นางขมวดคิ้วคิด เพราะนางคิดมาแล้วว่าจะพาหวังกงกงออกเดินทางไปด้วยกัน“เจิ้นต้องการจะเป็นผู้ฝึกตน” ซูเจินและหวังกงกงหันไปมองที่ฮ่องเต้อย่างตกใจ“พระองค์รู้หรือไม่ หากเป็นผู้ฝึกตนต้องละทิ้งบัลลังก์ พระองค์จะยินยอมหรือเพคะ” หากมีฮ่องเต้ที่มีอายุยืนยาว จะไม่สร้างเรื่องปั่นป่วนขึ้นมาอย่างนั้นรึ“เจิ้นเข้าใจเรื่องนี้ดี และคิดหาทางออกไว้แล้ว” “เสด็จพ่อ พระองค์ตัดสินพระทัยแล้วรึพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนเฟยหยางที่เพิ่งเรียกสติกลับมาได้เอ่ยถามออกม
“เรื่องนี้...” นางคิดว่าอย่างไร การแต่งงานในวัยเพียงสิบห้าหนาวก็ดูเหมือนจะเร็วไป“เจ้ากลัวอันใด”“ข้าคิดว่ามันเร็วเกินไป ที่จะแต่งงานในวัยสิบห้าหนาว”“เจินเจิน สตรีแคว้นต้าเยี่ยนวัยเท่านี้นับว่าไม่เร็วแล้ว” เขาเริ่มจะไม่สบอารมณ์แล้ว ที่นางไม่ยอมตอบรับเสียที“เอาเถิดอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกหลายเดือน” นางบอกปัดไป ก่อนจะไล่เขาให้ไปที่ห้องพัก“ไม่ ข้าจะเข้าไปในมิติของเจ้า” เยี่ยนเฟยหยางคิดจะเข้าไปฝึกในมิติต่อ“เจ้าค่ะ” ซูเจินพาเข้าไปด้านใน สุดท้ายนางก็ต้องอยู่ฝึกด้วยกันกับเขา“นายหญิง ดอกไม้ที่ข้าปลูกไว้ รู้ว่าท่านทั้งสองกำลังจะเข้าสู่ขั้นเซียนจึงยอมสละสองดอกมาให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูเจินมองดอกหลันฮวาที่นางเคยสัมผัสตอนที่มาที่นี่“ข้าจับมันได้ใช่หรือไม่” นางไม่รู้ว่าหากจับแล้วจะได้กลับไปที่โลกเดิมหรือไม่ นางก็ตอบไม่ได้ว่าอยากกลับไปหรือเปล่าแต่ก่อนที่หลันฮวาจะเอ่ยตอบ เยี่ยนเฟยหยางที่เห็นท่าทางของซูเจินดูไม่สบายใจ ที่นางต้องจับดอกไม้ที่หลันฮวานำมา ก็อดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้“เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าจับมัน”นางถอนหายใจออกมา ในเมื่อเขาอยากรู้นางก็ไม่คิดจะปิดบัง ก่อนจะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของนาง จนได้ม
ในตอนแรกที่คิดว่านับเดือนกว่าจะถึง แต่เอาเข้าจริง นางเดินทางเพียงยี่สิบวันเท่านั้น จากหนานไห่จนถึงเขตชายแดนเหนือ ด้วยการนำทางของเสี่ยวมี่ ที่หาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดให้นางนางแวะที่เมืองหน้าด่านของชายแดนเหนือ เพื่อนำเสบียงอาหารออกมาแจกจ่ายให้กับค่ายผู้อพยพเพราะจำนวนคนที่นางมองเห็นคร่าวๆ ก็นับเกือบแสนคนเห็นจะได้ เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าสงครามกำลังเกิดขึ้นจริงรึซูเต๋อเข้าไปพบเจ้าเมือง ที่รู้จักกับเขาดี เพื่อแจ้งเรื่องที่ทางการให้นำเสบียงออกมาแจกจ่าย ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดคิดหาที่มาของเสบียงอีกแล้วเพราะจำนวนคนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน เสบียงที่มีเพียงพอให้พวกเขากินวันหนึ่งมื้อเท่านั้น ยิ่งได้เสบียงมาเพิ่มก็สามารถต่อชีวิตชาวบ้านไปได้อีกวันครั้งนี้ซูเจินนำเสบียงออกมามากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังต้องนำออกมาเกือบทุกวัน ถึงจะเพียงพอให้ทุกคนได้กินอิ่มท้องนางอยู่ที่เมืองด่านหน้าของชายแดนเหนือได้สามวัน จึงออกเดินทางไปหัวเมืองอื่นต่อ สามหัวเมืองหลักที่อยู่ด่านหน้าล้วนแต่มีคนอพยพนับแสนคน ซูเจินจึงต้องอยู่จัดการเรื่องเสบียงหลายวันเกือบหนึ่งเดือนที่นางต้องจัดการเรื่องเสบียง โดยที่ไม่รู้เลยว่าทางชายแดนเหนือที่
หวังกงกงรีบเดินเข้าไปจับตัวนางกำนัลไว้ แล้วค้นตัวจนได้ยาหุ่นเชิดมาทันที เขานำมาส่งให้เยี่ยนเฟยหยางเพื่อตรวจสอบ แล้วออกไปจัดการนางกำนัลที่ตำหนักของไทเฮาแต่เยี่ยนเฟยหยางกลับเดินเข้าไปหาทั้งสองคนแล้วนำยากรอกเข้าไปในปากแทน“เมื่อพวกท่านกล้าทำร้ายเสด็จพ่อและเสด็จย่าก็จงมีชีวิตอยู่เช่นพวกเขาเถิด” ดวงตาแข็งกร้าวของเยี่ยนเฟยหยาง ทำให้ทั้งสองอดที่จะหวาดกลัวออกมาไม่ได้ทั้งคู่ไม่คิดว่าเยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ คิดว่าเรื่องทั้งหมดที่วางแผนไว้จะแล้วเสร็จก่อนที่เยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงแต่คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต เพราะเยี่ยนเฟยหยางเดินทางกลับมาถึงเร็วทำให้สิ่งที่พวกเขาคิดไว้ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเมื่อจัดการทั้งสองคนเรียบร้อย เยี่ยนเฟยหยางรีบเดินทางไปที่ตำหนักของฮองเฮาและพี่ใหญ่ของตนทันทีพอไปถึงจึงพบว่าทั้งสองอาการไม่ต่างจากเสด็จย่าของตนนัก เมื่อช่วยทั้งสองให้พ้นอันตรายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปพูดคุยกับเสด็จพ่อ เรื่องภูเขาแร่ที่เว่ยอ๋องส่งคนไปทันที“เรื่องนี่เห็นทีเสนาบดีตู้ก็คงรวมมือด้วย หากเจ้ากลับมาไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น” ฮ่องเต้ให้หวังกงกงนำยาที่ใช้
เยี่ยนเฟยหยางแทบไม่อยากจะเชื่อ เพราะพระองค์ยังดูแข็งแรง แทบไม่เคยเปรยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนสักครั้ง ส่วนเรื่องให้ผู้ใดขึ้นเป็นรัชทายาทเขามิได้สนใจ“ย่าให้องครักษ์เงาไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังมิทัน ที่จะรู้เรื่องราวดี ย่าก็ล้มป่วยจนมิอาจลุกจากเตียงได้ ว่าแต่เจ้าเอาอะไรให้ยาดื่ม” นางอดที่จะสงสัยไม่ได้“หลานได้น้ำวิเศษมาจากเจินเจิน และในตอนนี้หลานก็เป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่ขอท่านย่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป จนกว่าหลานจะหาตัวคนร้ายได้พ่ะย่ะค่ะ”“ย่า เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปดูเสด็จพ่อของเจ้าเถิด พี่ชายเจ้าย่าก็มิได้เห็นมาสักพักแล้ว” ไทเฮาตบที่หลังมือของหลานชายเบาๆ“เสด็จย่า พระองค์ทรงแสร้งป่วยต่อไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ หลานเห็นนางกำนัลของท่านดูมิน่าไว้ใจนัก”“เรื่องนี้ย่าก็พอจะรู้ว่าบ้าง แต่ยังมิอาจทำอันใดได้ ด้วยกลัวว่าคนร้ายจะรู้ตัวเสียก่อน”“หลานเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่าพักผ่อนก่อนเถิด” เยี่ยนเฟยหยางประคองไทเฮาให้นอนลงเช่นเดิมเขาคลายลมปราณที่ปิดกั้นเสียงเอาไว้ แล้วเดินออกจากห้องบรรทมไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หวังกงกงที่ยืนรออยู่หน้าตำหนักก็เดินเข้ามาหาทันที“องค์ชายห้า กระหม่อมมิรู้ว่าสมควรพู