อยู่มาจนจะห้าสิบหนาวแล้วยังไม่เคยพบเห็นเห็ดหลินจือที่สมบูรณ์และใหญ่โตเช่นนี้มาก่อน จึงอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้
ซูเจินเห็นว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ และเอ่ยพูดกับนางอย่างเมตตาจึงได้ส่งยิ้มหวานให้เขาไปหนึ่งที ในตอนแรกสหายทั้งสามของซูเจินตื่นตัวขึ้นมาทันที คิดว่าจะเกิดอันตรายกับนาง แต่พอเห็นซูเจินนางยิ้มออกมาจึงได้กลับไปอยู่ที่ไหล่ของนางเช่นเดิม
“เห็ดหลินจือพันปี” เขาพึมพำออกมาอย่างเลื่อนลอย
“เอ่อ ท่านหมอ ท่านจะซื้อหรือไม่ขอรับ” ซูเต๋อทนรอไม่ไหว เพราะหมอกู้ลูบคลำเห็นหลินจือ ของเขามาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว
“ซื้อ ซื้อ เจ้าใจร้อนเสียจริง” เขามองค้อนซูเต๋อที่ขัดขวางช่วงเวลาที่เขาชื่นชมเห็ดหลินจืออยู่
“หิว” ซูเจินลูบท้องน้อยๆ ของนาง นางอยากจะเร่งให้เขารีบจ่ายเงินจะได้ไปหาของอร่อยกินเสียที
“โอ้ เด็กน้อยหิวเสียแล้ว” เขามองซูเจินอย่างชื่นชม เด็กน้อยตรงหน้าคงไม่เกินหนึ่งขวบปีอย่างแน่นอน กลับพูดออกมาตอนที่บิดาของนางกำลังลำบากใจได้
หมอกู้ให้หลงจู๊อู๋ไปจัดการหาอาหารมาให้ทั้งสามคนได้กิน เพราะเขาคิดว่าคงอีกนานที่จะพูดคุยเรื่องราคากันเรียบร้อย
รอไม่นานหลงจู๊อู๋ก็ยกอาหารเข้ามาด้านใน ซูเต๋อให้จิ่วเม่ยพาบุตรสาวไปนั่งกินก่อน เขาจะเจรจาเรื่องราคากับหมอกู้
“ห้าพันตำลึงทอง เจ้าเห็นเป็นเช่นใดบ้าง” หมอกู้เอ่ยถามออกมา เมื่อเขาตัดสินใจเรื่องราคาได้แล้ว หากเห็ดหลินจือทั้งสามดอกนี้ถูกส่งเข้าเมืองหลวง ต้องทำเงินให้เขาได้ไม่ต่ำกว่าดอกละหนึ่งหมื่นตำลึงอย่างแน่นอน
“นายหญิง แม้ราคาที่ท่านหมอกู้ให้จะดูสูง แต่เห็ดทั้งสามดอกก็ไม่ได้พบเห็นง่ายๆ ท่านควรจะบอกท่านพ่อให้เพิ่มราคาเจ้าค่ะ” เสี่ยวมี่บอกซูเจิน
ซูเต๋อกับจิ่วเม่ยตกตะลึงกับราคาที่หมอกู้ให้ แต่ก่อนที่ซูเต๋อจะอ้าปากยอมรับ เสียงของซูเจินน้อยก็ตะโกนออกมาเสียก่อน
“ไม่” ผู้ใหญ่ทั้งสี่ที่อยู่ในห้องหันมามองที่นางเป็นตาเดียว
“ไม่อร่อยอย่างนั้นรึ” หลงจู๊อู๋เอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะเขาเห็นนางกินลงไปไม่น้อย ทั้งอาหารที่สั่งมาก็มาจากเหลาอาหารชื่อดังในเมือง
“ไม่” นางส่ายนิ้วชี้น้อยๆ ของนางไม่มา
“ขาย” ทั้งสี่ได้แต่ตกตะลึง เมื่อเด็กน้อยเช่นซูเจิน ได้ราคาสูงเพียงนี้แต่ไม่คิดจะขาย
หมอกู้รอยยิ้มแข็งค้างไปทันที เขามองซูเจินอีกครั้งอย่างพิจารณา เมื่อเห็นผีเสื้อ ผึ้ง มด ที่อยู่บนไหล่ของนาง เขาก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นสัตว์ทั้งสามตัวตั้งแต่แรก แต่เพราะคิดว่าคงติดมากับตะกร้าของซูเต๋อ มันน่าแปลกเกินไปที่ทั้งสามตัวยังคงอยู่ที่ไหล่ของเด็กน้อยไม่ห่าง
“เอ่อ เจินเออร์ อย่าเสียมารยาทลูก” จิ่วเม่ยเอ่ยตำหนิบุตรสาว
“เพิ่ม” นางยู่ปากน้อยๆ อย่างไม่พอใจ แล้วกอดอกมองที่หมอกู้อย่างไม่ยินยอม
“เจ้าจะให้ข้าเพิ่มราคาอีกใช่หรือไม่” หมอกู้ลองเอ่ยถามนาง เพราะอยากจะรู้ว่าสิ่งที่เขาคิดถูกต้องหรือไม่
“อืม” นางพยักหน้าราวกับไก่จิก
“แล้วเจ้าคิดว่าเท่าใดถึงจะเหมาะสม” เขาเดินมานั่งตรงหน้าของซูเจิน เพื่อพูดคุยกับนาง
ซูเจินชูนิ้วน้อยๆ ของนางไปตรงหน้าของหมอกู้ “แปดพันตำลึงทองอย่างนั้นรึ” เขาร้องถามออกมาเสียงดัง
“อืม” นางพยักหน้าอีกครั้ง
“เอ่อ เจินเออร์” ซูเต๋อเอ่ยเรียกบุตรสาว แต่ถูกสายตาของซูเจินมองอย่างจริงจังไว้ เขาจึงได้กลืนคำที่จะห้ามนางลงท้องไป ถึงอย่างไรเห็ดที่ได้มาก็เป็นเพราะบุตรสาวของเขา ให้นางได้ตัดสินใจในเรื่องนี้เองก็แล้วกัน
หลงจู๊อู๋กับหมอกู้แปลกใจไม่น้อยที่สองสามีภรรยายอมให้เด็กน้อยวัยขวบปีเป็นผู้ตัดสินใจเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ประหลาดนัก
หมอกู้ต้องยอมกัดฟันจบที่ราคาที่ซูเจินนางต้องการ ไม่ใช่เพียงสายตาของเด็กน้อยที่จ้องมองเขาอย่างกดดัน ยังมีสหายของนางทั้งสามตัวที่มองมาทางเขาอีกด้วย เรื่องนี้ทำให้หมอกู้เสียวสันหลังแปลกๆ
หมอกู้ยอมจ่ายค่าเห็ดหลินจือทั้งสามดอกที่ สองหมื่นสี่พันตำลึงทอง ซูเต๋อยังขอรับเป็นตั๋วเงินใบละห้าสิบตำลึงเงินด้วย เพื่อที่เขาจะได้นำไปใช้จ่ายได้อย่างสะดวก
ซูเจินนางกินอาหารต่ออย่างสบายใจ เมื่อได้ราคาที่นางต้องการแล้ว คงมีเพียงผู้ใหญ่ทั้งสี่ที่ได้แต่มองนางกินเท่านั้น พวกเขาต่างกินอันใดไม่ลง
ซูเต๋อกับจิ่วเม่ยที่กินไม่ลง เพราะยังตกตะลึงไม่หายที่ได้เงินมากถึงเพียงนี้ ส่วนหมอกู้เขากินไม่ลง เพราะกำไรที่จะได้กว่าครึ่งถูกซูเจินปล้นไปเยอะถึงเพียงนั้น
ซูเต๋อนำตั๋วเงินทั้งหมดใส่ลงตะกร้า เพราะคิดจะให้บุตรสาวเก็บเข้าไปที่เดียวกับเห็ดอีกหลายดอกที่นางเก็บไว้
“เจินเออร์ เก็บไว้ที่เดียวกับเห็ดหลินจือได้หรือไม่” เมื่อเดินห่างออกมาจากผู้อื่นแล้ว เขาก็เอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
“ได้”
ซูเต๋อจึงได้หาที่ลับตาคน แล้วให้ซูเจินนางเก็บเข้าไป จิ่วเม่ยยังไม่มั่นใจว่าหากตั๋วเงินที่ได้มาทั้งหมดหายไปแล้วจะกลับมาได้หรือไม่ ซูเจินนางจึงได้นำเข้าออกหลายครั้งเพื่อให้มารดามั่นใจ
เงินที่อยู่ที่ตัวของซูเต๋อยังมีไม่มาก เขาเลือกที่จะพาสองแม่ลูกไปซื้อผ้าเพื่อตัดชุดเสียก่อน จิ่วเม่ยนางก็ไม่ได้เลือกผ้าไหมที่ราคาแพง แต่เลือกผ้าฝ้ายเนื้อดีให้บุตรสาว ของนางและซูเต๋อยังเป็นผ้าฝ้ายธรรมดาเพื่อสะดวกใช้งาน
ซูเจินเห็นเช่นนั้นจึงได้ชี้เลือกผ้าฝ้ายเนื้อเดียวกับนาง เพิ่มให้บิดามารดาอีกคนละสองพับ
“เจินเออร์ พอแล้วลูก” จิ่วเม่ยอดที่จะดุบุตรสาวไม่ได้
“ตามใจนางเถิด” ซูเต๋อส่งมาที่ซูเจินเลือกให้ทางร้านห่อให้
คนขายไม่อยากจะเชื่อว่าสามีภรรยาคู่นี้จะกล้าซื้อผ้าทุกพับที่บุตรสาวเลือกชี้ ทั้งยังมากมายถึงแปดพับด้วยกัน ในตอนแรกเขาคิดว่าคงจะซื้อผ้าฝ้ายธรรมดาพับเดียว ทำให้รู้ว่าดูจากการแต่งกายไม่ได้จริงๆ
ซูเต๋อฝากผ้าที่ซื้อไว้ทั้งหมดไว้ก่อน เพราะเขายังต้องไปหาซื้อเกวียนวัวก่อน แต่ซูเจินนางก็สร้างเรื่องอีกครั้ง เมื่อนางเห็นม้าสองตัวนอนอยู่ในคอกอย่างหมดอะไรตายยาก
“พ่อ” นางชี้มือไปที่คอกม้า ร้องบอกซูเต๋อที่อุ้มนางไว้
“เราจะซื้อวัวลูกมิใช่ม้า” ซูเต๋อชี้ไปที่วัวสองตัวที่เขามองไว้
นอกจากจะใช้เทียมเกวียนได้แล้ว ยังใช้วัวในการทำนาได้อีก จะได้ทุ่นแรงเขาได้เยอะ และจิ่วเม่ยนางจะได้ไม่ต้องไปทำงานในนาอีก
“ม้า” นางดีดดิ้น เพื่อให้ท่านพ่อพาเดินไปที่คอกม้า
เยี่ยนเฟยหยางประคองซูเจินไปที่เกี้ยวแปดคนหามหลังใหญ่ ชุดเจ้าสาวที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อต้องแสงแดดกับเปล่งประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดาวนับล้านดวงอยู่ที่ชุดของนาง ยิ่งทำให้คุณหนูต้องไปอ้อนวอนบิดามารดาให้ไปถามจวนตระกูลซูว่าไปตัดชุดที่ใดมา แต่ก็มิได้รับคำตอบซูเจินถูกเยี่ยนเฟยหยางประคองเข้าตำหนักของเขา ทั้งคู่ข้ามกระถางไฟก่อนที่จะไปหยุดที่แท่นกราบไหว้ฟ้าดินด้านหน้ามีเสด็จพ่อ เสด็จแม่และไทเฮาของเยี่ยนเฟยหยางนั่งอยู่ เสียงสวีกงกงขันทีของเยี่ยนเฟยหยางร้องบอกให้พวกเขากราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้บิดามารดา ก่อนจะคำนับกันเองซูเจินที่กำลังลุกขึ้น เพราะคิดว่าเสร็จสิ้นพิธีแล้ว แต่กลับถูกเยี่ยนเฟยหยางดึงรั้งมือของนางไว้ให้นั่งลงตามเดิม“ข้าเยี่ยนเฟยหยาง ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และเสด็จย่า ว่าทั้งชีวิตจะมีเพียงซูเจินเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียว หากผิดคำสาบานขอให้ฟ้าดินลงโทษ” ซูเจินจะร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วขุนนางที่ได้เข้าร่วมพิธีงานมงคลต่างตกตะลึง เพราะยังไม่มีเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดที่กล้าเอ่ยสาบานเช่นนี้ออกมาสิ้นเสียงของเยี่ยนเฟยหยางท้องฟ้าที่กระจ่างใส ก็คำรามขึ้นเป็นการตอบรับคำของเขา ยิ
เป็นเช่นที่เยี่ยนเฟยหยางว่า เพราะซูเจินอยากให้หวังกงกงได้เดินทางไปทั่วแคว้นเพื่อท่องเที่ยวกับนาง ทั้งชีวิตเขาแทบจะอยู่เพียงในรั้ววัง หากฮ่องเต้ไม่เสด็จที่ใดเขาก็ไม่ได้ไปเช่นกันหวังกงกงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มหน้าบาน ต่างจากฮ่องเต้ที่เบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไหนว่าจะอยู่กับเขาอีกสองปี แต่ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะทิ้งเขาไปเสียแล้วเป็นอย่างที่ฮ่องเต้คิด หนึ่งเดือนต่อมาซูเจินนางก็ขอเข้าวัง ครั้งนี้นางแลกตัวหวังกงกงกับน้ำวิเศษของนาง“เหอะ เจ้าผิดคำพูด หวังกงกงขอเวลาเจิ้นอีกสองปี แต่นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปีเจ้าก็จะมาขโมยตัวเขาไปแล้วรึ”“เช่นนั้น พระองค์ต้องการอันใดเพคะ” นางขมวดคิ้วคิด เพราะนางคิดมาแล้วว่าจะพาหวังกงกงออกเดินทางไปด้วยกัน“เจิ้นต้องการจะเป็นผู้ฝึกตน” ซูเจินและหวังกงกงหันไปมองที่ฮ่องเต้อย่างตกใจ“พระองค์รู้หรือไม่ หากเป็นผู้ฝึกตนต้องละทิ้งบัลลังก์ พระองค์จะยินยอมหรือเพคะ” หากมีฮ่องเต้ที่มีอายุยืนยาว จะไม่สร้างเรื่องปั่นป่วนขึ้นมาอย่างนั้นรึ“เจิ้นเข้าใจเรื่องนี้ดี และคิดหาทางออกไว้แล้ว” “เสด็จพ่อ พระองค์ตัดสินพระทัยแล้วรึพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนเฟยหยางที่เพิ่งเรียกสติกลับมาได้เอ่ยถามออกม
“เรื่องนี้...” นางคิดว่าอย่างไร การแต่งงานในวัยเพียงสิบห้าหนาวก็ดูเหมือนจะเร็วไป“เจ้ากลัวอันใด”“ข้าคิดว่ามันเร็วเกินไป ที่จะแต่งงานในวัยสิบห้าหนาว”“เจินเจิน สตรีแคว้นต้าเยี่ยนวัยเท่านี้นับว่าไม่เร็วแล้ว” เขาเริ่มจะไม่สบอารมณ์แล้ว ที่นางไม่ยอมตอบรับเสียที“เอาเถิดอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกหลายเดือน” นางบอกปัดไป ก่อนจะไล่เขาให้ไปที่ห้องพัก“ไม่ ข้าจะเข้าไปในมิติของเจ้า” เยี่ยนเฟยหยางคิดจะเข้าไปฝึกในมิติต่อ“เจ้าค่ะ” ซูเจินพาเข้าไปด้านใน สุดท้ายนางก็ต้องอยู่ฝึกด้วยกันกับเขา“นายหญิง ดอกไม้ที่ข้าปลูกไว้ รู้ว่าท่านทั้งสองกำลังจะเข้าสู่ขั้นเซียนจึงยอมสละสองดอกมาให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูเจินมองดอกหลันฮวาที่นางเคยสัมผัสตอนที่มาที่นี่“ข้าจับมันได้ใช่หรือไม่” นางไม่รู้ว่าหากจับแล้วจะได้กลับไปที่โลกเดิมหรือไม่ นางก็ตอบไม่ได้ว่าอยากกลับไปหรือเปล่าแต่ก่อนที่หลันฮวาจะเอ่ยตอบ เยี่ยนเฟยหยางที่เห็นท่าทางของซูเจินดูไม่สบายใจ ที่นางต้องจับดอกไม้ที่หลันฮวานำมา ก็อดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้“เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าจับมัน”นางถอนหายใจออกมา ในเมื่อเขาอยากรู้นางก็ไม่คิดจะปิดบัง ก่อนจะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของนาง จนได้ม
ในตอนแรกที่คิดว่านับเดือนกว่าจะถึง แต่เอาเข้าจริง นางเดินทางเพียงยี่สิบวันเท่านั้น จากหนานไห่จนถึงเขตชายแดนเหนือ ด้วยการนำทางของเสี่ยวมี่ ที่หาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดให้นางนางแวะที่เมืองหน้าด่านของชายแดนเหนือ เพื่อนำเสบียงอาหารออกมาแจกจ่ายให้กับค่ายผู้อพยพเพราะจำนวนคนที่นางมองเห็นคร่าวๆ ก็นับเกือบแสนคนเห็นจะได้ เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าสงครามกำลังเกิดขึ้นจริงรึซูเต๋อเข้าไปพบเจ้าเมือง ที่รู้จักกับเขาดี เพื่อแจ้งเรื่องที่ทางการให้นำเสบียงออกมาแจกจ่าย ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดคิดหาที่มาของเสบียงอีกแล้วเพราะจำนวนคนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน เสบียงที่มีเพียงพอให้พวกเขากินวันหนึ่งมื้อเท่านั้น ยิ่งได้เสบียงมาเพิ่มก็สามารถต่อชีวิตชาวบ้านไปได้อีกวันครั้งนี้ซูเจินนำเสบียงออกมามากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังต้องนำออกมาเกือบทุกวัน ถึงจะเพียงพอให้ทุกคนได้กินอิ่มท้องนางอยู่ที่เมืองด่านหน้าของชายแดนเหนือได้สามวัน จึงออกเดินทางไปหัวเมืองอื่นต่อ สามหัวเมืองหลักที่อยู่ด่านหน้าล้วนแต่มีคนอพยพนับแสนคน ซูเจินจึงต้องอยู่จัดการเรื่องเสบียงหลายวันเกือบหนึ่งเดือนที่นางต้องจัดการเรื่องเสบียง โดยที่ไม่รู้เลยว่าทางชายแดนเหนือที่
หวังกงกงรีบเดินเข้าไปจับตัวนางกำนัลไว้ แล้วค้นตัวจนได้ยาหุ่นเชิดมาทันที เขานำมาส่งให้เยี่ยนเฟยหยางเพื่อตรวจสอบ แล้วออกไปจัดการนางกำนัลที่ตำหนักของไทเฮาแต่เยี่ยนเฟยหยางกลับเดินเข้าไปหาทั้งสองคนแล้วนำยากรอกเข้าไปในปากแทน“เมื่อพวกท่านกล้าทำร้ายเสด็จพ่อและเสด็จย่าก็จงมีชีวิตอยู่เช่นพวกเขาเถิด” ดวงตาแข็งกร้าวของเยี่ยนเฟยหยาง ทำให้ทั้งสองอดที่จะหวาดกลัวออกมาไม่ได้ทั้งคู่ไม่คิดว่าเยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ คิดว่าเรื่องทั้งหมดที่วางแผนไว้จะแล้วเสร็จก่อนที่เยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงแต่คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต เพราะเยี่ยนเฟยหยางเดินทางกลับมาถึงเร็วทำให้สิ่งที่พวกเขาคิดไว้ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเมื่อจัดการทั้งสองคนเรียบร้อย เยี่ยนเฟยหยางรีบเดินทางไปที่ตำหนักของฮองเฮาและพี่ใหญ่ของตนทันทีพอไปถึงจึงพบว่าทั้งสองอาการไม่ต่างจากเสด็จย่าของตนนัก เมื่อช่วยทั้งสองให้พ้นอันตรายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปพูดคุยกับเสด็จพ่อ เรื่องภูเขาแร่ที่เว่ยอ๋องส่งคนไปทันที“เรื่องนี่เห็นทีเสนาบดีตู้ก็คงรวมมือด้วย หากเจ้ากลับมาไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น” ฮ่องเต้ให้หวังกงกงนำยาที่ใช้
เยี่ยนเฟยหยางแทบไม่อยากจะเชื่อ เพราะพระองค์ยังดูแข็งแรง แทบไม่เคยเปรยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนสักครั้ง ส่วนเรื่องให้ผู้ใดขึ้นเป็นรัชทายาทเขามิได้สนใจ“ย่าให้องครักษ์เงาไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังมิทัน ที่จะรู้เรื่องราวดี ย่าก็ล้มป่วยจนมิอาจลุกจากเตียงได้ ว่าแต่เจ้าเอาอะไรให้ยาดื่ม” นางอดที่จะสงสัยไม่ได้“หลานได้น้ำวิเศษมาจากเจินเจิน และในตอนนี้หลานก็เป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่ขอท่านย่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป จนกว่าหลานจะหาตัวคนร้ายได้พ่ะย่ะค่ะ”“ย่า เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปดูเสด็จพ่อของเจ้าเถิด พี่ชายเจ้าย่าก็มิได้เห็นมาสักพักแล้ว” ไทเฮาตบที่หลังมือของหลานชายเบาๆ“เสด็จย่า พระองค์ทรงแสร้งป่วยต่อไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ หลานเห็นนางกำนัลของท่านดูมิน่าไว้ใจนัก”“เรื่องนี้ย่าก็พอจะรู้ว่าบ้าง แต่ยังมิอาจทำอันใดได้ ด้วยกลัวว่าคนร้ายจะรู้ตัวเสียก่อน”“หลานเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่าพักผ่อนก่อนเถิด” เยี่ยนเฟยหยางประคองไทเฮาให้นอนลงเช่นเดิมเขาคลายลมปราณที่ปิดกั้นเสียงเอาไว้ แล้วเดินออกจากห้องบรรทมไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หวังกงกงที่ยืนรออยู่หน้าตำหนักก็เดินเข้ามาหาทันที“องค์ชายห้า กระหม่อมมิรู้ว่าสมควรพู