Home / ระบบ / ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย / ตอน การตอบโต้ของสะใภ้ผู้ไร้เสียง(1)

Share

ตอน การตอบโต้ของสะใภ้ผู้ไร้เสียง(1)

ค่ำคืนนั้นซือซิงเพิ่งจะได้รู้ว่าการนอนหลับอย่างเป็นสุขนั้นมีอยู่จริง โดยที่เธอยังไม่รู้ว่ายามเช้าหลังจากที่เธอลืมตาตื่น ไม่ทันที่ฟ้าจะสว่าง ได้มีมารมาผจญถึงหน้าบ้าน

“ออกมาเดี๋ยวนี้นังสะใภ้ตัวดี หนอยแกกล้ามากเลยนะปีกกล้าขาแข็งนักใช่ไหม คอยดูฉันจะให้ลูกชายฉันหย่ากับแก ดูสิถ้าแกถูกหย่าแกจะถูกตราหน้าว่ายังไง” เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของฉินเจียวดังแผดร้องอยู่ด้านนอกประตูบ้าน

ซือซิงตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาเธอก็รู้สึกว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นเพียงความฝัน และตอนนี้เธอได้ตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับความจริงเสียแล้ว

ซือซิงนั่งกอดผ้าห่ม โดยมือของเธอขยุ้มผ้าห่มจับแน่นอยู่ที่อกอย่างหวาดหวั่น ใบหน้าของเธอในยามนี้ไร้ซึ่งสีเลือดเพราะความวิตก

เหงื่อมากมายไหลรินตั้งแต่หน้าผากไหลลงมาตามลำคอ ภายในเสื้อของเธอที่ทำมาจากผ้าป่าน ที่เก่าแล้วเก่าอีกเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

‘เธอควรจะทำอย่างไรดี ถึงจะหลีกเลี่ยงเสียงที่เธอได้ยินแบบนี้ได้กัน เธอไม่อยากกลับไปบ้านหลังนั้น ที่เป็นเหมือนนรกสำหรับเธออีกแล้ว’ ซือซิงคิดวนไปวนมาอย่างว้าวุ่นใจ

‘วันนี้พี่อาจจะปกป้องเธอได้ แต่ถ้าเธอไม่ลุกขึ้นมาสู้ด้วยตัวเองมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ’ คำพูดของซูเหยาได้วิ่งเข้ามาในหัวของซือซิง

ยามนี้ดวงตาของซือซิงได้เกิดเป็นประกายสว่างวาบ คล้ายคนที่ตัดสินในเรื่องสำคัญบางอย่าง

ซือซิงได้สูดจมูกของตนเอาอากาศเข้าปอดลึก เพื่อเป็นการเรียกกำลังใจให้กับตนเอง หลังจากนั้นเธอก็พับผ้าห่มและเก็บที่หลับนอนที่แสนอบอุ่นให้เรียบร้อย

‘ได้เวลาแล้วซือซิง เธอจะต้องทำให้ได้ ไม่อย่างนั้นเมื่อไหร่เธอถึงจะหลุดพ้นกันล่ะ’ ซือซิงพูดกับตัวเอง

หลังจากนั้นเธอก็เอามือที่เต็มไปด้วยรอยแผล ที่มีทั้งเก่าใหม่มากมายลูบผมที่แห้งกร้านเหมือนกับไม้กวาดยาวจนถึงสะโพก

และได้จัดการถักเปียสองข้างอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเธอจัดเสื้อผ้าที่ซักหลายครั้งจนสีซีดและเต็มไปด้วยรอยปะชุน จัดเสื้อเสร็จก็จัดกางเกงขายาวที่มีสภาพไม่ต่างจากเสื้อแม้แต่น้อย

ก้มดูรองเท้าที่ตนใส่ก็เป็นเพียงร้องเท้าผ้า ที่ขาดจนเห็นหัวแม่เท้าที่ทะลุถุงเท้าออกมา เธอมองดูเท้าของตนด้วยความสมเพชตัวเอง

ทั้งๆ ที่เธอและสามีทำงานหนักมาตลอดหลายปี ข้าวก็กินไม่เคยอิ่ม ได้กินเพียงน้ำใสๆ จากการต้มข้าวที่เหลือ กับข้าวก็มีเพียงผักดองเค็มๆ แห้งเหี่ยว เธอจะไม่ทนอีกแล้ว ดังนั้นเธอจะต้องสู้อย่างที่พี่สะใภ้ว่ากันสักตั้ง

“ออกมาเดี๋ยวนี้นะ นังสะใภ้อกตัญญู บ้านฉันให้ข้าวให้น้ำแกกิน แต่นี่คือสิ่งที่แกตอบแทนฉันอย่างนั้นเหรอ” เสียงด่าทอจากฉินเจียวยังคงส่งเสียงดังไม่หยุดอยู่อย่างนั้น

“ให้ข้าวให้น้ำอย่างนั้นเหรอคะ ข้าวต้มที่มีแต่น้ำ นับเมล็ดข้าวได้ กับผักดองเหี่ยวๆ แบบนั้น มันเป็นบุญคุณกับฉันมากเลยอย่างนั้นเหรอ” ซือซิงที่ได้ตัดสินใจพูดประชดเสียงดังอย่างไม่แยแส

“กะ..แกจะฆ่าฉันหรือไงหา จะเปิดประตูก็ไม่ให้สุ้มให้เสียงทำให้ฉันถึงกับจะล้ม เจ้าข้าเอ้ยมาดูนังลูกสะใภ้ใจดำมันจะฆ่าแม่สามี” ฉินเจียวที่ยังไม่ทันจะล้มได้ร้องตะโกนแหกปากของตนเสียงดัง

โดยที่ตอนนี้เธอได้แกล้งลงไปนั่งกับพื้น พร้อมกับหยิกตัวเองเพื่อให้น้ำตาไหล ซือซิงเมื่อเห็นสิ่งที่แม่สามีทำ เธอก็รู้สึกตกใจด้วยความหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง เธอยืนมองแม่สามีด้วยใบหน้าซีดเผือด พร้อมกับกัดเล็บที่สกปรกของตนอย่างคนขลาดเขลา

ถึงแม้ที่ดินแห่งนี้จะอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน แต่อย่าได้ดูถูกพลังเสียงแห่งการทำลายล้างของฉินเจียวเป็นอันขาด

เพราะในตอนนี้ได้มีชาวบ้านพากันออกมาจากบ้านและได้เดินเข้ามามุงดู สิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นเรื่องสร้างความบันเทิงให้แก่ตน

ยุคนี้เป็นยุคที่ความบันเทิงใดๆ ไม่ได้เข้ามามีบทบาทมากนัก ดังนั้นการที่บ้านไหนมีเรื่อง ก็มักจะเรียกความอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านอยู่เสมอ

ซือซิงที่ได้ยินเสียงชาวบ้านซุบซิบนินทา และชี้ไม้ชี้มือมายังเธอ อาการวิตกกังวลของเธอก็ได้กลับมาอีกหน

‘ทำยังไงดี เธอควรทำยังไง’ ซือซิงกัดเล็บของตัวเองและหันซ้ายหันขวาเหมือนคนที่ไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจทำอะไรต่อไป

“แม่คะ ถ้าหล่อนไม่อยากกลับเราก็อย่าไปบังคับเลยค่ะ พวกเราอุตส่าห์หวังดีกลัวว่าหล่อนอยู่ข้างนอกจะลำบาก จึงได้มาตาม

แต่ในเมื่อหล่อนไม่เห็นความหวังดีของแม่สามี แล้วยังจะผลักแม่ให้ล้มลงอีก หล่อนช่างนิสัยแย่จริงๆ” เสียงจิวเหลียนที่เข้ามาทำท่าช่วยพยุงแม่สามีให้ลุกขึ้นจากพื้น

ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จออกมา ชาวบ้านก็ต่างวิจารณ์กันไป บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ โดยเฉพาะคนที่รู้นิสัยใจคอแม่ผัวลูกสะใภ้มหาประลัยคู่นี้ดี

ซือซิงเมื่อได้ยินสิ่งที่จิวเหลียนกล่าวหา เธอรู้สึกโกรธมาก และคำพูดของซูเหยาก็ได้กลับเข้ามาวิ่งวนอยู่ในหัวของเธออีกครั้ง

“เธอโกหก ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย แม่สามีเขาแกล้งล้มลงไปเองต่างหาก หยุดใส่ร้ายฉันได้แล้ว กลัวว่าฉันจะลำบากอย่างนั้นเหรอ

ฉันอยู่ที่นั่นก็ไม่ได้เคยรู้จักคำว่าสบายอยู่แล้ว ถ้าคนมีตาที่ดีดูก็ลองมองดูสภาพเธอกับสภาพฉันดูสิ เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่อีก

ถ้าหากว่าอยู่ที่นี่แล้วฉันจะตกนรกก็ปล่อยฉันไปเถอะ เพราะอยู่ที่บ้านมู่ฉันก็ไม่เคยได้ขึ้นสวรรค์เหมือนกัน พวกคุณมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเถอะ

ถ้าลูกชายของคุณจะเป็นฝ่ายหย่าขาดจากฉัน ฉันก็ยินยอมเพราะตลอดสี่ปีที่ฉันแต่งเข้าบ้านมู่ ไม่เคยมีวันไหนที่ฉันได้ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วมีความสุขเลยสักวัน

งานบ้านทุกอย่างฉันต้องเป็นคนทำทั้งหมด เสร็จจากงานบ้านยังไม่ทันที่ข้าวจะได้เข้าปาก ก็ต้องไปเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่พอจะมากินข้าวก็เหลือแต่น้ำต้มข้าวใสๆ

ฉันเบื่อแล้ว พอกันทีกับความกตัญญูโง่ๆ ของตัวเอง ที่ไม่ว่าจะทำดีมากเท่าไหร่ มากแค่ไหน พวกคุณก็ไม่เห็นค่า มีแต่คิดว่าฉันโง่ พวกคุณพากันออกไป ออกไปให้หมด” เสียงซือซิงพูดออกมาเสียงดังอย่างคนที่ไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกแล้ว

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่หก สามหนุ่มหล่อแห่งเมืองหลวงผู้แตกต่าง

    หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่ห้า สองพี่น้องผู้โดดเดี่ยว2

    ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่ห้า สองพี่น้องผู้โดดเดี่ยว1

    หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่สี่ กลิ่นคาวเลือดก่อเกิดรัก 2

    ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่สี่ กลิ่นคาวเลือดก่อเกิดรัก 1

    ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่สาม แม่คุณจะรับฉันได้จริง ๆ เหรอ 2

    มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status