“มันก็จริงนะ ว่าแต่พ่อคุณกับน้องชายไม่ได้กลับมาด้วยเหรอคะ” ซูเหยาถามสามีออกมาด้วยความสงสัย
“ผมต้องขอบคุณ คุณมากๆ เลย ที่ให้เงินผมพาพ่อไปหาหมอตอนนี้พ่อต้องนอนอยู่โรงพยาบาล มู่อันก็เลยอาสาเฝ้าไข้ที่นั่นครับ” มู่หานกล่าวกับภรรยาออกมาด้วยความซึ้งใจ
ในระหว่างที่สามีกับภรรยากำลังสนทนากันอยู่ด้านใน ด้านนอกห้องครัวก็ได้มีเสียงแหลมสูง ซึ่งซูเหยาจำได้ดีว่าเป็นเสียงใคร เธอจึงได้ดึงมือมู่หานเดินออกมาอย่างรวดเร็ว
“นังสะใภ้ตัวดี แกคิดว่าหลบอยู่ที่นี่แล้วฉันจะลากแกกลับไปทำงานไม่ได้หรือไง” เสียงแหลมสูงของฉินเจียวพูดขึ้น พร้อมกับใช้นิ้วชี้หน้าซือซิงด้วยความโมโห
“สะใภ้ใหญ่ไปลากตัวมันกลับบ้านไปทำงานเดี๋ยวนี้ มันอยู่ในบ้านมู่ก็ต้องทำงานให้บ้านมู่ จะมาหลบอู้อยู่ที่นี่ได้ยังไง” ฉินเจียวส่งเสียงแสดงความมีอำนาจของตนสั่งสะใภ้คนโปรด
“หยุดเดี๋ยวนี้ หากใครเข้าไปใกล้น้องสะใภ้อีกก้าวเดียวอย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ” เสียงซูเหยาตะโกนขึ้นอย่างเสียงดัง (เอาเซ่คิดว่าเสียงดังเป็นคนเดียวหรือไง ว่าแล้วก็เริ่มจะเจ็บคอ)
“ฉันถามจริงๆ เถอะค่ะ ต้องขอโทษที่ต้องถามตรงๆ คนในบ้านก็มือเท้าดีๆ กันทุกคน อยู่กันก็ต้องสามสี่ชีวิต แต่ไม่มีใครคิดจะทำงานเลยหรือยังไงคะ ถึงจะต้องกระเสือกกระสนมาตามคนกันที่นี่” ซูเหยาพูดจิกกัดคนทั้งสองออกมาอย่างตั้งใจ
“กะ..แกว่าใคร ฉันมาตามลูกสะใภ้ของฉัน มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับแก แล้วเจ้าลูกชายตัวดีกับสามีของฉันไปไหน หรือคนบ้านแกเอาแต่ใช้งานพวกเขา” ฉินเจียวที่โมโหจนพูดไม่ออกจึงได้เปลี่ยนเป็นพูดเรื่องอื่นขึ้นมา
“เขาอยู่โรงพยาบาลค่ะ พ่อสามีของน้องสะใภ้ไม่สบายมาก หมอก็เลยให้นอนอยู่ที่นั่น ถ้าคุณว่างถึงขนาดมาตามคนที่บ้านฉันได้ ก็น่าจะไปเฝ้าสามีที่โรงพยาบาลดีกว่านะคะ” ซูเหยาพูดออกมาอย่างยืดยาว
“หาหมอ มันเอาเงินจากไหน อย่างนี้ต้องแสดงว่าไอ้ลูกอกตัญญูให้เงินฉันไม่ครบ แกนังสะใภ้เล็กแกเป็นคนยุลูกชายฉันใช่ไหม” ฉินเจียวเมื่อรู้ว่ามู่อันมีเงินพามู่จางไปหาหมอ เธอถึงกับกรีดร้องออกมาด้วยความไม่ยินยอม
“เงินฉันค่ะ ดูสภาพของน้องสะใภ้สิ ตัวผอมแห้ง เสื้อผ้าเก่าปะแล้วชุนอีก แบบนี้หล่อนจะมีเงินได้ยังไงกัน คิดสักนิดนะคะ แก่จนผมขาวแบบนี้ยังคิดไม่ได้อีก จะได้อายเอาทีหลัง” ซูเหยาก็ไม่วายเอ่ยวาจาจิกกัดฉินเจียวออกไปอีกหน
“ใครมันมาโวยวายในที่ดินของบ้านฉันกัน” หว่านชิงที่ได้เจ้าตัวน้อยสองคนไปตาม รีบวิ่งมาดูลูกสาวตนด้วยความเป็นห่วง
“ฉันฝากไว้ก่อนเถอะ สะใภ้สามถ้าเธอไม่กลับบ้านมู่ไปพร้อมกับฉัน หล่อนก็ไม่ต้องกลับเข้าไปอีกเลยนะ” ฉินเจียวที่รู้ว่าเธอไม่น่าจะสู้รบปรบมือกับคนสองคนนี้ได้แน่ๆ
จึงหันไปพูดจาข่มขู่ลูกสะใภ้คนเล็กของตนแทน ส่วน จิวเหลียนที่ชะงักไปจากคำขู่ของซูเหยา ก็ชี้นิ้วป้อมสั้นของตนไปยังซือซิงพร้อมพูดเหมือนแม่สามีอีกครั้ง
ซือซิงที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่ที่พื้นเพราะตกใจฉินเจียวที่เดินเข้ามาหาเธอ ก็พยายามลุกขึ้นเพื่อที่จะเดินกลับบ้านมู่ที่เป็นเหมือนนรกสำหรับตน
“น้องสะใภ้เล็กคนเรานะต้องรู้จักสู้เพื่อปกป้องตัวเองบ้าง อย่าไปยึดถือถึงความกตัญญู หรือคุณธรรมที่ทำให้เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ด้านเดียว
วันนี้พี่อาจจะปกป้องเธอได้ แต่ถ้าเธอไม่ลุกขึ้นสู้ด้วยตัวเองมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ลองกล้าที่จะปกป้องตัวเองบ้าง ดูอย่างจิวเหลียนสิ งานการไม่ทำไม่เห็นเขาจะเป็นอะไรเลย
ถ้าอยู่ที่นั่นไม่ไหวจริงๆ ก็ลองปรึกษากับมู่อันดูถึงเรื่องแยกบ้าน ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น หากไม่มีที่ไปที่ดินบ้านพี่ยังแบ่งให้พวกเธอสร้างบ้านได้ ลองคิดดูนะ” ซูเหยาพูดอย่างช้าๆเพื่อ(เป็นการล้างสมอง แค่กๆ.. ไม่ใช่สิ) ให้ซือซิงได้คิดตาม
เมื่อซือซิงกลับมาที่บ้านมู่ เธอก็ได้เข้าสู่วังวนเดิมๆ อีกครั้ง แล้วคำพูดของซูเหยาก็ได้ค่อยๆ เข้าในหัวของเธออย่างช้าๆ
เธอไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ว่าได้ฉีกเสื้อผ้าของจิวเหลียนที่อยู่ในมือขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปแล้วด้วยความคับแค้นใจ
ตอนนี้ซือซิงเหมือนทำการตัดสินใจได้แล้ว เหลือแค่รอสามีของเธอกลับมาเท่านั้นว่าเขาจะว่ายังไง ในระหว่างที่สามีไม่อยู่ เธอจะไปขออาศัยที่บ้านของพี่สะใภ้รองไปก่อน
ซือซิงผู้ซึ่งอดทนเก็บทุกอย่างไว้เป็นเวลานาน ตอนนี้เธอได้เปลี่ยนไปแล้ว เธอเข้ามาเก็บเสื้อผ้าของสามีที่เก่าจนสีซีดแล้วซีดอีก รอยปะชุนก็ซ้อนทับกันไปหมดอย่างเศร้าใจ
“พี่สะใภ้คะ ฉันขอมาอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราวได้ไหมคะ” ซือซิงเมื่อตัดสินใจเดินออกจากบ้านมู่มา เธอก็เดินมาหาซูเหยาที่ ที่ดินท้ายหมู่บ้านทันที เมื่อมาถึงเธอก็ก้มหัวให้กับซูเหยาพร้อมกับพูดออกมา
“ได้สิ ตอนนี้บ้านหลังนี้ก็ล้อมรั้วเอาไว้มิดชิดหมดแล้ว ตัวบ้านเองก็สร้างเสร็จไปแล้วห้องหนึ่ง เธออยู่ที่นี่คนเดียวจะกลัวหรือเปล่า
เพราะว่าพี่ยังต้องกลับไปขายของที่บ้านในเมือง กว่าจะมาที่นี่ก็ช่วงสายๆ แล้ว ถ้าคนบ้านนู้นมาเรียกเธอไม่ต้องเปิดประตูนะเข้าใจไหม” ซูเหยาได้กล่าวย้ำกับซือซิงอีกครั้งก่อนที่เธอจะกลับไปพร้อมกับครอบครัว
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว