Share

ตอน ฉันไม่ใช่ลูกพลับนิ่มนะ

เด็กชายมองไปทางน้องสาวด้วยความห่วงใย เพราะเขากลัวว่าถ้าหากเขาวิ่งไปหยิบของด้านนอกแล้วน้องสาวอาจจะถูกรังแกเหมือนที่ผ่านมา

“ไปเถอะ น้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ เอาตะกร้าใบใหญ่หน่อยนะ”     ซูเหยาพูดกับเด็กชายออกมาอีกรอบ

ซึ่งตอนนี้มู่เฟยได้วิ่งปรู๊ดออกจากห้องนอนของแม่เลี้ยงไปแล้วอย่างรวดเร็ว ส่วนผิงผิงเด็กหญิงตัวน้อยก็จ้องมองไปยังขนมในตู้ของซูเหยาด้วยความอยากกินจนน้ำลายสอ

“ผิงผิง มาเอาไปกินรอพี่ชายก่อนสิจ้ะ” ซูเหยาได้กวักมือเรียกเด็กตัวน้อยให้เข้ามาหาตนเพื่อที่จะได้มาเอาขนม

ซึ่งผิงผิงเองก็กำลังจะเดินเข้าไปหาแม่เลี้ยงอยู่แล้ว แต่ว่าเธอกลับนึกถึงภาพอันโหดร้ายที่เธอเคยถูกตีขึ้นมาได้เสียก่อนจนทำให้เธอส่ายหัวปฏิเสธออกมาด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับน้ำตาคลอด้วย

ซูเหยาเมื่อได้เห็นเด็กตัวเล็กๆ เป็นแบบนี้เธอก็ได้แต่รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ

“ไม่ต้องกลัวนะ ต่อไปนี้น้าจะไม่ตีพวกหนูแล้ว” ซูเหยาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง เพราะเธอในตอนนี้ยังไม่ฟื้นไข้ดีนัก

หนึ่งผู้ใหญ่ หนึ่งเด็กน้อยจ้องตากันอยู่สักพัก พวกเธอก็ได้ยินเสียงวิ่งที่มาจากด้านนอก ซึ่งเป็นเสียงฝีเท้าของมู่เฟยนั่นเองที่ได้กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับตะกร้าไม้ไผ่ขนาดกลางในมือ

“นะนี่ครับน้า” มู่เฟยได้ยื่นตะกร้าส่งให้กับซูเหยาอย่างขลาดกลัว เพราะเขาเกรงว่าจะทำอะไรให้แม่เลี้ยงขุ่นเคืองเอาได้

เมื่อซูเหยารับตะกร้านั้นไปแล้ว มู่เฟยก็ถึงกับถอยกรูดมายืนอยู่กับน้องสาวทันทีด้วยความหวาดระแวง ตอนนี้ซูเหยาเธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ในตอนนี้ดี เพราะเด็กสองคนนี้ดูกลัวเธอมากจริงๆ

“พ่อไปไหน ใครรู้บ้าง” ซูเหยาได้ถามพวกเด็กๆ ขึ้นมาเพราะความทรงจำเกี่ยวกับสามีของร่างนี้ดูเหมือนจะขาดๆ หายๆ

“ไปล่าสัตว์บนภูเขาค่ะ” เสียงของเด็กหญิงตัวเล็กตอบออกมา เพราะเธอไม่ค่อยรู้สึกกลัวซูเหยาที่อยู่ตรงหน้าสักเท่าไรแล้ว

“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นพวกเราเข้าไปในครัวกันเถอะ จะได้ทำอาหารกินกัน” ซูเหยาพูดขึ้นเมื่อเธอได้นำของที่อยู่ในตู้มาใส่ไว้ในตะกร้าไม้ไผ่ที่มู่เฟยหามาให้

“นะน้าเหยาผะ..ผมช่วย” เด็กชายแม้ว่าจะยังคงกลัวซูเหยาอยู่ แต่ว่าเขาเป็นเด็กที่ดีมาก เพราะเขายังกล้าเสนอตัวไปช่วยซูเหยาถือของ

“ได้สิ ถ้าอย่างนั้นเสี่ยวเฟยก็ถือตะกร้าไข่นี่ก็แล้วกันนะ วันนี้น้าจะทำไข่ผัดมะเขือเทศให้กิน” ซูเหยากล่าวกับเด็กน้อยพร้อมบอกรายการอาหารที่เธอจะทำ

ด้านเด็กน้อยก็พากันกลืนน้ำลายลงคอดังอึกด้วยความอยากกิน พร้อมกับคิดว่าหน้าตาและรสชาติจะต้องอร่อยอย่างแน่นอน

ตอนนี้คนทั้งสามก็ได้พากันเดินเข้ามาในครัวที่ได้อยู่ติดกับห้องโถงของบ้าน พื้นที่บ้านหลังนี้ไม่ได้มีแต่พวกเธอเท่านั้น เพราะบ้านหลังนี้ยังคงปลูกอยู่บนพื้นที่เดียวกับบ้านพ่อแม่ของมู่หาน

“ไม่ได้ยินเสียงหมูร้องกันหรือไง ทำไมสายป่านนี้แล้วเด็กๆบ้านของเจ้ารองยังไม่ไปเก็บหญ้ามาให้หมูกินอีก” เสียงแหลมๆ ของฉินเจียวซึ่งเป็นย่าของเด็กๆ ตะโกนขึ้นอย่างดังจนทำให้ซูเหยาถึงกับตกใจแทบทำชามไข่ตกพื้นทีเดียว

“ไม่ต้องไป ถ้าใครมาหาเรื่องพวกหนูเดี๋ยวน้าจัดการเอง” เสียงของซูเหยาพูดออกมาอย่างเฉียบขาด เมื่อเธอเห็นว่าเด็กน้อยลูกเลี้ยงทั้งสองกำลังจะเดินออกจากครัว

“ตะ..แต่ว่าย่าดุมากเลยนะครับ ถ้าพวกเราไม่ไปจะต้องโดนทำโทษอย่างแน่นอน” มู่เฟยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจนัก

“ไม่เป็นไร ถ้ามีใครมาหาเรื่องน้าจะจัดการเอง แล้วรอพ่อของพวกเธอกลับมาก่อนพวกเราก็ค่อยปรึกษากันเรื่องย้ายที่อยู่” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยในเรื่องที่เธอคิดไว้

“ยังไม่ออกมากันอีก” เสียงเล็กแหลมชวนแสบแก้วหูนั้นตอนนี้ได้ดังมาถึงหน้าบ้านของเธอแล้ว

ซึ่งซูเหยาก็หาได้สนใจอันใด เพราะหลังจากที่เธอพยายามจุดเตาไฟอยู่นานในที่สุดยามนี้มันก็ติดเสียที

ซึ่งกว่าจะติดก็ทำให้ใบหน้าอันงดงามของร่างนี้ ที่มีส่วนคล้ายตนตอนอายุสิบแปดได้มอมแมมไปจากคราบเขม่าดำๆ อยู่ไม่น้อย

“ฮ่าๆ หน้าน้าเหยาเหมือนมีหนวดเลยค่ะ” เสียงหัวเราะใสๆดังขึ้นจากเด็กหญิงตัวเล็ก ซึ่งมู่เฟยตอนนี้ได้หันมามองน้องสาวด้วยดวงตาเบิกกว้างที่เห็นน้องสาวของตนหัวเราะออกมา

“หนูขอโทษค่ะ” ซึ่งเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กจะรู้ตัวแล้วจึงได้หยุดหัวเราะและกล่าวขอโทษออกมาด้วยด้วยสีหน้าที่สลดลง

“ไม่เป็นไร น้าไม่ได้โกรธ” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยออกมาด้วยความสงสาร

“พวกเรามากินข้าวกันเถอะ ไม่ต้องไปสนใจเสียงนกเสียงกาด้านนอกหรอก” ซูเหยาบอกกับเด็กๆ ที่ตอนนี้ได้พากันสูดดมเอากลิ่นหอมของอาหารเข้าปอดของตนกันแล้ว

ใจจริงเธอก็ไม่ได้ต้องการจะสอนเด็กๆ แบบนี้หรอก แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากย่าของพวกเด็กๆ มักจะใช้งานพวกเขาเกินอายุทั้งๆ ที่บ้านใหญ่ก็มีลูกสะใภ้และลูกชายของตนอยู่ ไหนจะยังมีหลานชายหญิงที่อายุมากกว่าเด็กสองคนนี้อีก

“พวกแกตายห่ากันไปแล้วรึไงถึงไม่ได้ยินเสียงของฉัน” เสียงนั้นยังดังอยู่หน้าประตูบ้าน พร้อมกับทุบประตูอย่างแรงโดยไม่กลัวว่าประตูจะพังเพราะฝีมือของตน

เด็กสองคนก็ยังคงทำท่าละล้าละลังไม่กล้าที่จะตักอาหารกินเพราะกลัวย่าจะบุกเข้ามาแล้วทำร้ายพวกเขา

“กินเร็วเข้า กินเสร็จน้าจะพาขึ้นเขาไปหาพ่อ” ซูเหยาบอกกับเด็กทั้งสองคน เพราะถ้าตามนิยายพ่อของเด็กๆ จะได้รับบาดเจ็บจากการล่าสัตว์ ซึ่งจะทำให้พิการได้ในอนาคต

ดังนั้นเธอจะต้องไปหยุดเรื่องเลวร้ายนี้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น ซึ่งมันน่าจะเกิดเร็วๆ นี้ ในช่วงที่เจ้าของร่างเดิมป่วยและพอตื่นขึ้นมาอีกหนึ่งวันก็ได้รับข่าวว่าสามีได้รับบาดเจ็บหนักจนถึงขั้นพิการ เหตุการณ์นั้นก็น่าจะเป็นวันพรุ่งนี้

ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันที่ดีที่สุดคือเธอจะต้องเข้าป่าวันนี้ โชคดีตรงที่ในนิยายได้กล่าวว่าพ่อของเด็กๆ บาดเจ็บแถวไหน  เธอจึงได้วางแผนว่าจะเข้าไปหาของมีค่ามาขายด้วย จะได้เป็นการรับประกันฐานะของตนอีกทางหนึ่ง

ตอนนี้เธอยังไม่แน่ใจว่าเธอได้มาอยู่ในยุคไหน ซึ่งในนิยายไม่ได้ระบุไว้อย่างแน่ชัด แต่เธอคิดว่าน่าจะเป็นช่วงปลายของยุคโบราณ เหตุที่เธอคิดแบบนี้ก็เพราะชุดที่เธอและเด็กๆใส่

รวมถึงทรงผมที่มู่เฟยไว้ผมยาวและมัดไว้อย่างลวกๆ รองเท้าฟางเก่าๆ ใกล้ขาด แต่ว่าการพูดการจาก็ไม่ได้เหมือนยุคโบราณเสียทีเดียว

“หนาวไหมเด็กๆ” ซูเหยาถามกับเด็กน้อยทั้งสองที่กำลังกินไข่ผัดมะเขือเทศและโจ๊กข้าวโพดที่เธอทำอย่างเอร็ดอร่อย

“ไม่หนาวครับ/ค่ะ” เด็กน้อยกลืนโจ๊กแล้วพูดขึ้นมาพร้อมกัน ซูเหยาเมื่อเห็นการปฏิเสธของเด็กน้อยก็รู้สึกสะท้านอยู่ในอก เพราะเธอใส่เสื้อผ้าตั้งสามสี่ชั้นยังหนาว

และเด็กตัวเล็กๆ ที่ใส่ผ้าบางๆ แถมขาดวิ่นจะไม่หนาวได้ยังไงกัน เธอสำรวจใบหน้าของเด็กน้อยที่เริ่มแดง และมีรอยแตกของผิวหนัง ไหนจะมือน้อยๆ ที่บวมช้ำจนแดงนั่นอีก

‘นางเหยานะนางเหยา หล่อนนี่มันช่างใจร้ายจริงๆ’ ซูเหยาอดไม่ได้ที่จะด่าเจ้าของร่างเดิมขึ้นมาอีก

เด็กน้อยที่ได้เห็นหน้าตาของซูเหยาเปลี่ยนไป พวกเขาต่างก็รีบวางช้อนลงอย่างลนลาน

“พวกหนูอิ่มกันแล้วเหรอ โจ๊กยังมีอีกเยอะนะกินให้อิ่ม”        ซูเหยาที่ยังไม่รู้ตัวว่าเผลอทำหน้าน่ากลัวออกมาจึงได้ถามกับเด็กๆ ด้วยความสงสัยที่เห็นเด็กน้อยวางช้อนและตะเกียบ

“พะ..พวกเราอิ่มแล้ว” เด็กทั้งสองตอบออกมาพร้อมกัน       ซูเหยาจึงทำได้แต่พยักหน้ารับอย่างปลงๆ ให้กับอาการของเด็กทั้งสองคน

“เมื่อกินเสร็จแล้วเสี่ยวเฟยพาน้องไปล้างหน้าล้างตานะ  แล้วเข้ามาหาน้าในห้อง น้าจะเอาเสื้อผ้าใหม่ให้เปลี่ยน”      ซูเหยาบอกกับเด็กทั้งสองที่ยังนั่งนิ่งกันอยู่

“พวกเราจะช่วยน้าเหยาเก็บถ้วยชามก่อนครับ/ค่ะ” เด็กน้อยสองคนพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าซูเหยากำลังเก็บสิ่งของบนโต๊ะ

ซูเหยาเมื่อเธอเห็นถึงการกระทำของเด็กสองคนนี้ เธอก็อดที่จะรู้สึกเอ็นดูออกมาไม่ได้ เธอจึงได้ยิ้มออกมา

ในระหว่างที่เธอกำลังมองเด็กสองคนนี้อยู่อย่างชื่นชม เสียงทุบประตูหน้าบ้านก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง

ซูเหยาจึงได้เดินไปเปิดประตูให้กับคนที่ตะโกนแหกปากอยู่ด้านนอก เพราะเขาตะโกนตั้งแต่เธอกับเด็กๆ ยังไม่กินข้าว จนกินข้าวเสร็จแล้วก็ยังตะโกนไม่เลิก

เมื่อเธอเปิดประตูออก คนที่กำลังทุบประตูอยู่ก็ได้ถลามาตามแรงโน้มถ่วง และตอนนี้เธอคนนั้นหน้าก็คะมำลงไปกองอยู่กับพื้นบ้านในสภาพหมดท่าทีเดียว

“แม่สามี มีอะไรเหรอคะถึงได้มาส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายอยู่หน้าบ้านฉันแต่เช้า” ซูเหยาถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

และเธอก็ไม่คิดที่จะเข้าไปช่วยพยุงหญิงชรานางนี้ที่ยังมีแรงมาด่าทอเด็กๆ และทุบประตูบ้านของตนด้วย สิ่งที่เธอทำคือมีเพียงปรายตามองแค่นั้น

“หล่อนเป็นสะใภ้ฉันนะยะ แล้วลูกเลี้ยงของหล่อนไปไหน ไปเรียกให้พวกมันไปเกี่ยวหญ้ามาให้หมูกินได้แล้ว

หล่อนไม่ได้ยินเสียงหมูมันร้องหรอกเหรอ” เสียงแหลมของฉินเจียวพูดขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยวใส่ซูเหยา เมื่อเธอสามารถยืนทรงตัวได้มั่นคง

“เด็กๆ ไม่ว่างค่ะ ฉันจะให้พวกเขาขึ้นเขาไปกับฉัน ส่วนงานบ้านโน้นต่อไปนี้ก็ให้คนบ้านโน้นทำนะคะ อย่าได้ลามมาถึงคนบ้านนี้อีก เพราะเราแยกครัวกินกันตั้งนานแล้ว

ให้เด็กๆ ไปช่วยงานอาหารก็ไม่เคยให้กิน ดังนั้นมาทางไหนเชิญกลับไปทางนั้นค่ะ” ซูเหยาพูดกับแม่สามีของตนอย่างไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกรังแก

“กะแกมันเป็นตัวซวยจริงๆ ฉันไม่น่าให้ลูกชายฉันแต่งแกเข้าบ้านมาเลย งานอะไรก็ไม่เคยหยิบจับ ฉันจะใช้หลานฉันมันเกี่ยวอะไรกับหล่อนยะ” เสียงที่ไม่ยอมแพ้ของขิงแก่เผ็ดร้อนก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“เกี่ยวสิคะ ก็เขาสองคนเป็นลูกของสามีฉัน และตอนนี้ฉันก็ได้ชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยงของเขา ดังนั้นเขาทั้งสองก็ย่อมเป็นลูกของฉันด้วยเหมือนกัน คุณแม่ว่าจริงหรือเปล่าล่ะคะ” ซูเหยาก็ยังคงลอยหน้าลอยตาพูดกับแม่สามีตัวร้ายของตนต่อไป

“กะ..แกฉันจะบอกลูกชายฉันให้หย่ากับแก เพราะแกมันร้าย” ฉินเจียวซึ่งตอนนี้ได้โกรธลูกสะใภ้คนรองจนไฟแทบจะออกจากหัว

ได้ยืนเอานิ้วชี้หน้าลูกสะใภ้นอกคอกของตนพร้อมกับเต้นเร่าๆ ด้วยความขัดใจ เพราะในตอนนี้เธอไม่สามารถเถียงอะไรกับซูเหยาได้แม้เพียงครึ่งคำ

“แม่คะ ฉันว่าเรากลับกันเถอะค่ะ” จิวเหลียนลูกสะใภ้คนโตที่ได้เดินตามมาห่างๆ เมื่อเห็นว่าแม่สามีมีแน้วโน้มว่าจะแพ้ให้กับซูเหยาเธอจึงได้แสดงตัวออกมา

“จะว่าไปพี่สะใภ้ก็น่าจะทำงานบ้างนะคะ เพราะดูจากรูปร่างที่อวบอ้วนเข้าขั้นระยะสุดท้ายแบบนี้ระวังสามีจะไปมีหญิงอื่น

หรือไม่ก็อาจจะมีโรคภัยมาเบียดเบียนเอาได้” ซูเหยาเมื่อเธอหันมาเห็นสะใภ้คนโตเธอจึงพูดแขวะออกมา

เพราะนังลูกสะใภ้คนโตนี่แหละตัวดีที่มักจะหลอกเด็กๆ ไปใช้งานอยู่บ่อยๆ ซึ่งซูเหยาคนก่อนแม้จะรู้เห็นก็ไม่เคยว่าปราม แต่กับเธอนั้นไม่ใช่ เพราะเธอถือคติว่าใครดีมาก็ดีตอบ ใครร้ายมาก็คืนไปเท่าทวี

“นี่น้องสะใภ้ ฉันไม่เคยทำอะไรเธอนะ และรูปร่างอย่างพี่นี่เขาเรียกว่าคนมีอันจะกินอุดมไปด้วยทรัพย์สมบัติต่างหากไม่เหมือนกับน้องสะใภ้ที่พอลมพัดทีก็คงจะปลิวไปตามลมอย่างแน่นอน” จิวเหลียนก็ตอบโต้กลับซูเหยาอย่างไวเช่นเดียวกัน

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็เชิญผู้มีอันจะกินทั้งสองช่วยเดินออกจากบ้านของฉันด้วยนะคะ เพราะฉันจะรีบออกไปข้างนอกค่ะ เชิญ” ซูเหยาได้พูดไล่คนออกมาอย่างไม่ไว้หน้าอีกครั้ง แม้ว่าคนคนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นแม่สามีก็ตาม

เพราะตามนิยายมู่หานเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง เขาใช้ชีวิตในตระกูลนี้มาด้วยความยากลำบาก โดนใช้ทำงานต่างๆสารพัด

แต่ว่าเขายังถือว่าโชคดีที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเข้าป่าลึกที่อยู่ในภูเขา แล้วได้ช่วยคนที่หลบหนีจนชายคนนั้นปลอดภัย ชายคนนั้นในระหว่างรักษาตัวจึงได้สอนหนังสือและความรู้ต่างๆให้กับมู่หานเป็นการตอบแทน

ตามเรื่องในนิยายมู่หานเป็นตัวเอกชายที่ถึงแม้ในอนาคตจะพิการ แต่ว่าเดี๋ยวเขาก็จะได้เจอกับตัวเอกหญิงซึ่งเป็นผู้ที่มองโลกสวย เป็นหมอเข้ามาที่หมู่บ้านแห่งนี้

แล้วได้ลูกๆ ของมู่หานช่วยเหลือจากอันธพาล พวกเด็กๆ ได้พาหมอคนนี้กลับมาบ้าน เมื่อหมอสาวได้มาเห็นสภาพ        มู่หานเธอจึงคิดว่าเขาน่าจะยังรักษาได้ ซึ่งก็เป็นจริงเพราะเธอหาวิธีรักษามู่หานได้สำเร็จ พวกเขาก็ได้เกิดความรักต่อกัน

หากจะถามว่าแล้วซูเหยาในเรื่องไปไหน ก็จะต้องบอกว่าหล่อนหนีไปนะสิ หนีไปคนเดียว โดยนำเงินทั้งหมดของบ้านไปด้วย ซึ่งเงินส่วนนั้นก็เป็นเงินจากคนที่มู่หานช่วยชีวิตไว้ได้มอบให้กับเขา

จากเหตุการณ์ที่มู่หานจะต้องพิการนี่แหละ เพราะคนที่       มู่หานได้ช่วยไว้เป็นหนึ่งในพรานป่าที่ขึ้นเขาไปล่าสัตว์ด้วยกัน แล้วพลาดเกือบจะตกหลุมลึก

แต่ตัวเอกอย่างมู่หานได้เข้าไปช่วยไว้ได้ทัน โดยได้ผลักชายคนนั้นให้รอดพ้นภัยไปได้อย่างหวุดหวิด ทว่าโชคร้ายกลับมาตกที่ตัวเองจึงได้พลาดตกลงไปแทน

ดังนั้นในเมื่อเธอรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เธอก็จะต้องเปลี่ยนแปลงทั้งหมดให้จงได้ ถ้าเธอยังเปลี่ยนไม่ได้ก็คงจะเสียชาติเกิดที่ได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตในร่างนี้อีกครั้ง

“น้าคะ/ครับ พวกเราล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วค่ะ/ครับ” เด็กน้อยทั้งสองค่อยๆ เดินออกมาจากที่ซ่อนเมื่อเห็นว่าย่าและป้าสะใภ้ได้ออกไปจากบ้านของพวกตนแล้ว

เสียงของเด็กน้อยสองคนได้ปลุกให้ซูเหยาได้หลุดออกจากภวังค์ความคิด

“ถ้าอย่างนั้นไปรอน้าในห้องของหนูก่อนนะ เดี๋ยวน้าตามเข้าไป” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยหลังจากปิดประตูบ้านเรียบร้อย

เมื่อคล้อยหลังพวกเด็กๆ ซูเหยาก็ได้เข้าไปในห้องนอนของตน พร้อมกับนึกถึงสิ่งของที่ต้องการที่มีในห้าง

เธอนึกถึงสิ่งของที่จำเป็นโดยใช้เวลาสักพัก และเมื่อรู้สึกตัวจึงเห็นข้าวของกองเป็นภูเขาย่อมๆ อยู่ตรงหน้า

“อุ๊ย! สงสัยช็อปเพลินไปหน่อย แต่ว่าการจับจ่ายโดยไม่เสียเงินนี่มันช่างดีเสียจริง” ซูเหยาได้พูดออกมาอย่างดีใจ

“ใครว่าไม่เสียเงิน การซื้อของท่านแต่ละครั้งได้ถูกหักออกจากเงินฝากที่ท่านเคยสะสมไว้ตอนยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเงินส่วนนั้นระบบก็ได้ทำการดึงเข้ามาไว้ในนี้ด้วย

แต่ท่านไม่ต้องกังวลเพราะเงินของท่านยังมีอีกมากในการเอาไว้ให้ท่านซื้อของเพื่อเป็นการสร้างตัวในยุคนี้” เสียงโมโนโทนของห้างสรรพสินค้าดังขึ้น

ซึ่งตอนนี้ซูเหยาก็ได้แต่บ่นอยู่ในใจกับเจ้าระบบเชิงบังคับขี้งก แต่ก็ยังถือว่าโชคดีอยู่ไม่น้อยที่เธอตัวคนเดียวแต่ก็มีเงินเก็บอยู่พอสมควร

“แต่ว่าพวกเครื่องประดับและทองคำที่ฉันเก็บไว้ได้ตามมาด้วยไหมล่ะ” เธอพูดออกมาอย่างเสียดาย

“ช่างเถอะตอนนี้ไปหาเด็กน้อยผู้น่ารักสองคนนั้นดีกว่า” เธอพูดเองเออเองอีกครั้ง ก่อนที่จะนำสิ่งของ ของเด็กๆ ใส่ลงในกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่แล้วลากไปที่ห้องของเด็กทั้งสองที่ตอนนี้นั่งรอเธออยู่ด้วยความกระวนกระวายใจ

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่หก สามหนุ่มหล่อแห่งเมืองหลวงผู้แตกต่าง

    หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่ห้า สองพี่น้องผู้โดดเดี่ยว2

    ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่ห้า สองพี่น้องผู้โดดเดี่ยว1

    หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่สี่ กลิ่นคาวเลือดก่อเกิดรัก 2

    ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่สี่ กลิ่นคาวเลือดก่อเกิดรัก 1

    ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่สาม แม่คุณจะรับฉันได้จริง ๆ เหรอ 2

    มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status