เด็กทั้งสองที่นั่งรออยู่บนเตียงภายในห้องต่างก็เฝ้ามองไปที่ประตูห้องของตนอย่างใจจดจ่อว่าแม่เลี้ยงของตนจะทำตามที่พูดไว้จริงหรือไม่
“พี่ชายน้าเหยาจะเอาเสื้อผ้ามาให้เราสองคนจริงๆ เหรอ”น้องสาวตัวน้อยถามพี่ชายอย่างไม่แน่ใจ แต่แววตาแฝงไว้ด้วยความคาดหวัง
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” พี่ชายที่แก่กว่าหนึ่งปีพูดออกมาพร้อมกับส่ายหัวให้กับคำถามของน้อง
“เสี่ยวเฟยเปิดประตูห้องให้น้าที” เสียงซูเหยาดังขึ้นจากหน้าประตูในระหว่างที่สองพี่น้องกำลังสนทนากัน
เมื่อเสี่ยวเฟยได้ยินเสียงของแม่เลี้ยง เขาก็รีบกุลีกุจอลงจากเตียงมาเปิดประตูให้กับซูเหยาอย่างรวดเร็ว เพราะเขากลัวว่าถ้าหากว่าทำอะไรช้าเกินไปก็อาจจะโดนตีได้
เมื่อประตูเปิดแล้วเด็กชายตัวน้อยก็มองไปที่ซูเหยาด้วยหน้าตาที่แสดงความตกใจ เพราะเขาเห็นสิ่งของมากมายที่แม่เลี้ยงได้ถืออยู่ในมือ
“นะ..น้าเหยาผะ..ผมช่วยครับ” เด็กน้อยถามออกไปด้วยน้ำเสียงขลาดกลัว
“ได้สิจ๊ะ เสี่ยวเฟยช่วยน้าถือถุงเล็กนี่ก็แล้วกันนะมันไม่ค่อยหนัก” ซูเหยาก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของเด็กน้อยเธอจึงยื่นถุงขนมส่งให้
“น้าเหยาคะ แล้วจะให้หนูช่วยถืออะไรบ้างไหม” เด็กหญิงตัวน้อยที่ได้ลงจากเตียงก็มายืนอยู่ข้างพี่ชายแล้วถามออกมาด้วยเช่นกัน
“เสี่ยวผิงก็ถือถุงนี้แล้วกันเล็กๆ ไม่หนักด้วย” ซูเหยาก็หยิบถุงเล็กอีกถุงส่งให้เด็กหญิง ซึ่งของในถุงนั้นเป็นผ้ามัดผมและที่ติดผมสำหรับเด็กผู้หญิง
เด็กน้อยก็รับไปถือไว้ด้วยความเต็มใจ เมื่อซูเหยาถือของเดินผ่านประตูห้องนอนของเด็กๆ มาแล้ว เธอก็แทบอยากจะด่าพ่อและวิญญาณเจ้าของร่างเดิมอีกครั้ง
‘พ่อของเด็กนี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ แม้จะทำงานก็เถอะ แต่ความเอาใจใส่ลูกๆ ไม่มีบ้างเลยหรือไงกัน ให้ลูกนอนที่นอนมีผ้าเก่าๆ ปูแค่ผืนเดียว
นางเหยาคนเดิมก็ช่างใจร้ายกับเด็กเหลือเกิน ทั้งที่ตัวเองถูกเลี้ยงด้วยความรักมาแท้ๆ ทำไมหล่อนถึงไม่มีจิตใจเผื่อแผ่ให้เด็กตัวเล็กๆ เสียบ้าง’ ซูเหยาสบถอยู่ในใจเมื่อเห็นสภาพห้องและเตียงของเด็กน้อย
ตอนนี้มู่เฟยและมู่ผิงต่างก็พากันยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นไม่มีผิด พวกเขาไม่กล้าเดินหน้าและไม่กล้าส่งเสียง เนื่องจากหวาดกลัวสีหน้าของซูเหยาในยามนี้
“เสี่ยวเฟย” ซูเหยาเรียกเด็กชายด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดังอย่างลืมตัว
จึงทำเสี่ยวเฟยผู้น่าสงสารที่ถูกเรียกชื่อถึงกับสะดุ้งตกใจ จนปล่อยถุงที่เขาถืออยู่ลงสู่พื้นดินด้านล่างภายในห้องเสียงดัง ทำให้ของที่อยู่ในถุงนั้นได้กระจายออกมาเกลื่อนกลาดรอบบริเวณปากถุง
ซูเหยาเมื่อได้ยินเสียงของหล่น เธอจึงได้เอี้ยวตัวหันมามองด้วยความสงสัย และก็ต้องตกใจกับสภาพของเสี่ยวเฟยที่ยืนตัวสั่นใบหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัวจนมีน้ำตาไหลออกมา
ผิงตัวน้อยเมื่อเห็นสภาพพี่ชาย เธอก็ยืนตัวสั่นพร้อมกับกำถุงที่อยู่ในมือแน่น เพราะเธอกลัวว่าจะทำของตกเหมือนพี่ชายและอาจจะทำให้ซูเหยาโกรธ
ซูเหยาไม่ได้สนใจสิ่งของเหล่านั้น เธอรีบวางของในมือลงอย่างลวกๆ บนเตียง พร้อมกับที่เธอก็รีบเข้ามาดูอาการของเสี่ยวเฟยที่ตอนนี้สภาพดูแย่มาก
“เสี่ยวเฟย...เสี่ยวเฟย” ซูเหยาร้องเรียกเด็กชายพร้อมกับที่เธอกำลังพยายามจับบ่าของเด็กน้อยเพื่อที่จะเขย่าให้รู้สึกตัว
“อย่ะ..อย่าตีผมฮือๆ ผมขอโทษ ขอโทษ” เสี่ยวเฟยรีบยกมือขึ้นปัดป้องมือของซูเหยาพร้อมกับถอยหลังแล้วตะโกนออกมาอย่างหลับหูหลับตา
ซูเหยาเมื่อเธอเห็นอาการของเด็กน้อยเป็นแบบนี้เธอก็รู้สึกสงสารจับใจ จึงได้คว้าตัวเด็กน้อยเข้ามากอดพร้อมกับปลอบประโลมเด็กชายผู้น่าสงสารคนนี้
“ไม่ร้องนะเด็กดี ต่อไปนี้จะไม่มีใครทำอะไรหนูได้ แม้แต่น้าเองก็จะไม่ตีหนูโดยไม่มีเหตุผลอีกแล้วเงียบนะคะ” ซูเหยาน้ำตาคลอในระหว่างที่ตัวเองกอดและพูดปลอบเด็กชาย
เสี่ยวผิงตัวน้อยเมื่อเห็นสภาพพี่ชายร้องไห้ เธอเองก็ร้องไห้ตามพร้อมกับที่ตัวเองก็ยังยืนตัวสั่นอยู่โดยไม่กระดุกกระดิกอีกทั้งยังกำสิ่งที่ถือไว้แน่นขึ้นไปอีกอย่างลืมตัว
โดยที่เธอไม่ได้รู้สึกเจ็บจากการที่เล็บยาวของตนได้แทงลงไปในเนื้อจนมีเลือดซึมออกมา
เสี่ยวเฟยที่อยู่ในอ้อมกอดของซูเหยาที่ตอนแรกร่างกายของเขายังคงสั่นเทาด้วยความกลัว แต่เมื่อเขาไม่ได้ถูกแม่เลี้ยงตีหรือดุด่าว่ากล่าวเหมือนที่ผ่านมา ร่างกายของเขาก็รู้สึกผ่อนคลายลงมากขึ้น
และตอนนี้เขาก็รู้สึกอบอุ่นมากด้วยที่ได้รับอ้อมกอดแบบนี้ เขารู้สึกว่ามันช่างเป็นอะไรที่อบอุ่นและทำให้เขารู้สึกปลอดภัย เนื่องจากตั้งแต่แม่ของเขาตายก็ไม่เคยมีใครมากอดพวกเขาอีกเลย
ซูเหยาเมื่อรับรู้ว่าร่างกายของเด็กชายได้ผ่อนคลายลงแล้วเธอก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก จึงได้คลายอ้อมกอดของตัวเองออก และจับไหล่ของเด็กชายด้วยมือทั้งสองข้างอย่างเบามือของตนให้ได้มากที่สุด
“เสี่ยวเฟยเป็นอะไรบอกน้าได้ไหมครับ” ซูเหยาถามกับเด็กชายเมื่อได้สบตากันแล้ว
“ผะ..ผม”เด็กชายตัวน้อยที่ตอนนี้ดวงตายังแดงอยู่จากการร้องไห้ก็เริ่มที่จะมีน้ำตาเอ่อออกมาอีกครั้ง
“ไม่ต้องกลัว น้าไม่ได้จะทำโทษเสี่ยวเฟย” ซูเหยาเมื่อเห็นอาการของเด็กน้อยเธอจึงพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น
“ผมขอโทษครับ ผมตกใจที่น้าเหยาเรียกผมเสียงดัง” เด็กชายกลั้นใจพูดออกมารวดเดียวจนจบ
“น้าขอโทษ ต่อไปนี้น้าจะพยายามไม่ลืมตัวและเรียกหนูเสียงดังอีก เราดีกันแล้วนะ” ซูเหยาก็ยังค่อยๆ พูดออกมาอย่างใจเย็นพร้อมกับยื่นนิ้วก้อยของตนออกมาด้านหน้าเด็กชาย
“น้าเหยาทำอะไรครับ” เด็กชายตัวน้อยเอียงคออย่างน่ารักทั้งๆ ที่น้ำตายังเปียกชุ่ม ถามออกมาด้วยความสงสัย
‘น่ารักเกินไปแล้ว นางเหยาแกมันใจยักษ์ทำกับเด็กน้อยน่ารักแบบนี้ได้ยังไงย่ะ โชคดีนะที่ฉันไม่เจอวิญญาณของหล่อน’ ตอนนี้ซูเหยาตกอยู่ในความคิดของตนอีกครั้ง
“น้าเหยา..น้าเหยาครับ” เด็กชายเรียกแม่เลี้ยงเสียงดังด้วยความตกใจเมื่อเห็นอาการนิ่งเงียบของซูเหยา
“อะ..อ๋อ นิ้วก้อยหมายถึงดีกัน เสี่ยวเฟยต้องเอานิ้วก้อยของหนูมาเกี่ยวกับน้าแบบนี้ หมายถึงว่าเราดีกันแล้วนะ” ซูเหยาพูดพร้อมกับจับนิ้วก้อยของเด็กชายมาเกี่ยวนิ้วก้อยเรียวสวยของตัวเอง
“ครับ ผมจะจำไว้” เมื่อเด็กชายพูดจบเขาก็ยิ้มกว้างออกมา ซูเหยาเองก็ยิ้มให้กับลูกเลี้ยงตัวน้อยของตนเช่นกัน เมื่อทั้งสองแยกออกจากกันแล้ว มู่เฟยก็ได้เห็นสภาพของน้องสาวเขาถึงกับลนลานวิ่งเข้ามาหาน้องน้อยด้วยความตกใจ
ซูเหยาเมื่อเห็นอาการของมู่เฟยเธอจึงได้หันกลับไปมองด้านหลัง ซึ่งเธอเองก็ถึงกับยืนช็อคไปแล้วเหมือนกัน
‘นางเหยา’ เธอตะโกนเรียกจิกร่างวิญญาณของเจ้าของร่างเดิมอย่างโมโหในใจ
“เสี่ยวเฟยหนูหลบน้าก่อน น้าจะดูผิงน้อยเอง” ซูเหยารีบบอกเสี่ยวเฟยที่ยืนขวางหน้าตัวเองอยู่
“ผิงน้อยปล่อยถุงนี่ก่อนนะคะ ตอนนี้มือของหนูมีเลือดเต็มเลย” ซูเหยาพูดกับเสี่ยวผิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่ตก.. ไม่ตก” ผิงน้อยพูดสองคำนี้ ย้ำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างคนขวัญเสีย
“ไม่ตกค่ะ หนูไม่ต้องกลัวนะ น้าไม่ตีหนูหรอก อย่ากลัวนะคะ” ซูเหยาเมื่อแกะมือของผิงน้อยได้แล้ว เธอก็กอดเด็กน้อยพร้อมพูดปลอบโยน
“ผิงผิงน้องไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวพี่จะทายาให้ พี่จะเป่าเพี้ยงๆ ให้ด้วย” มู่เฟยพี่ชายตัวน้อยก็พูดปลอบน้องสาวพร้อมจับมือน้องขึ้นมาเป่า
“อือ” ตอนนี้ผิงน้อยเริ่มที่จะพอรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้วเล็กน้อย
“เสี่ยวผิง เสี่ยวผิงหนูไม่เป็นอะไรนะ ไม่ต้องกลัวไม่มีใครโดนทำโทษทั้งนั้น ไม่ต้องกลัวนะ” ซูเหยายังคงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับเจ้าตัวน้อย
เธอกอดและเรียกชื่อเด็กน้อยซ้ำๆ และในที่สุดสวรรค์ก็คงจะเห็นความจริงใจของเธอขึ้นมาบ้าง เนื่องจากตอนนี้เด็กน้อยได้มีการตอบสนองขึ้นมาแล้ว
“น้าเหยา พี่ชาย” ผิงน้อยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ผิงน้อยหนูเป็นยังไงบ้าง รู้สึกเจ็บตรงไหนนอกจากมืออีกบอกน้า น้าจะพาไปหาหมอ” ซูเหยาเมื่อเธอเห็นว่าลูกเลี้ยงมีอาการปกติแล้ว เธอจึงได้ถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บมือ” เจ้าตัวเล็กตอบออกมาเบาๆ พร้อมกับนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด
"เสี่ยวเฟยหนูไปเอาน้ำสะอาดใส่อ่างแล้วยกมาให้น้าที น้าจะทำแผลให้ผิงน้อย” ซูเหยาหันมาพูดกับเด็กชายที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“ครับ” เสี่ยวเฟยรีบขานรับพร้อมกับที่ตัวเขาก็วิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวน้าจะอุ้มผิงน้อยไปวางบนเตียงนะ” ซูเหยาบอกกับเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อืม” เด็กหญิงตัวน้อยขานรับคำเบาๆ พร้อมใบหน้าเหยเกจากความเจ็บ ซึ่งตอนนี้เริ่มมีน้ำตาคลอที่กระบอกตาอย่างน่าสงสาร ซูเหยาเมื่อเห็นอาการของเด็กหญิงตัวน้อยเธอก็รู้สึกสงสารจับใจ
เพราะถ้าเป็นเด็กคนอื่นที่ได้รับบาดเจ็บแบบนี้คงจะร้องไห้โยเยไปแล้ว แต่ว่าเด็กคนนี้กับไม่ปริเสียงออกมาให้ได้ยินแม้เพียงสักเล็กน้อยก็ไม่มี ซึ่งมันย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับเด็กเล็กอย่างแน่นอน
“ผิงน้อยถ้าหนูเจ็บหนูจะร้องไห้ออกมาดังๆ ก็ได้นะ มันจะดีกับตัวหนูเอง” ซูเหยาพูดกับเด็กน้อยเมื่อเธอได้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับได้อุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมานั่งบนเตียง
“ถ้าหนูร้องไห้ออกมาเสียงดัง หนูจะไม่โดนตีเหรอคะ” ผิงน้อยเมื่อนั่งดีแล้วถามแม่เลี้ยงออกมาด้วยความสงสัย
“หนูไม่ได้ร้องแบบไม่มีเหตุผลนี่นะ การอดทนมันก็เป็นเรื่องดีแต่ถ้าเราเจ็บเราก็ต้องร้องหรือพูดออกมา ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีใครรู้เข้าใจไหม”
มู่เฟยตอนนี้เขาได้ใช้แขนผอมบางเล็กๆ พยายามยกอ่างน้ำเข้ามาด้วยความระมัดระวัง
“น้าเหยาน้ำครับ” มู่เฟยได้เรียกซูเหยาเมื่อเขาเดินเข้ามาถึงข้างเตียง
“ขอบใจครับ แต่คราวหลังหนูไม่ต้องใส่น้ำมาเยอะนะ เอาที่แค่หนูถือไหวก็พอ และอะไรที่มันหนักเกินตัวเราก็อย่าไปทำรู้หรือเปล่า” ซูเหยาพูดกับเด็กชายเมื่อเธอเห็นน้ำในอ่างที่มีจนเกือบเต็ม
“แล้วผมจะไม่โดนลงโทษหรือครับถ้าทำแบบนั้น” พี่ชายก็ถามคำถามที่เหมือนกับน้องสาวออกมาไม่มีผิด
“น้ารับรองได้ว่าถ้าพวกหนูเป็นเด็กดีไม่ได้ทำความผิดโดยไม่มีเหตุผล พวกหนูจะไม่โดนลงโทษอย่างแน่นอน และต่อไปนี้ถ้ามีใครมาใช้งานให้มาบอกน้าก่อนทุกครั้ง
น้าจะดูว่าพวกหนูสามารถช่วยได้หรือไม่ แล้วนับจากนี้ไปถ้าใครมารังแกหนูสองคนโดยไม่มีเหตุผลก็มาบอกน้า เดี๋ยวน้าจะไปจัดการให้เอง” ซูเหยาพูดกับเด็กสองคนส่วนมือก็ทำความสะอาดแผลให้กับผิงน้อยไปด้วย
โชคดีนะที่ในห้างของเธอมีร้านขายยาทุกชนิด แม้กระทั่งสมุนไพร ‘ใช่แล้วสมุนไพรที่นี่จะมีร้านรับซื้อไหมนะ คงจะต้องถามพ่อของเด็กๆ เสียแล้ว’ เธอคิดพร้อมกับดูบาดแผลของเจ้าตัวน้อยไปด้วย
“ดูท่าแล้ววันนี้สองคนจะต้องอยู่บ้านแล้วล่ะ เพราะหากผิงน้อยขึ้นเขาในสภาพนี้ไม่ดีแน่ เดี๋ยวจะมีไข้เอาได้” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อย
“เสี่ยวเฟย หนูก็ขึ้นมานั่งบนเตียงด้วย น้าจะตัดเล็บที่ยาวและสกปรกให้ พอตัดเล็บเสร็จน้าจะพาพวกหนูไปสระผมแล้วก็เช็ดตัว เพราะจะให้อาบน้ำอากาศก็เย็นเกินไป”
เมื่อเด็กชายได้ยินคำพูดของซูเหยาเขาก็รีบปีนขึ้นเก้าอี้ตัวเล็กด้านล่างขึ้นมานั่งด้านข้างน้องสาวอย่างเชื่อฟัง ตอนนี้สองพี่น้องรับรู้อย่างแน่ชัดแล้วว่าน้าเหยาจะไม่ตีพวกเขาเหมือนอย่างที่ผ่านๆ มาอย่างแน่นอน
ซูเหยาได้ใช้กรรไกรตัดเล็บที่เหมาะสำหรับเด็กน้อยทั้งสอง เพื่อตัดเล็บให้กับทั้งคู่ โดยเริ่มจากผิงน้อยก่อนเป็นคนแรก ผิงน้อยกับเสี่ยวเฟยได้มองการกระทำของซูเหยาอย่างตั้งใจเพราะเขารู้สึกแปลกใจเจ้าสิ่งเล็กๆ ที่อยู่ในมือของแม่เลี้ยง
“มันคืออะไรหรือคะ/ครับ” สองพี่น้องถามซูเหยาออกมาด้วยความอยากรู้
“เขาเรียกว่ากรรไกรตัดเล็บจ้ะ เอาไว้ใช้สำหรับตัดเล็บทั้งเล็บมือและเล็บเท้า เหมือนที่น้าตัดให้หนูยังไงล่ะคะ” ซูเหยาตอบเด็กน้อยพร้อมกับชูกรรไกรตัดเล็บให้เด็กน้อยทั้งสองดู
“ผมใช้เจ้านี่ตัดเล็บเองได้ไหมครับ” มู่เฟยถามกับซูเหยาอย่างคาดหวังในคำตอบ
“ได้สิน้าจะสอนให้นะ ตอนนี้น้าขอตัดให้ผิงน้อยก่อน” ซูเหยารับปากมู่เฟย พร้อมกับที่เธอก็เริ่มตัดเล็บเท้าให้เด็กน้อยด้วยความตั้งใจ เพราะเธอกลัวจะพลาดโดนเนื้อของเจ้าตัวเล็กเอาได้
ในระหว่างที่ซูเหยาตัดเล็บให้เด็กหญิงอยู่ มู่เฟยก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้เก็บสิ่งของที่ทำตก เขาจึงได้ลงจากเตียงไปเก็บสิ่งของเหล่านั้นขึ้นมาเช็ดกับเสื้อตัวเองที่ละชิ้น แล้วก็ใส่กลับลงไปในถุงตามเดิม
“เสี่ยวเฟยคราวหลังหนูต้องไปหาผ้าอย่างอื่นที่ไม่ใช้แล้วมาเช็ดสิ่งของนะครับ ห้ามใช้เสื้อที่ใส่อยู่เช็ด เพราะจะทำให้เสื้อของเราสกปรก และมันอาจจะทำให้เราป่วยได้จากสิ่งที่เรามองไม่เห็น ที่เรียกว่าเชื้อโรคได้” ซูเหยาที่ทำการตัดเล็บให้เจ้าตัวน้อยเสร็จแล้วพูดออกมา
“เชื้อโรคคืออะไรหรือครับ/คะ” ครั้งนี้เด็กน้อยสองคนก็ทำตัวเป็นเจ้าหนูจำไมอีกครั้งด้วยความสงสัยปนความอยากรู้
ซูเหยาจึงได้อธิบายให้เด็กน้อยทั้งสองฟัง โดยที่ทั้งสองก็ฟังอย่างตั้งใจพร้อมกับพยักหน้ารับ บางครั้งก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก บางครั้งก็ทำหน้าซีดเผือดเพราะตกใจ
“เข้าใจกันหรือยังคะว่าต่อไปนี้พวกหนูจะต้องทำยังไง” ซูเหยาถามกับเด็กๆ เมื่อเธอพูดจบลง
“เข้าใจแล้วครับ/ค่ะ” ทั้งสองตอบรับออกมาเสียงดัง
“เอาล่ะถ้าเก็บของเสร็จแล้ว เสี่ยวเฟยก็ขึ้นมานั่งได้แล้วจะได้มาตัดเล็บ” ซูเหยาเรียกเด็กชายที่กำลังวางถุงใส่ของบนเตียง ก่อนที่ตัวเขาจะปีนเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งข้างน้องสาว
“ทำแบบนี้นะคะ และต้องค่อยๆ เพราะถ้าตัดลึกเกินไปมันจะไปงับเอาหนังของเรา และจะทำให้เรามีเลือดออกได้” ซูเหยาค่อยๆ สอนเด็กชายให้ใช้กรรไกรตัดเล็บ
ตอนนี้มู่เฟยเขาได้ใช้กรรไกรตัดเล็บทำการตัดเล็บของตัวเองแล้ว เขาค่อยๆ ทำตามที่ซูเหยาสอนอย่างตั้งใจ
“โอ้ย” เด็กชายร้องขึ้น ทำให้ซูเหยาที่กำลังเตรียมผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าให้เด็กทั้งสองอยู่ถึงกับตกใจ
“พี่ชายเลือดออก” ผิงน้อยที่ก้มมองนิ้วที่มู่เฟยตัดค้างไว้ร้องขึ้นมาเสียงดัง
“ไม่เป็นไรแค่นี้เองเดี๋ยวก็หาย น้าจะทำแผลและตัดที่เหลือให้เอง ครั้งต่อไปหนูค่อยหัดตัดใหม่นะ” ซูเหยารีบมาดูแผลให้กับเสี่ยวเฟยที่นั่งน้ำตาคลอจากความเจ็บ
“เพี้ยงๆ เดี๋ยวก็หายค่ะ” ผิงน้อยก็เข้ามาเป่าแผลให้พี่ชายเหมือนอย่างที่พี่ชายเคยทำให้ตัวเอง ซึ่งซูเหยาเมื่อเห็นภาพนี้ก็ถึงกับยิ้มออกมาให้กับความรักของทั้งสองคน
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว