หลังจากที่ซูเหยาตัดเล็บให้ทั้งสองคนเสร็จ เธอก็ได้หาผ้าเก่าๆ มาโกยเอาเศษเล็บที่กองไว้ใส่ใบไม้ใบใหญ่ที่เสี่ยวเฟยได้ไปหามาจากด้านนอก แล้วให้เด็กชายเอาไปทิ้งไว้ที่โคนต้นไม้ เพราะที่นี่ไม่มีถังขยะเหมือนกับโลกที่เธอจากมา
ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าคนที่นี่เขาจัดการกับเศษขยะกันยังไง ส่วนห้องน้ำก็เป็นส้วมหลุมที่อยู่ห่างไกลจากบ้าน เพราะเธอเพิ่งจะไปเข้ามา โดยที่กลิ่นมันช่างสุดจะทานทน
เมื่อเสี่ยวเฟยเข้ามา เธอก็ได้เข้าไปต้มน้ำร้อนในครัว โดยมีผิงน้อยที่ถูกทำแผลที่มือเดินตามเธอมาด้วย
“พวกหนูสองคนรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวน้ามา” ซูเหยาบอกกับเด็กน้อยเพราะเธอตั้งใจจะเข้าไปจัดการเตียงของเด็กๆและจะเอาเครื่องนอนออกมาด้วย
พอเธอกลับเข้ามาในห้องของเด็กๆ อีกครั้ง เธอก็ได้รื้อผ้าที่ปูทับหญ้าแห้งเก่าๆ อยู่ออก และจับสิ่งที่เธอรื้อออกยัดใส่ถุงขยะที่เธอเตรียมไว้
ตอนนี้ซูเหยาถึงกับจามออกมาอย่างแรงจากความฉุนและฝุ่นละอองที่ปลิวไสวผสมกับหญ้าแห้ง เธอเรียกอุปกรณ์ทำความสะอาดทุกอย่างออกมาอย่างมากมาย รวมทั้งน้ำยาทำความสะอาดและฆ่าเชื้อด้วย
ในระหว่างที่เธอกำลังทำความสะอาดอยู่ในห้อง ด้านนอกที่สองพี่น้องตัวเล็กนั่งอยู่ เด็กน้อยสองพี่น้องก็เชื่อฟังแม่เลี้ยงของตนเป็นอย่างดี โดยที่พวกเขาไม่ได้ขยับตัวไปไหนตามที่ซูเหยาต้องการ จนกระทั่งพวกเขารู้สึกว่าแม่เลี้ยงของตนหายไปนาน
“พี่ชายน้าเหยาทำไมยังไม่มาอีก พวกเราไปดูได้หรือเปล่า”ผิงน้อยถามพี่ชายเนื่องจากเธอเป็นห่วงน้าเหยาคนใหม่คนนี้
“แต่ว่าน้าเหยาให้เรารอที่นี่นะ เราลองรอกันอีกหน่อยเถอะ”พี่ชายที่ไม่อยากขัดคำสั่ง พูดออกมาอย่างลังเล
ซูเหยาใช้เวลาในการจัดห้องของเด็กทั้งสองอยู่สักพัก จนเธอเห็นว่าทุกอย่างสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบดีแล้ว จึงได้นำของที่ต้องการทิ้งเก็บเข้าไปในมิติรอเอาไว้ก่อน เธอคิดว่าค่อยนำไปฝั่งหรือเผาทีหลัง
รวมทั้งอุปกรณ์ทำความสะอาดทั้งหลายที่เธอซื้อออกมาเพื่อใช้ทำความสะอาดก็ถูกเก็บเข้าไปในมิติด้วย เพื่อที่จะได้นำออกมาใช้ได้ในภายหลัง ซึ่งการเก็บนี้เธอก็เพิ่งรับรู้ได้ด้วยความบังเอิญ เพราะเธอเผลอพูดว่าเก็บเมื่อพูดจบของชิ้นนั้นก็หายเข้าไปในมิติจริงๆ
แต่เจ้าเสียงโมโนโทนก็ดังขึ้นด้วยถ้อยคำที่ว่าเก็บเข้ามาได้แต่ไม่คืนเงิน เพราะได้ทำการใช้สินค้านั้นไปแล้ว เธอถึงกับกรอกตามองบนเพราะเธอก็ไม่ได้อยากจะได้เงินคืนเสียหน่อย เพราะไหนๆ ก็ซื้อมาแล้วก็เอาไว้ใช้ประโยชน์ยาวๆ ไปเลยจะดีกว่าไหม
เมื่อเธอออกมาจากห้องของเด็กๆ เธอก็รีบเดินไปดูน้ำที่ได้ต้มไว้ในห้องครัว ก็เห็นเด็กน้อยนั่งกันอย่างกระสับกระส่าย
“พวกหนูเป็นอะไร ทำไมไม่นั่งกันให้ดีๆ ล่ะ” ซูเหยาถามด้วยความอยากรู้
“น้าเหยามาแล้ว” สองพี่น้องร้องขึ้นมาพร้อมๆ กันด้วยความดีใจ พร้อมกับวิ่งเข้ามาหาเธอ แต่เด็กทั้งสองก็ยังทิ้งระยะห่างอยู่เล็กน้อย
“เอาล่ะเรามาสระผมกันเถอะ” ซูเหยาพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มออกมาเมื่อเห็นอาการของเด็กน้อยที่มีต่อตน
ซูเหยาได้ผสมน้ำลงในอ่างเมื่อเธอเห็นว่าน้ำพอดีแล้วเธอจึงได้ลงมือสระผมให้คนน้องก่อน โดยยาสระผมเด็กที่เธอนำออกมาแม้เด็กน้อยจะสงสัยแต่ว่าพวกเขาก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
เพราะตอนนี้พวกเขาเชื่อกันแล้วว่าน้าเหยาคนนี้ต้องเป็นนางฟ้าเข้ามาอยู่ในร่างน้าเหยาคนเดิมตามคนที่เรียกตนเองว่าแม่ในฝันมาบอกเขากับน้องอย่างแน่นอน
เพราะสิ่งของแปลกๆ และการกระทำของน้าเหยาคนนี้นั้นแตกต่างจากคนเดิมอย่างสิ้นเชิง และเขากับน้องในตอนนี้ก็ได้รับรู้แล้วว่าความสุขนั้นเป็นยังไง
“เสี่ยวเฟยมานี่เร็ว” ซูเหยากวักมือเรียกคนเป็นพี่ชายมาสระผมบ้าง เพราะเจ้าตัวเล็กที่สระเสร็จแล้วก็มายืนเช็ดผมข้างเธอในตอนนี้
จากน้ำที่เธอได้ต้มไว้จนเต็มหม้อใบใหญ่ที่เธอได้เรียกออกมานั้นน้ำเหลือไม่มากแล้ว เพราะผมของเด็กสองคนนี้สกปรกและดำมาก จนต้องสระถึงหกเจ็ดน้ำเลยทีเดียว ส่วนยาสระผมเด็กก็แทบจะหมดขวดเหมือนกัน เนื่องจากผมที่ยาวมากๆ ของเด็กน้อย
“ต่อไปนี้ทั้งสองคนจะต้องสระผมให้บ่อยขึ้นเข้าใจไหม” ซูเหยากล่าวกับเด็กน้อยที่กำลังใช้ผ้าสลับกันเช็ดผมของตัวเองอยู่
“เอาล่ะพวกหนูเข้าห้องไปก่อน น้าจะไปเทน้ำทิ้งแล้วจะเตรียมข้าวกลางวันไว้ให้ เพราะน้าจะเข้าป่า” ซูเหยาบอกกับพี่น้องที่ได้หันมองเธอเป็นตาเดียว
“ผม/หนูไปด้วย” เด็กทั้งสองบอกออกมาอย่างรีบร้อน
“ไม่ได้หรอกเพราะมือของผิงน้อยบาดเจ็บ หากเข้าป่าไปอาจจะไปถูกเชื้อโรคในป่าได้ เอาไว้เราค่อยไปกันวันหลังนะ”ซูเหยาเอ่ยปฏิเสธออกมาพร้อมอธิบายเหตุผล
“อืม” เด็กน้อยทั้งสองพยักหน้าพร้อมกับทำสีหน้าสลดลงแล้วก็พากันเดินเข้าห้องนอนของตน
“พี่ชายห้องของเรามีตู้ด้วย ที่นอนก็ใหม่” มู่ผิงพูดออกมาอย่างตื่นเต้นที่เธอได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของห้องที่ตนนอนกับพี่ชาย
“น้าเหยาต้องเป็นนางฟ้าแน่ๆ ใช่ไหมผิงผิง” มู่เฟยพูดกับน้องสาวออกมาอย่างดีใจ พร้อมกับที่เด็กน้อยสองคนก็พากันกอดคอร้องไห้
ทั้งสองร้องไห้กันอยู่สักพัก ก็พยายามปรับอารมณ์ของตัวเองแล้วก็เปิดตู้ไม้ใบขนาดกลางที่อยู่ด้านข้างพวกเขา ก็เห็นเสื้อผ้าใหม่อยู่หลายตัว ที่ได้แยกฝั่งเอาไว้ว่าของใครเป็นของใคร
มู่เฟยและมู่ผิงก็เลยหยิบเสื้อผ้าเหล่านั้นมาใส่ และเขาก็ได้ลองเปิดตู้เล็กด้านข้างก็เห็นเป็นรองเท้าที่มีขนาดเท่ากับพวกเขาทั้งสองเช่นกัน ตอนนี้พวกเขาก็มีน้ำตาไหลออกมาด้วยความดีใจอีกครั้ง
“พี่ชายแล้วน้าเหยาคนนี้จะอยู่กับพวกเราตลอดไหม” ผิงผิงยังคงถามพี่ในเรื่องที่ตนสงสัย เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเช่นนี้มันเหมือนเป็นความฝันที่เธอกลัวว่าสักวันมันจะจบลง
“พี่ก็ไม่รู้ แต่พี่คิดว่าถ้าเราเป็นเด็กดีเชื่อฟังน้าเหยาก็คงจะไม่ทิ้งพวกเราไปแน่ๆ” พี่ชายพูดพร้อมกับลูบหัวน้องสาวอย่างปลอบโยน
ซูเหยาที่ยืนฟังอยู่นานเธอก็คิดว่าเด็กสองคนนี้ช่างฉลาดเสียจริง เพราะถึงแม้ว่าจะเห็นของแปลกหลายอย่างก็ไม่ถาม อีกทั้งยังคิดว่าเธอเป็นนางฟ้า
แต่ว่าการที่เด็กๆ คิดกันแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะจะยอมให้เธอทนเห็นเด็กๆ อดด้วยนะเหรอ ขอบอกเลยว่าเหยาไม่ทนนะคะ เหยาทนไม่ได้
เพราะมีให้กินก็ต้องกินค่ะ มีให้ใช้ก็ต้องใช้ ไหนยังจะต้องหาเงินมาสร้างบ้านที่ใกล้จะพังมิพังหลังนี้อีก แต่ว่าก่อนสร้างบ้านใหม่หาทางแยกบ้านให้ได้ก่อนดีกว่า คิดแล้วก็เพลียเหมือนกันแต่ก็นะ มาแล้วจงอยู่ไปและก็ทำให้ดีเท่านั้นพอ ซูเหยาคิดขึ้นมาอย่างปลงๆ
“เอาล่ะเด็กๆ แต่งตัวกันให้เสร็จเร็วเข้า เดี๋ยวน้าจะมัดผมให้ทั้งสองคน ส่วนของที่หนูๆ เห็นตอนนี้ก็เก็บเป็นความลับเอาไว้นะ เพราะบางคนที่คิดไม่ดีกับเราเขาอาจจะมาทำร้ายเราเอาได้เข้าใจไหม” ซูเหยาพูดขึ้นกับเด็กน้อยที่ยืนคุยกันอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า
“พวกเราสัญญาว่าจะไม่เล่าให้ใครฟังอย่างแน่นอน” มู่เฟยพูดขึ้นอย่างหนักแน่นโดยมีมู่ผิงพยักหน้ารับอยู่ด้านข้าง
“ดีมาก เสี่ยวเฟยมานั่งที่เก้าอี้ตัวนี้เร็วเข้า” ซูเหยากวักมือเรียกเด็กชายให้มานั่งเก้าอี้ที่เธอได้นำออกมาก่อนหน้า และเธอก็จับผมเด็กชายดูเมื่อเห็นว่ายังหมาด เธอก็เช็ดผมให้เด็กชายอีกครั้ง
‘เฮ้อ! คิดถึงไดร์เป่าผมจัง’ ซูเหยาคิดในใจ เธอเช็ดผมให้เด็กชายไปเรื่อยๆ ส่วนเสี่ยวผิงที่นั่งอยู่ข้างกันก็ค่อยๆ เช็ดผมตัวเองรอ
“เอาล่ะผมของเสี่ยวเฟยเรียบร้อยแล้ว” ซูเหยาพูดขึ้นเมื่อเธอมัดผมของเด็กชายเกล้าขึ้นไว้กลางหัว พร้อมกับใช้ผ้ามัดผมผูกไว้ให้อย่างเรียบร้อยเหมือนกับที่เธอเห็นตามซีรี่ส์ที่เคยดู
“เสี่ยวผิงตาหนูแล้ว มานี่เร็ว” ซูเหยาเมื่อพอใจกับผลงานของคนพี่แล้วเธอก็เรียกผิงตัวน้อยมาหา และให้นั่งต่อจากที่เสี่ยวเฟยนั่งเมื่อสักครู่
“ผมของผิงน้อยแห้งแล้ว เก่งมากที่เช็ดผมเองเป็น เด็กดีแบบนี้น้ามีขนมให้ด้วย” ซูเหยาพูดพร้อมกับหยิบขนมปังส่งให้เด็กน้อยสองชิ้น
“หนูแบ่งให้พี่ชายด้วยได้ไหมคะ พี่ชายก็เป็นเด็กดีเหมือนกัน” ผิงน้อยถามออกมาอย่างใสซื่อ
“ได้อยู่แล้ว เพราะของที่น้าให้แล้วก็ถือว่าเป็นของหนู หนูจะทำยังไงก็ได้ แต่ว่าต้องคิดให้ดีก่อน” ซูเหยากล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม
ที่เธอหยิบออกมาสองชิ้นก็เพื่อจะดูว่าเด็กน้อยจะทำยังไงและเด็กหญิงก็ไม่ทำให้เธอรู้สึกผิดหวังเลย
“ผมของผิงน้อยก็เสร็จแล้วเหมือนกัน เป็นยังไงชอบไหม” ซูเหยาถามกับเด็กน้อยเมื่อเธอได้มองที่กระจกด้านหน้า มันช่างเป็นกระจกที่สะท้อนภาพออกมาได้ชัดเจนมาก
“ชอบค่ะ ขอบคุณนะคะ” เด็กน้อยมองตัวเองในกระจกพร้อมกับยิ้มออกมา
ตอนนี้ซูเหยาก็ได้เห็นหน้าตาตัวเองชัดเจนแล้ว หน้าตาของร่างนี้เป็นหน้าตาที่เหมือนกับเธอตอนอายุสิบแปดเหมือนกันไม่มีผิด คิ้วสวยได้รูป จมูกโด่งรั้นนิดๆ ปากกระจับอมชมพู
ดวงตาเรียวยาวแววตาสดใส แต่ถ้าหากเธอทำหน้านิ่งๆ ใบหน้านี้ก็ติดออกจะดูดุเล็กน้อย แต่ถ้าได้แย้มยิ้มก็ทำให้คนลุ่มหลงได้
‘เอ๋แล้วทำไมชาติก่อนฉันถึงไม่เคยมีแฟนกันล่ะ’ หน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วสักหน่อย เธอคิดไร้สาระขึ้นมาอีกครั้ง
“น้าเหยาคะ เป็นอะไรไป” ผิงน้อยเมื่อเห็นอาการเหม่อของ ซูเหยาจึงได้ถามออกมา มู่เฟยเองก็ได้มองไปทางซูเหยาอย่างกังวลเช่นกัน
“น้าไม่เป็นไรจ้ะ น้าเตรียมอาหารเอาไว้แล้ว ถ้าหิวก็ไปกินได้เลย กินให้อิ่มนะ ถ้าเหลือก็เก็บไว้แต่ถ้าไม่เหลือก็ไม่เป็นไร
และก็หากมีใครมาเคาะประตูเรียกที่ไม่ใช่พ่อหรือน้าห้ามเปิดเด็ดขาด ไม่ว่าเขาจะทุบประตูเสียงดังหรือว่าเขาจะตะโกนด่าทอ ก็ทำเป็นนิ่งเสีย”
ซูเหยากล่าวย้ำกับเด็กตัวเล็กทั้งสองคน ที่ตอนนี้ดูดีขึ้นมากจากการอาบน้ำและสวมเสื้อผ้าใหม่
ที่เธอกล่าวย้ำกับเด็กน้อยก็เพราะว่าย่ามหาภัยตัวร้ายกับป้าสะใภ้ตัวดีคิดวางแผนที่จะขายเด็กน้อย หากอ้างอิงตามในนิยายยังไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอก แต่ว่าเธอก็ควรจะป้องกันเอาไว้ก่อน
“ครับ/ค่ะ” ทั้งสองรับคำออกมาเสียงดังฟังชัด
“ปิดประตูบ้านได้ จำไว้นะว่าห้ามเปิดไม่ว่าเขาจะมาหลอกเราแบบไหนก็ตาม ห้ามหลงเชื่อให้ใครเข้าบ้าน” ซูเหยายังไม่วายกล่าวย้ำออกมาอีกครั้ง
ตอนนี้เธอได้สะพายตะกร้าไม้ไผ่ไว้ด้านหลัง พร้อมกับในมือก็กำมีดยาวเอาไว้แน่น เมื่อของพร้อมเธอก็ก้าวเดินออกจากบ้านมุ่งหน้าไปป่าที่พ่อของเด็กทั้งสองไป
ซูเหยาคิดว่าจะพยายามเก็บสมุนไพรมีค่าตามที่นิยายได้บรรยายไว้มาให้หมด ก่อนที่นางเอกโลกสวยจะมาเจอ นางเอกก็ควรจะมีโชคแบบนางเอก
แต่ตอนนี้เหยามาแล้ว ของบางอย่างฉันขอเอามาสร้างตัวเพื่อเลี้ยงดูเด็กๆ ก่อนก็แล้วกัน และเมื่อไรที่นางเอกมาแล้ว มู่หานกับเขาเกิดถูกตาต้องใจกันซูเหยาก็คิดว่าจะหย่าให้โดยไม่ลังเล
เพราะเธอไม่คิดจะขวางบุพเพของใคร มีเงินซะอย่างอยู่สวยๆ รวยๆ ที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ชายเข้ามาในชีวิตแต่ก่อนไปเธอจะต้องปูทางให้เด็กน้อยเสียก่อน
ในระหว่างที่เธอกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เธอก็ได้เดินขึ้นเขามาแล้ว โดยมีอุปกรณ์สำหรับเดินเขาเป็นตัวช่วยในครั้งนี้
ชุดที่ซูเหยาสวมก็เป็นเสื้อคอจีนแขนยาวบุนวมติดกระดุมป้ายมาด้านข้างกับกางเกงแยกชิ้นกัน โดยกางเกงที่เธอสวมเป็นเหมือนกางเกงกระโปรงตัวยาวที่หากมองผ่านๆ ก็คล้ายกับยุคสมัยนี้อยู่ไม่น้อย
ส่วนผมเธอก็เกล้าขึ้นไปปักด้วยปิ่นไม้ธรรมดา รองเท้าเธอสวมรองเท้าสำหรับเดินเขาสีดำซึ่งรูปแบบอาจจะแตกต่างกับผู้หญิงคนอื่นที่นิยมสวมรองเท้าผ้า
ซึ่งเธอเองก็คิดว่าใครอยากจะคิดยังไงก็ช่างเขาเถอะ เธอสะดวกแบบนี้ ใครอยากจะมองรองเท้าก็ให้เขามองไปก็แล้วกัน
“โชคดีนะที่เราอ่านมาจนใกล้จะจบแล้ว เลยรู้ว่าของดีอยู่ตรงไหน” ซูเหยาพูดขึ้นกับตัวเองอีกครั้งเมื่อเดินเข้าป่าลึกมาเรื่อยๆ
ป่าในยามนี้ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์จากน้ำตกที่มีน้ำมากเปรียบเสมือนเส้นเลือดขนาดใหญ่ที่เลี้ยงทุกชีวิต
ในระหว่างที่เธอเดิน เธอก็ได้ใช้สายตาสำรวจรอบๆ ด้านไปด้วย เพราะเธอรู้ว่าตอนนี้เธอเริ่มเดินเข้ามายังป่าชั้นกลางแล้ว
เธอจำได้ว่าไม่ไกลจากตรงนี้จะมีหญ้าหนอน แต่ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นยืนจากที่เธอนั่งพักเหนื่อยอยู่ เธอก็ได้ยินเสียงไก่เหมือนกับกำลังคุยเขี่ย เธอจึงได้ย่องไปดูและก็เห็นจริงๆ เธอคิดจะจับไก่พวกนี้ไปเลี้ยงไว้ที่บ้าน
แต่ว่าเมื่อคิดว่ายังอยู่ในพื้นที่เดียวกับคนบ้านนั้นเธอก็เลยล้มเลิกไป จะให้ฆ่ามันเพื่อเอาเนื้อก็ไม่ดี เพราะต้องแบ่งไปให้คนบ้านนั้นอีกเหมือนกัน
“เจ้าไก่ทั้งหลายถือว่าแกโชคดีที่มาเจอฉันในวันนี้ ดังนั้นก่อนที่ฉันจะได้แยกบ้านออกมาฉันจะปล่อยแกไปก่อนก็แล้วกัน” ซูเหยาพูดกับไก่ที่ตนเห็น
สุดท้ายเธอก็เลยมาจบที่หญ้าหนอนที่มีอยู่มากมายให้เธอได้เก็บ เธอก็เลือกเอาแต่เฉพาะที่ใช้ได้เท่านั้น นอกนั้นก็ทิ้งเอาไว้เพื่อให้มันเติบโตกันต่อไป
หลังจากนั้นซูเหยาก็เดินไปเรื่อยๆ ตามสัญลักษณ์เล็กๆ ที่นิยายได้บรรยายเอาไว้ว่าเมื่อเวลาเข้าป่ามู่หานมักจะทำเครื่องหมายเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองหลงทาง
เธอเดินมาเรื่อยๆ อย่างระมัดระวัง เพราะเธอกลัวว่าเดินอยู่ดีๆ จะมีแขกไม่ได้รับเชิญออกมาเผชิญหน้าด้วย อย่างเช่นสัตว์จำพวกหมู่ป่าหรือหมีป่าที่ช่วงนี้พวกมันก็น่าจะมาหาอาหารสะสมไว้ช่วงหน้าหนาวที่กำลังมาเยือน
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว