ก้นเหวที่ทอดลึกลงไป จนมองไม่เห็นเบื้องล่างจากหน้าผาด้านบน
หาใช่แดนมรณะเต็มไปด้วยโขดหินแข็งกระด้างดั่งที่คนชั่วพวกนั้นคาดหวังไม่
ตรงกันข้าม มันกลับซุกซ่อนความมหัศจรรย์บางอย่างไว้อย่างน่าทึ่ง
หาดทรายทอดตัวเลียบลำธารยาวคดเคี้ยว ดุจเส้นไหมสีเงินไหลผ่านกลางป่าทึบ
เสียงลำธารยังไหลเอื่อย...ราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
แม้จะเพิ่งซับเลือดจากความพังพินาศไว้ก็ตาม
ใต้ซากรถม้า ร่างขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นซ่างหยุนแน่นิ่ง... พระพักตร์เปื้อนโลหิต
พระองค์จากไปแล้วทั้งที่พระเนตรเบิกโพลง
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพระทัยของพระองค์เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
หรือความเสียพระทัยที่ถูกพี่ชายที่เคารพรักเข่นฆ่า
แต่ที่แน่นอนก็คือ...หัวใจที่เคยเต้นเพื่อแผ่นดิน
หยุดลงทันทีพร้อมกับเสียงรถม้ากระแทกสู่ก้นเหว
หนึ่งชีวิตสูงศักดิ์...จากไปโดยไม่มีวันกลับ
ทว่าไม่ห่างกันนัก
สตรีร่างบอบบางผู้หนึ่งนอนกอดลูกน้อยไว้แน่น
ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยช้ำจากแรงกระแทก…
และช่างน่าเหลือเชื่อ เจ้าก้อนแป้งตัวจ้ำม่ำยังหายใจแผ่วเบาอยู่ในอ้อมกอดของมารดา
ซ่งเม่ยหลิน
ยามรถม้าลอยเคว้งในอากาศนางหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ
กระแสอารมณ์แหลกสลายด้วยห่วงลูกน้อย
จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบลงในทันที
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด
แสงแดดชุดใหม่สาดส่องลอดแนวใบไม้แน่นหนาลงมาอีกครั้ง
ร่างที่สลบไสลเริ่มรู้สึกตัว
ซ่งเม่ยหลินสะดุ้งเฮือกก่อนลืมตาขึ้นอย่างตกตะลึง
ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างกาย
ก่อนที่นางจะได้คิดถึงเรื่องอื่นใด
หัวใจนางเกือบหยุดเต้นอีกครา.. เมื่อสัมผัสถึงความอบอุ่นอันคุ้นเคยบนอก
เจ้าตัวน้อยของนางยังมีชีวิตอยู่
สองมือรีบกอดกระชับลูกน้อยในอ้อมแขน แล้วก้มลงมองอย่างลนลาน
เมื่อเห็นว่าร่างเล็กยังคงหายใจแผ่วเบาแต่สม่ำเสมอ
เนื้อตัวแกไร้แม้รอยขีดข่วนอย่างน่าอัศจรรย์
จากนั้นน้ำตาก็พลันไหลพรากอย่างห้ามไม่อยู่
“หานเอ๋อร์ลูกแม่ ฮือ ๆ ลูกยังไม่จากแม่ไป”
นางร้องไห้สุดเสียงเมื่อรู้ว่าสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตยังคงอยู่
ไม่ว่าจะเป็นเพราะสวรรค์คุ้มครอง
หรือเพราะพวกนางยังไม่หมดเวรหมดกรรมจากโลกนี้ หรือเพราะสิ่งใด
แต่สำหรับนาง...แค่ลูกปลอดภัย ก็เพียงพอแล้ว
“ลูกต้องไม่เป็นอะไรนะเด็กดี แม่กับพ่อจะพาเจ้าไปหาหมอ ...
“จริงสิ! พ่อของเจ้า?”
ซ่งเม่ยหลินตัวชาวาบ เมื่อพูดถึงคนที่นางรักสุดหัวใจอีกคน
และทันใดนั้น...สายตาพลันเหลือบไปเห็นร่างหนึ่ง
นอนแน่นิ่งอยู่ท่ามกลางซากไม้ที่แตกกระจัดกระจาย
ร่างนั้น
แม้เต็มไปด้วยเลือดเปรอะเปื้อน...ทว่านางจำได้ขึ้นใจ
หัวใจนางหล่นวูบลงสู่เหวลึกอีกคราในชั่วพริบตา
รีบกระชับอ้อมแขนกอดลูกน้อยและคลานไปหาร่างนั้นอย่างทุลักทุเล
มือข้างหนึ่งสั่นเทายามแตะลงบนใบหน้าของบุรุษผู้ที่เคยนอนเคียงกันทุกค่ำคืน
แต่บัดนี้เย็นเฉียบ
“ท่านพี่...”
นางเรียกเขาด้วยน้ำเสียงขาดห้วง
“อย่าทิ้งข้าไป อย่าทิ้งหานเอ๋อร์ไป”
“ท่านเคยสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งเรา...ฮือออ”
เสียงสะอื้นไห้ราวกับจะขาดใจของนางดังก้องในหุบเหวอันวังเวงแห่งนี้
คงมีแต่สายลมที่โหมกระพือราวเท่านั้นที่รับรู้ถึงความเสียใจท่วมท้นของผู้สูญเสียอย่างนาง
ทว่า... ท่ามกลางเสียงร้องไห้อย่างน่าหดหู่
เงาร่างหนึ่งกลับค่อย ๆ ขยับลุกขึ้นช้า ๆ
เสียงหอบแผ่วดังชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ซ่งเม่ยหลินสะดุ้งเฮือก หันขวับตามสัญชาตญาณ
สิ่งที่ปรากฏตรงหน้า...ทำให้นางถึงกับนิ่งงัน
ชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องหลังของนาง เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล
คนที่นางแน่ใจว่าไม่รู้จัก
แต่ดวงตาคู่นั้น ...
กลับสะกดนางให้หยุดนิ่งราวต้องมนตร์
ชายหนุ่มผู้นั้นสบตานางตรง ๆ
แววตาอ่อนโยนอบอุ่น ลึกซึ้ง และคุ้นเคย…
เขามองมายังนางกับลูกน้อย... ราวกับกำลังมองสมบัติชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ในโลก
น้ำเสียงแผ่วเบา
ทว่ากระแทกกลางหัวใจ
“เด็กดี… อย่าร้องไห้เลย”
“เม่ยเม่ย…พี่ไม่ได้จากเจ้าไปไหน”
ซ่งเม่ยหลินนิ่งงัน มือสั่นจนแทบควบคุมไม่อยู่
“…ทะ…ท่าน…”
ริมฝีปากนางสั่นระริก ก่อนกระซิบแผ่วเบาอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
แล้วชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มบาง ๆ พร้อมแววตาทอแสงอ่อนโยนเหมือนที่นางเคยได้รับมาก่อน
“เจ้าจำไม่ได้หรือ... เม่ยเม่ยเด็กดีของพี่”
เพียงคำนั้นที่เอื้อนเอ่ย ราวกับโลกทั้งใบถล่มทลาย
“ท่านพี่ เป็นท่านจริง ๆ หรือ...”
เสียงแผ่วเบาหลุดจากปาก ก่อนสติของนางก็ดับวูบไปอีกครั้ง
เรื่องที่เกิดขึ้นเกินกว่าที่สตรีคนหนึ่งจะทนไหวเสียแล้ว
ลั่วอี้เสียนถลาพาร่างบอบช้ำเข้าประคองร่างภรรยาที่อุ้มลูกน้อยไว้แนบอกไว้ได้ทัน
แผ่นหลังของเขาสั่นไหวตามแรงสะอื้นที่กลั้นไว้ไม่อยู่
"เม่ยเม่ย หานเอ๋อร์..."
เขากระซิบ พลางฝังใบหน้าลงกับไรผมนางอย่างอ่อนล้า
น้ำตาไหลลงข้างแก้มผสมกับคราบเลือดจนยากจะแยกแยะ
ความเจ็บปวดทางกายที่เหมือนถูกทิ้งเป็นชิ้น ๆ
แต่ยังไม่สู้...
ความเจ็บปวดทางใจ...ที่เปี่ยมไปด้วยแรงแค้น
เสียงที่ได้ยินก่อนตกลงจากหน้าผายังดังก้องในหัว
“...จับมันให้ได้ คราวนี้พวกมันต้องตายเท่านั้น!!”
เขาจำได้ดี เสียงของพี่ชายต่างมารดา
คนที่หมายจะฆ่าเขาเพื่อสืบทอดทุกสิ่ง
คนที่นับจากนี้... หากเขายังมีชีวิตอยู่
เขาจะไม่ปล่อยให้มันทำอันตรายนางกับลูกได้อีก
ลั่วอี้เสียนสูดลมหายใจ พลางปล่อยให้น้ำตาไหลริน
สายตาทอดร่างของตนเองที่นอนแน่นิ่งอยู่เบื้องหน้า
หากมิใช่สองร่างที่ยังอุ่นอยู่ในอ้อมกอด
เขาคงคิดว่า...นี่คือชีวิตหลังความตาย
ทั้งที่กลัวสิ่งที่เกิดขึ้น...กลัวจนก้าวขาแทบไม่ไหวในคราแรก
ทั้งที่รู้ว่ามันแปลกประหลาดที่เขาฟื้นขึ้นมาในร่างของคนอื่น
ทั้งที่ไม่คุ้นชินกับร่างกายที่ไม่ใช่ของตน
ไม่คุ้นชินแม้กระทั่งเสียงที่เปล่งออกมา
แต่เขาขอเห็นแก่ตัว
“ฟ้าให้ข้ากลับมา...ในร่างของท่าน”
เขาเอ่ยเสียงต่ำ สายตาแน่วแน่ที่ท่วมไปด้วยน้ำตาจ้องไปยังสองคนแม่ลูกในอ้อมกอด
“ไม่ว่านี่จะเป็นโอกาส...หรือคำสาป”
“แต่ข้าเลือกที่จะรับมันเอาไว้”
ลมหายใจของเขาสะดุดชั่วครู่
“ฮึก ข้าต้องขอโทษท่าน...ที่มิอาจแก้แค้นแทนท่านได้”
เสียงของเขาแผ่วเบาจนไม่แน่ว่ากำลังพูดกับตนเอง กับฟ้า? ...หรือกับวิญญาณของชายผู้ที่เขาได้แทนที่
“ข้าเลือกที่จะเป็นแค่บุตรพ่อค้าดังเดิม”
ความทรงจำของเจ้าของร่าง
ภาพแวบหนึ่งของสนามรบ คำบัญชา ข้อมูลทางยุทธศาสตร์
และกลิ่นโลหิตที่เคยไม่คุ้นกลับแล่นผ่านหัวอย่างชัดเจน
เขาจึงรู้ดีว่าชายผู้นี้เป็นใคร
โอรสสวรรค์ของแคว้นซ่างหยุน ...
คนที่ถูกตามสังหารเหมือนพวกเขา
ดังนั้นการสวมรอยเป็นผู้สูงศักดิ์ มีแต่ทำให้นางกับลูกเป็นอันตรายยิ่งกว่าเดิม...
เขาขอไม่ยุ่งเกี่ยวกับชายผู้นี้เป็นอันขาด
ลั่วอี้เสียนกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น
ทั้งที่สายตาพร่ามัวและปวดศีรษะราวกับมีใครมากดทับมันไว้
ร่างกายเจ็บจนแทบแหลกเหลว...แต่เขาไม่อาจยอมแพ้ไม่ได้
เพราะลมหายใจที่รวยรินของสองชีวิต
แรงที่เหลืออยู่ทั้งหมดประคองร่างภรรยา และคว้าร่างของบุตรชายไว้ในอ้อมแขนเดียวกัน
มุ่งไปยังทิศที่เห็นควันไฟลอยอ้อยอิ่งอยู่ไม่ไกล
หวังว่ามันคือควันของชีวิตใหม่
ขณะที่แผ่นหลังของเขากำลังจะหายลับไปหมู่แมกไม้ริมลำธาร
สายลมแผ่วเบาพัดผ่าน เย็นเยียบราวคำกระซิบของวิญญาณผู้ล่วงลับ
คล้ายจะเอ่ยย้ำว่า...
‘เส้นทางที่สวรรค์กำหนด’
‘หาใช่ผู้ใดจะเบี่ยงเบนมันได้’
ท่ามกลางความทุกข์ที่ถาโถมทว่าในกระท่อมไม้เล็ก ๆ ซึ่งเป็นที่รักษาตัวของผู้ป่วยกลับมีเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นเมื่อยามราตรีเริ่มมาเยือนร่างกลมป้อมของเจ้าตัวน้อยเดินวนรอบตัวมารดา โดยมีมือกลมอวบจับไหล่นางไว้เพื่อไม่ให้ล้มลงไป“มะ มะ จ๋า”เจ้าตัวน้อยยิ้มหวานพลางพูดจาตามประสาเด็ก เดินเตาะแตะไปรอบ ๆเสียงน้อย ๆ ของลูกเป็นยาชั้นดีทำให้ซ่งเม่ยหลินยิ้มได้ในวันที่มีน้ำตามาเยือนไม่ขาดสาย“มะ มะ! เอิ๊ก ๆ” เจ้าก้อนแป้งโถมตัวกอดคอมารดาจากด้านหลังตามด้วยเสียงหัวเราะร่าเริง“ลูกรัก ยังไม่ง่วงอีกหรือจ๊ะ” ซ่งเม่ยหลินวางพู่กันในมือ ก่อนเอี้ยวตัวไปคว้าเจ้าตัวนุ่มนิ่มมานอนในตัก“มะ จ๋า”“ปะ ป้อ”“พ่อของลูกนอนอยู่ตรงโน้นเห็นไหมจ๊ะ”“ท่านพ่อไม่สบายหนักมาก ลูกต้องคอยดูแลท่านพ่อรู้ไหม”ซ่งเม่ยหลินยิ้มพลางตอบบุตรชายที่ช่างเจรจาโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย“จ้า จ้ะ ป๋อ ฮ้าวว”“ใช่แล้ว พ่อจ๋าของลูก”ซ่งเม่ยหลินหอมแก้มแกก่อนบอกเขาอีกครั้ง...ไม่เคยเบื่อที่จะคอยบอกลูกว่าเขาคือพ่อของแกนางกอดลูกไว้แนบอก ก่อนค่อยอุ้มพาดบ่าแล้วลุกไปยังฟูกที่สามีนอนอยู่สายของวันนี้หลังจากคุยกับองครักษ์ตู้ผู้นั้นดูเหมือนว่าอ
ไม่นานเหตุการณ์ที่หน้าผา สั่นสะเทือนไปทั่วอาณาจักรซ่างหยุนอย่างรวดเร็ว ความเศร้าโศกเข้าครอบงำจิตใจผู้คนทว่ามิใช่กับผู้อยู่เบื้องหลังเงามืดของเรื่องเลวร้ายนี้ในคฤหาสน์หลังงามของตระกูลลั่ว เสียงหัวเราะแหบต่ำของชายผู้หนึ่งดังลอดประตูที่ปิดสนิทลั่วเหวินซาง บุตรชายคนโตของลั่วเฟยเทียนคหบดีแห่งภาคใต้ชายผู้ไร้เมตตาและเปี่ยมความทะเยอทะยานยามนี้ชายหนุ่มผู้มากแผนการ นั่งบนเก้าอี้ซึ่งเป็นที่ประจำตำแหน่งของบิดามือถือจอกสุราขึ้นหมุนเล่น ราวเพียงสำรวจเงาสะท้อนในจอกมากกว่าจะดื่มมันจริง ๆ“หึ พวกมันหล่นจากหน้าผาเช่นนั้น ต่อให้เป็นเทพเซียนก็มิอาจมีชีวิตรอด”เขาหัวเราะในลำคอ พลางเอนกายลงลูบพนักเก้าอี้อย่างหลงใหล“อีกไม่นาน เก้าอี้ตัวนี้จะเป็นของข้าพร้อมกับตำแหน่งผู้นำตระกูลลั่วรุ่นที่สี่”หญิงวัยกลางคนที่นั่งเคียงข้าง...ผู้เป็นมารดาของเขา พยักหน้าอย่างพึงใจ“ต่อไปนี้สิ่งที่ควรเป็นของเจ้า จะไม่มีผู้ใดช่วงชิงมันไปได้อีก”ผู้พูดสีหน้าฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มเย็นชา...ไร้ความรู้สึกผิดแม้กระผีกเดียวเพราะมารดาเป็นเช่นนี้ จึงไม่แปลกนักที่บุตรชายจะเดินรอยตามความชั่วของนาง“ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าไม่เคยมีสิ่งใดเหนือก
ณ มุมหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนแนบผนังอย่างเงียบงันดวงตาแน่นิ่งจับจ้องภาพตรงหน้าราวกับถูกสะกดตู้อี้จ๋าย บ่าวผู้ภักดีซึ่งตั้งใจมาเยี่ยมดูอาการเจ้านายเฉกเช่นทุกวันไม่คาดคิดเลยว่าจะได้ยินได้เห็นสิ่งที่ทำให้ชายชาตินักรบ...ถึงกับเข่าทรุดลงไปกองกับพื้นสตรีนางนั้นร้องไห้คร่ำครวญ จนเปิดเผยสิ่งที่น่ากลัวมันทำให้หัวใจของเขาแหลกเหลวไม่มีชิ้นดีเจ้านายของเขาจากไปไกลแล้วอย่างนั้นหรือ?คำสั่งสุดท้ายที่บอกให้เขาห้ามทอดทิ้งพวกนางแท้จริงเป็นคำสั่งของบุรุษที่เป็นสามีนาง หาใช่คำสั่งเสียของเจ้านายของเขาไม่เรื่องบ้า ๆ ที่เคยเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก ‘สลับร่างสับเปลี่ยนวิญญาณ’ กลับเกิดขึ้นจริง ๆ งั้นหรือ?ตู้อี้จ๋ายหลุบตาลงช้า ๆภาพความทรงจำวันวานไหลบ่าเข้ามาไม่ขาดสายเสียงดาบฟาดใส่โล่อย่างบ้าคลั่ง เสียงร้องของทหารบาดเจ็บ เสียงม้ากระทืบพื้นจนดินสั่นสะเทือนสนามรบเมื่อสิบสามปีก่อนตู้อี้จ๋ายตอนนั้นยังเป็นเพียงองครักษ์หนุ่มที่พยายามฝึกฝนตนเองให้คู่ควรกับหน้าที่ในวันนั้นเขาถูกศัตรูลอบแทงจากด้านหลัง ล้มลงท่ามกลางกองเลือด...สิ้นหวังและรอความตาย“อี้จ๋าย! ลุกขึ้น! อย่าตายที่นี่!”เสียงหนึ่งตะ
เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านฮวาโหววันนี้...ดูเหมือนจะอ่อนโยนกว่าหลายวันที่ผ่านมาภายในเรือนไม้หลังเดิมของหมู่บ้านฮวาโหว บนฟูกฟางริมผนังคนป่วยค่อย ๆ ขยับเปลือกตาหนักอึ้ง หลังหลับใหลอยู่นานนับครึ่งเดือนกลิ่นสมุนไพรอ่อน ๆ แตะปลายจมูก เป็นสัญญาณแรกที่บอกว่าตัวเองยังมีชีวิตนางสูดลมหายใจลึก พยายามเรียกคืนสติที่แตกกระจัดกระจายเหมือนใบไม้ที่ปลิดปลิวและทันทีที่ดวงตาพร่าเลือนปรับรับแสงได้สิ่งแรกที่เห็นคือร่างเล็กกลมป้อมของลูกชายที่นางไม่มีวันลืมเจ้าตัวน้อยนั่งอยู่ใกล้ ๆ ขณะเล่นตุ๊กตาผ้า“หานเอ๋อร์...”เสียงเรียกแผ่วเบาเล็ดลอดจากริมฝีปากแห้งผากของผู้เป็นแม่เสียงนั้นสั่นระรัวแฝงด้วยความกลัวจับจิต...กลัวว่ามันจะเป็นแค่ความฝันนางค่อยยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางอ้าแขนกว้างให้ลูกน้อยมาหา“มะ… มะ…”“แง้งงงงง!”เสียงเล็กเรียกมารดาด้วยความคุ้นเคยไม่นานนักเจ้าก้อนแป้งเบะปากแล้วปล่อยโฮพลางคลานเข้าหาอ้อมกอดแม่ด้วยความคะนึงหาสิบห้าวันที่ผ่านมา เจ้าตัวน้อยถูกพี่สาวใจดีอย่างเสี่ยวจินดูแลแต่ต้องอยู่ในห้องนี้เท่านั้น เพราะหากอุ้มแกออกไปห่างมารดาเมื่อใดก็จะหวีดร้องสุดเสียงทันทียามนี้แกหวนคืนอ้อมกอดมารดาอีกครั้ง
ท่ามกลางม่านหมอกที่ปกคลุมเชิงเขาอย่างแน่นหนา ยากนักที่จะมีใครมาพานพบหมู่บ้านแห่งนี้เข้าทว่าตั้งแต่มีผู้บริสุทธิ์ร่วงลงมาจากการผลักไสของคนชั่ว ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นความลับอีกต่อไปเหล่าองครักษ์ผู้รอดชีวิตจากการต่อสู้เบื้องบน พากันไต่ลงจากหน้าผาอย่างไม่หวาดหวั่นแม้เชือกที่ใช้โรยตัวอาจขาดลงได้ทุกเมื่อ.. แต่หามีใครถอดใจในการตามหาผู้เป็นนายไม่ตู้อี้จ๋ายเดินนำหน้า แม้สีหน้ามุ่งมั่นแต่แววตากลับฉายความหวั่นไหว“พวกเราต้องหาองค์รัชทายาทให้เจอ ไม่ว่าจะเป็นหรือ...”คำพูดบางคำจมหาย เขาไม่กล้าเอ่ยมันออกมา แต่... ท่ามกลางความหวังริบหรี่นั้น“หัวหน้าขอรับ ทางนั้น”เสียงร้องตะโกนของหยวนอี้ รองหัวหน้าองครักษ์ปลุกความหวังที่ใกล้มอดดับตู้อี้จ๋ายหันขวับทันทีเพ่งมองผ่านพุ่มไม้แน่นที่แหวกออกก่อนเห็นร่างสูงใหญ่ปะทะแสงแดดยามเย็น...“องค์รัชทายาท!!”เขาร้องเรียกสุดเสียง ก่อนออกวิ่งเต็มแรงตรงไปหาพระองค์หัวใจเต้นโครมครามดวงตาร้อนผ่าว เมื่อเห็นเงาของผู้เป็นนายอยู่ไม่ไกล...เหล่าองครักษ์ผู้อาจหาญและภักดี ไม่มีใครไม่หลั่งน้ำตาออกมาขณะที่วิ่งกรูกันไปยังพุ่มไม้นั้นตู้อี้จ๋ายที่วิ่งไปก่อนใครยิ่งเข้าใกล้ย
ก้นเหวที่ทอดลึกลงไป จนมองไม่เห็นเบื้องล่างจากหน้าผาด้านบนหาใช่แดนมรณะเต็มไปด้วยโขดหินแข็งกระด้างดั่งที่คนชั่วพวกนั้นคาดหวังไม่ตรงกันข้าม มันกลับซุกซ่อนความมหัศจรรย์บางอย่างไว้อย่างน่าทึ่งหาดทรายทอดตัวเลียบลำธารยาวคดเคี้ยว ดุจเส้นไหมสีเงินไหลผ่านกลางป่าทึบเสียงลำธารยังไหลเอื่อย...ราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแม้จะเพิ่งซับเลือดจากความพังพินาศไว้ก็ตามใต้ซากรถม้า ร่างขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นซ่างหยุนแน่นิ่ง... พระพักตร์เปื้อนโลหิตพระองค์จากไปแล้วทั้งที่พระเนตรเบิกโพลงไม่มีผู้ใดรู้ว่าพระทัยของพระองค์เต็มไปด้วยความโกรธแค้นหรือความเสียพระทัยที่ถูกพี่ชายที่เคารพรักเข่นฆ่าแต่ที่แน่นอนก็คือ...หัวใจที่เคยเต้นเพื่อแผ่นดินหยุดลงทันทีพร้อมกับเสียงรถม้ากระแทกสู่ก้นเหวหนึ่งชีวิตสูงศักดิ์...จากไปโดยไม่มีวันกลับทว่าไม่ห่างกันนักสตรีร่างบอบบางผู้หนึ่งนอนกอดลูกน้อยไว้แน่นใบหน้าเต็มไปด้วยรอยช้ำจากแรงกระแทก…และช่างน่าเหลือเชื่อ เจ้าก้อนแป้งตัวจ้ำม่ำยังหายใจแผ่วเบาอยู่ในอ้อมกอดของมารดาซ่งเม่ยหลิน ยามรถม้าลอยเคว้งในอากาศนางหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติกระแสอารมณ์แหลกสลายด้วยห่วงลูกน้อยจากนั้นทุกอย่างก็ดับ