ท่ามกลางม่านหมอกที่ปกคลุมเชิงเขาอย่างแน่นหนา ยากนักที่จะมีใครมาพานพบหมู่บ้านแห่งนี้เข้า
ทว่าตั้งแต่มีผู้บริสุทธิ์ร่วงลงมาจากการผลักไสของคนชั่ว ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป
เหล่าองครักษ์ผู้รอดชีวิตจากการต่อสู้เบื้องบน พากันไต่ลงจากหน้าผาอย่างไม่หวาดหวั่น
แม้เชือกที่ใช้โรยตัวอาจขาดลงได้ทุกเมื่อ.. แต่หามีใครถอดใจในการตามหาผู้เป็นนายไม่
ตู้อี้จ๋ายเดินนำหน้า แม้สีหน้ามุ่งมั่นแต่แววตากลับฉายความหวั่นไหว
“พวกเราต้องหาองค์รัชทายาทให้เจอ ไม่ว่าจะเป็นหรือ...”
คำพูดบางคำจมหาย
เขาไม่กล้าเอ่ยมันออกมา
แต่... ท่ามกลางความหวังริบหรี่นั้น
“หัวหน้าขอรับ ทางนั้น”
เสียงร้องตะโกนของหยวนอี้ รองหัวหน้าองครักษ์ปลุกความหวังที่ใกล้มอดดับ
ตู้อี้จ๋ายหันขวับทันที
เพ่งมองผ่านพุ่มไม้แน่นที่แหวกออกก่อนเห็นร่างสูงใหญ่ปะทะแสงแดดยามเย็น...
“องค์รัชทายาท!!”
เขาร้องเรียกสุดเสียง ก่อนออกวิ่งเต็มแรงตรงไปหาพระองค์
หัวใจเต้นโครมคราม
ดวงตาร้อนผ่าว เมื่อเห็นเงาของผู้เป็นนายอยู่ไม่ไกล...
เหล่าองครักษ์ผู้อาจหาญและภักดี ไม่มีใครไม่หลั่งน้ำตาออกมาขณะที่วิ่งกรูกันไปยังพุ่มไม้นั้น
ตู้อี้จ๋ายที่วิ่งไปก่อนใคร
ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นในสิ่งที่ทำให้เขาอดฉงนใจไม่ได้.... เพราะเบื้องหน้าเขามิได้มีแค่พระองค์เท่านั้น
แม้ทั่วพระวรกายจะเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและบาดแผล
ทว่ายังคงทรง ‘อุ้มเด็กน้อย’ ไว้แนบอกอย่างหวงแหน
และยังทรงแบกสตรีนางหนึ่งไว้บนบ่า
ตลอดชั่วพระชนม์ชีพ... ทรงแบกไว้เพียงแค่พระยศและพระเกียรติในฐานะโอรสสวรรค์เท่านั้น
ทว่าบัดนี้
กลับใช้เพื่อโอบอุ้มสองชีวิตเอาไว้ ราวกับเป็นสิ่งล้ำค่าที่ต้องปกป้องเหนือสิ่งอื่นใด
แววพระเนตรคู่นั้นบอกชัดเจนว่า
คนในอ้อมแขนมีความหมายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแผ่นดิน
ตู้อี้จ๋ายละทิ้งความสงสัยก่อนเร่งฝีเท้าไปประคองเจ้านายที่เหมือนจะไร้เรี่ยวแรงเต็มที
“องค์รัชทายาท ทรงปล่อยเด็กและสตรีให้พวกกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เขาพูดพลางหันไปพยักหน้าให้องครักษ์เข้าไปเพื่อรับตัวเด็กน้อยกับสตรีคนนั้นออกมา
ทว่ารับสั่งของนายเหนือหัวดังขึ้นเสียก่อน...
“ต้องช่วยพวกนางแม่ลูกไว้ เข้าใจไหม?”
“รับปากข้า... ห้ามทิ้งพวกนางไว้เด็ดขาด!”
ลั่วอี้เสียนที่สายตาพร่าเลือนและปวดหัวจนแทบจะอาเจียน
แม้สติสัมปชัญญะกำลังจะหลุดลอย
แต่จิตใต้สำนึกทำให้เขายังคงประคองให้หยัดยืนอยู่ได้...
น้ำเสียงแห้งผากสั่งออกไปอีกครั้ง
“รับปากข้า... ห้ามทอดทิ้งพวกนาง!!”
ตู้อี้จ๋ายแม้จะเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็รีบพยักหน้ารับคำอย่างไม่ลังเล
“พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท กระหม่อมจะไม่ทอดทิ้งพวกนางแม่ลูกเป็นอันขาด”
สิ้นเสียงรับปาก
ลั่วอี้เสียนก็ล้มพับลงในอ้อมแขนขององครักษ์ผู้ภักดีทันที
ปัง! ปัง!
เสียงเคาะประตูไม้ดังขึ้นอย่างเร่งร้อน ฝ่าเสียงหวีดร้องของลมยามค่ำคืนเพราะอาการของทั้งสามไม่สู้ดีเลย
“เปิดประตูหน่อย! พวกเรามีคนตกเขาบาดเจ็บสาหัส!”
ตู้อี้จ๋ายยืนอยู่เบื้องหน้า คิ้วขมวดแน่น ดวงตาแดงก่ำ
มือหนึ่งโอบพยุงเจ้านายผู้หมดสติ
ขณะที่องครักษ์อีกนายแบกสตรีนางหนึ่งไว้แนบอก และอีกผู้หนึ่งอุ้มเด็กน้อยที่ยังหายใจรวยริน
เสียงไม้ไผ่ไหวลู่ยามลมเย็นพัดผ่าน กลิ่นยาสมุนไพรจาง ๆ ลอยอบอวลอยู่ทั่วห้อง
เปลวตะเกียงริบหรี่คล้ายใกล้ดับ
แต่แสงนั้นยังเพียงพอให้มองเห็นเงาร่างที่นอนแนบกันบนฟูกผืนเดียว
บ้านไม้ขนาดย่อมหลังนี้ คือที่พักของ ‘เฒ่าเหลียนกง’หมอยาชราและผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านลึกลับแห่งนี้
“ไข้ลดแล้ว ขอบใจเจ้ามากเสี่ยวจิน”
ผู้อาวุโสกล่าวกับหลานสาว พลางหยิบผ้าชุบน้ำหมาด ๆ วางบนหน้าผากของหนูน้อย
รอยย่นบนใบหน้าของผู้ชราแฝงไว้ด้วยความสงบเย็นที่ฝ่าลมฝนมาทั้งชีวิต
เด็กชายตัวจ้ำม่ำนอนแนบอยู่ข้างมารดา
ผิวแก้มขึ้นริ้วแดงจาง ๆ ทำให้คนรักษาใจชื้นนัก
“เจ้าตัวน้อยแข็งแรงดีกว่าที่คิดเสียอีก”
เสียงผู้เฒ่าเอ่ยเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มบางขณะมองเด็กน้อยด้วยสายตาเอ็นดู
“แม้จะยังไม่ตื่น...แต่ชีพจรก็แล่นสมดุลดี”
แต่เมื่อหันไปยังสองร่างที่นอนอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง
แววตาอ่อนโยนกลับเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที
“ทั้งสองยังไม่รู้สึกตัวเลยหรือเจ้าคะท่านปู่?” เสียงของเสี่ยวจินเอ่ยถามอย่างไม่สบายใจ
เฒ่าเหลียนกงเพียงพยักหน้าเบา ๆ
“สามวันแล้ว... ไม่มีเสียงครางหรือลืมตาขึ้นเลยสักครั้ง ”
เขาสบตากับหลานสาว ก่อนใช้ปลายนิ้วแตะที่ข้อมือซ่งเม่ยหลินและลั่วอี้เสียน
“ชีพจรอ่อนเกินไป”
“พรุ่งนี้ต้องให้คนไปรับหมอจากหมู่บ้านข้าง ๆ มาเสียแล้ว หากปล่อยไว้ไม่ดีแน่”
ผู้อาวุโสถอนหายใจด้วยความกังวล
เพราะหมู่บ้านนี้อยู่ท่ามกลางป่าเขา จึงไม่ง่ายนักที่จะรักษาคนที่บาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ได้
“ดูเหมือนอาการของบุรุษผู้นี้แย่ลงใช่หรือไม่เจ้าคะ ศีรษะของเขาบวมขึ้นเล็กน้อยจากเมื่อวานนี้”
เสี่ยวจินถามผู้เป็นปู่เมื่อพิจารณาใบหน้าลั่วอี้เสียน
เพียงแค่คิดว่าเด็กน้อยคนนี้จะสูญสิ้นทั้งบิดาและมารดา หัวใจของนางก็หดหู่อย่างบอกไม่ถูก
“นั่นคือสิ่งที่ข้ากังวล”
“แอ๊ดด”
เสียงเปิดประตูของผู้เข้ามาใหม่ทำให้สองปู่หลานชะงักครู่หนึ่ง
“ข้าจะเป็นคนไปหาหมอจากในเมืองมาเอง”
“แต่...ได้โปรดให้คนของท่านนำทางข้าไปยังทางลัดของหมู่บ้านได้หรือไม่”
เสียงนี้เป็นของใครไปมิได้นอกจากตู้อี้จ๋าย
เขาเฝ้าดูอาการผู้เป็นนายด้วยความร้อนรน ไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาสามวันเต็ม ๆ
ขณะเดียวกันเขาลองสำรวจเส้นทางเข้าเมืองแล้ว แต่กลับไม่พบมันแม้แต่น้อย
ทางเดียวที่เขารู้คือการย้อนกลับไปทางเดิมที่พวกเขาปีนลงมาอย่างทุลักทุเลจากหน้าผาสูงชันนั่น
เขาจึงมั่นใจว่าที่นี่ต้องมีทางลับเข้าออกหมู่บ้าน
“ได้สิ หากได้หมอจากในเมืองมา ชีวิตเจ้านายทั้งสามของท่านคงมีหวัง”
ผู้เฒ่าเหลียนกงเห็นด้วยแทบจะทันที ด้วยเพราะอยากช่วยคนเจ็บ
และเขามิใช่คนโง่นัก
‘แม้ข้าจะไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะมียศศักดิ์เป็นราชนิกุลสูงส่ง หรือเป็นขุนนางใหญ่แค่ไหน’
‘แต่หากทุ่มเทขนาดยอมเสี่ยงไต่หน้าผาสูงชันเพื่อตามหาร่างผู้ร่วงหล่น’
‘แสดงว่าคนพวกนี้มิใช่คนธรรมดาสามัญเป็นแน่’
“ขอบคุณท่านมาก”
ตู้อี้จ๋ายประสานมือทำความเคารพอีกฝ่ายด้วยความซาบซึ้งใจ
หากไม่ได้หมอชาวบ้านผู้นี้
เกรงว่าเจ้านายของเขา มิอาจรักษาพระชนม์ชีพมาได้จนถึงตอนนี้เป็นแน่
วันเวลาเคลื่อนไปโดยไม่รอใครเหมือนเช่นทุกวัน
ยามค่ำคืนของหมู่บ้านฮวาโหวเริ่มเย็นเยียบลง เสียงแมลงป่าขับกล่อมแว่วมาแต่ไกล
สองร่างที่นอนเคียงกันประหนึ่งไร้ชีวิต
โดยเฉพาะซ่งเม่ยหลินที่ยิ่งผ่านไปสิบกว่าวัน นางกลับดูเหมือนกำลังหลับพักผ่อนเท่านั้น
แม้แต่หมอที่ตู้อี้จ๋ายพามายังได้แต่ฉงนว่าเหตุใดนางยังไม่ฟื้นเสียที
แต่ใครจะรู้ว่าภายในของซ่งเม่ยหลินนั้น...
มิได้สงบนิ่งเฉกเช่นภายนอกเลยแม้แต่น้อย
จิตสำนึกของนางกำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่าง
“นี่มันที่ใด...เจ้าเป็นใคร”
เสียงในใจของนางถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"หรือว่าข้าตายแล้ว..."
ทุกสิ่งรอบตัวมืดมิด...
เว้นเพียงแสงสีทองบางเบาที่แล่นวาบขึ้นมาในหัวไม่หยุด
แสงนั้นไม่ได้สว่างจ้า
ทว่าอ่อนโยนดั่งสุริยาแรกยามอรุณ คล้ายจะไหลรินมาจากที่ใดสักแห่งบนฟากฟ้า
ท่ามกลางความเงียบ
เสียงหนึ่งดังก้องกังวานไม่เคยหยุด
เหมือนอาจารย์ผู้กรุณาสั่งสอนศิษย์
“ดินประสิว...ถ่านไม้...กำมะถัน...”
“อัตราส่วนสามต่อสองต่อหนึ่ง...จุดระเบิดด้วยประกายไฟ...”
ยิ่งเสียงนั้นดังเท่ามากขึ้นเท่าไร
ยิ่งทำให้เห็นภาพผุดวูบวาบ ราวกับมีคนวาดภาพกลางความคิดของนาง
“ต่อเรือด้วยไม้สัก...อุดรอยต่อด้วยยางไม้...เสริมโครงลำตัวด้วยหินถ่วง...”
แต่ละถ้อยคำหาได้เพียงล่องลอยผ่าน หากกลับฝังลงในจิตใจ
ไม่ใช่เพียงความจำ
แต่เป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ราวกับเรียนรู้มานับร้อยพันชาติ
ศาสตร์การแปรรูปอาหาร เครื่องสำอาง ตำรับน้ำอบ
ตำราอาวุธ กลไกน้ำ ระบบถ่วงเรือ…แม้แต่เคล็ดลับประดิษฐ์เข็มกลัดให้ไร้เสียงยามเปิดปิดก็มีครบถ้วน
ทุกสิ่งหลั่งไหลอย่างไม่หยุดยั้ง
“ขุมทรัพย์แห่งปัญญาอย่างนั้นหรือ?”
“ทำไมท่านเงียบไป ไปไหน”
เสียงในใจของนางดังอีกครั้ง
เมื่อเสียงนั้นเงียบลงราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน
สิ่งที่เกิดขึ้น... ไม่มีผู้ใดรู้ว่า
มันคือการชดใช้สำหรับเรื่องร้าย ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวที่น่าสงสารนี้
หรือแท้จริงแล้วสวรรค์ลิขิต
ให้มันเป็นอาวุธ...
เพื่อเป็นทางรอดให้กับนางและครอบครัว
จากสามัญ... สู่ชนชั้นสูงส่ง
ท่ามกลางความทุกข์ที่ถาโถมทว่าในกระท่อมไม้เล็ก ๆ ซึ่งเป็นที่รักษาตัวของผู้ป่วยกลับมีเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นเมื่อยามราตรีเริ่มมาเยือนร่างกลมป้อมของเจ้าตัวน้อยเดินวนรอบตัวมารดา โดยมีมือกลมอวบจับไหล่นางไว้เพื่อไม่ให้ล้มลงไป“มะ มะ จ๋า”เจ้าตัวน้อยยิ้มหวานพลางพูดจาตามประสาเด็ก เดินเตาะแตะไปรอบ ๆเสียงน้อย ๆ ของลูกเป็นยาชั้นดีทำให้ซ่งเม่ยหลินยิ้มได้ในวันที่มีน้ำตามาเยือนไม่ขาดสาย“มะ มะ! เอิ๊ก ๆ” เจ้าก้อนแป้งโถมตัวกอดคอมารดาจากด้านหลังตามด้วยเสียงหัวเราะร่าเริง“ลูกรัก ยังไม่ง่วงอีกหรือจ๊ะ” ซ่งเม่ยหลินวางพู่กันในมือ ก่อนเอี้ยวตัวไปคว้าเจ้าตัวนุ่มนิ่มมานอนในตัก“มะ จ๋า”“ปะ ป้อ”“พ่อของลูกนอนอยู่ตรงโน้นเห็นไหมจ๊ะ”“ท่านพ่อไม่สบายหนักมาก ลูกต้องคอยดูแลท่านพ่อรู้ไหม”ซ่งเม่ยหลินยิ้มพลางตอบบุตรชายที่ช่างเจรจาโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย“จ้า จ้ะ ป๋อ ฮ้าวว”“ใช่แล้ว พ่อจ๋าของลูก”ซ่งเม่ยหลินหอมแก้มแกก่อนบอกเขาอีกครั้ง...ไม่เคยเบื่อที่จะคอยบอกลูกว่าเขาคือพ่อของแกนางกอดลูกไว้แนบอก ก่อนค่อยอุ้มพาดบ่าแล้วลุกไปยังฟูกที่สามีนอนอยู่สายของวันนี้หลังจากคุยกับองครักษ์ตู้ผู้นั้นดูเหมือนว่าอ
ไม่นานเหตุการณ์ที่หน้าผา สั่นสะเทือนไปทั่วอาณาจักรซ่างหยุนอย่างรวดเร็ว ความเศร้าโศกเข้าครอบงำจิตใจผู้คนทว่ามิใช่กับผู้อยู่เบื้องหลังเงามืดของเรื่องเลวร้ายนี้ในคฤหาสน์หลังงามของตระกูลลั่ว เสียงหัวเราะแหบต่ำของชายผู้หนึ่งดังลอดประตูที่ปิดสนิทลั่วเหวินซาง บุตรชายคนโตของลั่วเฟยเทียนคหบดีแห่งภาคใต้ชายผู้ไร้เมตตาและเปี่ยมความทะเยอทะยานยามนี้ชายหนุ่มผู้มากแผนการ นั่งบนเก้าอี้ซึ่งเป็นที่ประจำตำแหน่งของบิดามือถือจอกสุราขึ้นหมุนเล่น ราวเพียงสำรวจเงาสะท้อนในจอกมากกว่าจะดื่มมันจริง ๆ“หึ พวกมันหล่นจากหน้าผาเช่นนั้น ต่อให้เป็นเทพเซียนก็มิอาจมีชีวิตรอด”เขาหัวเราะในลำคอ พลางเอนกายลงลูบพนักเก้าอี้อย่างหลงใหล“อีกไม่นาน เก้าอี้ตัวนี้จะเป็นของข้าพร้อมกับตำแหน่งผู้นำตระกูลลั่วรุ่นที่สี่”หญิงวัยกลางคนที่นั่งเคียงข้าง...ผู้เป็นมารดาของเขา พยักหน้าอย่างพึงใจ“ต่อไปนี้สิ่งที่ควรเป็นของเจ้า จะไม่มีผู้ใดช่วงชิงมันไปได้อีก”ผู้พูดสีหน้าฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มเย็นชา...ไร้ความรู้สึกผิดแม้กระผีกเดียวเพราะมารดาเป็นเช่นนี้ จึงไม่แปลกนักที่บุตรชายจะเดินรอยตามความชั่วของนาง“ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าไม่เคยมีสิ่งใดเหนือก
ณ มุมหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนแนบผนังอย่างเงียบงันดวงตาแน่นิ่งจับจ้องภาพตรงหน้าราวกับถูกสะกดตู้อี้จ๋าย บ่าวผู้ภักดีซึ่งตั้งใจมาเยี่ยมดูอาการเจ้านายเฉกเช่นทุกวันไม่คาดคิดเลยว่าจะได้ยินได้เห็นสิ่งที่ทำให้ชายชาตินักรบ...ถึงกับเข่าทรุดลงไปกองกับพื้นสตรีนางนั้นร้องไห้คร่ำครวญ จนเปิดเผยสิ่งที่น่ากลัวมันทำให้หัวใจของเขาแหลกเหลวไม่มีชิ้นดีเจ้านายของเขาจากไปไกลแล้วอย่างนั้นหรือ?คำสั่งสุดท้ายที่บอกให้เขาห้ามทอดทิ้งพวกนางแท้จริงเป็นคำสั่งของบุรุษที่เป็นสามีนาง หาใช่คำสั่งเสียของเจ้านายของเขาไม่เรื่องบ้า ๆ ที่เคยเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก ‘สลับร่างสับเปลี่ยนวิญญาณ’ กลับเกิดขึ้นจริง ๆ งั้นหรือ?ตู้อี้จ๋ายหลุบตาลงช้า ๆภาพความทรงจำวันวานไหลบ่าเข้ามาไม่ขาดสายเสียงดาบฟาดใส่โล่อย่างบ้าคลั่ง เสียงร้องของทหารบาดเจ็บ เสียงม้ากระทืบพื้นจนดินสั่นสะเทือนสนามรบเมื่อสิบสามปีก่อนตู้อี้จ๋ายตอนนั้นยังเป็นเพียงองครักษ์หนุ่มที่พยายามฝึกฝนตนเองให้คู่ควรกับหน้าที่ในวันนั้นเขาถูกศัตรูลอบแทงจากด้านหลัง ล้มลงท่ามกลางกองเลือด...สิ้นหวังและรอความตาย“อี้จ๋าย! ลุกขึ้น! อย่าตายที่นี่!”เสียงหนึ่งตะ
เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านฮวาโหววันนี้...ดูเหมือนจะอ่อนโยนกว่าหลายวันที่ผ่านมาภายในเรือนไม้หลังเดิมของหมู่บ้านฮวาโหว บนฟูกฟางริมผนังคนป่วยค่อย ๆ ขยับเปลือกตาหนักอึ้ง หลังหลับใหลอยู่นานนับครึ่งเดือนกลิ่นสมุนไพรอ่อน ๆ แตะปลายจมูก เป็นสัญญาณแรกที่บอกว่าตัวเองยังมีชีวิตนางสูดลมหายใจลึก พยายามเรียกคืนสติที่แตกกระจัดกระจายเหมือนใบไม้ที่ปลิดปลิวและทันทีที่ดวงตาพร่าเลือนปรับรับแสงได้สิ่งแรกที่เห็นคือร่างเล็กกลมป้อมของลูกชายที่นางไม่มีวันลืมเจ้าตัวน้อยนั่งอยู่ใกล้ ๆ ขณะเล่นตุ๊กตาผ้า“หานเอ๋อร์...”เสียงเรียกแผ่วเบาเล็ดลอดจากริมฝีปากแห้งผากของผู้เป็นแม่เสียงนั้นสั่นระรัวแฝงด้วยความกลัวจับจิต...กลัวว่ามันจะเป็นแค่ความฝันนางค่อยยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางอ้าแขนกว้างให้ลูกน้อยมาหา“มะ… มะ…”“แง้งงงงง!”เสียงเล็กเรียกมารดาด้วยความคุ้นเคยไม่นานนักเจ้าก้อนแป้งเบะปากแล้วปล่อยโฮพลางคลานเข้าหาอ้อมกอดแม่ด้วยความคะนึงหาสิบห้าวันที่ผ่านมา เจ้าตัวน้อยถูกพี่สาวใจดีอย่างเสี่ยวจินดูแลแต่ต้องอยู่ในห้องนี้เท่านั้น เพราะหากอุ้มแกออกไปห่างมารดาเมื่อใดก็จะหวีดร้องสุดเสียงทันทียามนี้แกหวนคืนอ้อมกอดมารดาอีกครั้ง
ท่ามกลางม่านหมอกที่ปกคลุมเชิงเขาอย่างแน่นหนา ยากนักที่จะมีใครมาพานพบหมู่บ้านแห่งนี้เข้าทว่าตั้งแต่มีผู้บริสุทธิ์ร่วงลงมาจากการผลักไสของคนชั่ว ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นความลับอีกต่อไปเหล่าองครักษ์ผู้รอดชีวิตจากการต่อสู้เบื้องบน พากันไต่ลงจากหน้าผาอย่างไม่หวาดหวั่นแม้เชือกที่ใช้โรยตัวอาจขาดลงได้ทุกเมื่อ.. แต่หามีใครถอดใจในการตามหาผู้เป็นนายไม่ตู้อี้จ๋ายเดินนำหน้า แม้สีหน้ามุ่งมั่นแต่แววตากลับฉายความหวั่นไหว“พวกเราต้องหาองค์รัชทายาทให้เจอ ไม่ว่าจะเป็นหรือ...”คำพูดบางคำจมหาย เขาไม่กล้าเอ่ยมันออกมา แต่... ท่ามกลางความหวังริบหรี่นั้น“หัวหน้าขอรับ ทางนั้น”เสียงร้องตะโกนของหยวนอี้ รองหัวหน้าองครักษ์ปลุกความหวังที่ใกล้มอดดับตู้อี้จ๋ายหันขวับทันทีเพ่งมองผ่านพุ่มไม้แน่นที่แหวกออกก่อนเห็นร่างสูงใหญ่ปะทะแสงแดดยามเย็น...“องค์รัชทายาท!!”เขาร้องเรียกสุดเสียง ก่อนออกวิ่งเต็มแรงตรงไปหาพระองค์หัวใจเต้นโครมครามดวงตาร้อนผ่าว เมื่อเห็นเงาของผู้เป็นนายอยู่ไม่ไกล...เหล่าองครักษ์ผู้อาจหาญและภักดี ไม่มีใครไม่หลั่งน้ำตาออกมาขณะที่วิ่งกรูกันไปยังพุ่มไม้นั้นตู้อี้จ๋ายที่วิ่งไปก่อนใครยิ่งเข้าใกล้ย
ก้นเหวที่ทอดลึกลงไป จนมองไม่เห็นเบื้องล่างจากหน้าผาด้านบนหาใช่แดนมรณะเต็มไปด้วยโขดหินแข็งกระด้างดั่งที่คนชั่วพวกนั้นคาดหวังไม่ตรงกันข้าม มันกลับซุกซ่อนความมหัศจรรย์บางอย่างไว้อย่างน่าทึ่งหาดทรายทอดตัวเลียบลำธารยาวคดเคี้ยว ดุจเส้นไหมสีเงินไหลผ่านกลางป่าทึบเสียงลำธารยังไหลเอื่อย...ราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแม้จะเพิ่งซับเลือดจากความพังพินาศไว้ก็ตามใต้ซากรถม้า ร่างขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นซ่างหยุนแน่นิ่ง... พระพักตร์เปื้อนโลหิตพระองค์จากไปแล้วทั้งที่พระเนตรเบิกโพลงไม่มีผู้ใดรู้ว่าพระทัยของพระองค์เต็มไปด้วยความโกรธแค้นหรือความเสียพระทัยที่ถูกพี่ชายที่เคารพรักเข่นฆ่าแต่ที่แน่นอนก็คือ...หัวใจที่เคยเต้นเพื่อแผ่นดินหยุดลงทันทีพร้อมกับเสียงรถม้ากระแทกสู่ก้นเหวหนึ่งชีวิตสูงศักดิ์...จากไปโดยไม่มีวันกลับทว่าไม่ห่างกันนักสตรีร่างบอบบางผู้หนึ่งนอนกอดลูกน้อยไว้แน่นใบหน้าเต็มไปด้วยรอยช้ำจากแรงกระแทก…และช่างน่าเหลือเชื่อ เจ้าก้อนแป้งตัวจ้ำม่ำยังหายใจแผ่วเบาอยู่ในอ้อมกอดของมารดาซ่งเม่ยหลิน ยามรถม้าลอยเคว้งในอากาศนางหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติกระแสอารมณ์แหลกสลายด้วยห่วงลูกน้อยจากนั้นทุกอย่างก็ดับ