ม่านหมอกหนาทึบคลุมยอดเขาราวกับต้องการกลบเกลื่อนร่องรอยของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
บนหน้าผาสูงชันก่อนถึงเขตเมืองหลวงแห่งแคว้นซ่างหยุน
ชะตากรรมของคนจากต่างชนชั้น ต่างมาบรรจบกัน ณ ที่แห่งนี้... โดยไร้ลางบอกเหตุ
“องค์รัชทายาท!! ทรงหนีไปพ่ะย่ะค่ะ!”
เคร้ง! เคร้ง!
เสียงโลหะฟาดฟันกระทบกันดังก้อง
“คุ้มกันองค์รัชทายาท!”
องครักษ์ผู้ภักดีพุ่งเข้ารับดาบแทนผู้เป็นนายทันที พลางร้องเตือนผู้ใต้บังคับบัญชา... โดยไม่ลังเลแม้แต่เสี้ยวลมหายใจ
ขณะที่ฝั่งตรงข้ามของหน้าผา
เสียงวิงวอนของบุรุษผู้หนึ่ง
“โปรดไว้ชีวิตลูกกับภรรยาข้า!”
เสียงบุรุษผู้ที่เป็นทั้งพ่อสามี
แม้ร่างกายบาดเจ็บสาหัสเพราะคมดาบ
ถึงกระนั้นเขาก็ยังสู้จนเฮือกสุดท้าย
“เม่ยเม่ย หานเอ๋อร์... อ๊ากกก!!”
สามีของนางฝืนร่างอันอ่อนแรง
เข้าต่อสู้สุดกำลังเพื่อปกป้องภรรยาและลูกชายที่กำลังร่ำไห้เพราะตกใจและหวาดกลัวเหลือกำลัง
“แง้งงงง”
“ท่านพี่! ม่ายยยยย หานเอ๋อร์!!”
หนึ่งเด็กน้อยและสตรีผู้น่าสงสารกรีดร้องสุดเสียง
ดังก้องกังวานไปทั่วหน้าผา
นางเห็นร่างของสามีร่วงหล่นสู่หุบเหวเบื้องล่างต่อหน้าต่อตา
และในชั่วลมหายใจเดียวกันนั้นเอง...รถม้าที่นางกับลูกน้อยนั่งมา ก็ถูกผลักตกตามไปด้วย
สองแขนของนางโอบกอดบุตรชายไว้แน่น
นางหวาดกลัวแทบขาดใจ น้ำตาร่วงเงียบงันกลางเสียงลมคำราม
มารดาหลับตาลง พร้อมภาวนาในใจ หากจะต้องตาย... ขออย่าให้บุตรชายต้องเจ็บปวด
ฝ่ายหนึ่งร่วงหล่นไปก่อน
ขณะที่... อีกหนึ่งกำลังดิ้นรน
“องค์รัชทายาท! อ๊ากกก! ฆ่าพวกมันให้หมด! ไอ้พวกทรยศ!”
เสียงตะโกนขององครักษ์ยังไม่หยุด
ศัตรูเองก็บุกทะลวงเข้ามาราวกับพายุโหมกระหน่ำ
โลหิตของผู้ภักดีไหลนองไปทั่วพื้น
ในชั่วพริบตานั้น...
รถม้าซึ่งเป็นที่ประทับก็หลุดร่วงจากขอบหน้าผาอย่างไม่อาจหวนกลับ
ภายในรถม้าหรูหรา
องค์รัชทายาทของแผ่นดินหลับพระเนตรแน่น ดวงใจร้อนผ่าวด้วยคำถามหนึ่งเดียว
“ทรงกระทำได้ถึงเพียงนี้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำตาไหลรินโดยไร้สุ้มเสียง
‘หากนี่คือวาระสุดท้าย’
‘ข้าขอให้มีคนปลดแอกแคว้นซ่างหยุนจากราชาผู้ไร้หัวใจผู้นี้’
“พวกเจ้าส่งคนไปค้นด้านล่างหุบเขา!.. ไม่ต้องเป็นห่วงข้า! ข้าสั่งให้ไป!!”
ตู้อี้จ๋ายตะโกนสุดเสียง
ดวงตาแดงก่ำด้วยเพลิงแค้น ขณะมองรถม้าค่อย ๆ หายลับลงไปต่อหน้าต่อตา
“หากข้ายังมีชีวิตอยู่... ข้าขอสาบาน พวกมันทุกคนต้องชดใช้ด้วยเลือด!”
สองฟากฝั่ง
สองเหตุการณ์...แต่เกิดขึ้นพร้อมกัน
ฝ่ายหนึ่งผู้สูงศักดิ์ องค์รัชทายาทแห่งแคว้นซ่างหยุน
ชื่อแคว้น ‘ซ่างหยุน’ บ่งบอกถึงความทะเยอทะยาน... ไม่ต่างจากผู้ปกครองแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้ซ่างเทียนจิน
พระหัตถ์เปื้อนเลือดนับไม่ถ้วน ทั้งศัตรูและพวกเดียวกัน
เพียงเพราะหวาดกลัวว่าจะถูกแย่งชิงบัลลังก์
ท่ามกลางแผ่นดินร้อนเป็นไฟเพราะราชาที่ลุแก่อำนาจ
ยังมีหนึ่งหน่อเนื้อดี
ผู้เปี่ยมเมตตาและปัญญา
องค์รัชทายาท ‘ซ่างหวงตี้’ ผู้เป็นดั่งแสงสุดท้ายของไพร่ฟ้าในยุคกลียุค
และนั่นเองคือเหตุ ทำให้พระองค์กลายเป็น ‘ศัตรู’ ของผู้เป็นพี่ชาย
ทั้งที่เคยรักกันราวกับเป็นพี่น้องร่วมอุทร
ทั้งคู่ดื่มนมจากยอดถันคู่เดียวกัน
ทั้งที่เคยให้คำมั่น
“ไม่ว่าชีวิตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร"
“ข้าผู้นี้จะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าผู้เป็นน้องชาย ต่อให้พวกเราเป็นพี่น้องต่างมารดากันก็ตามที”
อนิจจาเมื่อกาลเวลาผันเปลี่ยน
‘คำว่าราชา’ อยู่เหนือ ‘คำว่าพี่น้อง’
อยู่เหนือคำสัญญาหวานหู
พระเชษฐาไร้ใจ... ไม่ไว้ใจผู้ใดในใต้หล้าอีกต่อไป
อีกฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงครอบครัวพ่อค้า
บุตรชายคนรองแห่งตระกูลพ่อค้าอันดับหนึ่งของภาคใต้ของแผ่นดิน
ผู้ซึ่งถูกหลอกให้เดินทางมาเจรจาการค้าอันยิ่งใหญ่ในเมืองหลวง
แต่แท้จริงคือแผนลวงของผู้เป็น ‘พี่ชาย’
ยังไม่ทันถึงที่หมาย...ทั้งสามชีวิตก็ถูกกำจัดตามแผน
สองฟากหน้าผา...ชะตาเดียวกัน
ต่างชนชั้น... แต่ชะตากรรมกลับคล้ายคลึง
ต่างเหตุผล...แต่ผู้กระทำกลับเป็น ‘คนในครอบครัว’เหมือนกัน
ทั้งสี่ชีวิตตกลงสู่หุบเหวเดียวกัน...
แต่จุดจบของพวกเขาจะเหมือนกันหรือไม่?
คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้
ท่ามกลางความทุกข์ที่ถาโถมทว่าในกระท่อมไม้เล็ก ๆ ซึ่งเป็นที่รักษาตัวของผู้ป่วยกลับมีเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นเมื่อยามราตรีเริ่มมาเยือนร่างกลมป้อมของเจ้าตัวน้อยเดินวนรอบตัวมารดา โดยมีมือกลมอวบจับไหล่นางไว้เพื่อไม่ให้ล้มลงไป“มะ มะ จ๋า”เจ้าตัวน้อยยิ้มหวานพลางพูดจาตามประสาเด็ก เดินเตาะแตะไปรอบ ๆเสียงน้อย ๆ ของลูกเป็นยาชั้นดีทำให้ซ่งเม่ยหลินยิ้มได้ในวันที่มีน้ำตามาเยือนไม่ขาดสาย“มะ มะ! เอิ๊ก ๆ” เจ้าก้อนแป้งโถมตัวกอดคอมารดาจากด้านหลังตามด้วยเสียงหัวเราะร่าเริง“ลูกรัก ยังไม่ง่วงอีกหรือจ๊ะ” ซ่งเม่ยหลินวางพู่กันในมือ ก่อนเอี้ยวตัวไปคว้าเจ้าตัวนุ่มนิ่มมานอนในตัก“มะ จ๋า”“ปะ ป้อ”“พ่อของลูกนอนอยู่ตรงโน้นเห็นไหมจ๊ะ”“ท่านพ่อไม่สบายหนักมาก ลูกต้องคอยดูแลท่านพ่อรู้ไหม”ซ่งเม่ยหลินยิ้มพลางตอบบุตรชายที่ช่างเจรจาโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย“จ้า จ้ะ ป๋อ ฮ้าวว”“ใช่แล้ว พ่อจ๋าของลูก”ซ่งเม่ยหลินหอมแก้มแกก่อนบอกเขาอีกครั้ง...ไม่เคยเบื่อที่จะคอยบอกลูกว่าเขาคือพ่อของแกนางกอดลูกไว้แนบอก ก่อนค่อยอุ้มพาดบ่าแล้วลุกไปยังฟูกที่สามีนอนอยู่สายของวันนี้หลังจากคุยกับองครักษ์ตู้ผู้นั้นดูเหมือนว่าอ
ไม่นานเหตุการณ์ที่หน้าผา สั่นสะเทือนไปทั่วอาณาจักรซ่างหยุนอย่างรวดเร็ว ความเศร้าโศกเข้าครอบงำจิตใจผู้คนทว่ามิใช่กับผู้อยู่เบื้องหลังเงามืดของเรื่องเลวร้ายนี้ในคฤหาสน์หลังงามของตระกูลลั่ว เสียงหัวเราะแหบต่ำของชายผู้หนึ่งดังลอดประตูที่ปิดสนิทลั่วเหวินซาง บุตรชายคนโตของลั่วเฟยเทียนคหบดีแห่งภาคใต้ชายผู้ไร้เมตตาและเปี่ยมความทะเยอทะยานยามนี้ชายหนุ่มผู้มากแผนการ นั่งบนเก้าอี้ซึ่งเป็นที่ประจำตำแหน่งของบิดามือถือจอกสุราขึ้นหมุนเล่น ราวเพียงสำรวจเงาสะท้อนในจอกมากกว่าจะดื่มมันจริง ๆ“หึ พวกมันหล่นจากหน้าผาเช่นนั้น ต่อให้เป็นเทพเซียนก็มิอาจมีชีวิตรอด”เขาหัวเราะในลำคอ พลางเอนกายลงลูบพนักเก้าอี้อย่างหลงใหล“อีกไม่นาน เก้าอี้ตัวนี้จะเป็นของข้าพร้อมกับตำแหน่งผู้นำตระกูลลั่วรุ่นที่สี่”หญิงวัยกลางคนที่นั่งเคียงข้าง...ผู้เป็นมารดาของเขา พยักหน้าอย่างพึงใจ“ต่อไปนี้สิ่งที่ควรเป็นของเจ้า จะไม่มีผู้ใดช่วงชิงมันไปได้อีก”ผู้พูดสีหน้าฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มเย็นชา...ไร้ความรู้สึกผิดแม้กระผีกเดียวเพราะมารดาเป็นเช่นนี้ จึงไม่แปลกนักที่บุตรชายจะเดินรอยตามความชั่วของนาง“ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าไม่เคยมีสิ่งใดเหนือก
ณ มุมหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนแนบผนังอย่างเงียบงันดวงตาแน่นิ่งจับจ้องภาพตรงหน้าราวกับถูกสะกดตู้อี้จ๋าย บ่าวผู้ภักดีซึ่งตั้งใจมาเยี่ยมดูอาการเจ้านายเฉกเช่นทุกวันไม่คาดคิดเลยว่าจะได้ยินได้เห็นสิ่งที่ทำให้ชายชาตินักรบ...ถึงกับเข่าทรุดลงไปกองกับพื้นสตรีนางนั้นร้องไห้คร่ำครวญ จนเปิดเผยสิ่งที่น่ากลัวมันทำให้หัวใจของเขาแหลกเหลวไม่มีชิ้นดีเจ้านายของเขาจากไปไกลแล้วอย่างนั้นหรือ?คำสั่งสุดท้ายที่บอกให้เขาห้ามทอดทิ้งพวกนางแท้จริงเป็นคำสั่งของบุรุษที่เป็นสามีนาง หาใช่คำสั่งเสียของเจ้านายของเขาไม่เรื่องบ้า ๆ ที่เคยเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก ‘สลับร่างสับเปลี่ยนวิญญาณ’ กลับเกิดขึ้นจริง ๆ งั้นหรือ?ตู้อี้จ๋ายหลุบตาลงช้า ๆภาพความทรงจำวันวานไหลบ่าเข้ามาไม่ขาดสายเสียงดาบฟาดใส่โล่อย่างบ้าคลั่ง เสียงร้องของทหารบาดเจ็บ เสียงม้ากระทืบพื้นจนดินสั่นสะเทือนสนามรบเมื่อสิบสามปีก่อนตู้อี้จ๋ายตอนนั้นยังเป็นเพียงองครักษ์หนุ่มที่พยายามฝึกฝนตนเองให้คู่ควรกับหน้าที่ในวันนั้นเขาถูกศัตรูลอบแทงจากด้านหลัง ล้มลงท่ามกลางกองเลือด...สิ้นหวังและรอความตาย“อี้จ๋าย! ลุกขึ้น! อย่าตายที่นี่!”เสียงหนึ่งตะ
เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านฮวาโหววันนี้...ดูเหมือนจะอ่อนโยนกว่าหลายวันที่ผ่านมาภายในเรือนไม้หลังเดิมของหมู่บ้านฮวาโหว บนฟูกฟางริมผนังคนป่วยค่อย ๆ ขยับเปลือกตาหนักอึ้ง หลังหลับใหลอยู่นานนับครึ่งเดือนกลิ่นสมุนไพรอ่อน ๆ แตะปลายจมูก เป็นสัญญาณแรกที่บอกว่าตัวเองยังมีชีวิตนางสูดลมหายใจลึก พยายามเรียกคืนสติที่แตกกระจัดกระจายเหมือนใบไม้ที่ปลิดปลิวและทันทีที่ดวงตาพร่าเลือนปรับรับแสงได้สิ่งแรกที่เห็นคือร่างเล็กกลมป้อมของลูกชายที่นางไม่มีวันลืมเจ้าตัวน้อยนั่งอยู่ใกล้ ๆ ขณะเล่นตุ๊กตาผ้า“หานเอ๋อร์...”เสียงเรียกแผ่วเบาเล็ดลอดจากริมฝีปากแห้งผากของผู้เป็นแม่เสียงนั้นสั่นระรัวแฝงด้วยความกลัวจับจิต...กลัวว่ามันจะเป็นแค่ความฝันนางค่อยยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางอ้าแขนกว้างให้ลูกน้อยมาหา“มะ… มะ…”“แง้งงงงง!”เสียงเล็กเรียกมารดาด้วยความคุ้นเคยไม่นานนักเจ้าก้อนแป้งเบะปากแล้วปล่อยโฮพลางคลานเข้าหาอ้อมกอดแม่ด้วยความคะนึงหาสิบห้าวันที่ผ่านมา เจ้าตัวน้อยถูกพี่สาวใจดีอย่างเสี่ยวจินดูแลแต่ต้องอยู่ในห้องนี้เท่านั้น เพราะหากอุ้มแกออกไปห่างมารดาเมื่อใดก็จะหวีดร้องสุดเสียงทันทียามนี้แกหวนคืนอ้อมกอดมารดาอีกครั้ง
ท่ามกลางม่านหมอกที่ปกคลุมเชิงเขาอย่างแน่นหนา ยากนักที่จะมีใครมาพานพบหมู่บ้านแห่งนี้เข้าทว่าตั้งแต่มีผู้บริสุทธิ์ร่วงลงมาจากการผลักไสของคนชั่ว ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นความลับอีกต่อไปเหล่าองครักษ์ผู้รอดชีวิตจากการต่อสู้เบื้องบน พากันไต่ลงจากหน้าผาอย่างไม่หวาดหวั่นแม้เชือกที่ใช้โรยตัวอาจขาดลงได้ทุกเมื่อ.. แต่หามีใครถอดใจในการตามหาผู้เป็นนายไม่ตู้อี้จ๋ายเดินนำหน้า แม้สีหน้ามุ่งมั่นแต่แววตากลับฉายความหวั่นไหว“พวกเราต้องหาองค์รัชทายาทให้เจอ ไม่ว่าจะเป็นหรือ...”คำพูดบางคำจมหาย เขาไม่กล้าเอ่ยมันออกมา แต่... ท่ามกลางความหวังริบหรี่นั้น“หัวหน้าขอรับ ทางนั้น”เสียงร้องตะโกนของหยวนอี้ รองหัวหน้าองครักษ์ปลุกความหวังที่ใกล้มอดดับตู้อี้จ๋ายหันขวับทันทีเพ่งมองผ่านพุ่มไม้แน่นที่แหวกออกก่อนเห็นร่างสูงใหญ่ปะทะแสงแดดยามเย็น...“องค์รัชทายาท!!”เขาร้องเรียกสุดเสียง ก่อนออกวิ่งเต็มแรงตรงไปหาพระองค์หัวใจเต้นโครมครามดวงตาร้อนผ่าว เมื่อเห็นเงาของผู้เป็นนายอยู่ไม่ไกล...เหล่าองครักษ์ผู้อาจหาญและภักดี ไม่มีใครไม่หลั่งน้ำตาออกมาขณะที่วิ่งกรูกันไปยังพุ่มไม้นั้นตู้อี้จ๋ายที่วิ่งไปก่อนใครยิ่งเข้าใกล้ย
ก้นเหวที่ทอดลึกลงไป จนมองไม่เห็นเบื้องล่างจากหน้าผาด้านบนหาใช่แดนมรณะเต็มไปด้วยโขดหินแข็งกระด้างดั่งที่คนชั่วพวกนั้นคาดหวังไม่ตรงกันข้าม มันกลับซุกซ่อนความมหัศจรรย์บางอย่างไว้อย่างน่าทึ่งหาดทรายทอดตัวเลียบลำธารยาวคดเคี้ยว ดุจเส้นไหมสีเงินไหลผ่านกลางป่าทึบเสียงลำธารยังไหลเอื่อย...ราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแม้จะเพิ่งซับเลือดจากความพังพินาศไว้ก็ตามใต้ซากรถม้า ร่างขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นซ่างหยุนแน่นิ่ง... พระพักตร์เปื้อนโลหิตพระองค์จากไปแล้วทั้งที่พระเนตรเบิกโพลงไม่มีผู้ใดรู้ว่าพระทัยของพระองค์เต็มไปด้วยความโกรธแค้นหรือความเสียพระทัยที่ถูกพี่ชายที่เคารพรักเข่นฆ่าแต่ที่แน่นอนก็คือ...หัวใจที่เคยเต้นเพื่อแผ่นดินหยุดลงทันทีพร้อมกับเสียงรถม้ากระแทกสู่ก้นเหวหนึ่งชีวิตสูงศักดิ์...จากไปโดยไม่มีวันกลับทว่าไม่ห่างกันนักสตรีร่างบอบบางผู้หนึ่งนอนกอดลูกน้อยไว้แน่นใบหน้าเต็มไปด้วยรอยช้ำจากแรงกระแทก…และช่างน่าเหลือเชื่อ เจ้าก้อนแป้งตัวจ้ำม่ำยังหายใจแผ่วเบาอยู่ในอ้อมกอดของมารดาซ่งเม่ยหลิน ยามรถม้าลอยเคว้งในอากาศนางหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติกระแสอารมณ์แหลกสลายด้วยห่วงลูกน้อยจากนั้นทุกอย่างก็ดับ