ณ มุมหนึ่งของเรือนไม้ไผ่
ชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนแนบผนังอย่างเงียบงัน
ดวงตาแน่นิ่งจับจ้องภาพตรงหน้าราวกับถูกสะกด
ตู้อี้จ๋าย บ่าวผู้ภักดีซึ่งตั้งใจมาเยี่ยมดูอาการเจ้านายเฉกเช่นทุกวัน
ไม่คาดคิดเลยว่า
จะได้ยินได้เห็นสิ่งที่ทำให้ชายชาตินักรบ...ถึงกับเข่าทรุดลงไปกองกับพื้น
สตรีนางนั้นร้องไห้คร่ำครวญ จนเปิดเผยสิ่งที่น่ากลัว
มันทำให้หัวใจของเขาแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี
เจ้านายของเขาจากไปไกลแล้วอย่างนั้นหรือ?
คำสั่งสุดท้ายที่บอกให้เขาห้ามทอดทิ้งพวกนาง
แท้จริงเป็นคำสั่งของบุรุษที่เป็นสามีนาง หาใช่คำสั่งเสียของเจ้านายของเขาไม่
เรื่องบ้า ๆ ที่เคยเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก ‘สลับร่างสับเปลี่ยนวิญญาณ’ กลับเกิดขึ้นจริง ๆ งั้นหรือ?
ตู้อี้จ๋ายหลุบตาลงช้า ๆ
ภาพความทรงจำวันวานไหลบ่าเข้ามาไม่ขาดสาย
เสียงดาบฟาดใส่โล่อย่างบ้าคลั่ง เสียงร้องของทหารบาดเจ็บ เสียงม้ากระทืบพื้นจนดินสั่นสะเทือน
สนามรบเมื่อสิบสามปีก่อน
ตู้อี้จ๋ายตอนนั้นยังเป็นเพียงองครักษ์หนุ่มที่พยายามฝึกฝนตนเองให้คู่ควรกับหน้าที่
ในวันนั้น
เขาถูกศัตรูลอบแทงจากด้านหลัง ล้มลงท่ามกลางกองเลือด...สิ้นหวังและรอความตาย
“อี้จ๋าย! ลุกขึ้น! อย่าตายที่นี่!”
เสียงหนึ่งตะโกนลั่นกลางเสียงวุ่นวาย
มือที่เปื้อนเลือดคว้าเขาขึ้นจากพื้น
พระวรกายขององค์รัชทายาททรุดตัวลงข้างเขา ไม่สนพระองค์เองจะทรงบาดเจ็บเช่นกัน
"คนอย่างเจ้าจะมาตายไร้ค่าแบบนี้ไม่ได้ เข้าใจไหม!"
เขาจำได้ถึงแววตานั้น...เด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ที่สุดในชีวิต
มันเป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่า ชีวิตนี้ต้องอุทิศให้เจ้านายผู้นี้แต่เพียงผู้เดียว
ภาพสลับอีกฉากหนึ่งตามมาในบัดดล...
ค่ำคืนอันเงียบสงบในวังตะวันออก
เขาคุกเข่าอยู่หน้าพระองค์
ดวงหน้าละลานไปด้วยน้ำตา ยามมองบุตรแรกเกิดของตนซึ่งมารดาสิ้นไปด้วยไข้หลังคลอด
“เด็กคนนี้อาภัพนักพ่ะย่ะค่ะ”
เขากล่าวด้วยเสียงสั่นเครือยามกอดลูกน้อยไว้ในอ้อมกอด
องค์รัชทายาททรงเอื้อมพระหัตถ์มาอุ้มลูกของเขาไว้ในอ้อมพระกร
ทรงมองดวงหน้าน้อย ๆ ที่ยังหลับตาพริ้มอย่างพินิจ แล้วรับสั่ง
“จะอาภัพได้เช่นไรกัน เขายังบิดาที่เก่งกาจอย่างเจ้า”
“และเขายังมีข้า”
“ชีวิตของเด็กน้อยผู้นี้จะต้องบินสูงดั่งนกเหยี่ยว...จงชื่อว่า ‘เฟยอิง’”
วันนั้น...น้ำตาของเขาหลั่งด้วยความปลื้มปีติ
มิใช่เพราะเพียงแค่ชื่อ
หากเพราะเขาเห็นเจ้านายอุ้มบุตรตนไว้ด้วยสองพระหัตถ์... เหมือนลูกในอ้อมอกตนเอง
มิถือพระองค์มิแต่น้อย
จากนั้นสิ่งที่ถาโถมตามมาก็คือ...สิ่งที่ทรงตรัสกับเขาทุกครั้งที่มีโอกาส
“อี้จ๋าย เจ้ารู้หรือไม่ว่าความฝันของข้าคือทำให้คนแคว้นซ่างหยุนมีแต่รอยยิ้ม”
“ร่มเย็น สงบสุข ไร้สงคราม”
“ข้ากับฮ่องเต้เคยสาบานว่าจะทำให้ได้”
“แต่บัดนี้ อำนาจในมือทำให้ฝ่าบาทเปลี่ยนไป...ทรงลืมสัญญานั่นไปเสียแล้ว”
พระสุรเสียงแสนเศร้าโศกของผู้เป็นนายดังก้อง
“องค์รัชทายาทที่เป็นเพียงแค่ชาวบ้านสามัญชน จะช่วยผู้คนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ตู้อี้จ๋ายค่อย ๆ ก้มศีรษะลงอย่างเงียบงันพลางร่ำไห้ลงกับพื้น ขณะถามในสิ่งที่ไม่มีทางได้คำตอบ
และการต่อสู้อย่างหนักหน่วงภายในใจของเขา
“หากกระหม่อมละทิ้งพระวรกายพระองค์ไว้ตรงนี้”
“ปล่อยให้พระองค์หายไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นการดีที่สุดหรือไม่...”
องครักษ์หนุ่มร้องไห้ไร้เสียง
ไม่เหลือความน่าเกรงขามใดหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
ซ่งเม่ยหลินซึ่งเฝ้ามองเขาอยู่เงียบ ๆ ไม่ไกล
นางได้ยินทุกถ้อยคำของเขา...อย่างแจ่มชัด
ทุกคำถามที่เขาเอ่ยกับความว่างเปล่า ล้วนซึมเข้าไปในใจของนางทีละคำ...
‘องค์-รัช-ทา-ยาท’
นางค้นพบ...หนทางที่จะยื้อชีวิตเขาไว้ให้ได้
ดวงตาของนางแดงก่ำแต่เด็ดเดี่ยวกว่าครั้งไหน ๆ
“ช่วยได้แน่”
“ข้าและสามีจะช่วยผู้คนแทนเจ้านายท่านได้”
“ขอแค่เขาฟื้นขึ้นมา ไม่ว่าท่านต้องการสิ่งใด ข้าคนนี้จะทำให้ทุกอย่าง ฮือ ๆ”
ปึก
“ได้โปรด อย่าละทิ้งเจ้านายของท่านไว้ที่นี่”
ซ่งเม่ยหลินคุกเข่าศีรษะติดพื้นทั้งน้ำตา ขณะที่เจ้าตัวน้อยยังอยู่ในอ้อมกอดของนาง
นี่คือทางรอด...ที่นางเลือก
ทันทีที่รู้ว่าสามีของนางมีชีวิตอยู่ในร่างของชายสูงศักดิ์นางตัดสินใจได้โดยไม่ลังเล
ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะยื้อชีวิตเขาได้อยู่ที่นั่น
ทั้งหมอมากฝีมือและสมุนไพร
ทั้งหมด...อยู่ในวังหลวง
ถึงแม้ที่แห่งนั้น...ไม่ใช่ที่ที่คนอย่างนางควรเข้าใกล้
แต่... เพราะชีวิตแสนล้ำค่าของเขากับบุตรชายในอ้อมกอด
นางขอเอาชีวิตเป็นเดิมพันนับจากนี้ไป
ซ่งเม่ยหลินเช็ดน้ำตา
พลางแหงนหน้าสบตาคนที่ยืนขึ้นพลางจ้องมองนางด้วยดวงตาแดงก่ำไม่แพ้กัน
อีกฝ่ายยังคงใจเย็นฟังนางโดยไม่คิดจะเดินหนี หรือชี้หน้าด่าว่านางเป็นสตรีบ้าเพ้อเจ้อ
“ข้ารู้ดีว่ามันยากที่จะเชื่อ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว”
นางหยัดตัวยืนขึ้นบ้างโดยมีบุตรชายที่ยังคงสะอื้นไว้แนบอก
“เจ้านายของท่านถูกคนชั่วผลักไสให้ตกลงมาตาย ไม่ต่างจากพวกข้า”
ซ่งเม่ยหลินเชิดหน้า พยายามสกัดน้ำตามิให้ไหลออกมา
“แม้ต่างกรรมต่างวาระ...แต่ถูกกระทำโดยคนชั่วทั้งสิ้น”
“ข้ากับสามี มิเคยทำร้ายผู้ใด ไม่เคยคิดเอาชีวิตผู้ใด ฮึก”
เสียงของนางขาดห้วง...พร้อมกับน้ำตาที่ห้ามไม่อยู่
“แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้ว”
“สวรรค์มิได้เข้าข้างหรือคอยปกป้องคนดี”
“มีแต่ตัวเราเท่านั้น...ที่ต้องดิ้นรนช่วยตนเอง”
“นับจากนี้ไป ข้าคนนี้จะทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด”
“ข้าจะยื้อชีวิตเขาไว้...”
“ทำทุกอย่างให้เขา”
“สวมรอยเป็นองค์รัชทายาทแห่งซ่างหยุนที่องอาจและเก่งกาจไม่แพ้เจ้านายผู้อาภัพของท่าน”
นางหยุดพูดพลางหันไปสบตาตู้อี้จ๋ายด้วยแววตาแข็งกร้าว
“เจ้าเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง จะช่วยสิ่งใดองค์รัชทายาทของแคว้นซ่างหยุนได้อย่างนั้นหรือ”
ตู้อี้จ๋ายเช็ดน้ำตาลวก ๆ พลางถามสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเยาะเย้ยอย่างอดไม่ได้
นางเช็ดน้ำตาอย่างเข้มแข็งยามตอบโต้ตู้อี้จ๋าย
หัวใจ... เด็ดเดี่ยวหลังจากผ่านความเป็นความตาย
หัวใจ...ของคนเป็นแม่ที่ไม่อาจทนเห็นเสียงหวีดร้องเพราะหวาดกลัวของลูกน้อยได้อีก
มันทำให้นางต้องยืนหยัด...
ไม่ว่าภายในจิตใจจะพังทลายแค่ไหนก็ตาม
“สตรีที่เคยทำให้แผ่นดินล่มสลายมีมากนับไม่ถ้วน” “อย่าได้ดูเบาสตรีเช่นข้า”
“ท่านรู้ไว้เพียงว่า...”
“ข้าสามารถทำให้องค์รัชทายาท ขึ้นครองราชย์ได้ก็พอ”
ตู้อี้จ๋ายเงียบงัน ก่อนทอดตามองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาซับซ้อน
มีทั้งความเข้าใจ ความลังเล และความรู้สึกหนักหน่วงที่เขาไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำได้ง่าย ๆ
“ข้ารู้ว่าท่านเจ็บปวด... และต้องการแก้แค้น”
เสียงเขาเอ่ยแผ่วเบา ทว่าเต็มไปด้วยสัจจริงของคนที่เคยผ่านแผ่นดินเปื้อนเลือดมา
“แต่วังหลวง...มิใช่ที่ที่ใครก็จะอยู่ได้”
“ท่านก็เห็นแล้ว...แม้แต่เจ้านายของข้า ผู้เกิดมาพร้อมด้วยอำนาจและบารมี”
“ยังไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้”
เขาหยุดเงียบชั่วขณะหนึ่ง ก่อนกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อไล่น้ำตาทิ้งไป พลางพูดต่ออย่างหนักแน่น
“ข้าขอแนะนำให้เจ้า...”
“ใช้เวลาที่เขามีอยู่น้อยนิดให้คุ้มค่า”
“อย่าเสียเวลาดิ้นรนไปที่นั่นเลย”
“กว่าจะเข้าวังหลวงและให้หมอหลวงรักษาเขา”
“มันก็สายไปแล้ว”
นั่นคือคำตัดสินใจ...ที่ยากที่สุดเท่าที่เขาเคยมีมา
เขาเลือกละทิ้งพระวรกายของเจ้านายที่ตนนับถือเหนือชีวิต
องค์รัชทายาทแห่งซ่างหยุนจะไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป
เขาหวังว่านาง...จะมีเวลาอยู่กับสามีในร่างนั้นได้นานอีกหน่อย
ซ่งเม่ยหลินเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้
“ขอเวลาให้ข้าได้แสดงให้ท่านเห็น”
“จากนั้น...ท่านค่อยตัดสินใจก็ไม่สาย”
คำพูดอวดดีออกจากปากนางอย่างน่าขัน
แต่มันจากหัวใจของผู้หญิงที่ไม่มีอะไรเหลือจะเสียอีกแล้ว
ตู้อี้จ๋ายสบตานาง ก่อนถอนหายใจในความดื้อรั้นของอีกฝ่าย
“พวกข้าจะอยู่ที่นี่ได้อีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้น”
“ทันทีที่คนของข้าฟื้นตัวพอจะเดินทาง...พวกเราจะจากไปทันที”
“เจ้ามีเวลาจนถึงตอนนั้น”
ตู้อี้จ๋ายไม่ได้ปฏิเสธ
แต่กลับบอกให้รู้ว่า....นางมีเวลาไม่นานที่จะพิสูจน์
เขาปาดน้ำตาอย่างลวก ๆ
หันกลับไปมองพระวรกายของเจ้านายอีกครั้ง
‘แม้กระหม่อมจะทิ้งร่างพระองค์ไว้ที่นี่’
‘แต่ความแค้นที่พวกมันทำไว้ กระหม่อมจะเอาคืนแทนพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ’
องครักษ์ผู้ภักดีตัดสินใจอย่างแน่วแน่ก่อนเดินจากไป
ทว่า...ไม่ว่าตู้อี้จ๋ายจะคิดเช่นไร
แต่ซ่งเม่ยหลินถือว่านางซื้อโอกาสได้แล้ว
ที่เหลือก็แค่ต้อง...ลงมือทำให้เขายอมรับนาง
“มะ จ๋า ฮ้าวว”
เจ้าก้อนแป้งในอ้อมกอดซุกหน้ากับซอกคอนางพลางหาวหวอด
ซ่งเม่ยหลินลูบหลังลูกน้อยเบา ๆ ก่อนหอมแก้มนุ่มนิ่มเบา ๆ พลางเดินไปยังคนที่นอนหลับใหล
“นี่คือพ่อของหนูนะ”
“ท่านพ่อที่รักหนูไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแม่”
ซ่งเม่ยหลินกลั้นน้ำตายามจับมือน้อย ๆ ของลูกชายให้จับใบหน้าซีดเซียวของสามี
นางต้องทำให้ลูกรู้ว่า
คนที่ไม่คุ้นเคยนี้คือคนที่มีหัวใจดวงเดิม
จริง ๆ แล้วมิใช่แค่บอกลูกน้อย...ทว่าเป็นการบอกตัวนางเองเช่นกัน
หน้าตาเปลี่ยนไป...แต่หัวใจของเขาคงเดิม
“ป้อ จ๋า”
หานเอ๋อร์ตัวน้อยวัยหนึ่งขวบนั่งในตักมารดายามเรียกบิดา
เจ้าแก้มกลมยิ้มหวานให้มารดาอย่างไร้เดียงสา
น้ำตาของคนเป็นแม่พรั่งพรูออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ใช่แล้วพ่อของลูก”
“แม่จะทำทุกอย่างให้พ่อของเจ้าฟื้นมาเล่นกับเจ้าเหมือนเดิมนะ”
ซ่งเม่ยหลินก้มหน้าหอมกลุ่มผมลูกชายพลางร้องไห้เงียบ ๆ
นางวางแกให้นอนใกล้กับเขา
มือบอบบางตบก้นน้อย ๆ เพื่อขับกลับกล่อมให้ลูกหลับ
แต่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด... ถึงทางออกของวันพรุ่งนี้
ท่ามกลางความทุกข์ที่ถาโถมทว่าในกระท่อมไม้เล็ก ๆ ซึ่งเป็นที่รักษาตัวของผู้ป่วยกลับมีเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นเมื่อยามราตรีเริ่มมาเยือนร่างกลมป้อมของเจ้าตัวน้อยเดินวนรอบตัวมารดา โดยมีมือกลมอวบจับไหล่นางไว้เพื่อไม่ให้ล้มลงไป“มะ มะ จ๋า”เจ้าตัวน้อยยิ้มหวานพลางพูดจาตามประสาเด็ก เดินเตาะแตะไปรอบ ๆเสียงน้อย ๆ ของลูกเป็นยาชั้นดีทำให้ซ่งเม่ยหลินยิ้มได้ในวันที่มีน้ำตามาเยือนไม่ขาดสาย“มะ มะ! เอิ๊ก ๆ” เจ้าก้อนแป้งโถมตัวกอดคอมารดาจากด้านหลังตามด้วยเสียงหัวเราะร่าเริง“ลูกรัก ยังไม่ง่วงอีกหรือจ๊ะ” ซ่งเม่ยหลินวางพู่กันในมือ ก่อนเอี้ยวตัวไปคว้าเจ้าตัวนุ่มนิ่มมานอนในตัก“มะ จ๋า”“ปะ ป้อ”“พ่อของลูกนอนอยู่ตรงโน้นเห็นไหมจ๊ะ”“ท่านพ่อไม่สบายหนักมาก ลูกต้องคอยดูแลท่านพ่อรู้ไหม”ซ่งเม่ยหลินยิ้มพลางตอบบุตรชายที่ช่างเจรจาโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย“จ้า จ้ะ ป๋อ ฮ้าวว”“ใช่แล้ว พ่อจ๋าของลูก”ซ่งเม่ยหลินหอมแก้มแกก่อนบอกเขาอีกครั้ง...ไม่เคยเบื่อที่จะคอยบอกลูกว่าเขาคือพ่อของแกนางกอดลูกไว้แนบอก ก่อนค่อยอุ้มพาดบ่าแล้วลุกไปยังฟูกที่สามีนอนอยู่สายของวันนี้หลังจากคุยกับองครักษ์ตู้ผู้นั้นดูเหมือนว่าอ
ไม่นานเหตุการณ์ที่หน้าผา สั่นสะเทือนไปทั่วอาณาจักรซ่างหยุนอย่างรวดเร็ว ความเศร้าโศกเข้าครอบงำจิตใจผู้คนทว่ามิใช่กับผู้อยู่เบื้องหลังเงามืดของเรื่องเลวร้ายนี้ในคฤหาสน์หลังงามของตระกูลลั่ว เสียงหัวเราะแหบต่ำของชายผู้หนึ่งดังลอดประตูที่ปิดสนิทลั่วเหวินซาง บุตรชายคนโตของลั่วเฟยเทียนคหบดีแห่งภาคใต้ชายผู้ไร้เมตตาและเปี่ยมความทะเยอทะยานยามนี้ชายหนุ่มผู้มากแผนการ นั่งบนเก้าอี้ซึ่งเป็นที่ประจำตำแหน่งของบิดามือถือจอกสุราขึ้นหมุนเล่น ราวเพียงสำรวจเงาสะท้อนในจอกมากกว่าจะดื่มมันจริง ๆ“หึ พวกมันหล่นจากหน้าผาเช่นนั้น ต่อให้เป็นเทพเซียนก็มิอาจมีชีวิตรอด”เขาหัวเราะในลำคอ พลางเอนกายลงลูบพนักเก้าอี้อย่างหลงใหล“อีกไม่นาน เก้าอี้ตัวนี้จะเป็นของข้าพร้อมกับตำแหน่งผู้นำตระกูลลั่วรุ่นที่สี่”หญิงวัยกลางคนที่นั่งเคียงข้าง...ผู้เป็นมารดาของเขา พยักหน้าอย่างพึงใจ“ต่อไปนี้สิ่งที่ควรเป็นของเจ้า จะไม่มีผู้ใดช่วงชิงมันไปได้อีก”ผู้พูดสีหน้าฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มเย็นชา...ไร้ความรู้สึกผิดแม้กระผีกเดียวเพราะมารดาเป็นเช่นนี้ จึงไม่แปลกนักที่บุตรชายจะเดินรอยตามความชั่วของนาง“ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าไม่เคยมีสิ่งใดเหนือก
ณ มุมหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนแนบผนังอย่างเงียบงันดวงตาแน่นิ่งจับจ้องภาพตรงหน้าราวกับถูกสะกดตู้อี้จ๋าย บ่าวผู้ภักดีซึ่งตั้งใจมาเยี่ยมดูอาการเจ้านายเฉกเช่นทุกวันไม่คาดคิดเลยว่าจะได้ยินได้เห็นสิ่งที่ทำให้ชายชาตินักรบ...ถึงกับเข่าทรุดลงไปกองกับพื้นสตรีนางนั้นร้องไห้คร่ำครวญ จนเปิดเผยสิ่งที่น่ากลัวมันทำให้หัวใจของเขาแหลกเหลวไม่มีชิ้นดีเจ้านายของเขาจากไปไกลแล้วอย่างนั้นหรือ?คำสั่งสุดท้ายที่บอกให้เขาห้ามทอดทิ้งพวกนางแท้จริงเป็นคำสั่งของบุรุษที่เป็นสามีนาง หาใช่คำสั่งเสียของเจ้านายของเขาไม่เรื่องบ้า ๆ ที่เคยเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก ‘สลับร่างสับเปลี่ยนวิญญาณ’ กลับเกิดขึ้นจริง ๆ งั้นหรือ?ตู้อี้จ๋ายหลุบตาลงช้า ๆภาพความทรงจำวันวานไหลบ่าเข้ามาไม่ขาดสายเสียงดาบฟาดใส่โล่อย่างบ้าคลั่ง เสียงร้องของทหารบาดเจ็บ เสียงม้ากระทืบพื้นจนดินสั่นสะเทือนสนามรบเมื่อสิบสามปีก่อนตู้อี้จ๋ายตอนนั้นยังเป็นเพียงองครักษ์หนุ่มที่พยายามฝึกฝนตนเองให้คู่ควรกับหน้าที่ในวันนั้นเขาถูกศัตรูลอบแทงจากด้านหลัง ล้มลงท่ามกลางกองเลือด...สิ้นหวังและรอความตาย“อี้จ๋าย! ลุกขึ้น! อย่าตายที่นี่!”เสียงหนึ่งตะ
เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านฮวาโหววันนี้...ดูเหมือนจะอ่อนโยนกว่าหลายวันที่ผ่านมาภายในเรือนไม้หลังเดิมของหมู่บ้านฮวาโหว บนฟูกฟางริมผนังคนป่วยค่อย ๆ ขยับเปลือกตาหนักอึ้ง หลังหลับใหลอยู่นานนับครึ่งเดือนกลิ่นสมุนไพรอ่อน ๆ แตะปลายจมูก เป็นสัญญาณแรกที่บอกว่าตัวเองยังมีชีวิตนางสูดลมหายใจลึก พยายามเรียกคืนสติที่แตกกระจัดกระจายเหมือนใบไม้ที่ปลิดปลิวและทันทีที่ดวงตาพร่าเลือนปรับรับแสงได้สิ่งแรกที่เห็นคือร่างเล็กกลมป้อมของลูกชายที่นางไม่มีวันลืมเจ้าตัวน้อยนั่งอยู่ใกล้ ๆ ขณะเล่นตุ๊กตาผ้า“หานเอ๋อร์...”เสียงเรียกแผ่วเบาเล็ดลอดจากริมฝีปากแห้งผากของผู้เป็นแม่เสียงนั้นสั่นระรัวแฝงด้วยความกลัวจับจิต...กลัวว่ามันจะเป็นแค่ความฝันนางค่อยยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางอ้าแขนกว้างให้ลูกน้อยมาหา“มะ… มะ…”“แง้งงงงง!”เสียงเล็กเรียกมารดาด้วยความคุ้นเคยไม่นานนักเจ้าก้อนแป้งเบะปากแล้วปล่อยโฮพลางคลานเข้าหาอ้อมกอดแม่ด้วยความคะนึงหาสิบห้าวันที่ผ่านมา เจ้าตัวน้อยถูกพี่สาวใจดีอย่างเสี่ยวจินดูแลแต่ต้องอยู่ในห้องนี้เท่านั้น เพราะหากอุ้มแกออกไปห่างมารดาเมื่อใดก็จะหวีดร้องสุดเสียงทันทียามนี้แกหวนคืนอ้อมกอดมารดาอีกครั้ง
ท่ามกลางม่านหมอกที่ปกคลุมเชิงเขาอย่างแน่นหนา ยากนักที่จะมีใครมาพานพบหมู่บ้านแห่งนี้เข้าทว่าตั้งแต่มีผู้บริสุทธิ์ร่วงลงมาจากการผลักไสของคนชั่ว ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นความลับอีกต่อไปเหล่าองครักษ์ผู้รอดชีวิตจากการต่อสู้เบื้องบน พากันไต่ลงจากหน้าผาอย่างไม่หวาดหวั่นแม้เชือกที่ใช้โรยตัวอาจขาดลงได้ทุกเมื่อ.. แต่หามีใครถอดใจในการตามหาผู้เป็นนายไม่ตู้อี้จ๋ายเดินนำหน้า แม้สีหน้ามุ่งมั่นแต่แววตากลับฉายความหวั่นไหว“พวกเราต้องหาองค์รัชทายาทให้เจอ ไม่ว่าจะเป็นหรือ...”คำพูดบางคำจมหาย เขาไม่กล้าเอ่ยมันออกมา แต่... ท่ามกลางความหวังริบหรี่นั้น“หัวหน้าขอรับ ทางนั้น”เสียงร้องตะโกนของหยวนอี้ รองหัวหน้าองครักษ์ปลุกความหวังที่ใกล้มอดดับตู้อี้จ๋ายหันขวับทันทีเพ่งมองผ่านพุ่มไม้แน่นที่แหวกออกก่อนเห็นร่างสูงใหญ่ปะทะแสงแดดยามเย็น...“องค์รัชทายาท!!”เขาร้องเรียกสุดเสียง ก่อนออกวิ่งเต็มแรงตรงไปหาพระองค์หัวใจเต้นโครมครามดวงตาร้อนผ่าว เมื่อเห็นเงาของผู้เป็นนายอยู่ไม่ไกล...เหล่าองครักษ์ผู้อาจหาญและภักดี ไม่มีใครไม่หลั่งน้ำตาออกมาขณะที่วิ่งกรูกันไปยังพุ่มไม้นั้นตู้อี้จ๋ายที่วิ่งไปก่อนใครยิ่งเข้าใกล้ย
ก้นเหวที่ทอดลึกลงไป จนมองไม่เห็นเบื้องล่างจากหน้าผาด้านบนหาใช่แดนมรณะเต็มไปด้วยโขดหินแข็งกระด้างดั่งที่คนชั่วพวกนั้นคาดหวังไม่ตรงกันข้าม มันกลับซุกซ่อนความมหัศจรรย์บางอย่างไว้อย่างน่าทึ่งหาดทรายทอดตัวเลียบลำธารยาวคดเคี้ยว ดุจเส้นไหมสีเงินไหลผ่านกลางป่าทึบเสียงลำธารยังไหลเอื่อย...ราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแม้จะเพิ่งซับเลือดจากความพังพินาศไว้ก็ตามใต้ซากรถม้า ร่างขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นซ่างหยุนแน่นิ่ง... พระพักตร์เปื้อนโลหิตพระองค์จากไปแล้วทั้งที่พระเนตรเบิกโพลงไม่มีผู้ใดรู้ว่าพระทัยของพระองค์เต็มไปด้วยความโกรธแค้นหรือความเสียพระทัยที่ถูกพี่ชายที่เคารพรักเข่นฆ่าแต่ที่แน่นอนก็คือ...หัวใจที่เคยเต้นเพื่อแผ่นดินหยุดลงทันทีพร้อมกับเสียงรถม้ากระแทกสู่ก้นเหวหนึ่งชีวิตสูงศักดิ์...จากไปโดยไม่มีวันกลับทว่าไม่ห่างกันนักสตรีร่างบอบบางผู้หนึ่งนอนกอดลูกน้อยไว้แน่นใบหน้าเต็มไปด้วยรอยช้ำจากแรงกระแทก…และช่างน่าเหลือเชื่อ เจ้าก้อนแป้งตัวจ้ำม่ำยังหายใจแผ่วเบาอยู่ในอ้อมกอดของมารดาซ่งเม่ยหลิน ยามรถม้าลอยเคว้งในอากาศนางหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติกระแสอารมณ์แหลกสลายด้วยห่วงลูกน้อยจากนั้นทุกอย่างก็ดับ