“โต๊ะนี้ คงเป็นโต๊ะที่โชคดีมากนะครับ ที่มีโอกาสได้นั่งทานข้าวกับสาวสวยที่สุดในค่ำคืนนี้”
ดร. พงษ์ เลิศปัญญา เพื่อนสนิทของเตชิน เอ่ยทักขึ้นเป็นคนแรก เพราะมีเชื้อจีน ผิวพรรณจึงขาวเนียน บวกกับความมีอารมณ์ขันจึงทำให้ใบหน้าเด็กกว่าวัย แม้ว่าจะล่วงเข้าวัยสามสิบแปดปี “ขอบคุณค่ะอาจารย์พงษ์ ยินดีเช่นกันที่มีโอกาสได้ร่วมโต๊ะกับหัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า” หล่อนยิ้มหวานให้หนุ่มใหญ่ซึ่งเป็นผู้บริหาร และยังไม่ลืมที่จะโปรยรอยยิ้มแสนหวานนั้นมายังอาจารย์เตชินซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ แต่เขากลับเฉย แววตาคมกริบนิ่งลึก ยากที่จะอ่านความรู้สึก“ขอบใจมาก นะจ๊ะน้องภีม”
นิญาดา กระซิบภีมพร้อมกับขยิบตาให้เป็นเชิงรู้กันว่า การที่หล่อนได้มานั่งข้าง อาจารย์เตชินไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นแผนการที่ถูกวางไว้อย่างตั้งใจล้วน ๆ “เรื่องแบบนี้ ไว้ใจสุดสวยอย่างภีมได้เลยจ้ะ พี่สาว” ภีมยกแก้วไวน์ชนแก้วกับนิญาดาฉลองให้กับการเริ่มต้นแผนการฉกดวงใจของหัวหน้าที่ส่อแววว่าจะไปได้สวย ส่วน “พี่ปัญญ์” คนที่หัวหน้าส่งมาคอยคุมพวกเธอ น้องภีมมอบหมายให้พี่เกดจัดการ หากเหลียวดูโต๊ะข้าง ๆ จะเห็นสาวสูงวัย ผมถูกรวบมวยไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อยตลอดเวลา หล่อนกำลังดื่มด่ำกับรสชาติแปลกใหม่ของเหล้าปั่นเพิ่มชอต หรือก็คือการเพิ่มปริมาณแอลกอฮอล์ดี ๆ นี่เอง ซึ่งพี่เกดบรรจงคัดสรรมาให้โดยเฉพาะ และคาดว่าอีกไม่นานพี่ปัญญ์คงจะเมาแล้วถูกพี่เกดลากเข้าไปเก็บไว้ให้ไกลจากนั้นแผนการที่วางเอาไว้ก็ไร้ขวากหนามอย่างสิ้นเชิง “อาหารเป็นอย่างไรบ้างคะ ท่านศาสตราจารย์ดำรงค์ อาหารอร่อยไหมคะ” นิญาดาวางแก้วลงแล้วพูดคุยกับวิทยากรคนเก่ง อย่างเป็นกันเอง “อร่อยทุกอย่างเลยครับ นาน ๆ ทีออกมาต่างจังหวัด ได้สูดอากาศดี ๆ รู้สึกว่าอายุยืนขึ้นเยอะเลย” ศาสตราจารย์ดำรงผู้ที่เคยได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่อายุน้อยที่สุดเมื่อยี่สิบปีก่อน แม้จะล่วงเข้าวัยห้าสิบปี แต่ยังกระฉับกระเฉง ผมแสกข้างหวีเรียบไปด้านหนึ่ง บ่งบอกถึงความสุภาพ ดวงตาภายใต้กรอบแว่นเสริมให้ดูฉลาดยิ่งขึ้น นิญาดายิ้มรับก่อนหันไปที่ชายหนุ่มอีกคน “ได้ยินว่า อ. เตชิน ได้ทุนไปเรียนที่ญี่ปุ่น จนจบปริญญาเอก” เสียงกังวานใสของหล่อนดึงให้เขาหันมาสบตาดวงกลมโต เป็นอีกครั้งที่เขาไม่สามารถหักห้ามใจให้หลงไปกับมนต์เสน่ห์ของเธอได้ จนเขาต้องเผลอยิ้มรับโดยไม่รู้ตัว “อ้าว เหรอ?! ผมก็จบจากญี่ปุ่น” ศาสตราจารย์ดำรงค์ อุทานอย่างดีใจที่ได้พบศิษย์ร่วมสถาบันเดียวกัน ทั้งจาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจากประเทศญี่ปุ่น“ครับ”
อาจารย์เตชิน ยิ้มอย่างนอบน้อมตามรูปแบบวัฒนธรรมญี่ปุ่น ที่ต้องให้ความเคารพผู้อาวุโสเป็นอันดับแรก “บ้านผม พี่สาวเป็นหมอ ผมก็เลยอยากจะฉีกแนวดูบ้าง จึงลงเอยที่วิศวะ พอเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยได้สองสามปี ก็ได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ประเทศญี่ปุ่นครับ” เสียงทุ้มเล่าเรียบ ๆ “อาจารย์เป็นรองศาสตราจารย์หรือยังครับ” ผู้อาวุโสชวนคุยเรื่องความก้าวหน้าในหน้าที่การงานต่อ “ตอนนี้ ผมยื่นเรื่องขอตำแหน่ง รองศาสตราจารย์ ไว้แล้วครับ” “งั้นผมขอแสดงความยินดีล่วงหน้าแล้วกันนะ” ศาสตราจารย์ดำรงค์ ยิ้มยินดีอย่างจริงใจ ในขณะที่นิญาดานั่งฟังเงียบ ๆ พร้อมกับบันทึกข้อมูลที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อแผนการฉกดวงใจหัวหน้าไว้ในหัว “ขอบคุณครับ” ว่าที่รองศาสตราจารย์ กล่าวขอบคุณศาสตราจารย์ “ยินดีด้วยเช่นกันค่ะ แบบนี้ต้องฉลองให้ท่านอาจารย์ล่วงหน้านะคะ” มือเรียวบางแต่งแต้มด้วยเล็บสีแดงกุหลาบของสาวสวยวาดประคองแก้วไวน์ชูขึ้นอย่างผู้ชำนาญงานสังสรรค์ในสังคมชั้นสูง แววตาพราวเสน่ห์ร้อนแรงของหล่อนสะกดให้ชายหนุ่มยกแก้วบรรจุน้ำอมฤตสีเหลืองนวลชนกับแก้วของหญิงสาวราวกับต้องมนต์ ดวงตาคู่งาม แลสบสายตาคมกริบ แค่แก้วสองใบกระทบกันเพียงเบา ๆ กระแสไฟฟ้าที่มองไม่เห็นแล่นเข้าสู่ในใจของทั้งคู่ ชายหนุ่มกระดกของเหลวหมดในคราเดียวคล้ายจะดับความเร่าร้อนที่พลันพุ่งขึ้นในกาย หัวใจของเขาเริ่มจะทรยศผู้เป็นนาย นิญาดาวางแก้วเบา ๆ แล้วเอื้อมมือไปทาบทับกับมือใหญ่ที่จับมือแก้วที่เหลือเพียงน้ำแข็ง เจ้าของมือตาวาว เขม่นมองคล้ายจะดุแม่สาวตัวดี แต่คนตัวดีกลับไม่มีทีท่าเคอะเขินหรือมีทีท่าที่แสดงว่าตั้งใจจะให้ท่าเขาแม้แต่นิดเดียว กิริยาท่าทางนั้น ดูเป็นธรรมชาติ การแตะมือก็เพียงแค่เป็นเรื่องบังเอิญ “เดี๋ยวเติมให้นะคะ” “ครับ” เสียงตอบรับของชายหนุ่มเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งที่หล่อนบรรจงหยิบลงแก้วเสียอีกผิดกับชายหนุ่มอีกคนโพล่งขึ้นอย่างออดอ้อน “คุณนิครับ แก้วผมก็หมดแล้วครับ เติมให้ผมด้วยสิครับ” นิญาดายิ้มหวานแต่ยังไม่ทันจะได้เอื้อนเอ่ยคำใด เสียงแจ้ว ๆ ของภีมก็แทรกขึ้นว่า “สำหรับ ดร. พงษ์ สุดหล่อของเรา เดี๋ยวภีมบริการให้เต็มที่เลยคร่า” ไม่พูดเปล่า ภีมลุกขึ้นมาหยิบแก้ว ดร. พงษ์ ไปทันที สาวน้อยในร่างชายที่สวมเสื้อเชิ้ตสีชมพูหวานยิ่งทำให้ร่างชายอรชรอ้อนแอ้นยิ่งขึ้น ภีมเติมโซดา เหล้า ตามด้วยน้ำแข็งอย่างคนเชี่ยวชาญ เสียงเพลง เสียงหัวเราะพูดคุยค่อย ๆ เบาลงเพราะผู้เข้าร่วมอบรมแต่ละโต๊ะต่างทยอยกันกลับไปยังห้องพัก เหลือเพียงโต๊ะของนิญาดาเท่านั้นที่ยังคงมีเสียงหัวเราะอยู่เนือง ๆ เมื่อศาสตราจารย์ดำรงค์ขอตัวกลับแล้ว ภีมจึงค่อย ๆ ขยับมานั่งข้าง ดร. พงษ์ ไม่ว่าภีมจะเล่าเรื่องอะไร ดูเหมือนว่าจะทำให้ ดร. หนุ่มขำได้ทุกเรื่อง ยกเว้น อาจารย์เตชิน ยังคงรักษาใบหน้าที่สงบเรียบเฉยเช่นเดิม “อาจารย์เตชินคะ ถ้าเราไปญี่ปุ่นช่วงเดือนพฤษภาคม เราควรไปที่ภาคไหนของญี่ปุ่นคะ ถึงจะเจอซากุระ” นิญาดาชวนคุย “คุณจะไปเที่ยวเหรอ?” “ค่ะ” “ถ้าผมบอก ต้องมีของฝากเป็นค่าตอบแทนที่ช่วยบอกนะ” แม้เสียงจะราบเรียบ แต่แววตาของชายหนุ่มกลับฉายแววเจ้าเล่ห์ นี่อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์น้ำเมาหรือเปล่านะ? จึงทำให้ชายหนุ่มผู้เงียบขรึมเอ่ยวาจาหยอกเย้าเช่นนั้นออกมา ปากสีแดงราวกับกลีบกุหลาบของหญิงสาวแย้มยิ้ม พร้อมกับเสียงหัวเราะอันสดใส “ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอาอะไรดีคะ?”“หึ ๆ ผมล้อเล่นนะครับ”
ปากเรียวได้รูปยกขึ้นนิด ๆ หัวเราะในลำคออย่างเหนือกว่า “อ๋อ ค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า” ใบหน้าละมุน แก้มแดงสุกเปล่งด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ หัวเราะกลบเกลื่อนอย่างโล่งใจ “ถ้าเราอยากเห็นซากุระในเดือนห้าให้ไปที่ฮอกไกโด” “ว้าว ดีจังเลยนะคะ ที่จะได้เห็นซากุระในเดือนห้าด้วย ฉันนึกว่าจะไม่ได้เห็นเสียแล้ว เพราะซากุระบานปลายเดือนสามพอล่วงเข้าเดือนสี่ก็ร่วงหมดแล้ว”“ทะ ทำสัญญา ยังไงคะ?”กายแกร่งขึ้นทาบทับร่างบางที่แสนนุ่ม เนื้อเนียนกลมกลึงได้สัดส่วน จนหญิงสาวสัมผัสไอร้อนในทุกอณูของร่างแกร่งมือแกร่งทั้งสองข้างประสานกับมือเล็กกดไว้เหนือศีรษะ ก่อนกระซิบตอบแนบปาก“ประทับสัญญา ให้นิ เป็นของพี่เพียงคนเดียว”สิ้นเสียงกระซิบระโหย ปากบางก็ประทับลงบนปากอิ่มหล่อนเผยอปากรับ ให้ปลายลิ้นร้ายของเขาซุกซอนเข้าไปตอดรัดลิ้นเล็ก ดูดกินน้ำหวานจากโพรงปากอุ่น“อืม อะ อ่า”ลิ้นร้อนฉ่าของเขาดุนดัน ซอกซอนในขณะที่กายหล่อนหลอมละลาย ขาเรียวของหล่อนค่อย ๆ แยกออกเพื่อตอบรับแก่นกายกำยำที่แข็งขึงแนบชิดตรงหน้าท้อง“อืม..”ทั้งเขาและเธอครางออกมาเบา ๆชายหนุ่มละจูบ เลื่อนปากไล้มาที่ซอกคอขาวผ่อง กดฟันครูดเบา ๆ พร้อมกับดูด ขบเม้มจนเกิดรอยแดงในเนื้อนวล“โอ อืม”ปากอิ่มเผยอครางออกมาด้วยความซ่านสยิว ริมฝีปากของเขาเคลื่อนไปตามเนื้อลออทั่วทั้งร่างบางมีกลีบซากุระที่ติดมาจากบ่อออนเซ็นประปราย จมูกโด่งฝังลงกับเนื้อเนียนสูดเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ราวซากุระของเนื้อสาวเข้าเต็มปอด กลิ่นกายสาวเย้ายวนจนเขาแทบอยากจะกลืนกินหล่อนเข้าไปเสียเดี๋ยวนั้น“งามเหลือเกิน”ปากเขาคลอเคลียอยู่แถว ๆ ทรวงอกสล้าง ปล
“ผมทำตัวผมเองต่างหากครับ! เพราะผมเข้าใจคุณนิญาดาผิด แล้วเมาจนเกิดอุบัติเหตุ”“นี่ลื้อปกป้องมัน! ลื้อมีคู่หมายอยู่แล้ว อานุชเขาก็ดูแลลื้ออย่างดี ลื้อจะทิ้งอีไปหานางผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนั้นได้รึ!”ผู้เป็นมารดาตวาดด้วยความโกรธ นางรักลูกชายคนเล็กมาก มากจนตามใจเขาเสียทุกเรื่อง เว้นแต่เรื่องหมั้นหมายนี้!“ม้าครับ ผมรักนิญาดา ผมรักใครไม่ได้อีกแล้วจริง ๆ”ผู้เป็นลูกคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นมารดา เรี่ยวแรงที่เพิ่งจะฟื้นจากอาการป่วยแทบจะไม่มี เสียงร้องขอจึงพร่าแปร่งคนเป็นแม่เบือนหน้าหนี ไม่อยากเห็นสายตาเว้าวอนของบุตรชายที่รักยิ่ง ใจหนึ่งนางก็อยากจะตามใจเขา แต่ก็กลัวเหลือเกินว่าลูกชายจะเสียใจเพราะผู้หญิงซ้ำสอง อีกใจหนึ่งนางก็รักและเอ็นดูอรนุชที่หมายหมั้นให้มาเป็นลูกสะใภ้ อีกทั้งเป็นลูกสาวของเพื่อนเก่า ก็กลัวว่าความเป็นมิตรของทั้งสองตระกูลจะขาดสะบั้นลง“ม้าคะ! หนูขอถอนหมั้นค่ะ!”เสียงเด็ดเดี่ยวของอรนุชดังขึ้นทำลายความเงียบระหว่างสองแม่ลูก พร้อมกับเจ้าตัวที่เดินมานั่งลงข้าง ๆ นางวัลลี ผู้เป็นมารดาของคู่หมั้นตน“ลื้อพูดอะไรอานุช!”นางวัลลีผวาเข้ากุมมือว่าที่ลูกสะใภ้อย่างตกใจ ในขณะที่อาจาร
“อือ ยะ อย่า ค่ะ”ร่างบางครางแหบพร่า ความซ่านเสียวแปลบปลาบพุ่งปราดไปทั่วร่าง มือแกร่งของเขาสอดเข้าใต้สะโพกหนั่นเนื้อ บีบเคล้นเคล้าคลึงตามเพลิงสวาทที่ลุกโชนจนยากจะห้ามไหวเขายกสะโพกงามขึ้นลง หญิงสาวรู้สึกถึงความแข็งขึงร้อนระอุของแก่นกายชายที่เสียดสีกับจุดวาบหวามจนชุ่มฉ่ำหล่อนแอ่นหยัดเผยอแยกขาให้แนบชิดยิ่งขึ้น เมื่อความรัญจวนซ่านสวาทระลอกใหญ่พุ่งปราดไปทั่วสรรพางค์ สติที่มีอยู่อันน้อยนิดปลิวหายไปกับแสงสว่างอันพร่างพราว“อ่าซ์”“บอกสิ.. คุณรักผมมากแค่ไหน”เขากระซิบเสียงพร่าแนบอกสล้าง แก่นกายกำยำของเขาอัดแน่นด้วยพลังบุรุษจนรวดร้าว เมื่อสัมผัสกับกายน้อยที่ชุ่มฉ่ำจนเหมาะแก่การโจนทะยานเข้าใส่แค่ไหน“พูดสินิ”เสียงเว้าวอนของเขากระซิบสั่งขณะที่มือประคองขยับสะโพกงามให้ยกขึ้นรับเอาแก่นกายร้อนฉ่าอันแข็งแกร่งของเขา แล้วค่อย ๆ ดันมันสู่กายสาวจนสุดลำ“อะ อือ”หล่อนครางกระสัน หายใจถี่ หัวใจเต้นระรัว เธอจำบทรักอันแสนเร่าร้อนของเขาในวันเก่าได้ดี ใจดวงน้อยที่เต้นระรัวมันร่ำร้องเพรียกหาอยากได้ความเร่าร้อนนั้นมาขับไล่ความทรมานที่รวดร้าวไปทั้งกาย อยากพุ่งทะยานไปสู่ชั้นฟ้าล่องลอยจนลืมสิ้นทุกอย่าง“พูดสิ
นิญาดามองกลีบซากุระสีชมพูอ่อน ๆ ลอยปะปนกับฟองน้ำสีขาวหอมกรุ่น หล่อนค่อย ๆ เอนกายลงเพื่อทิ้งความเหนื่อยล้าให้ละลายหายไปกับสายน้ำ มองกลีบซากุระล่องลอยตามผิวน้ำที่ไหลวนคลอเคลียรอบกายสาวชวนให้นึกถึงใครบางคนที่เคยบอกกับหล่อนไว้-หากอยากเห็นซากุระในเดือนห้า ให้ไปที่ซัปโปโร-บัดนี้คนที่บอกเธอ เขาจะหายดีหรือยังหนอ? เขาจะคิดถึงหล่อนบ้างไหม? หรือหล่อนได้ตายไปจากหัวใจของเขาแล้ว เพียงแค่คิดถึงเขา น้ำตาก็พลันไหลออกมาเงียบ ๆซู่!จอกกกก!เสียงน้ำล้นออกจากอ่าง น้ำกระเซ็นแตกกระจายตามการทิ้งกายลงนั่งเบียดร่างอรชรในอ่างออนเซ็น คนที่นอนอยู่ในอ่างลืมตาโพลงขึ้น เมื่อตากลมของหญิงสาวสบกับตาคมดุอันคุ้นเคย กระแสไฟฟ้าก็วิ่งปราดเข้าจู่โจมหัวใจทำให้ใจดวงน้อยกระตุกวูบลามไปจนถึงหน้าท้องในขณะที่หญิงสาวกำลังอ้าปากค้าง กายแกร่งก็เบียดเข้าชิดร่างอรชรอย่างโหยหา สติสัมปชัญญะของหญิงสาวพยายามอย่างหนักเพื่อพิจารณาว่า คนข้าง ๆ เธอ คือ เรื่องจริงหรือความฝัน แล้วท้ายที่สุด หล่อนก็อุทานชื่อคนข้างกายด้วยความตกใจ“อาจารย์เตชิน!”“ครับ”เสียงทุ้มของชายหนุ่มขานรับ เรียวปากชมพูบางเหยียดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ใบหน้าหล่อเหลา
อาจารย์เตชินนอนลืมตาโพลงมองฝ้าเพดานที่มีโคมไฟเป็นดอกบัวสีขาวห้อยลงมา สมองกับหัวใจของเขากำลังทบทวนกับตัวเองหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาเก็บตัวอยู่ในห้องหนังสือทั้งวัน เพื่อพักใจและเพื่อหลบหน้าผู้เป็นมารดาและคู่หมั้น เพราะเขาไม่อยากตอบคำถามเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทั้งไม่อยากรับรู้เรื่องงานแต่งที่กำลังจะจัดขึ้นในเมื่อหัวใจของเขามันแตกสลายไปอีกครั้ง และครั้งนี้มันเจ็บปวดมากกว่าครั้งไหน ๆ มันเจ็บจนเขาไม่อยากเคลื่อนไหว จนกระทั่งเพื่อนสนิทมาพบเขาในวันนี้ ราวกับลมที่พัดพาเอาดวงใจที่แตกลงไปแล้วให้ประกอบเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาใหม่โดยเสมือนมีความหวังเป็นกาวประสานรอยร้าวในใจมือเรียวจับโทรศัพท์ขึ้นดู คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน มือกำโทรศัพท์บีบแน่นแล้วคลายออก ทำซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นราวกับว่ากำลังตัดสินใจบางอย่างความอยากรู้ กับความช้ำใจมันกำลังห้ำหั่นกันใจที่ช้ำ ก็ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้วใจที่ยังคงมีเยื่อใย ก็อยากรู้ว่าผู้หญิงที่รักเป็นเช่นไรและแล้วเยื่อใยที่ยังเหลืออยู่ก็ชนะเขากดเข้าไลน์เพื่อเปิดดู คลิปวิดีโอที่ ดร. พงษ์ ส่งให้ในคลิปเป็นภาพตั้งแต่นิญาดาเข้ามานั่งข้าง ๆ เตียง เขาได้ยินเสียงหล่อ
ดร. พงษ์ ขอตัวเลี่ยงออกมา เพื่อตัดบทการสนทนา เขารักและเคารพนางวัลลี เหมือนแม่คนหนึ่งจึงไม่อยากชี้แจงเรื่องของนิญาดากับอาจารย์เตชิน เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นการโต้เถียงและไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่ และเพราะเป็นเรื่องที่เจ้าตัวควรจะต้องมาชี้แจงด้วยตนเอง เขาเป็นคนนอกอย่างไรเสีย คำพูดก็คงไม่มีน้ำหนักพอที่จะคัดค้านสิ่งที่ผู้เป็นมารดาได้ปักใจเชื่อไปแล้วดร. พงษ์ ขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านเขารู้ว่าห้องหนังสืออยู่ที่ไหนเพราะคุ้นเคยบ้านหลังนี้เป็นอย่างดีเมื่อผลักประตูเข้าไปภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตา คือ.....ชายหนุ่มผิวขาวซีดเอนตัวบนเก้าอี้นวมสีขาว แม้บนหน้าผากจะมีรอยแผลที่เพิ่งจะหายแต่ยังคงความหล่อคมเช่นเดิม... มือเรียวถือหนังสือเล่มหนาเอาไว้ แต่ทว่าดวงตาเข้มคู่นั้นกลับเหม่อมองทะลุหน้าต่างออกไปด้านนอกดร. พงษ์ ปิดประตูห้องตามหลังค่อนข้างดัง แต่เจ้าของห้องไม่มีทีท่าว่าจะขยับ เขาจึงแกล้งไอ ก่อนเอ่ยทักเสียงดังมากกว่าปกติ“อะ.. แฮ่ม ไง? ไอ้หุ่นยนต์”ได้ผล... หุ่นยนต์เริ่มเคลื่อนไหว... วางหนังสือลง หลับตาลงแล้วขยับตัวเอนลงบนเก้าอี้นวมยิ่งกว่าเดิมคล้ายกับว่าไม่อยากให้ใครรบกวน“อ้าว! เฮ้ย! กูอุตส่าห์ขับรถมาหา ดันจะ