เข้าสู่ระบบรุ่งเช้า หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง อวี้หนิงหนาวเหน็บไปทั่วทั้งร่าง ดวงตาที่จดจ้องไปตามเส้นทางของตำหนักอ๋องตลอดทั้งคืนแดงก่ำด้วยความสิ้นหวัง
“เสี่ยวเหม่ย อาหารพวกนี้เย็นหมดแล้ว เจ้าเร่งไปที่ครัวอุ่นอาหารสักหน่อยเถิด” เสียงอ่อนแรงเอ่ยกับสาวใช้ที่เพิ่งปรือตาตื่น
“คุณหนู แต่ว่าท่านอ๋อง...”
“ข้าจะไปขอพบท่านตาเอง”
“แล้วทหารจะให้พบหรือเจ้าคะ”
“เมื่อขบวนนักโทษออกจากเมืองแล้ว บางทีการใช้ตำลึงมากหน่อยอาจทำให้ทหารพวกนั้นยอมผ่อนปรนสักครู่ก็ได้”
แม้ไม่แน่ใจในความคิดนี้นัก แต่อวี้หนิงก็อยากลองดูสักครั้ง นางมิอาจปล่อยให้สองผู้เฒ่าตระกูลเหรินต้องตกระกำลำบากโดยที่ตัวเองนิ่งดูดายได้
“เช่นนั้นข้าจะรีบไปอุ่นอาหาร คุณหนูรอครู่เดียวนะเจ้าคะ” สาวใช้ข้างกายที่อยู่กับนางตั้งแต่เล็กทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
อวี้หนิงยังคงนั่งรอเยว่ซิงด้วยความหวังว่าเขายังจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับนาง ทว่าจนแล้วจนรอดกลับไร้วี่แววคนของจวนฉู่อ๋อง หญิงสาวจึงทำได้เพียงตรงไปดักรอขบวนนักโทษนอกประตูเมืองแทน
แต่กระนั้นกลับสายไป เมื่อทหารเฝ้าประตูบอกว่าขบวนนักโทษออกนอกเมืองไปราวหนึ่งเค่อ อวี้หนิงจึงจำต้องสั่งให้คนบังคับรถม้าเร่งม้าตามไป แต่รถม้ากลับไม่ยอมขยับ
“คุณหนู ตอนนี้หิมะตกหนัก ม้ารู้สึกหวาดกลัว พวกมันไม่ยอมออกเดินขอรับ” เสียงคนบังคับม้าดังออกมาจากภายนอก
“เช่นนั้นข้าจะเดินไปเอง” อวี้หนิงลงจากรถม้าโดยไม่สนใจคำทัดทานของเสี่ยวเหม่ย
หญิงสาวที่มีผ้าคลุมหนากรอมถึงข้อเท้า เดินฝ่าพายุหิมะด้วยความเด็ดเดี่ยว ราวห้าลี้จากนี้มีศาลาพักม้า นางได้แต่หวังว่าขบวนนักโทษจะติดหิมะแล้วหยุดพักที่นั่น ทว่ายิ่งเดินห่างออกไป พายุหิมะกลับยิ่งรุนแรงจนร่างบางไม่อาจฝ่าไปได้อีก นางทรุดตัวนั่งกลางหิมะด้วยร่างกายที่อ่อนแรง
ภายใต้ท้องฟ้าที่ขาวโพลน อาชาแกร่งสามตัวกลับตะบึงฝ่าพายุโดยไม่หวาดกลัว ดวงตาสีนิลเข้มที่โผล่พ้นผ้าปิดหน้าเห็นร่างบางที่นั่งอยู่กลางหิมะไม่ไกลจากวิถีที่ม้ามุ่งไป
เขาไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าสตรีกลางหิมะนางนี้ต้องเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลซู เพราะที่หน้าประตูเมืองยังพบรถม้าของตระกูลซูและสาวใช้รั้งรออยู่ กระนั้น หยางเฉิงก็ไม่คิดที่จะหยุดช่วยเหลือ ความเร็วของอาชาไม่ได้น้อยลง ก่อนที่ม้าทั้งสามตัวจะตะบึงผ่านอวี้หนิงไป
หญิงสาวที่ได้ยินเสียงอาชาได้แต่มองตามหลังม้าทั้งสามที่วิ่งผ่านนางไป หญิงสาวลุกขึ้นหวังร้องขอความช่วยเหลือ ทว่าไม่นาน ม้าพวกนั้นก็หายไปจากสายตาของนางเสียแล้ว
หยางเฉิงควบม้าออกห่างหญิงสาวราวหนึ่งลี้ ก่อนมโนธรรมจะเอาชนะความเย็นชาในหัวใจ ร่างสูงบนหลังม้าได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจ
“หยุด!”
เพียงคำสั่งครั้งเดียว อาชาทั้งสามตัวก็หยุดฝีเท้าอย่างเชื่อฟัง
“องค์ชาย” หลี่เจี๋ยบังคับม้าเข้ามาใกล้
“ท่านกับเจียงเฟิงไปรอข้าที่ศาลาพักม้าก่อน” น้ำเสียงนิ่งเรียบเอ่ยขึ้น ก่อนหันม้าวิ่งกลับไปทางเดิม
อวี้หนิงที่กำลังเร่งฝีเท้าฝ่าพายุหิมะอีกครั้งหยุดชะงักทันที เมื่อเห็นม้ากำลังวิ่งมาทางตน
“หยุด!” เสียงทุ้มต่ำสั่งอาชาคู่กาย
อวี้หนิงเงยหน้าขึ้นมองบุรุษบนหลังอาชาที่เคยจ้องนางอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ทั้งสองสบตากันโดยไม่ตั้งใจ
แม้หิมะยังคงโปรยปราย ทว่า หยางเฉิงกลับมองเห็นดวงตาคู่งามนั้นได้ชัดเจน ความเด็ดเดี่ยวในสายตาของสตรีเช่นนี้ทำให้เขานับถืออยู่ไม่น้อย
“พายุหนักเช่นนี้ สตรีอย่างเจ้าไม่อาจเดินฝ่าไปได้ เจ้าควรห่วงชีวิตแล้วหันกลับไปจะดีกว่า”
อวี้หนิงที่ได้ฟังเช่นนั้นกลับไม่ได้นึกกลัว ดวงตาของนางเลื่อนมาจับจ้องที่อาชาสีนิลด้วยความหวัง
“คุณชาย หากท่านกำลังจะออกนอกเมือง ท่านพาข้าไปด้วยได้หรือไม่”
“ข้ากับเจ้าไม่รู้จักกัน เหตุใดข้าต้องหาเรื่องใส่ตัวเล่า” หยางเฉิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่างเหิน
อวี้หนิงเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง นางพึงสังเกตว่าดวงตาคู่นั้นเยือกเย็นเพียงใด ร่างบางคุกเข่าลงกับพื้น พลางเอ่ยขอร้อง
“คุณชาย ข้าขอร้องท่าน เพียงส่งข้าถึงศาลาพักม้าเบื้องหน้า ข้าก็จะไม่รบกวนท่านอีก ภายหน้าหากคุณชายมีเรื่องอยากให้ช่วย สตรีเช่นข้าจะไม่เกี่ยงงอนเด็ดขาดเจ้าค่ะ” ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความหวัง
หยางเฉิงมองสตรีที่คุกเข่าบนหิมะ พลันนึกถึงตัวเองเมื่อสิบสองปีก่อน ที่คุกเข่ารอความหวังจากฮ่องเต้ไม่ต่างกัน
“ได้! ข้าจะถือว่าทำกุศลแล้วกัน” เอ่ยจบ มือแกร่งก็รั้งตัวนางขึ้นมาบนหลังม้าได้อย่างง่ายดาย ก่อนอาชาสีดำจะตะบึงด้วยความเร็วอีกครั้ง
อวี้หนิงได้แต่ตะลึงงันอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรู้สึกตัวอีกครั้ง ม้าก็วิ่งมาได้ไกลมากแล้ว
“ขอบคุณคุณชาย” นางเงยหน้ามองใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมนั้น โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ตอบสิ่งใด อวี้หนิงจึงนั่งเงียบ ไม่รบกวนการบังคับม้าของเขาอีก
ราวครึ่งชั่วยาม อาชาสีนิลก็หยุดหน้าศาลาพักม้า เป็นดั่งที่อวี้หนิงคาด ขบวนนักโทษพักหลบหิมะที่นี่จริง ทว่าพวกเขาไม่ได้ถูกปฏิบัติอย่างดีนัก หิมะที่ตกหนักเช่นนี้ ผู้คนหลายสิบชีวิตกลับได้แต่เบียดเสียดกันในเพิงเลี้ยงม้า โรงเตี๊ยมกลับปิดประตูไม่ให้เหล่านักโทษเข้าพัก
หยางเฉิงมองตามสายตาของนาง เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของนางในครานี้ ทว่าเขาใจกว้างมากพอแล้ว เมื่อถึงที่หมาย ต่างคนก็ต่างแยกย้าย
“ถึงแล้ว” เสียงเย็นเอ่ยขึ้น ทำให้อวี้หนิงที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้านหน้ากลับมาได้สติอีกครั้ง
“ขอบคุณคุณชายเจ้าค่ะ” นางเอ่ยจบก็พยายามหาทางลงจากหลังม้าที่ตัวสูงพอควร
หยางเฉิงที่นั่งมองอยู่นานจึงยอมช่วยเหลือ เขาพลิกตัวลงจากม้า ก่อนยื่นสองมือไปรับนาง
อวี้หนิงเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธ ยอมรับการช่วยเหลือจากเขา เมื่อเท้าของนางแตะพื้นอีกครั้ง ทว่ากลับยืนได้ไม่มั่นคง ร่างบางจึงเซไปชนกับแผงอกของบุรุษตรงหน้า ก่อนจะรีบถอยออกมา แล้วยอบกายขอบคุณ ก่อนดึงปิ่นปักผมยื่นให้กับอีกฝ่าย
“ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือ นี่คือปิ่นที่มารดาข้าปักให้ หากวันหนึ่งท่านต้องการให้ข้าตอบแทน เมื่อเห็นปิ่นนี้ ข้าซูอวี้หนิงต้องช่วยเหลือท่านแน่”
หยางเฉิงมองปิ่นบนมือเรียวก่อนจะเลิกคิ้ว จ้องมองสตรีตรงหน้า ดวงตาคู่งามจ้องเขาอย่างเปิดเผย แม้ตัวเขาไม่รู้ว่าสตรีร่างบางเช่นนี้จะทำประโยชน์อันใดให้เขาได้ แต่เมื่อมีคนต้องการติดหนี้บุญคุณตน เหตุใดคนอย่างเขาจะไม่รับไว้เล่า
“ได้! คุณหนูซูช่างเป็นคนเปิดเผย” หยางเฉิงเอ่ยก่อนรับปิ่นจากนาง
อวี้หนิงยอบกายลาอีกฝ่าย ก่อนจากไป ทิ้งให้ร่างสูงที่ไม่เคยถูกสตรีใดแตะต้องกายมานานสิบสองปี รู้สึกแปลก ๆ สายตาคมกริบยังมองตามหลังดรุณีน้อยไป
เมื่อถึงเพิงเลี้ยงม้าที่ผู้คนหลายสิบชีวิตนั่งหนาวสั่น ดวงตานางจับอยู่ที่หญิงชรา ท่านยายของนางอายุมากแล้ว แม้ขบวนนักโทษครั้งนี้ ฝ่าบาทจะเมตตาให้เหล่าผู้เฒ่านั่งบนรถลากได้ ทว่าท่ามกลางหิมะเช่นนี้ ผู้อาวุโสทั้งสองก็ยังคงทนหนาวเช่นเดิม
“หนิงเอ๋อร์คารวะท่านตา ท่านยาย” เสียงไร้กำลังปนสั่นเครือดังขึ้น ดึงความสนใจของสองผู้อาวุโสและขบวนนักโทษให้หันมามอง
“หนิงเอ๋อร์~” เสียงฮูหยินเหรินดังขึ้น ก่อนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นเดินมาหานาง
อวี้หนิงเห็นมือที่หนาวสั่นของท่านยาย ก็อดกลั้นความทุกข์ไว้ไม่ได้อีกต่อไป หญิงสาวปล่อยให้น้ำตาแห่งความโศกเศร้าพรั่งพรูออกมาจากตาคู่งาม
“ท่านยาย...” หญิงสาวโผเข้าหาหญิงชราที่ร้องไห้สะอื้นไม่ต่างกับหลานสาว
“มารดาเจ้า...หลิงเอ๋อร์ของข้า~” ฮูหยินเหรินกอดอวี้หนิงไว้แน่น
“คนต่ำช้าผู้นั้น กล้าปล่อยให้เยว่หลิงตายโดยไม่เหลียวแล เป็นข้าที่ไว้ใจคนผิด คิดว่าซูจิ้งซวนจะรักและทะนุถนอมเยว่หลิงจนแก่เฒ่า เจ็บใจนัก! แค้นใจยิ่งนัก!” หญิงชรายังคงร้องไห้พรั่งพรูความในใจไม่อายผู้ใด
อวี้หนิงแม้เสียใจ แต่ก็ห่วงสุขภาพของท่านยาย ยิ่งในยามนี้ที่ตระกูลเหรินล่มสลาย การจะหาหมอมารักษายามเจ็บป่วย ยิ่งเป็นไปไม่ได้
“ท่านยาย รักษาสุขภาพด้วย คนที่ทำร้ายท่านแม่ เวรกรรมย่อมตามทันแน่ ตอนนี้สวมเสื้อคลุมก่อนเถิดเจ้าค่ะ” นางวางห่อผ้าที่เตรียมมา ก่อนยื่นเสื้อคลุมให้ทุกคน
เหรินซิงหยูที่ยืนมองหลานสาวอยู่นาน จึงได้โอกาสเอ่ยถาม
“หนิงเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร” ชายชราขมวดคิ้วแน่น หิมะตกหนักเช่นนี้ แม้ระยะทางไม่ห่างจากเมืองหลวง แต่หลานสาวของเขาเป็นเพียงสตรี จะฝ่าพายุหิมะมาได้อย่างไร
“หลานขออาศัยขี่ม้ามากับคุณชายท่านนั้น...” นางหันกลับไปยังทางที่ตนจากมา แต่เห็นเพียงด้านหลังของเขาที่เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมเสียแล้ว
“เจ้ารู้จักเขาหรือ”
อวี้หนิงส่ายหน้า
“หลานไม่รู้จักเจ้าค่ะ เห็นเขาจะออกนอกเมืองเช่นกัน หลานจึงขออาศัยมาด้วย”
ชายชรามองไปยังโรงเตี๊ยม เขาอยากจะเอ่ยขอบคุณที่ช่วยเหลือหลานสาวตน ทว่าฐานะของตนในตอนนี้ จะเหยียบเข้าไปในโรงเตี๊ยมก็ไม่ได้ด้วยซ้ำ
อวี้หนิงมองดูทุกคนที่กำลังหิวโหย ดูแล้วในคุกหลวงคงไม่ได้กินให้อิ่มเช่นอยู่ที่จวน ยังดีที่เหล่าสตรีและเด็ก ฝ่าบาทยังเมตตาส่งไปกักขังในจวนที่บ้านเกิดท่านตาแทน มีเพียงท่านยายของนางที่ขอตายร่วมกับท่านตา ฝ่าบาทจึงยอมให้นางติดตามสามี
“พวกท่านรอที่นี่ ข้าจะเข้าไปเจรจากับเจ้าของโรงเตี๊ยม ให้พวกท่านได้หลบพายุด้านใน”
“อย่าเลย เจ้าจะถูกคนพวกนั้นรังแกเสียเปล่า ๆ” เหรินหมิงฮ่าวรีบเอ่ยเตือนหลานสาว เขาเป็นแม่ทัพ รู้ดีว่าเหล่าทหารพวกนี้มีนิสัยหยาบกร้านเพียงใด และหากนางต้องร้องขอความเมตตา เหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้นต้องคิดเอาเปรียบนางแน่
“ท่านลุงอย่าได้กังวล หลานจะระวังตัว อีกอย่างท่านยายอายุมาก ให้ทนหนาวเช่นนี้ไม่ดีแน่”
หลี่หยางเฉิงพาชายาของตนและบุตรชายกลับจวนแม่ทัพ ตอนนี้เขาไม่คิดรีบร้อนกลับฉางเล่อแล้ว เพียงแค่ซูอวี้หนิงและลูกชายอยู่ที่ใด เขาย่อมเลือกที่นั่น หลี่หยางอี้ที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางสิบวันผล็อยหลับในอ้อมกอดของบิดา หยางเฉิงจ้องมองใบหน้าน้อย ๆ นั้นอย่างรักใคร่ เช่นเดียวกับซูอวี้หนิงที่นั่งจ้องมองสองพ่อลูกด้วยแววตาอ่อนโยน รถม้าหยุดลงหน้าจวน หยางเฉิงอุ้มเด็กน้อยวางลงบนเตียงในเรือนรับรองอย่างแผ่วเบา ก่อนจะนั่งมองลูกชายอยู่พักใหญ่ “ฮูหยินช่างใจร้ายนัก ปิดบังข้าได้ตั้งสามปี ไม่สงสารข้าบ้างเลยหรือ” บุรุษตัวสูงเงยหน้าขึ้นมองชายาด้วยแววตาเสียใจ อวี้หนิงเห็นแล้วก็เสียใจไม่น้อย “หม่อมฉันผิดต่อท่านอ๋องเองเพคะ เพราะเกรงท่านอ๋องจะละทิ้งทุกอย่างแล้วกลับมาหาหม่อมฉันและลูก หากเป็นเช่นนั้นชาวต้าหยางอีกสักเท่าไหร่จะต้องทนทุกข์” หยางเฉิงลุกขึ้นกอดร่างบางไว้แน่น ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น “รู้หรือไม่ข้ากลัวมากเพียงใด กลัวเจ้าจะไม่รอข้า กลัวข้าจะไม่ได้กลับไปพบเจ้า กลัวจะทิ้งเจ้าไว้เพียงผู้เดียว”
หยางเฉิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธโดยเร็ว ในใจเขายินดียิ่งกว่าอะไร เหตุใดจะกล้าตำหนินางได้เล่า “ไม่เลย ข้าดีใจที่ฮูหยินขัดคำสั่งข้าครั้งนี้” หยางเฉิงเอ่ยพลางจุมพิตบนหน้าผากบาง “ท่านแม่” เสียงเด็กน้อยที่งัวเงียตื่นดังขึ้นภายในรถม้า ทำให้หลี่หยางเฉิงชะงักงัน นี่เขาหูฝาดหรือ “เสียงเด็กที่ไหนกัน” หยางเฉิงคลายอ้อมกอด พลางหันไปทางรถม้า อวี้หนิงยิ้มบาง ก่อนเรียกคนที่อยู่ในรถม้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อี้เอ๋อร์ ลงมาหาแม่เร็วเข้า” ฉินอ๋องยิ่งตกใจเมื่อนางแทนตัวเองว่าแม่ ทว่ายังไม่ทันให้เขาถามอันใด เด็กน้อยตัวขาว ใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่เด็กก็ปรากฏตัวขึ้น ก่อนที่จะเป็นอวี้หนิงจะอุ้มเขาลงจากรถม้า “ท่านอ๋อง เป็นอันใดหรือไม่เพคะ” นางมั่นใจว่าบัดนี้ฉินอ๋องตัวแข็งทื่อและไม่ได้หายใจด้วยซ้ำ “นี่คือใครกัน” มือของหยางเฉิงสั่นเทา ชี้มายังเด็กชายตรงหน้า น้ำเสียงนั้นก็หาความมั่นคงไม่ได้ “ลูกอย่างไรเล่าเพคะ” “ลูกหรือ! นี่หนิงเอ๋อร์เจ้า… เจ้าแต่งงานใหม่หรือ เหตุใ
หลังหลี่หยางเฉิงจากไป เหรินฮูหยินที่รู้จากเสี่ยวเหม่ยว่าหลานสาวตั้งครรภ์ จึงรีบมารับตัวไปอยู่ด้วยกันที่ตระกูลเหริน ฮูหยินเฒ่าทั้งร้องไห้ทั้งตำหนิหลานสาวที่ไม่ยอมบอกเรื่องตั้งครรภ์กับฉินอ๋อง แต่เก็บซ่อนไว้เพียงผู้เดียว แม้นางมีเหตุผลเพราะเกรงฉินอ๋องจะห่วงหน้าพะวงหลัง แต่กระนั้นควรให้เขาได้ดีใจไม่ใช่หรือ ทว่าซูอวี้หนิงก็ยืนกรานอย่างเด็ดขาด ว่าหากสงครามยังไม่จบสิ้นห้ามบอกเรื่องนี้กับท่านอ๋อง แม้แต่คนของเขาอู่ถงเองก็ไม่อาจขัดคำสั่งนางได้ เรื่องนี้จึงถูกเก็บเงียบไม่ให้คนอยู่ไกลได้เป็นห่วง วันเวลาค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไป พร้อมกับความห่วงหาของอวี้หนิงที่มีต่อสามีที่ก่อตัวขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนนางแทบทนรอไม่ได้ แม้ข่าวของเขาจะถูกเจียงเฟิงควบม้าเร็วมาบอกทุกเดือน ด้วยหลี่หยางเฉิงไม่ไว้ใจผู้ใด หากข่าวนั้นไม่ได้ส่งต่อจากเจียงเฟิงก็ห้ามให้นางเชื่อเป็นอันขาด เช่นนั้นนางจึงเฝ้ารอเจียงเฟิงอยู่ทุกเดือน แม้จะมีกู้เผยอี้เทียวพาพี่สะใภ้ของตนแวะเวียนมาพูดคุยอยู่แทบทุกวัน กระนั้นก็ไม่อาจคลายเหงาให้นางลงได้ “พระชายา ยายว่าเจ้าบอกท่านอ๋องดีหรือไม่ บัดนี้อี้เอ๋อร์ก็ครบหนึ่งป
ซูอวี้หนิงแม้แปลกใจในคำพูดของคนเบื้องหน้า แต่กระนั้นนางยังพยักหน้าเห็นด้วย “ดีเพคะ แต่ท่านอ๋องทำได้หรือ” หลี่หยางเฉิงยิ้มอบอุ่นให้กับนาง “เพียงเจ้าต้องการ ข้าทำได้ทั้งสิ้น” เอ่ยจบก็จุมพิตลงบนหน้าผากเนียน โดยไม่สนสายตาบุรุษทั้งสามที่จับจ้องอยู่ จนคนแอบรักอย่างหย่งเฉินจำต้องหันมองไปทางอื่น ก่อนที่ฉินอ๋องจะจูงมือชายาของตนกลับมา “ข้าจะกลับฉางเล่อไปพร้อมท่าน” คำพูดของหลี่หยางทำให้อวี้หนิงประหลาดใจ แต่ไม่ใช่กับหลี่หวงหยูและเว่ยหย่งเฉินที่คาดเดาคำตอบเอาไว้แล้ว “หึ! เป็นแผนของเจ้าสินะ” เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคู่แข่งหัวใจ หลี่หยางเฉิงก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “กระหม่อมเพียงอยากให้ต้าหยางสงบสุข เฉกเช่นพระชายาฉินอ๋องต้องการพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยหย่งเฉินไม่ปฏิเสธ เป็นเขาที่ต้องการให้เหล่าสตรีพวกนี้มาพบซูอวี้หนิง เพราะคนจิตใจบริสุทธิ์เช่นนางย่อมไม่ปรารถนาให้เกิดสงคราม และคนที่ตามใจภรรยาแทบจะถวายชีวิตให้อย่างฉินอ๋องย่อมไม่มีวันปล่อยให้นางทุกข์ใจเป็นแน่ จากนั้นเขากับไท่จื่อก็เพียงนำค
หลี่หยางเฉิงมีหรือจะไม่รู้ว่าตอนนี้นางกลัวสิ่งใด จึงรีบกุมมือนางไว้แน่น “ฮูหยิน ข้าไม่ได้คิดจะหลอกเจ้า เพียงแต่การที่ตัวข้าต้องอยู่อย่างหวาดกลัวมาสิบสองปี ต้องระวังไม่ให้ถูกสังหารอยู่ทุกวัน ทำให้ข้าไม่อาจเชื่อใจผู้ใดได้ หากเรื่องเกิดกับข้าก็แล้วไป แต่หากเกี่ยวกับเจ้าเล่า เรื่องนี้ข้าทนไม่ได้ เขาชิงหนิงนี้จึงมีคนของข้าคอยคุ้มอยู่นับพัน เจ้าอย่าเคืองข้าได้หรือไม่” หยางเฉิงเอ่ยด้วยสายตาอ้อนวอน เมื่อรู้เช่นนี้นางถึงเข้าใจอย่างกระจ่างว่าเหตุใดคนที่นี่จึงดูสุภาพกับนางนัก ทั้งพ่อค้า แม่ค้า ชาวเมือง บางทีก็ลอบสังเกตนางอยู่หลายครั้ง “กระนั้นท่านอ๋องก็คิดปิดบังหม่อมฉันไม่ใช่หรือ” “ข้า...” หยางเฉิงอยากจะอธิบายทว่ากลับคิดคำอธิบายไม่ได้ ที่นางเอ่ยมาไม่ผิด จะด้วยเหตุผลใดเขาก็คิดปิดบังนางจริง “หนิงเอ๋อร์ ข้าทำผิดอีกแล้ว ช่วยอภัยให้ข้าได้หรือไม่” บุรุษที่องอาจบัดนี้มีท่าทีราวกับเจ้า ชิงชิง แมวขาวขนปุยที่กำลังขอความเมตตาจากเจ้านาย อวี้หนิงไม่ได้ขุ่นเคืองเขา เพียงแต่นางไม่เห็นความจำเป็นใดที่ต้องปิดบังนาง
เวลาเพียงหนึ่งเดือน ทัพตระกูลเหรินต้องเร่งเดินทางไปสมทบกับแม่ทัพเหิงหมิงฮ่าว แม้ครั้งนี้แม่ทัพใหญ่จะให้กองทัพตระกูลมู่โยกทหารในมือที่ปกป้องแคว้นฝั่งเทียนไห่ ที่บัดนี้สงบมาหลายปี ช่วยตระกูลเหรินทำศึกกับต้าเหลียง ถือเป็นการเลือกหนุนไท่จื่อองค์ใหม่อย่างชัดเจน ทว่าครั้งนี้อ๋องต้าเหลียงที่ซุ่มศึกษาต้าหยางนานหลายปี ไม่คิดจะรามือโดยง่าย การศึกยืดเยื้อและมีทีท่าว่าจะขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ราษฎรไม่น้อยต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ หนีตายเดินทางเข้าเมืองหลวง ทุกย่อมหญ้าบัดนี้มีแต่ความระทมทุกข์ ทว่ากลับไม่ใช่ที่เขาชิงหนิง ที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ไม่น้อย ทว่าที่นี่กลับสงบสุขไร้ความวุ่นวาย เรือนหลังใหญ่ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่บัดนี้อบอวลไปด้วยความรัก หลี่หยางเฉิงถือโอกาสที่ราชสำนักวุ่นวาย กังวลเรื่องการศึก พาซูอวี้หนิงย้ายออกมาอยู่ตามลำพัง อย่างที่นางปรารถนามาช้านาน ในที่นี้พวกเขากลับเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ไม่มีผู้รู้ที่มาของพวกเขา ชาวบ้านต่างคาดเดาว่าเป็นคหบดีในเมือง อยากใช้ชีวิตเรียบง่ายตามป่าเขาก็เท่านั้น ซูอวี้หนิงแม้เป็นห่วงคนตระกูลเหริน ทว่าก็ไม่อาจขัดใจฉิ





![ตำนานรักแผ่นดินกงซุน [NC25+]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

