LOGIN“ข้านึกว่าเจ้าอยากแต่งกับลูกสาวบัณฑิตเว่ยเสียอีก”
ฮ่องเต้นึกถึงเมื่อสิบสองปีก่อน โอรสของเขามักฝากสิ่งของกับเว่ยจิ้นหงผู้เป็นอาจารย์สอนตำราไปให้เว่ยซินเอ๋อร์อยู่บ่อยครั้ง จนเขาเตรียมราชโองการหมั้นหมายของเด็กทั้งสองไว้แล้ว ทว่ายังไม่ทันได้ประกาศออกไป กลับมีเรื่องของหรงเยว่เกิดขึ้นเสียก่อน
หยางเฉิงนิ่งงันเมื่อผู้เป็นบิดาเอ่ยถึงสตรีอันเป็นที่รัก แววตาเย็นชาวูบไหวอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกลับมานิ่งสงบดั่งเดิม
“นางหมั้นหมายแล้ว คุณชายใหญ่จวนแม่ทัพมู่ก็องอาจ สง่าผ่าเผย ไม่มีเหตุผลใดจะต้องไปทำลายพวกเขา”
“เช่นนั้นการแต่งงานของเจ้าก็เพื่อทำลาย?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หยางเฉิงตอบคำถามโดยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ คล้ายกับการแต่งงานไม่ได้มีผลอันใดกับเขาแม้แต่น้อย
“หลานสาวเจ้ากรมคลังมีถึงสองคน เจ้าหวังคนใดเล่า?”
ฮ่องเต้เพิ่งนึกได้ว่าโอรสเบื้องหน้ายังไม่ได้เอ่ยถึงชื่อนางสตรีที่ต้องการอภิเษกเสียด้วยซ้ำ
“คนใดก็สุดแล้วแต่เจ้ากรมคลังจะเสียสละเถิดพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่กระหม่อมต้องการไม่ใช่ตัวพระชายา” หยางเฉิงเอ่ยตอบพลางมองไปยังป้ายวิญญาณของมารดา
“หึ! เจ้าคงไม่ใช่อยากให้เรือนเล็กกับเรือนใหญ่ของเจ้ากรมคลังผิดใจกันหรอกนะ”
“นั่นคือสิ่งที่กระหม่อมต้องการพ่ะย่ะค่ะ”
หยางเฉิงตอบโดยไม่ต้องไตร่ตรอง ใครบ้างไม่รู้ว่ากุ้ยเฟยเป็นธิดาเจ้ากรมคลังกับฮูหยินเอก ทว่าบุตรชายของเขากับฮูหยินเอกอย่างหลินฮัวเต๋อ กลับเป็นเพียงขุนนางขั้นสามในกรมวัง ทว่าหลินซือหาน บุตรชายคนรองของเจ้ากรมคลังกับฮูหยินรอง กลับเป็นถึงรองเจ้ากรมอาญา เช่นนี้เพื่อหลานสาวเรือนใหญ่กับเรือนรองคงต้องห้ำหั่นไม่น้อย
“ได้! เตรียมจวนของเจ้าให้พร้อมเถอะ”
ฮ่องเต้เทียนอี้ตรัสทิ้งท้ายก่อนหมุนกายออกจากตำหนักเยว่ฮวา
รุ่งเช้าในจวนตระกูลซู โลงศพของฮูหยินเอก รองเจ้ากรมโยธาถูกวางบนรถลากออกนอกจวน เบื้องหน้าบ่าวไพร่ถือธงผ้าและโปรยเงินกระดาษไปตลอดทาง อวี้หนิงในชุดป่านสีขาวไว้ทุกข์กอดป้ายวิญญาณมารดาไว้แน่น ดวงตายังจ้องมองแผ่นหลังของผู้เป็นบิดาที่เดินอยู่เบื้องหน้า ตั้งแต่วันที่มารดาจากไปจนถึงวันนี้ นี่คือครั้งแรกที่บิดามาแสดงออกว่าเสียใจที่มารดาของนางจากไป ทว่าการส่งฮูหยินเอกครั้งนี้กลับไร้เงาของอี้เหนียงอย่างหลินซือเหยียนและซูเจินหยู น้องสาวต่างมารดาของนาง แม้แต่อนุคนอื่น ๆ ยังอ้างว่าล้มป่วย ส่งเพียงน้อง ๆ ของนางมาร่วมพิธีเท่านั้น เมื่อครั้งที่ตระกูลเหรินยังเป็นอ๋องต่างแซ่กับฮ่องเต้ สองแม่ลูกนั้นคอยอยู่ข้างกายมารดาไม่ห่าง จนมารดาของนางรักใคร่เจินหยูไม่ต่างจากบุตรสาวตัวเอง ไม่ต้องเอ่ยถึงบ้านเล็กอื่น ๆ ของบิดาที่เคารพมารดาของนางเสียยิ่งกว่าเคารพแม่สามีเสียอีก ทว่าพอเรื่องกลายเป็นเช่นนี้ อวี้หนิงก็ได้แต่หัวเราะให้กับโชคชะตา
“คุณหนู! เป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวเหม่ยที่คอยประคองอยู่ด้านข้างเห็นรอยยิ้มขบขันของอวี้หนิงก็ตกใจ เกรงคุณหนูของตนจะเสียสติไปเสียแล้ว ถึงได้ขบขันในเวลาเช่นนี้ได้
“ไม่มีอันใด ข้าเพียงขบขันที่ตนเองโง่เขลา ดูจิตใจผู้อื่นไม่ออกมาเนิ่นนานก็เท่านั้น”
ใบหน้าที่ยังเปื้อนยิ้ม ทว่าดวงตากลับร้องไห้นั้นยังคงจ้องมองบิดาของตนอยู่เงียบ ๆ
ตลอดเส้นทางออกนอกเมือง ผู้คนที่พบเห็นขบวนศพฮูหยินของตระกูลซูต่างยกย่องซูจิ้งซวนไม่ขาดปาก
“ใต้เท้าซูช่างรักมั่น ดูเถิดใบหน้าเขาเศร้าหมองเพียงใด”
“ข้าได้ยินว่าเขาล้มป่วยอยู่หลายวันเชียว บุรุษเช่นนี้หายากยิ่ง”
อวี้หนิงที่ได้ยิน ได้แต่เหยียดยิ้มด้วยใบหน้าที่เปื้อนน้ำตา นางปวดใจแทนมารดาผู้ล่วงลับที่รักมั่นเพียงบิดาผู้เดียว แต่ก่อนนางชื่นชมบิดาสุดหัวใจ ถึงเขาจะมีอนุถึงสี่คน ทว่านั่นก็เพราะมารดาของนางไม่อาจมีบุตรชายให้ท่านพ่อได้ ด้วยร่างกายที่อ่อนแอแต่ไหนแต่ไร แต่ถึงอย่างนั้นท่านพ่อมักมาหาท่านแม่ของนางอยู่เสมอ เช่นนี้นางจึงเชื่อในความรักที่บิดามีให้มารดาเสมอมา
สุสานตระกูลซูอยู่ไม่ไกลจากนอกเมือง เมื่อรถลากหยุดลง เหล่าบ่าวไพร่ยังไม่ทันได้ยกโลงศพลง จิ้งซวนกลับขึ้นรถม้าที่หยุดรออยู่นอกสุสานเสียแล้ว
“ท่านพ่อจะไปที่ใดกัน?” อวี้หนิงเอ่ยถามบิดาที่เดินผ่านรถลากโลงศพไป ใบหน้างามเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ข้าจะกลับจวนก่อน เสร็จพิธีแล้วเจ้าก็รีบกลับ อย่าได้ให้มืดค่ำ”
จิ้งซวนเอ่ยโดยไม่หันหลังกลับมามอง ก่อนรถม้าจะเคลื่อนจากไป โดยมีสายตาของบ่าวไพร่หลายสิบคนมองนางสลับรถม้าที่เคลื่อนออกไป
อวี้หนิงหัวเราะเช่นคนเสียสติ พร้อมกับหยดน้ำอุ่นที่พรั่งพรูออกจากดวงตาคู่งามไม่หยุด จนบ่าวไพร่เริ่มกลัวกับท่าทีของนาง
“คุณหนู~”
เสี่ยวเหม่ยกอดร่างหญิงสาวไว้แน่น นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกเสียใจมากเพียงใด ถึงได้แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาได้
“เสี่ยวเหม่ย ท่านพ่อเพียงแค่แสร้งทำเป็นรักท่านแม่ต่อหน้าชาวเมืองเท่านั้น พอไม่มีผู้ใดจ้องมอง เขาก็จากไปโดยไม่สนใจท่านแม่หรือข้าแม้แต่น้อย”
หญิงสาวที่เมื่อครู่ยังหัวเราะลั่น ตอนนี้กลับทรุดตัวลงร้องไห้ข้างรถลากโลงศพของมารดา
อวี้หนิงนั่งเหม่อลอยหน้าหลุมศพของมารดาผู้ล่วงลับเป็นเวลานาน โดยที่ไม่เอ่ยสิ่งใด ก่อนที่นางจะลุกขึ้นยืน พลางหันมามองเสี่ยวเหม่ยที่นั่งอยู่ข้างกายนางไม่ห่าง
“เสี่ยวเหม่ย กลับกันเถอะ”
อวี้หนิงเอ่ยจบก็หมุนกายเดินขึ้นรถม้า โดยมีเสี่ยวเหม่ยคอยปรนนิบัติอยู่ด้านใน
“คุณหนู ต่อจากนี้เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ”
อวี้หนิงได้แต่ส่ายหน้ากับสิ่งที่สาวใช้ถาม ตัวนางเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เสี่ยวเหม่ยเองที่เห็นสีหน้าคิดไม่ตกของเจ้านาย ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดอีก
จวนตระกูลซู นักพรตกำลังทำพิธีขับไล่ดวงวิญญาณ โดยมีอี้เหนียงอย่างหลินซือเหยียนเป็นผู้เชิญมา ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างซูจือเหลียงพนมมือเดินตามหลังนักพรตอย่างหวาดกลัว โดยมีอี้เหนียงคนอื่น ๆ ยืนอยู่ด้านหลังแม่สามี นับตั้งแต่ลูกสะใภ้สิ้นใจ ฮูหยินเฒ่าก็ฝันร้ายอยู่ทุกคืน บางครั้งก็ได้ยินเสียงของเหรินเยว่หลิงเรียกนางอยู่บ่อย ๆ
“พวกท่านทำอันใดกัน!”
อวี้หนิงที่กลับมาถึงเรือนของตนขมวดคิ้วแน่น เมื่อเห็นนักพรตกำลังร่ายคาถา พลางรื้อข้าวของของนางกระจัดกระจาย โดยมีอนุของบิดาและท่านย่าของตนยืนมองโดยไม่คิดห้ามปราม
“คุณหนูผู้นี้มีวิญญาณวนเวียนอยู่ไม่ห่าง หากนางยังอยู่ในจวน วิญญาณร้ายก็จะไม่ยอมไปไหน!” นักพรตหญิงชี้มือสั่นเทามายังอวี้หนิง
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้นยิ่งนึกกลัว รีบเอ่ยขอทางแก้จากนักพรตในทันที
“ให้นางรีบแต่งออกจากจวนไปเสีย ไม่เช่นนั้นตระกูลท่านต้องถึงจุดจบแน่!”
นักพรตเอ่ยจบก็ให้ยันต์คุ้มกายกับฮูหยินเฒ่าก่อนออกจากจวนไป
อวี้หนิงยังคงยืนนิ่งสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น นางไม่รู้ว่าที่นักพรตเอ่ยมานั้นจริงหรือไม่
“ซือเหยียน พรุ่งนี้เจ้าให้คนมาเก็บของของนางให้เรียบร้อย ข้าจะให้จิ้งซวนเร่งตระกูลกั๋วกงมาสู่ขอ หากทางนั้นไม่ต้องการนางแล้ว ก็ส่งให้ตระกูลอื่น หรือไม่ก็แต่งเป็นอนุของเรือนใดก็ได้ อย่างไรเสียนางต้องรีบออกจากตระกูลของข้าโดยเร็ว” ฮูหยินเฒ่ากำชับกับอี้เหนียงก่อนรีบเดินเลี่ยงหลานสาวของตนไป
ซือเหยียนมองสตรีเบื้องหน้าก่อนจะเหยียดยิ้มพอใจ
“อวี้หนิง เจ้าคงได้ยินที่ท่านย่าพูดแล้ว นางไม่ได้ต้องการเจ้าแล้ว บิดาเจ้ายิ่งแล้วใหญ่ แม้แต่เอ่ยลาฮูหยินของตนยังไม่ทำ วันนี้เจ้าก็พักผ่อนให้ดีเถิด วันพรุ่งไม่แน่... เจ้าอาจจะต้องกลายเป็นอนุของชายแก่สักเรือนในเมืองฉางเล่อนี้ก็เป็นได้”
ซือเหยียนเอ่ยจบก็เดินจากไปอย่างอารมณ์ดี โดยที่อวี้หนิงไม่คิดตอบโต้ใด ๆ
“คุณหนู! จะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ หลินอี้เหนียงต้องกลั่นแกล้งท่านแน่ เราไปขอความเป็นธรรมกับนายท่านดีหรือไม่” เสี่ยวเหม่ยร้อนใจแทนเจ้านาย
“หึ! หากท่านพ่อห่วงใยข้า คงไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้แต่แรก เขาเองก็คงอยากกำจัดข้าออกจากจวนไม่ต่างกัน”
“แล้วเช่นนี้จะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ” ยิ่งฟังอวี้หนิงเอ่ย เสี่ยวเหม่ยก็ยิ่งเป็นห่วงนางมากขึ้น
อวี้หนิงหยุดคิดชั่วครู่ ก่อนหันมาจ้องมองสาวใช้ข้างกายเพื่อขอความเห็น
“เสี่ยวเหม่ย เจ้าว่าข้าควรบอกเรื่องนี้กับฉู่อ๋องดีหรือไม่”
“ดีสิเจ้าคะ! ท่านอ๋องสามต้องช่วยคุณหนูได้แน่” เสี่ยวเหม่ยยิ้มกว้างให้กับอีกฝ่าย
“เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะบอกกับฉู่อ๋อง เจ้าไปเตรียมอาหารให้มากหน่อย และผ้าคลุมสักหลายผืน ท่านตากับท่านยายคงไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอุ่นนัก”
เสี่ยวเหม่ยรับคำของอวี้หนิงก่อนรีบกุลีกุจอทำงานตามคำสั่ง
ต้นยามซวี อวี้หนิงที่ร้อนใจจึงออกไปรอเยว่ซิงหน้าประตูจวน ดีที่คืนนี้หิมะไม่ตก อากาศด้านนอกจึงไม่หนาวนัก ทว่าผ่านไปหนึ่งชั่วยามชั่วยาม บุรุษที่นางรอกลับไม่ได้มาตามสัญญา
หญิงสาวนั่งลงที่บันไดจวน ดวงตาที่เปี่ยมด้วยความหวังยังคงจดจ้องตามเส้นทางไปตำหนักฉู่อ๋อง ทว่าจนแล้วจนรอดกลับไม่มีรถม้าสักคันที่วิ่งผ่านทางมา
“คุณหนู ท่านเข้าไปพักก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะอยู่เฝ้าให้เอง”
เสี่ยวเหม่ยเอ่ยเสียงเบา
“เขาต้องมาแน่ หากข้ากลับเข้าจวน เมื่อท่านอ๋องมาถึงแต่ไม่พบข้า เกรงว่าจะดูไม่เหมาะ” อวี้หนิงเอ่ยอย่างมีความหวัง
เสี่ยวเหม่ยมองเจ้านายที่นั่งหน้าประตูอย่างอดสงสารไม่ได้ ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าคลุมผืนหนามาห่มให้อวี้หนิง
“คุณหนู หากท่านอ๋องไม่มาเล่าเจ้าคะ?” เสียงของเสี่ยวเหม่ยแผ่วเบา พลางมองถนนสายยาวที่มืดมิดไร้แม้แต่เงาของรถม้า
อวี้หนิงยกมือขึ้นกุมผ้าคลุมที่เสี่ยวเหม่ยห่มให้นางไว้แน่น ดวงตาคู่งามที่เคยเต็มไปด้วยความหวังเริ่มมีแววหม่นหมอง
“เขาต้องมา... เยว่ซิงไม่มีทางผิดคำพูดกับข้า” เสียงของอวี้หนิงแผ่วเบาเช่นกัน ทว่าทุกถ้อยคำเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น
ทว่าเวลาเนิ่นนานผ่านไปจนใกล้เข้าสู่ยามจื่อ ราตรีที่เคยปลอดโปร่งกลับเริ่มมีเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาอีกครั้ง ท้องถนนหน้าจวนเงียบงัน มีเพียงแสงโคมริบหรี่จากสองฝั่งถนนและเสียงลมหนาวพัดผ่านต้นไม้ไปมา
เสี่ยวเหม่ยยืนกอดอก กัดริมฝีปากแน่น มองเจ้านายที่ยังคงไม่ยอมลุกจากบันไดหน้าจวน ทั้งที่ร่างบางนั้นเริ่มสั่นระริกเพราะไอหนาว
“คุณหนู... ท่านอ๋องอาจติดราชกิจ หากท่านไม่เข้าจวน เกรงว่าท่านจะป่วยเสียก่อน”
อวี้หนิงไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ นางยังคงจ้องมองถนนว่างเปล่าเบื้องหน้าอย่างเงียบงัน
เสียงหิมะตกกระทบพื้นดังแผ่วเบา ดวงตาของอวี้หนิงรื้นด้วยหยาดน้ำตา ทว่าเจ้าตัวยังคงไม่ปริปาก นางเพียงหลุบตามองพื้น ก่อนจะพึมพำกับตนเอง
“หรือว่า… ข้าจะโง่เขลาอีกแล้ว?”
เสี่ยวเหม่ยได้ยินดังนั้น น้ำตาก็ไหลอาบแก้ม สาวใช้ตัวน้อยรีบทรุดตัวลงกอดร่างของอวี้หนิงเอาไว้แน่น
“คุณหนู ท่านยังมีบ่าวอยู่นะเจ้าคะ ฮูหยินก็กำลังมองคุณหนูอยู่บนฟ้า ท่านต้องอดทนไว้นะเจ้าคะ”
อวี้หนิงยกมือขึ้นลูบเรือนผมของเสี่ยวเหม่ยเบา ๆ ดวงตาเปียกชื้นทอดมองท้องฟ้ายามราตรีที่เกล็ดหิมะเริ่มตกหนาขึ้นอย่างเหม่อลอย
รุ่งเช้า ซูจิ้งซวนแต่งกายด้วยชุดขุนนาง ยืนรอบุตรสาวอยู่หน้าจวน วันนี้อวี้หนิงสวมเสื้อคลุมยาวแขนกว้างสีอ่อน ปักลายดอกเหมยด้วยไหมทอง ทับด้วยกระโปรงจีบยาวสีเขียวหยกที่พริ้วไหวไปตามแรงลมในฤดูเหมันต์ โดยมีเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวยาวสวมทับกรอมถึงข้อเท้า ผมยาวสีนิลถูกรวบเป็นมวย ปิ่นหยกสีขาวถูกปักไว้บนมวยผม ปรอยผมบางส่วนถูกปล่อยลงข้างแก้ม ขับให้ใบหน้างามดูละมุนละไม นางหยุดยืนอยู่ต่อหน้าบิดาด้วยท่าทีสงบนิ่ง “มาแล้วก็ขึ้นรถม้าเถิด” ซูจิ้งซวนเอ่ยเสียงแผ่ว ไม่กล้าสบตาบุตรี แม้เขาจะมิใช่ผู้บีบบังคับนาง หากแต่ก็ไม่เคยขัดขวางหลินอี้เหนียงเลยสักครั้ง ตลอดเส้นทางภายในรถม้า มีเพียงความเงียบงัน ทั้งบิดาและบุตรีต่างมิได้ปริปาก เมื่อถึงตำหนักเฉวียนชิง ซูจิ้งซวนแจ้งองครักษ์หน้าตำหนักว่าขอนำบุตรสาวเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ไม่นาน เจากงกงก็เดินออกมา “ใต้เท้าซู คุณหนูซู” เจากงกงเอ่ยทัก “เจากงกง” ซูจิ้งซวนค้อมกายทักทาย โดยมีอวี้หนิงยอบกายตามด้วยท่าทีสำรวม “ฝ่าบาทยังทรงหารือราชกิจอยู่ ท่านทั้งสองโปรดนั่งรอสักครู่” เจากงกงผายมือให้
เสี่ยวเหม่ยที่เห็นคุณหนูของตนกลับมา ทว่าใบหน้ากลับไม่สู้ดีนัก จึงรีบเข้าไปประคอง “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านอ๋องจะมารับเข้าจวนเมื่อใด” “กุ้ยเฟยไม่ยินดีให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋อง วาสนาข้ากับเขาคงมีเพียงเท่านี้” น้ำเสียงของอวี้หนิงสั่นเครืออย่างชัดเจน ดวงตาคู่งามไม่อาจกักเก็บความเสียใจได้อีก ก่อนที่หยดน้ำอุ่นจะพรั่งพรูไหลอาบแก้มนวล “คุณหนู~” เสี่ยวเหม่ยที่เสียใจแทนคุณหนูของตนได้แต่กอดนางร้องไห้ไปพร้อมกัน เรื่องของหลี่เยว่ซิงทำให้ทั้งวันอวี้หนิงไม่มีแรงทำสิ่งใดได้ นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยนึกถึงช่วงเวลาในอดีต ตอนที่ตาของนางยังเป็นจวิ้นอ๋องต่างแซ่ ตระกูลเหรินยังเรืองอำนาจ แม้แต่ตระกูลหลินก็อยากเกี่ยวดองด้วย กุ้ยเฟยมักให้คนส่งขนมหวานมาให้นางอยู่บ่อยครั้ง ตอนเข้าวังพร้อมมารดา หลินกุ้ยเฟยยังให้นางกำนัลใกล้ชิดมาเชิญนางไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนอยู่หลายครา นางและฉู่อ๋องแทบจะตัวติดกันทุกครั้ง แม้ไม่เคยเอ่ยความในใจกันทั้งสองฝ่าย ทว่าผู้ใหญ่ต่างรับรู้ได้ หลี่เยว่ซิงเองก็ตามใจนางเสียทุกอย่าง เขาทำให้นางรู้สึกถึงการถูกปกป้อง การให้เกียร
ภายในเรือนหอมบุปผา อวี้หนิงที่กำลังอ่านคำร้องที่ท่านน้าของตนให้มาในครานั้น กลับต้องถูกขัดจังหวะจากเสี่ยวเหม่ยที่เข้ามาในห้องอุ่นด้วยท่าทีร้อนรน “คุณหนู เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ เจ้ากรมคลังบีบบังคับนายท่านให้ส่งคุณหนูแต่งเข้าจวนฉินอ๋องแทน” อวี้หนิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับไม่ได้แปลกใจมากนัก นางเพียงปรายตามองสาวใช้เบื้องหน้าที่ใทั้งตื่นกลัว ทั้งแค้นเคืองในเวลาเดียวกัน “ท่านพ่อจะกล้าขัดราชโองการหรือ” “ไม่ใช่นายท่านเจ้าค่ะ แต่จะเป็นคุณหนูต่างหากเล่า” เสี่ยวเหม่ยรีบเอ่ยด้วยความร้อนใจ อวี้หนิงรู้สึกแปลกใจ ก่อนจะนึกถึงคำพูดของหลินซือเหยียนในครานั้น “หรือพวกเขาจะให้ข้าทูลขอต่อฮ่องเต้ให้ได้เป็นพระชายาฉินอ๋องแทนเช่นนั้นหรือ” คิ้วเรียวขมวดแน่น เสี่ยวเหม่ยรีบพยักหน้าแทนคำตอบ “ครานี้หลินอี้เหนียงคงลงแรงไปไม่น้อยเลย” ตั้งแต่วันที่เจินหยูรับราชโองการ นางเองคาดคิดไว้อยู่แล้วว่าหลินซือเหยียนต้องคิดใช้นางให้แต่งแทนบุตรีของตนแน่ แต่บิดาของนางไม่เห็นด้วย เช่นนั้นแล้วที่พึ่งเดียวของ
ภายในเรือนหอมบุปผา อวี้หนิงที่เอาแต่ตรวจบัญชีสินเดิมของมารดาอยู่ในห้องโดยไม่ออกไปพบผู้ใดมาหลายวัน กลับถูกดึงความสนใจจากความโกลาหลภายนอกเรือน “เสี่ยวเหม่ย เกิดอันใดขึ้น” เสี่ยวเหม่ยผู้ทำหน้าที่สอดส่องความเคลื่อนไหวภายในจวน รีบเข้ามารายงาน “ฮูหยินใหญ่เป็นลมหมดสติเจ้าค่ะ ส่วนอนุหลินกับคุณหนูรองก็อาละวาดเรื่องที่ต้องแต่งเข้าจวนฉินอ๋อง นายท่านถึงขั้นตบหน้าอนุหลินเพราะบันดาลโทสะเลยนะเจ้าคะ” เสี่ยวเหม่ยอธิบายตาโต อวี้หนิงก็ตกใจไม่ต่างกัน แต่ไหนแต่ไรบิดาของตนไม่กล้าขัดใจตระกูลหลินด้วยซ้ำ ครั้งนี้ถึงขั้นตบหน้าหลินซือเหยียน คงไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว “ไปดูกัน” อวี้หนิงเอ่ย พลางลุกขึ้นเดิน โดยมีเสี่ยวเหม่ยนำเสื้อคลุมมาสวมทับให้ ภายในจวนยังไม่ทันที่ซูจิ้งซวนจะจัดการกับปัญหา เจากงกงก็อัญเชิญราชโองการมาเสียแล้ว ขันทีเฒ่าหยุดอยู่หน้าลาน มองเห็นความโกลาหลที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะเรียกให้ซูจิ้งซวนออกมารับราชโองการ “กระหม่อมรับราชโองการ” จิ้งซวนคุกเข่าลงกับพื้น ด้านหลังเป็นหลินซือเหยียน พร้อมทั้ง
หยางเฉิงปรายตามองปิ่นหยกที่ได้มาพร้อมกับตราตระกูลเหริน ก่อนจะนึกถึงเจ้าของปิ่นขึ้นมา “ซูอวี้หนิงเล่า ยังปลอดภัยดีหรือไม่” ร่างสูงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูใหญ่ซูดูเหมือนว่าจะถูกอนุหลินบังคับให้แต่งออกไปเป็นอนุของคหบดีจง” “โอ้! นี่ใต้เท้าซูอยากจะมีบุตรเขยที่อายุมากกว่าตนหรอกหรือ” หยางเฉิงเห็นเป็นเรื่องขบขัน เจียงเฟิงที่เห็นท่าทีท่านอ๋องเช่นนี้ก็อดสงสารคุณหนูซูไม่ได้ ครั้งที่ฮูหยินซูและหวงกุ้ยเฟยยังมีพระชนม์อยู่ ทั้งสองสนิทสนมกันมาก คุณหนูซูในวัยเด็กยังเคยตามมารดามาเข้าเฝ้าหวงกุ้ยเฟย ใบหน้ากลมเล็กนั้นยิ้มแย้มกับทุกผู้ที่เดินผ่าน อีกทั้งยังใจดีนำขนมจากนอกวังมาให้เขา ที่ครั้งนั้นยังเป็นเด็กยากจนได้ลองชิมอยู่บ่อยครั้ง “ท่านอ๋องไม่คิดจะช่วยเหลือคุณหนูซูหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ อย่างน้อยก็ให้นางได้แต่งกับบัณฑิตหนุ่มสักคน” ขันทีหนุ่มเสี่ยงตายเอ่ยขอร้องแทนอวี้หนิง ทว่า หยางเฉิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับตวัดตามามองขันทีข้างกาย “เจ้าลืมแล้วหรือไร ตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนบ้า จะช่วยอันใ
เมื่อคนก่อเรื่องจากไป อวี้หนิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เสี่ยวเหม่ยรีบเข้ามาประคองเจ้านายในทันที “เมื่อครู่นี้คุณหนูทำได้ดีมากเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยเห็นคุณหนูรองทำหน้าคล้ายคนปลดทุกข์ไม่ออกเช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยยิ้มภูมิใจในตัวเจ้านาย “จริงหรือ? แต่ตอนนี้ข้าไม่มีแม้แต่แรงที่จะยืนแล้ว” อวี้หนิงผินใบหน้าซีดเซียวมามองสาวใช้ข้างกาย “เอ๋! ทำไมเป็นเช่นนี้เล่าเจ้าคะ นั่งก่อนเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยเห็นใบหน้าไร้เลือดฝาดของเจ้านายก็แปลกใจ รีบประคองนางนั่งลง อวี้หนิงนั่งสูดลมหายใจอยู่นาน กว่าความตื่นตระหนกจะจางหายไปตั้งแต่เล็กจนโต นางไม่ต้องแย่งชิงหรือปกป้องตัวเองจากผู้ใดด้วยซ้ำ นางมีตระกูลเหรินและมารดาคอยปกป้อง แม้แต่ท่านย่าจะทำสิ่งใด ยังต้องคอยดูสีหน้านางก่อน บัดนี้กลับตาลปัตร นางตัวคนเดียวแล้ว จากนี้ต้องคอยปกป้องตัวเอง “คุณหนู จากนี้เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ” นางไม่ได้ตอบคำถามของเสี่ยวเหม่ย เพียงแต่บอกให้สาวใช้ข้างกายจัดเก็บข้าวของให้เข้าที่เดิม นับจากนี้ชีวิตของนางคงไม่สงบสุขอีกต่อไป นางต้







