LOGIN“ข้านึกว่าเจ้าอยากแต่งกับลูกสาวบัณฑิตเว่ยเสียอีก”
ฮ่องเต้นึกถึงเมื่อสิบสองปีก่อน โอรสของเขามักฝากสิ่งของกับเว่ยจิ้นหงผู้เป็นอาจารย์สอนตำราไปให้เว่ยซินเอ๋อร์อยู่บ่อยครั้ง จนเขาเตรียมราชโองการหมั้นหมายของเด็กทั้งสองไว้แล้ว ทว่ายังไม่ทันได้ประกาศออกไป กลับมีเรื่องของหรงเยว่เกิดขึ้นเสียก่อน
หยางเฉิงนิ่งงันเมื่อผู้เป็นบิดาเอ่ยถึงสตรีอันเป็นที่รัก แววตาเย็นชาวูบไหวอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกลับมานิ่งสงบดั่งเดิม
“นางหมั้นหมายแล้ว คุณชายใหญ่จวนแม่ทัพมู่ก็องอาจ สง่าผ่าเผย ไม่มีเหตุผลใดจะต้องไปทำลายพวกเขา”
“เช่นนั้นการแต่งงานของเจ้าก็เพื่อทำลาย?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หยางเฉิงตอบคำถามโดยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ คล้ายกับการแต่งงานไม่ได้มีผลอันใดกับเขาแม้แต่น้อย
“หลานสาวเจ้ากรมคลังมีถึงสองคน เจ้าหวังคนใดเล่า?”
ฮ่องเต้เพิ่งนึกได้ว่าโอรสเบื้องหน้ายังไม่ได้เอ่ยถึงชื่อนางสตรีที่ต้องการอภิเษกเสียด้วยซ้ำ
“คนใดก็สุดแล้วแต่เจ้ากรมคลังจะเสียสละเถิดพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่กระหม่อมต้องการไม่ใช่ตัวพระชายา” หยางเฉิงเอ่ยตอบพลางมองไปยังป้ายวิญญาณของมารดา
“หึ! เจ้าคงไม่ใช่อยากให้เรือนเล็กกับเรือนใหญ่ของเจ้ากรมคลังผิดใจกันหรอกนะ”
“นั่นคือสิ่งที่กระหม่อมต้องการพ่ะย่ะค่ะ”
หยางเฉิงตอบโดยไม่ต้องไตร่ตรอง ใครบ้างไม่รู้ว่ากุ้ยเฟยเป็นธิดาเจ้ากรมคลังกับฮูหยินเอก ทว่าบุตรชายของเขากับฮูหยินเอกอย่างหลินฮัวเต๋อ กลับเป็นเพียงขุนนางขั้นสามในกรมวัง ทว่าหลินซือหาน บุตรชายคนรองของเจ้ากรมคลังกับฮูหยินรอง กลับเป็นถึงรองเจ้ากรมอาญา เช่นนี้เพื่อหลานสาวเรือนใหญ่กับเรือนรองคงต้องห้ำหั่นไม่น้อย
“ได้! เตรียมจวนของเจ้าให้พร้อมเถอะ”
ฮ่องเต้เทียนอี้ตรัสทิ้งท้ายก่อนหมุนกายออกจากตำหนักเยว่ฮวา
รุ่งเช้าในจวนตระกูลซู โลงศพของฮูหยินเอก รองเจ้ากรมโยธาถูกวางบนรถลากออกนอกจวน เบื้องหน้าบ่าวไพร่ถือธงผ้าและโปรยเงินกระดาษไปตลอดทาง อวี้หนิงในชุดป่านสีขาวไว้ทุกข์กอดป้ายวิญญาณมารดาไว้แน่น ดวงตายังจ้องมองแผ่นหลังของผู้เป็นบิดาที่เดินอยู่เบื้องหน้า ตั้งแต่วันที่มารดาจากไปจนถึงวันนี้ นี่คือครั้งแรกที่บิดามาแสดงออกว่าเสียใจที่มารดาของนางจากไป ทว่าการส่งฮูหยินเอกครั้งนี้กลับไร้เงาของอี้เหนียงอย่างหลินซือเหยียนและซูเจินหยู น้องสาวต่างมารดาของนาง แม้แต่อนุคนอื่น ๆ ยังอ้างว่าล้มป่วย ส่งเพียงน้อง ๆ ของนางมาร่วมพิธีเท่านั้น เมื่อครั้งที่ตระกูลเหรินยังเป็นอ๋องต่างแซ่กับฮ่องเต้ สองแม่ลูกนั้นคอยอยู่ข้างกายมารดาไม่ห่าง จนมารดาของนางรักใคร่เจินหยูไม่ต่างจากบุตรสาวตัวเอง ไม่ต้องเอ่ยถึงบ้านเล็กอื่น ๆ ของบิดาที่เคารพมารดาของนางเสียยิ่งกว่าเคารพแม่สามีเสียอีก ทว่าพอเรื่องกลายเป็นเช่นนี้ อวี้หนิงก็ได้แต่หัวเราะให้กับโชคชะตา
“คุณหนู! เป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวเหม่ยที่คอยประคองอยู่ด้านข้างเห็นรอยยิ้มขบขันของอวี้หนิงก็ตกใจ เกรงคุณหนูของตนจะเสียสติไปเสียแล้ว ถึงได้ขบขันในเวลาเช่นนี้ได้
“ไม่มีอันใด ข้าเพียงขบขันที่ตนเองโง่เขลา ดูจิตใจผู้อื่นไม่ออกมาเนิ่นนานก็เท่านั้น”
ใบหน้าที่ยังเปื้อนยิ้ม ทว่าดวงตากลับร้องไห้นั้นยังคงจ้องมองบิดาของตนอยู่เงียบ ๆ
ตลอดเส้นทางออกนอกเมือง ผู้คนที่พบเห็นขบวนศพฮูหยินของตระกูลซูต่างยกย่องซูจิ้งซวนไม่ขาดปาก
“ใต้เท้าซูช่างรักมั่น ดูเถิดใบหน้าเขาเศร้าหมองเพียงใด”
“ข้าได้ยินว่าเขาล้มป่วยอยู่หลายวันเชียว บุรุษเช่นนี้หายากยิ่ง”
อวี้หนิงที่ได้ยิน ได้แต่เหยียดยิ้มด้วยใบหน้าที่เปื้อนน้ำตา นางปวดใจแทนมารดาผู้ล่วงลับที่รักมั่นเพียงบิดาผู้เดียว แต่ก่อนนางชื่นชมบิดาสุดหัวใจ ถึงเขาจะมีอนุถึงสี่คน ทว่านั่นก็เพราะมารดาของนางไม่อาจมีบุตรชายให้ท่านพ่อได้ ด้วยร่างกายที่อ่อนแอแต่ไหนแต่ไร แต่ถึงอย่างนั้นท่านพ่อมักมาหาท่านแม่ของนางอยู่เสมอ เช่นนี้นางจึงเชื่อในความรักที่บิดามีให้มารดาเสมอมา
สุสานตระกูลซูอยู่ไม่ไกลจากนอกเมือง เมื่อรถลากหยุดลง เหล่าบ่าวไพร่ยังไม่ทันได้ยกโลงศพลง จิ้งซวนกลับขึ้นรถม้าที่หยุดรออยู่นอกสุสานเสียแล้ว
“ท่านพ่อจะไปที่ใดกัน?” อวี้หนิงเอ่ยถามบิดาที่เดินผ่านรถลากโลงศพไป ใบหน้างามเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ข้าจะกลับจวนก่อน เสร็จพิธีแล้วเจ้าก็รีบกลับ อย่าได้ให้มืดค่ำ”
จิ้งซวนเอ่ยโดยไม่หันหลังกลับมามอง ก่อนรถม้าจะเคลื่อนจากไป โดยมีสายตาของบ่าวไพร่หลายสิบคนมองนางสลับรถม้าที่เคลื่อนออกไป
อวี้หนิงหัวเราะเช่นคนเสียสติ พร้อมกับหยดน้ำอุ่นที่พรั่งพรูออกจากดวงตาคู่งามไม่หยุด จนบ่าวไพร่เริ่มกลัวกับท่าทีของนาง
“คุณหนู~”
เสี่ยวเหม่ยกอดร่างหญิงสาวไว้แน่น นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกเสียใจมากเพียงใด ถึงได้แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาได้
“เสี่ยวเหม่ย ท่านพ่อเพียงแค่แสร้งทำเป็นรักท่านแม่ต่อหน้าชาวเมืองเท่านั้น พอไม่มีผู้ใดจ้องมอง เขาก็จากไปโดยไม่สนใจท่านแม่หรือข้าแม้แต่น้อย”
หญิงสาวที่เมื่อครู่ยังหัวเราะลั่น ตอนนี้กลับทรุดตัวลงร้องไห้ข้างรถลากโลงศพของมารดา
อวี้หนิงนั่งเหม่อลอยหน้าหลุมศพของมารดาผู้ล่วงลับเป็นเวลานาน โดยที่ไม่เอ่ยสิ่งใด ก่อนที่นางจะลุกขึ้นยืน พลางหันมามองเสี่ยวเหม่ยที่นั่งอยู่ข้างกายนางไม่ห่าง
“เสี่ยวเหม่ย กลับกันเถอะ”
อวี้หนิงเอ่ยจบก็หมุนกายเดินขึ้นรถม้า โดยมีเสี่ยวเหม่ยคอยปรนนิบัติอยู่ด้านใน
“คุณหนู ต่อจากนี้เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ”
อวี้หนิงได้แต่ส่ายหน้ากับสิ่งที่สาวใช้ถาม ตัวนางเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เสี่ยวเหม่ยเองที่เห็นสีหน้าคิดไม่ตกของเจ้านาย ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดอีก
จวนตระกูลซู นักพรตกำลังทำพิธีขับไล่ดวงวิญญาณ โดยมีอี้เหนียงอย่างหลินซือเหยียนเป็นผู้เชิญมา ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างซูจือเหลียงพนมมือเดินตามหลังนักพรตอย่างหวาดกลัว โดยมีอี้เหนียงคนอื่น ๆ ยืนอยู่ด้านหลังแม่สามี นับตั้งแต่ลูกสะใภ้สิ้นใจ ฮูหยินเฒ่าก็ฝันร้ายอยู่ทุกคืน บางครั้งก็ได้ยินเสียงของเหรินเยว่หลิงเรียกนางอยู่บ่อย ๆ
“พวกท่านทำอันใดกัน!”
อวี้หนิงที่กลับมาถึงเรือนของตนขมวดคิ้วแน่น เมื่อเห็นนักพรตกำลังร่ายคาถา พลางรื้อข้าวของของนางกระจัดกระจาย โดยมีอนุของบิดาและท่านย่าของตนยืนมองโดยไม่คิดห้ามปราม
“คุณหนูผู้นี้มีวิญญาณวนเวียนอยู่ไม่ห่าง หากนางยังอยู่ในจวน วิญญาณร้ายก็จะไม่ยอมไปไหน!” นักพรตหญิงชี้มือสั่นเทามายังอวี้หนิง
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้นยิ่งนึกกลัว รีบเอ่ยขอทางแก้จากนักพรตในทันที
“ให้นางรีบแต่งออกจากจวนไปเสีย ไม่เช่นนั้นตระกูลท่านต้องถึงจุดจบแน่!”
นักพรตเอ่ยจบก็ให้ยันต์คุ้มกายกับฮูหยินเฒ่าก่อนออกจากจวนไป
อวี้หนิงยังคงยืนนิ่งสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น นางไม่รู้ว่าที่นักพรตเอ่ยมานั้นจริงหรือไม่
“ซือเหยียน พรุ่งนี้เจ้าให้คนมาเก็บของของนางให้เรียบร้อย ข้าจะให้จิ้งซวนเร่งตระกูลกั๋วกงมาสู่ขอ หากทางนั้นไม่ต้องการนางแล้ว ก็ส่งให้ตระกูลอื่น หรือไม่ก็แต่งเป็นอนุของเรือนใดก็ได้ อย่างไรเสียนางต้องรีบออกจากตระกูลของข้าโดยเร็ว” ฮูหยินเฒ่ากำชับกับอี้เหนียงก่อนรีบเดินเลี่ยงหลานสาวของตนไป
ซือเหยียนมองสตรีเบื้องหน้าก่อนจะเหยียดยิ้มพอใจ
“อวี้หนิง เจ้าคงได้ยินที่ท่านย่าพูดแล้ว นางไม่ได้ต้องการเจ้าแล้ว บิดาเจ้ายิ่งแล้วใหญ่ แม้แต่เอ่ยลาฮูหยินของตนยังไม่ทำ วันนี้เจ้าก็พักผ่อนให้ดีเถิด วันพรุ่งไม่แน่... เจ้าอาจจะต้องกลายเป็นอนุของชายแก่สักเรือนในเมืองฉางเล่อนี้ก็เป็นได้”
ซือเหยียนเอ่ยจบก็เดินจากไปอย่างอารมณ์ดี โดยที่อวี้หนิงไม่คิดตอบโต้ใด ๆ
“คุณหนู! จะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ หลินอี้เหนียงต้องกลั่นแกล้งท่านแน่ เราไปขอความเป็นธรรมกับนายท่านดีหรือไม่” เสี่ยวเหม่ยร้อนใจแทนเจ้านาย
“หึ! หากท่านพ่อห่วงใยข้า คงไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้แต่แรก เขาเองก็คงอยากกำจัดข้าออกจากจวนไม่ต่างกัน”
“แล้วเช่นนี้จะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ” ยิ่งฟังอวี้หนิงเอ่ย เสี่ยวเหม่ยก็ยิ่งเป็นห่วงนางมากขึ้น
อวี้หนิงหยุดคิดชั่วครู่ ก่อนหันมาจ้องมองสาวใช้ข้างกายเพื่อขอความเห็น
“เสี่ยวเหม่ย เจ้าว่าข้าควรบอกเรื่องนี้กับฉู่อ๋องดีหรือไม่”
“ดีสิเจ้าคะ! ท่านอ๋องสามต้องช่วยคุณหนูได้แน่” เสี่ยวเหม่ยยิ้มกว้างให้กับอีกฝ่าย
“เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะบอกกับฉู่อ๋อง เจ้าไปเตรียมอาหารให้มากหน่อย และผ้าคลุมสักหลายผืน ท่านตากับท่านยายคงไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอุ่นนัก”
เสี่ยวเหม่ยรับคำของอวี้หนิงก่อนรีบกุลีกุจอทำงานตามคำสั่ง
ต้นยามซวี อวี้หนิงที่ร้อนใจจึงออกไปรอเยว่ซิงหน้าประตูจวน ดีที่คืนนี้หิมะไม่ตก อากาศด้านนอกจึงไม่หนาวนัก ทว่าผ่านไปหนึ่งชั่วยามชั่วยาม บุรุษที่นางรอกลับไม่ได้มาตามสัญญา
หญิงสาวนั่งลงที่บันไดจวน ดวงตาที่เปี่ยมด้วยความหวังยังคงจดจ้องตามเส้นทางไปตำหนักฉู่อ๋อง ทว่าจนแล้วจนรอดกลับไม่มีรถม้าสักคันที่วิ่งผ่านทางมา
“คุณหนู ท่านเข้าไปพักก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะอยู่เฝ้าให้เอง”
เสี่ยวเหม่ยเอ่ยเสียงเบา
“เขาต้องมาแน่ หากข้ากลับเข้าจวน เมื่อท่านอ๋องมาถึงแต่ไม่พบข้า เกรงว่าจะดูไม่เหมาะ” อวี้หนิงเอ่ยอย่างมีความหวัง
เสี่ยวเหม่ยมองเจ้านายที่นั่งหน้าประตูอย่างอดสงสารไม่ได้ ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าคลุมผืนหนามาห่มให้อวี้หนิง
“คุณหนู หากท่านอ๋องไม่มาเล่าเจ้าคะ?” เสียงของเสี่ยวเหม่ยแผ่วเบา พลางมองถนนสายยาวที่มืดมิดไร้แม้แต่เงาของรถม้า
อวี้หนิงยกมือขึ้นกุมผ้าคลุมที่เสี่ยวเหม่ยห่มให้นางไว้แน่น ดวงตาคู่งามที่เคยเต็มไปด้วยความหวังเริ่มมีแววหม่นหมอง
“เขาต้องมา... เยว่ซิงไม่มีทางผิดคำพูดกับข้า” เสียงของอวี้หนิงแผ่วเบาเช่นกัน ทว่าทุกถ้อยคำเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น
ทว่าเวลาเนิ่นนานผ่านไปจนใกล้เข้าสู่ยามจื่อ ราตรีที่เคยปลอดโปร่งกลับเริ่มมีเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาอีกครั้ง ท้องถนนหน้าจวนเงียบงัน มีเพียงแสงโคมริบหรี่จากสองฝั่งถนนและเสียงลมหนาวพัดผ่านต้นไม้ไปมา
เสี่ยวเหม่ยยืนกอดอก กัดริมฝีปากแน่น มองเจ้านายที่ยังคงไม่ยอมลุกจากบันไดหน้าจวน ทั้งที่ร่างบางนั้นเริ่มสั่นระริกเพราะไอหนาว
“คุณหนู... ท่านอ๋องอาจติดราชกิจ หากท่านไม่เข้าจวน เกรงว่าท่านจะป่วยเสียก่อน”
อวี้หนิงไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ นางยังคงจ้องมองถนนว่างเปล่าเบื้องหน้าอย่างเงียบงัน
เสียงหิมะตกกระทบพื้นดังแผ่วเบา ดวงตาของอวี้หนิงรื้นด้วยหยาดน้ำตา ทว่าเจ้าตัวยังคงไม่ปริปาก นางเพียงหลุบตามองพื้น ก่อนจะพึมพำกับตนเอง
“หรือว่า… ข้าจะโง่เขลาอีกแล้ว?”
เสี่ยวเหม่ยได้ยินดังนั้น น้ำตาก็ไหลอาบแก้ม สาวใช้ตัวน้อยรีบทรุดตัวลงกอดร่างของอวี้หนิงเอาไว้แน่น
“คุณหนู ท่านยังมีบ่าวอยู่นะเจ้าคะ ฮูหยินก็กำลังมองคุณหนูอยู่บนฟ้า ท่านต้องอดทนไว้นะเจ้าคะ”
อวี้หนิงยกมือขึ้นลูบเรือนผมของเสี่ยวเหม่ยเบา ๆ ดวงตาเปียกชื้นทอดมองท้องฟ้ายามราตรีที่เกล็ดหิมะเริ่มตกหนาขึ้นอย่างเหม่อลอย
หลี่หยางเฉิงพาชายาของตนและบุตรชายกลับจวนแม่ทัพ ตอนนี้เขาไม่คิดรีบร้อนกลับฉางเล่อแล้ว เพียงแค่ซูอวี้หนิงและลูกชายอยู่ที่ใด เขาย่อมเลือกที่นั่น หลี่หยางอี้ที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางสิบวันผล็อยหลับในอ้อมกอดของบิดา หยางเฉิงจ้องมองใบหน้าน้อย ๆ นั้นอย่างรักใคร่ เช่นเดียวกับซูอวี้หนิงที่นั่งจ้องมองสองพ่อลูกด้วยแววตาอ่อนโยน รถม้าหยุดลงหน้าจวน หยางเฉิงอุ้มเด็กน้อยวางลงบนเตียงในเรือนรับรองอย่างแผ่วเบา ก่อนจะนั่งมองลูกชายอยู่พักใหญ่ “ฮูหยินช่างใจร้ายนัก ปิดบังข้าได้ตั้งสามปี ไม่สงสารข้าบ้างเลยหรือ” บุรุษตัวสูงเงยหน้าขึ้นมองชายาด้วยแววตาเสียใจ อวี้หนิงเห็นแล้วก็เสียใจไม่น้อย “หม่อมฉันผิดต่อท่านอ๋องเองเพคะ เพราะเกรงท่านอ๋องจะละทิ้งทุกอย่างแล้วกลับมาหาหม่อมฉันและลูก หากเป็นเช่นนั้นชาวต้าหยางอีกสักเท่าไหร่จะต้องทนทุกข์” หยางเฉิงลุกขึ้นกอดร่างบางไว้แน่น ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น “รู้หรือไม่ข้ากลัวมากเพียงใด กลัวเจ้าจะไม่รอข้า กลัวข้าจะไม่ได้กลับไปพบเจ้า กลัวจะทิ้งเจ้าไว้เพียงผู้เดียว”
หยางเฉิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธโดยเร็ว ในใจเขายินดียิ่งกว่าอะไร เหตุใดจะกล้าตำหนินางได้เล่า “ไม่เลย ข้าดีใจที่ฮูหยินขัดคำสั่งข้าครั้งนี้” หยางเฉิงเอ่ยพลางจุมพิตบนหน้าผากบาง “ท่านแม่” เสียงเด็กน้อยที่งัวเงียตื่นดังขึ้นภายในรถม้า ทำให้หลี่หยางเฉิงชะงักงัน นี่เขาหูฝาดหรือ “เสียงเด็กที่ไหนกัน” หยางเฉิงคลายอ้อมกอด พลางหันไปทางรถม้า อวี้หนิงยิ้มบาง ก่อนเรียกคนที่อยู่ในรถม้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อี้เอ๋อร์ ลงมาหาแม่เร็วเข้า” ฉินอ๋องยิ่งตกใจเมื่อนางแทนตัวเองว่าแม่ ทว่ายังไม่ทันให้เขาถามอันใด เด็กน้อยตัวขาว ใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่เด็กก็ปรากฏตัวขึ้น ก่อนที่จะเป็นอวี้หนิงจะอุ้มเขาลงจากรถม้า “ท่านอ๋อง เป็นอันใดหรือไม่เพคะ” นางมั่นใจว่าบัดนี้ฉินอ๋องตัวแข็งทื่อและไม่ได้หายใจด้วยซ้ำ “นี่คือใครกัน” มือของหยางเฉิงสั่นเทา ชี้มายังเด็กชายตรงหน้า น้ำเสียงนั้นก็หาความมั่นคงไม่ได้ “ลูกอย่างไรเล่าเพคะ” “ลูกหรือ! นี่หนิงเอ๋อร์เจ้า… เจ้าแต่งงานใหม่หรือ เหตุใ
หลังหลี่หยางเฉิงจากไป เหรินฮูหยินที่รู้จากเสี่ยวเหม่ยว่าหลานสาวตั้งครรภ์ จึงรีบมารับตัวไปอยู่ด้วยกันที่ตระกูลเหริน ฮูหยินเฒ่าทั้งร้องไห้ทั้งตำหนิหลานสาวที่ไม่ยอมบอกเรื่องตั้งครรภ์กับฉินอ๋อง แต่เก็บซ่อนไว้เพียงผู้เดียว แม้นางมีเหตุผลเพราะเกรงฉินอ๋องจะห่วงหน้าพะวงหลัง แต่กระนั้นควรให้เขาได้ดีใจไม่ใช่หรือ ทว่าซูอวี้หนิงก็ยืนกรานอย่างเด็ดขาด ว่าหากสงครามยังไม่จบสิ้นห้ามบอกเรื่องนี้กับท่านอ๋อง แม้แต่คนของเขาอู่ถงเองก็ไม่อาจขัดคำสั่งนางได้ เรื่องนี้จึงถูกเก็บเงียบไม่ให้คนอยู่ไกลได้เป็นห่วง วันเวลาค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไป พร้อมกับความห่วงหาของอวี้หนิงที่มีต่อสามีที่ก่อตัวขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนนางแทบทนรอไม่ได้ แม้ข่าวของเขาจะถูกเจียงเฟิงควบม้าเร็วมาบอกทุกเดือน ด้วยหลี่หยางเฉิงไม่ไว้ใจผู้ใด หากข่าวนั้นไม่ได้ส่งต่อจากเจียงเฟิงก็ห้ามให้นางเชื่อเป็นอันขาด เช่นนั้นนางจึงเฝ้ารอเจียงเฟิงอยู่ทุกเดือน แม้จะมีกู้เผยอี้เทียวพาพี่สะใภ้ของตนแวะเวียนมาพูดคุยอยู่แทบทุกวัน กระนั้นก็ไม่อาจคลายเหงาให้นางลงได้ “พระชายา ยายว่าเจ้าบอกท่านอ๋องดีหรือไม่ บัดนี้อี้เอ๋อร์ก็ครบหนึ่งป
ซูอวี้หนิงแม้แปลกใจในคำพูดของคนเบื้องหน้า แต่กระนั้นนางยังพยักหน้าเห็นด้วย “ดีเพคะ แต่ท่านอ๋องทำได้หรือ” หลี่หยางเฉิงยิ้มอบอุ่นให้กับนาง “เพียงเจ้าต้องการ ข้าทำได้ทั้งสิ้น” เอ่ยจบก็จุมพิตลงบนหน้าผากเนียน โดยไม่สนสายตาบุรุษทั้งสามที่จับจ้องอยู่ จนคนแอบรักอย่างหย่งเฉินจำต้องหันมองไปทางอื่น ก่อนที่ฉินอ๋องจะจูงมือชายาของตนกลับมา “ข้าจะกลับฉางเล่อไปพร้อมท่าน” คำพูดของหลี่หยางทำให้อวี้หนิงประหลาดใจ แต่ไม่ใช่กับหลี่หวงหยูและเว่ยหย่งเฉินที่คาดเดาคำตอบเอาไว้แล้ว “หึ! เป็นแผนของเจ้าสินะ” เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคู่แข่งหัวใจ หลี่หยางเฉิงก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “กระหม่อมเพียงอยากให้ต้าหยางสงบสุข เฉกเช่นพระชายาฉินอ๋องต้องการพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยหย่งเฉินไม่ปฏิเสธ เป็นเขาที่ต้องการให้เหล่าสตรีพวกนี้มาพบซูอวี้หนิง เพราะคนจิตใจบริสุทธิ์เช่นนางย่อมไม่ปรารถนาให้เกิดสงคราม และคนที่ตามใจภรรยาแทบจะถวายชีวิตให้อย่างฉินอ๋องย่อมไม่มีวันปล่อยให้นางทุกข์ใจเป็นแน่ จากนั้นเขากับไท่จื่อก็เพียงนำค
หลี่หยางเฉิงมีหรือจะไม่รู้ว่าตอนนี้นางกลัวสิ่งใด จึงรีบกุมมือนางไว้แน่น “ฮูหยิน ข้าไม่ได้คิดจะหลอกเจ้า เพียงแต่การที่ตัวข้าต้องอยู่อย่างหวาดกลัวมาสิบสองปี ต้องระวังไม่ให้ถูกสังหารอยู่ทุกวัน ทำให้ข้าไม่อาจเชื่อใจผู้ใดได้ หากเรื่องเกิดกับข้าก็แล้วไป แต่หากเกี่ยวกับเจ้าเล่า เรื่องนี้ข้าทนไม่ได้ เขาชิงหนิงนี้จึงมีคนของข้าคอยคุ้มอยู่นับพัน เจ้าอย่าเคืองข้าได้หรือไม่” หยางเฉิงเอ่ยด้วยสายตาอ้อนวอน เมื่อรู้เช่นนี้นางถึงเข้าใจอย่างกระจ่างว่าเหตุใดคนที่นี่จึงดูสุภาพกับนางนัก ทั้งพ่อค้า แม่ค้า ชาวเมือง บางทีก็ลอบสังเกตนางอยู่หลายครั้ง “กระนั้นท่านอ๋องก็คิดปิดบังหม่อมฉันไม่ใช่หรือ” “ข้า...” หยางเฉิงอยากจะอธิบายทว่ากลับคิดคำอธิบายไม่ได้ ที่นางเอ่ยมาไม่ผิด จะด้วยเหตุผลใดเขาก็คิดปิดบังนางจริง “หนิงเอ๋อร์ ข้าทำผิดอีกแล้ว ช่วยอภัยให้ข้าได้หรือไม่” บุรุษที่องอาจบัดนี้มีท่าทีราวกับเจ้า ชิงชิง แมวขาวขนปุยที่กำลังขอความเมตตาจากเจ้านาย อวี้หนิงไม่ได้ขุ่นเคืองเขา เพียงแต่นางไม่เห็นความจำเป็นใดที่ต้องปิดบังนาง
เวลาเพียงหนึ่งเดือน ทัพตระกูลเหรินต้องเร่งเดินทางไปสมทบกับแม่ทัพเหิงหมิงฮ่าว แม้ครั้งนี้แม่ทัพใหญ่จะให้กองทัพตระกูลมู่โยกทหารในมือที่ปกป้องแคว้นฝั่งเทียนไห่ ที่บัดนี้สงบมาหลายปี ช่วยตระกูลเหรินทำศึกกับต้าเหลียง ถือเป็นการเลือกหนุนไท่จื่อองค์ใหม่อย่างชัดเจน ทว่าครั้งนี้อ๋องต้าเหลียงที่ซุ่มศึกษาต้าหยางนานหลายปี ไม่คิดจะรามือโดยง่าย การศึกยืดเยื้อและมีทีท่าว่าจะขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ราษฎรไม่น้อยต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ หนีตายเดินทางเข้าเมืองหลวง ทุกย่อมหญ้าบัดนี้มีแต่ความระทมทุกข์ ทว่ากลับไม่ใช่ที่เขาชิงหนิง ที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ไม่น้อย ทว่าที่นี่กลับสงบสุขไร้ความวุ่นวาย เรือนหลังใหญ่ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่บัดนี้อบอวลไปด้วยความรัก หลี่หยางเฉิงถือโอกาสที่ราชสำนักวุ่นวาย กังวลเรื่องการศึก พาซูอวี้หนิงย้ายออกมาอยู่ตามลำพัง อย่างที่นางปรารถนามาช้านาน ในที่นี้พวกเขากลับเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ไม่มีผู้รู้ที่มาของพวกเขา ชาวบ้านต่างคาดเดาว่าเป็นคหบดีในเมือง อยากใช้ชีวิตเรียบง่ายตามป่าเขาก็เท่านั้น ซูอวี้หนิงแม้เป็นห่วงคนตระกูลเหริน ทว่าก็ไม่อาจขัดใจฉิ







