LOGINอวี้หนิงก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยม สายตาของนางหยุดลงที่บุรุษในชุดคลุมสีดำ ถึงแม้บัดนี้จะอยู่ภายในอาคาร ทว่าเขายังไม่ยอมถอดผ้าปิดหน้าออก เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ตัวตน ข้างกายยังมีบุรุษที่มีผ้าปิดหน้านั่งอยู่ด้วยอีกสองคน
ก่อนที่เขาจะปรายตามองนางครู่หนึ่งแล้วหันไปพูดคุยกับสหายร่วมโต๊ะอีกสองคนเช่นเดิม อีกมุมหนึ่งของห้องเป็นโต๊ะของผู้คุมนักโทษที่เข้ามาดื่มน้ำชาหลบหิมะ ทิ้งให้เหล่านักโทษทนหนาวอยู่ภายนอกอย่างไร้ปราณี
นางกวาดสายตามองรอบโถงโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่มีแขกเข้ามาพักดื่มชา อาจจะเป็นเพราะอากาศข้างนอกที่เลวร้าย ไม่อาจสัญจรไปมาได้ แต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับอวี้หนิง ก่อนที่นางจะเดินตรงไปยังเถ้าแก่ที่กำลังตรวจนับบัญชีอยู่
“เถ้าแก่ ข้าอยากได้ห้องพักหลายห้องหน่อย จะได้หรือไม่”
ชายวัยกลางคนที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดจากบัญชีของร้านที่กำไรลดน้อยลงทุกเดือน ยิ้มกว้างในทันที
“ได้ ๆ คุณหนูจะพักเลยหรือไม่ ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์พาขึ้นไป” เถ้าแก่ร้านเอ่ยพลางมองหากลุ่มคนที่จะเข้าพัก ทว่ากลับไม่พบใครนอกจากสตรีตรงหน้าเพียงผู้เดียว
“แล้ว...คนที่จะเข้าพักเล่า?”
“อยู่ด้านนอก” อวี้หนิงเอ่ยพลางมองไปยังทหารกลุ่มใหญ่
เถ้าแก่รู้สึกไม่ถูกต้อง รีบจ้ำอ้าวไปยังหน้าประตูทันที ก่อนจะผลักประตูเปิดต้อนรับแขกกลุ่มใหญ่ ทว่าหน้าประตูกลับว่างเปล่า เมื่อมองไปยังเพิงพักม้าก็มีเพียงกลุ่มนักโทษหลายสิบคนเท่านั้น
“อย่าบอกนะว่าแขกที่จะเข้าพักคือนักโทษพวกนั้น!” เถ้าแก่ร้านหันมาต่อว่าอวี้หนิงที่เดินตามหลังมาทันที
“ใช่! ไม่มีกฎว่าห้ามนักโทษเข้าพักไม่ใช่หรือ” อวี้หนิงโต้แย้งทันที
“นี่แม่นาง ถึงไม่มีกฎแต่ไม่มีใครจะให้นักโทษเข้ามาพักในโรงเตี๊ยมหรอกนะ หากแขกแตกตื่นจะทำอย่างไรกัน”
“วันนี้ท่านไม่มีแขกนี่ มีก็เพียงบุรุษที่คล้ายชาวยุทธสามคนนั้น พวกเขาคงไม่กลัวนักโทษที่ถูกล่ามโซ่เช่นนี้กระมัง อีกอย่างข้างนอกนั่นก็มีคนแก่ด้วย เถ้าแก่ร้านเมตตาหน่อยได้หรือไม่”
“ข้าก็อยากจะเมตตาหรอกนะแม่นาง แต่นั่นนักโทษเชียวนะ...” เถ้าแก่มีท่าทีจนปัญญา เสียงของทั้งสองดังพอควรจนดึงดูดความสนใจของทหารคุมตัวนักโทษได้
“มีเรื่องอันใดกัน” ทหารท่าทางดุดันที่แต่งกายต่างจากคนอื่น เดินเข้ามาหาคนทั้งสอง
“ท่านนายกอง แม่นางผู้นี้กำลังบีบบังคับข้าเปิดห้องพักให้นักโทษที่พวกท่านคุมตัวมา” เถ้าแก่ร้านเกรงความผิด รีบอธิบายในทันที
นายกองใบหน้าบึ้งตึง มองอวี้หนิงด้วยสายตาดูแคลน
“หากจำไม่ผิด ท่านคือคุณหนูใหญ่ซู บุตรีรองเจ้ากรมโยธา ใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ ข้าเอง” อวี้หนิงเอ่ยตอบ พลางถอยห่างจากบุรุษตรงหน้าที่ก้าวเข้าหานาง
นายกองผู้นั้นเปลี่ยนสีหน้าทันทีเมื่อรู้ว่านางเป็นผู้ใด แววตาหยาบโลนมองนางตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ขายาวย่างเข้าหานางไม่ยอมหยุด
“ข้าเห็นใจคุณหนูที่ห่วงคนตระกูลเหริน ทว่าข้าเป็นทหารต้องทำตามกฎ แต่ว่า...” นายกองผู้นั้นหยุดเอ่ย ทว่าสายตายังจ้องนางไม่วางตา ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“หากคุณหนูยอมมาร่วมดื่มชากับข้า ข้าอาจจะผ่อนปรนให้ผู้เฒ่าเหรินทั้งสองได้หลบหนาวในโรงเตี๊ยมก็ได้”
อวี้หนิงจ้องเขม็งไปยังบุรุษตรงหน้า แววตาหยาบโลนนั้นนางชิงชังเป็นที่สุด ทว่าตอนนี้นางไร้ซึ่งกำลัง และหากทำให้คนผู้นี้ขุ่นเคือง เกรงว่าการไปชายแดนของคนตระกูลเหรินคงลำบากแน่
“ขอบคุณนายกองที่ใจกว้างเชิญข้าร่วมโต๊ะ แต่ข้ายังมีธุระอื่น ท่านพ่อคงรอแล้ว ขอตัวก่อน”
อวี้หนิงรีบออกมาจากโรงเตี๊ยม นางยังได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของทหารกลุ่มนั้นแว่วตามหลัง
ผู้เฒ่าเหรินที่เห็นหลานสาวเดินออกมาด้วยท่าทีหวาดกลัว ก็เดาเรื่องราวออกในทันที ก่อนจะรีบเอ่ยถาม
“คนพวกนั้นทำอันใดเจ้าหรือไม่”
อวี้หนิงข่มความกลัวก่อนส่ายหน้าตอบผู้เป็นตา
“ไม่เจ้าค่ะ เพียงพูดให้หวาดกลัว แต่พวกเขาไม่ยอมให้พวกท่านเข้าพัก”
“ช่างเถิด ยายทนไหว หลานไม่ต้องกังวล” ฮูหยินเฒ่าเอ่ยปลอบใจหลานสาว
ไม่นาน หน้าศาลาพักม้าจะมีทหารอีกกลุ่มเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม แลไม่นานนายกองผู้นั้นพร้อมกับทหารชุดแรกจะรีบร้อนควบม้าฝ่าหิมะออกไป
“ท่านพ่อ เกิดอันใดขึ้นกันขอรับ” เหรินหมิ่งฮ่าวมองตามทางที่ทหารจากไป พลางเอ่ยถามบิดา
“ข้าก็ไม่รู้ แต่พวกเจ้าระวังตัวไว้ให้มาก เกรงว่าการไปชายแดนครั้งนี้คงไม่ราบรื่นนัก” เหรินซิงหยูอยู่ในราชสำนักมานาน ย่อมรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของเหล่าขุนนางอยู่มาก
เพียงไม่นาน ทหารในโรงเตี๊ยมก็ออกมาพร้อมยื่นตรามังกรให้กับผู้เฒ่าเหรินดู เหล่าขุนนางต่างรู้ดีว่าตรามังกรเป็นตราของกองกำลังส่วนพระองค์ของฮ่องเต้
“ใต้เท้าเหริน ฮ่องเต้มีรับสั่งให้พวกข้าส่งพวกท่านให้ถึงชายแดน ตอนนี้หิมะตกหนัก เข้าไปพักด้านในก่อนเถิด”
คนตระกูลเหรินหันมองผู้นำตระกูล ก่อนที่เหรินซิงหยูจะพยักหน้าให้ทำตาม
นายทหารผู้นั้นจึงหันมาหาอวี้หนิง
“คุณหนูซู ข้าจะให้คนส่งท่านกลับไป หากมีคนเห็นท่านอยู่ที่นี่ เกรงว่าตระกูลซูคงหนีไม่พ้นความผิดช่วยเหลือนักโทษแน่”
อวี้หนิงอยากจะต่อรอง ทว่าถูกสายตาของซิงหยูปรามไว้เสียก่อน
“หนิงเอ๋อร์ เจ้ากลับไปเถิด ส่งตาเท่านี้ก็พอ จงรักษาตัวให้ดี วันใดที่ความจริงกระจ่าง ตาจะกลับมาคิดบัญชีแค้นให้เจ้า”
อวี้หนิงหันมองทุกคน ดวงตาคู่งามแดงก่ำ ก่อนจะรีบกุมมือฮูหยินเฒ่าไว้แน่น
“หนิงเอ๋อร์ส่งทุกคนได้เท่านี้ โปรดรักษาตัวด้วย” หญิงสาวโผเข้ากอดหญิงชราไว้แน่น
“ท่านยายรักษาตัวด้วย หนิงเอ๋อร์จะรอท่านกลับมา ฮึก...”
เสียงสั่นเครือของนางทำให้ฮูหยินเฒ่ายากจะปล่อยหลานสาวไว้เพียงลำพัง
“หนิงเอ๋อร์ ยายผิดต่อเจ้าแล้ว ผิดต่อแม่เจ้า เข้มแข็งไว้อย่าให้ผู้ใดรู้จุดอ่อนเจ้า”
“เจ้าค่ะ หลานจะจำไว้”
อวี้หนิงยืดตัวตรง ปาดน้ำตาให้สองผู้เฒ่าเบาใจ ก่อนที่ทั้งสองผู้เฒ่าจะออกเดินนำหน้าทุกคนไป
“หนิงเอ๋อร์ น้ารู้ว่าสิ่งนี้จะทำให้เจ้าต้องลำบาก แต่นี่อาจเป็นหนทางช่วยตระกูลเราได้”
เหรินซือเฉิงที่ยืนเงียบอยู่นาน รีบยัดกระดาษแผ่นหนึ่งใส่มืออวี้หนิง
“ซือเฉิง!” หมิ่งฮ่าวรีบปรามน้องชาย เขารู้ดีว่าเรื่องนี้ยากที่จะให้อิสตรีบอบบางเช่นนี้ทำการสำเร็จ
“พี่ใหญ่! อวี้หนิงเป็นทางรอดเดียวของเราแล้ว”
อวี้หนิงแม้ยังไม่เข้าใจ ทว่าเมื่อได้ยินท่านน้าของตนบอกว่าเป็นหนทางรอดของตระกูลเหริน นางก็ตอบรับทันที
“ท่านน้า ท่านลุง โปรดวางใจ แม้หนิงเอ๋อร์ยังไม่รู้ว่านี่คืออะไร แต่หากเป็นหนทางช่วยทุกคน หนิงเอ๋อร์ยอมเอาชีวิตเข้าแลก”
หมิ่งฮ่าวเมื่อเห็นความมุ่งมั่นจากดวงตาของหลานสาว ตัวเขาที่หวังให้ตระกูลเหรินพ้นมลทิน ก็ไม่คิดขัดอีกต่อไป
“เช่นนั้นก็ฝากเจ้าแล้ว” อวี้หนิงพยักหน้ารับ ก่อนจะมองส่งทุกคนเข้าไปยังเขตโรงเตี๊ยม
ชั้นสองของโรงเตี๊ยม หยางเฉิงที่ยืนจ้องมองเหตุการณ์เบื้องล่างจากขอบหน้าต่างตั้งแต่ต้นจนจบ ก็เอ่ยถามขันทีข้างกายเสียงเย็น
“จัดการเรียบร้อยหรือยัง”
“พ่ะย่ะค่ะ มือสังหารที่ถูกส่งมาถูกเก็บกวาดแล้ว” เจียงเฟิงรายงาน
“องค์ชายจะทำเช่นไรต่อ” หานหลี่เจี๋ยที่เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เอ่ยถาม
“เช่นนั้นก็ไปพบเหรินซิงหยูเสียหน่อย อย่างไรก็เคยมีคุณงามความดีต่อบ้านเมือง ข้าก็ควรไปส่งเสียหน่อย”
“องค์ชายจะเปิดเผยตัวหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เจี๋ยเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล ไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้นัก
“ท่านไม่ต้องกังวลไป ตระกูลเหรินเหลือเพียงอิสตรี อย่างไรก็ต้องการคนปกป้อง ตราตระกูลเหรินยังมีค่าอยู่”
“ตรานั่นจะมีค่าก็ต่อเมื่อคุณหนูใหญ่ซูผู้นั้นทวงความเป็นธรรมให้ตระกูลเหรินได้ หรือว่า…องค์ชายจะช่วยนางสืบหาความจริงกัน”
หยางเฉิงมองแผ่นหลังสตรีเบื้องล่างที่เพิ่งขึ้นรถม้าไป ใบหน้าคมยิ้มเย็น ก่อนเอ่ยกับอาจารย์ของตน
“เหตุใดต้องช่วยนาง? ถึงตระกูลเหรินจะไม่อาจทวงคืนความบริสุทธิ์ได้ เราก็มีหนทางอื่นที่จะทวงความบริสุทธิ์ให้ท่านแม่ ใยต้องเปลืองแรงช่วยผู้อื่นด้วยเล่า” ร่างสูงเอ่ยจบก็ผละออกจากขอบหน้าต่างไป
หลี่หยางเฉิงพาชายาของตนและบุตรชายกลับจวนแม่ทัพ ตอนนี้เขาไม่คิดรีบร้อนกลับฉางเล่อแล้ว เพียงแค่ซูอวี้หนิงและลูกชายอยู่ที่ใด เขาย่อมเลือกที่นั่น หลี่หยางอี้ที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางสิบวันผล็อยหลับในอ้อมกอดของบิดา หยางเฉิงจ้องมองใบหน้าน้อย ๆ นั้นอย่างรักใคร่ เช่นเดียวกับซูอวี้หนิงที่นั่งจ้องมองสองพ่อลูกด้วยแววตาอ่อนโยน รถม้าหยุดลงหน้าจวน หยางเฉิงอุ้มเด็กน้อยวางลงบนเตียงในเรือนรับรองอย่างแผ่วเบา ก่อนจะนั่งมองลูกชายอยู่พักใหญ่ “ฮูหยินช่างใจร้ายนัก ปิดบังข้าได้ตั้งสามปี ไม่สงสารข้าบ้างเลยหรือ” บุรุษตัวสูงเงยหน้าขึ้นมองชายาด้วยแววตาเสียใจ อวี้หนิงเห็นแล้วก็เสียใจไม่น้อย “หม่อมฉันผิดต่อท่านอ๋องเองเพคะ เพราะเกรงท่านอ๋องจะละทิ้งทุกอย่างแล้วกลับมาหาหม่อมฉันและลูก หากเป็นเช่นนั้นชาวต้าหยางอีกสักเท่าไหร่จะต้องทนทุกข์” หยางเฉิงลุกขึ้นกอดร่างบางไว้แน่น ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น “รู้หรือไม่ข้ากลัวมากเพียงใด กลัวเจ้าจะไม่รอข้า กลัวข้าจะไม่ได้กลับไปพบเจ้า กลัวจะทิ้งเจ้าไว้เพียงผู้เดียว”
หยางเฉิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธโดยเร็ว ในใจเขายินดียิ่งกว่าอะไร เหตุใดจะกล้าตำหนินางได้เล่า “ไม่เลย ข้าดีใจที่ฮูหยินขัดคำสั่งข้าครั้งนี้” หยางเฉิงเอ่ยพลางจุมพิตบนหน้าผากบาง “ท่านแม่” เสียงเด็กน้อยที่งัวเงียตื่นดังขึ้นภายในรถม้า ทำให้หลี่หยางเฉิงชะงักงัน นี่เขาหูฝาดหรือ “เสียงเด็กที่ไหนกัน” หยางเฉิงคลายอ้อมกอด พลางหันไปทางรถม้า อวี้หนิงยิ้มบาง ก่อนเรียกคนที่อยู่ในรถม้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อี้เอ๋อร์ ลงมาหาแม่เร็วเข้า” ฉินอ๋องยิ่งตกใจเมื่อนางแทนตัวเองว่าแม่ ทว่ายังไม่ทันให้เขาถามอันใด เด็กน้อยตัวขาว ใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่เด็กก็ปรากฏตัวขึ้น ก่อนที่จะเป็นอวี้หนิงจะอุ้มเขาลงจากรถม้า “ท่านอ๋อง เป็นอันใดหรือไม่เพคะ” นางมั่นใจว่าบัดนี้ฉินอ๋องตัวแข็งทื่อและไม่ได้หายใจด้วยซ้ำ “นี่คือใครกัน” มือของหยางเฉิงสั่นเทา ชี้มายังเด็กชายตรงหน้า น้ำเสียงนั้นก็หาความมั่นคงไม่ได้ “ลูกอย่างไรเล่าเพคะ” “ลูกหรือ! นี่หนิงเอ๋อร์เจ้า… เจ้าแต่งงานใหม่หรือ เหตุใ
หลังหลี่หยางเฉิงจากไป เหรินฮูหยินที่รู้จากเสี่ยวเหม่ยว่าหลานสาวตั้งครรภ์ จึงรีบมารับตัวไปอยู่ด้วยกันที่ตระกูลเหริน ฮูหยินเฒ่าทั้งร้องไห้ทั้งตำหนิหลานสาวที่ไม่ยอมบอกเรื่องตั้งครรภ์กับฉินอ๋อง แต่เก็บซ่อนไว้เพียงผู้เดียว แม้นางมีเหตุผลเพราะเกรงฉินอ๋องจะห่วงหน้าพะวงหลัง แต่กระนั้นควรให้เขาได้ดีใจไม่ใช่หรือ ทว่าซูอวี้หนิงก็ยืนกรานอย่างเด็ดขาด ว่าหากสงครามยังไม่จบสิ้นห้ามบอกเรื่องนี้กับท่านอ๋อง แม้แต่คนของเขาอู่ถงเองก็ไม่อาจขัดคำสั่งนางได้ เรื่องนี้จึงถูกเก็บเงียบไม่ให้คนอยู่ไกลได้เป็นห่วง วันเวลาค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไป พร้อมกับความห่วงหาของอวี้หนิงที่มีต่อสามีที่ก่อตัวขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนนางแทบทนรอไม่ได้ แม้ข่าวของเขาจะถูกเจียงเฟิงควบม้าเร็วมาบอกทุกเดือน ด้วยหลี่หยางเฉิงไม่ไว้ใจผู้ใด หากข่าวนั้นไม่ได้ส่งต่อจากเจียงเฟิงก็ห้ามให้นางเชื่อเป็นอันขาด เช่นนั้นนางจึงเฝ้ารอเจียงเฟิงอยู่ทุกเดือน แม้จะมีกู้เผยอี้เทียวพาพี่สะใภ้ของตนแวะเวียนมาพูดคุยอยู่แทบทุกวัน กระนั้นก็ไม่อาจคลายเหงาให้นางลงได้ “พระชายา ยายว่าเจ้าบอกท่านอ๋องดีหรือไม่ บัดนี้อี้เอ๋อร์ก็ครบหนึ่งป
ซูอวี้หนิงแม้แปลกใจในคำพูดของคนเบื้องหน้า แต่กระนั้นนางยังพยักหน้าเห็นด้วย “ดีเพคะ แต่ท่านอ๋องทำได้หรือ” หลี่หยางเฉิงยิ้มอบอุ่นให้กับนาง “เพียงเจ้าต้องการ ข้าทำได้ทั้งสิ้น” เอ่ยจบก็จุมพิตลงบนหน้าผากเนียน โดยไม่สนสายตาบุรุษทั้งสามที่จับจ้องอยู่ จนคนแอบรักอย่างหย่งเฉินจำต้องหันมองไปทางอื่น ก่อนที่ฉินอ๋องจะจูงมือชายาของตนกลับมา “ข้าจะกลับฉางเล่อไปพร้อมท่าน” คำพูดของหลี่หยางทำให้อวี้หนิงประหลาดใจ แต่ไม่ใช่กับหลี่หวงหยูและเว่ยหย่งเฉินที่คาดเดาคำตอบเอาไว้แล้ว “หึ! เป็นแผนของเจ้าสินะ” เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคู่แข่งหัวใจ หลี่หยางเฉิงก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “กระหม่อมเพียงอยากให้ต้าหยางสงบสุข เฉกเช่นพระชายาฉินอ๋องต้องการพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยหย่งเฉินไม่ปฏิเสธ เป็นเขาที่ต้องการให้เหล่าสตรีพวกนี้มาพบซูอวี้หนิง เพราะคนจิตใจบริสุทธิ์เช่นนางย่อมไม่ปรารถนาให้เกิดสงคราม และคนที่ตามใจภรรยาแทบจะถวายชีวิตให้อย่างฉินอ๋องย่อมไม่มีวันปล่อยให้นางทุกข์ใจเป็นแน่ จากนั้นเขากับไท่จื่อก็เพียงนำค
หลี่หยางเฉิงมีหรือจะไม่รู้ว่าตอนนี้นางกลัวสิ่งใด จึงรีบกุมมือนางไว้แน่น “ฮูหยิน ข้าไม่ได้คิดจะหลอกเจ้า เพียงแต่การที่ตัวข้าต้องอยู่อย่างหวาดกลัวมาสิบสองปี ต้องระวังไม่ให้ถูกสังหารอยู่ทุกวัน ทำให้ข้าไม่อาจเชื่อใจผู้ใดได้ หากเรื่องเกิดกับข้าก็แล้วไป แต่หากเกี่ยวกับเจ้าเล่า เรื่องนี้ข้าทนไม่ได้ เขาชิงหนิงนี้จึงมีคนของข้าคอยคุ้มอยู่นับพัน เจ้าอย่าเคืองข้าได้หรือไม่” หยางเฉิงเอ่ยด้วยสายตาอ้อนวอน เมื่อรู้เช่นนี้นางถึงเข้าใจอย่างกระจ่างว่าเหตุใดคนที่นี่จึงดูสุภาพกับนางนัก ทั้งพ่อค้า แม่ค้า ชาวเมือง บางทีก็ลอบสังเกตนางอยู่หลายครั้ง “กระนั้นท่านอ๋องก็คิดปิดบังหม่อมฉันไม่ใช่หรือ” “ข้า...” หยางเฉิงอยากจะอธิบายทว่ากลับคิดคำอธิบายไม่ได้ ที่นางเอ่ยมาไม่ผิด จะด้วยเหตุผลใดเขาก็คิดปิดบังนางจริง “หนิงเอ๋อร์ ข้าทำผิดอีกแล้ว ช่วยอภัยให้ข้าได้หรือไม่” บุรุษที่องอาจบัดนี้มีท่าทีราวกับเจ้า ชิงชิง แมวขาวขนปุยที่กำลังขอความเมตตาจากเจ้านาย อวี้หนิงไม่ได้ขุ่นเคืองเขา เพียงแต่นางไม่เห็นความจำเป็นใดที่ต้องปิดบังนาง
เวลาเพียงหนึ่งเดือน ทัพตระกูลเหรินต้องเร่งเดินทางไปสมทบกับแม่ทัพเหิงหมิงฮ่าว แม้ครั้งนี้แม่ทัพใหญ่จะให้กองทัพตระกูลมู่โยกทหารในมือที่ปกป้องแคว้นฝั่งเทียนไห่ ที่บัดนี้สงบมาหลายปี ช่วยตระกูลเหรินทำศึกกับต้าเหลียง ถือเป็นการเลือกหนุนไท่จื่อองค์ใหม่อย่างชัดเจน ทว่าครั้งนี้อ๋องต้าเหลียงที่ซุ่มศึกษาต้าหยางนานหลายปี ไม่คิดจะรามือโดยง่าย การศึกยืดเยื้อและมีทีท่าว่าจะขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ราษฎรไม่น้อยต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ หนีตายเดินทางเข้าเมืองหลวง ทุกย่อมหญ้าบัดนี้มีแต่ความระทมทุกข์ ทว่ากลับไม่ใช่ที่เขาชิงหนิง ที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ไม่น้อย ทว่าที่นี่กลับสงบสุขไร้ความวุ่นวาย เรือนหลังใหญ่ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่บัดนี้อบอวลไปด้วยความรัก หลี่หยางเฉิงถือโอกาสที่ราชสำนักวุ่นวาย กังวลเรื่องการศึก พาซูอวี้หนิงย้ายออกมาอยู่ตามลำพัง อย่างที่นางปรารถนามาช้านาน ในที่นี้พวกเขากลับเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ไม่มีผู้รู้ที่มาของพวกเขา ชาวบ้านต่างคาดเดาว่าเป็นคหบดีในเมือง อยากใช้ชีวิตเรียบง่ายตามป่าเขาก็เท่านั้น ซูอวี้หนิงแม้เป็นห่วงคนตระกูลเหริน ทว่าก็ไม่อาจขัดใจฉิ







