Masukอวี้หนิงก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยม สายตาของนางหยุดลงที่บุรุษในชุดคลุมสีดำ ถึงแม้บัดนี้จะอยู่ภายในอาคาร ทว่าเขายังไม่ยอมถอดผ้าปิดหน้าออก เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ตัวตน ข้างกายยังมีบุรุษที่มีผ้าปิดหน้านั่งอยู่ด้วยอีกสองคน
ก่อนที่เขาจะปรายตามองนางครู่หนึ่งแล้วหันไปพูดคุยกับสหายร่วมโต๊ะอีกสองคนเช่นเดิม อีกมุมหนึ่งของห้องเป็นโต๊ะของผู้คุมนักโทษที่เข้ามาดื่มน้ำชาหลบหิมะ ทิ้งให้เหล่านักโทษทนหนาวอยู่ภายนอกอย่างไร้ปราณี
นางกวาดสายตามองรอบโถงโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่มีแขกเข้ามาพักดื่มชา อาจจะเป็นเพราะอากาศข้างนอกที่เลวร้าย ไม่อาจสัญจรไปมาได้ แต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับอวี้หนิง ก่อนที่นางจะเดินตรงไปยังเถ้าแก่ที่กำลังตรวจนับบัญชีอยู่
“เถ้าแก่ ข้าอยากได้ห้องพักหลายห้องหน่อย จะได้หรือไม่”
ชายวัยกลางคนที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดจากบัญชีของร้านที่กำไรลดน้อยลงทุกเดือน ยิ้มกว้างในทันที
“ได้ ๆ คุณหนูจะพักเลยหรือไม่ ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์พาขึ้นไป” เถ้าแก่ร้านเอ่ยพลางมองหากลุ่มคนที่จะเข้าพัก ทว่ากลับไม่พบใครนอกจากสตรีตรงหน้าเพียงผู้เดียว
“แล้ว...คนที่จะเข้าพักเล่า?”
“อยู่ด้านนอก” อวี้หนิงเอ่ยพลางมองไปยังทหารกลุ่มใหญ่
เถ้าแก่รู้สึกไม่ถูกต้อง รีบจ้ำอ้าวไปยังหน้าประตูทันที ก่อนจะผลักประตูเปิดต้อนรับแขกกลุ่มใหญ่ ทว่าหน้าประตูกลับว่างเปล่า เมื่อมองไปยังเพิงพักม้าก็มีเพียงกลุ่มนักโทษหลายสิบคนเท่านั้น
“อย่าบอกนะว่าแขกที่จะเข้าพักคือนักโทษพวกนั้น!” เถ้าแก่ร้านหันมาต่อว่าอวี้หนิงที่เดินตามหลังมาทันที
“ใช่! ไม่มีกฎว่าห้ามนักโทษเข้าพักไม่ใช่หรือ” อวี้หนิงโต้แย้งทันที
“นี่แม่นาง ถึงไม่มีกฎแต่ไม่มีใครจะให้นักโทษเข้ามาพักในโรงเตี๊ยมหรอกนะ หากแขกแตกตื่นจะทำอย่างไรกัน”
“วันนี้ท่านไม่มีแขกนี่ มีก็เพียงบุรุษที่คล้ายชาวยุทธสามคนนั้น พวกเขาคงไม่กลัวนักโทษที่ถูกล่ามโซ่เช่นนี้กระมัง อีกอย่างข้างนอกนั่นก็มีคนแก่ด้วย เถ้าแก่ร้านเมตตาหน่อยได้หรือไม่”
“ข้าก็อยากจะเมตตาหรอกนะแม่นาง แต่นั่นนักโทษเชียวนะ...” เถ้าแก่มีท่าทีจนปัญญา เสียงของทั้งสองดังพอควรจนดึงดูดความสนใจของทหารคุมตัวนักโทษได้
“มีเรื่องอันใดกัน” ทหารท่าทางดุดันที่แต่งกายต่างจากคนอื่น เดินเข้ามาหาคนทั้งสอง
“ท่านนายกอง แม่นางผู้นี้กำลังบีบบังคับข้าเปิดห้องพักให้นักโทษที่พวกท่านคุมตัวมา” เถ้าแก่ร้านเกรงความผิด รีบอธิบายในทันที
นายกองใบหน้าบึ้งตึง มองอวี้หนิงด้วยสายตาดูแคลน
“หากจำไม่ผิด ท่านคือคุณหนูใหญ่ซู บุตรีรองเจ้ากรมโยธา ใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ ข้าเอง” อวี้หนิงเอ่ยตอบ พลางถอยห่างจากบุรุษตรงหน้าที่ก้าวเข้าหานาง
นายกองผู้นั้นเปลี่ยนสีหน้าทันทีเมื่อรู้ว่านางเป็นผู้ใด แววตาหยาบโลนมองนางตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ขายาวย่างเข้าหานางไม่ยอมหยุด
“ข้าเห็นใจคุณหนูที่ห่วงคนตระกูลเหริน ทว่าข้าเป็นทหารต้องทำตามกฎ แต่ว่า...” นายกองผู้นั้นหยุดเอ่ย ทว่าสายตายังจ้องนางไม่วางตา ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“หากคุณหนูยอมมาร่วมดื่มชากับข้า ข้าอาจจะผ่อนปรนให้ผู้เฒ่าเหรินทั้งสองได้หลบหนาวในโรงเตี๊ยมก็ได้”
อวี้หนิงจ้องเขม็งไปยังบุรุษตรงหน้า แววตาหยาบโลนนั้นนางชิงชังเป็นที่สุด ทว่าตอนนี้นางไร้ซึ่งกำลัง และหากทำให้คนผู้นี้ขุ่นเคือง เกรงว่าการไปชายแดนของคนตระกูลเหรินคงลำบากแน่
“ขอบคุณนายกองที่ใจกว้างเชิญข้าร่วมโต๊ะ แต่ข้ายังมีธุระอื่น ท่านพ่อคงรอแล้ว ขอตัวก่อน”
อวี้หนิงรีบออกมาจากโรงเตี๊ยม นางยังได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของทหารกลุ่มนั้นแว่วตามหลัง
ผู้เฒ่าเหรินที่เห็นหลานสาวเดินออกมาด้วยท่าทีหวาดกลัว ก็เดาเรื่องราวออกในทันที ก่อนจะรีบเอ่ยถาม
“คนพวกนั้นทำอันใดเจ้าหรือไม่”
อวี้หนิงข่มความกลัวก่อนส่ายหน้าตอบผู้เป็นตา
“ไม่เจ้าค่ะ เพียงพูดให้หวาดกลัว แต่พวกเขาไม่ยอมให้พวกท่านเข้าพัก”
“ช่างเถิด ยายทนไหว หลานไม่ต้องกังวล” ฮูหยินเฒ่าเอ่ยปลอบใจหลานสาว
ไม่นาน หน้าศาลาพักม้าจะมีทหารอีกกลุ่มเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม แลไม่นานนายกองผู้นั้นพร้อมกับทหารชุดแรกจะรีบร้อนควบม้าฝ่าหิมะออกไป
“ท่านพ่อ เกิดอันใดขึ้นกันขอรับ” เหรินหมิ่งฮ่าวมองตามทางที่ทหารจากไป พลางเอ่ยถามบิดา
“ข้าก็ไม่รู้ แต่พวกเจ้าระวังตัวไว้ให้มาก เกรงว่าการไปชายแดนครั้งนี้คงไม่ราบรื่นนัก” เหรินซิงหยูอยู่ในราชสำนักมานาน ย่อมรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของเหล่าขุนนางอยู่มาก
เพียงไม่นาน ทหารในโรงเตี๊ยมก็ออกมาพร้อมยื่นตรามังกรให้กับผู้เฒ่าเหรินดู เหล่าขุนนางต่างรู้ดีว่าตรามังกรเป็นตราของกองกำลังส่วนพระองค์ของฮ่องเต้
“ใต้เท้าเหริน ฮ่องเต้มีรับสั่งให้พวกข้าส่งพวกท่านให้ถึงชายแดน ตอนนี้หิมะตกหนัก เข้าไปพักด้านในก่อนเถิด”
คนตระกูลเหรินหันมองผู้นำตระกูล ก่อนที่เหรินซิงหยูจะพยักหน้าให้ทำตาม
นายทหารผู้นั้นจึงหันมาหาอวี้หนิง
“คุณหนูซู ข้าจะให้คนส่งท่านกลับไป หากมีคนเห็นท่านอยู่ที่นี่ เกรงว่าตระกูลซูคงหนีไม่พ้นความผิดช่วยเหลือนักโทษแน่”
อวี้หนิงอยากจะต่อรอง ทว่าถูกสายตาของซิงหยูปรามไว้เสียก่อน
“หนิงเอ๋อร์ เจ้ากลับไปเถิด ส่งตาเท่านี้ก็พอ จงรักษาตัวให้ดี วันใดที่ความจริงกระจ่าง ตาจะกลับมาคิดบัญชีแค้นให้เจ้า”
อวี้หนิงหันมองทุกคน ดวงตาคู่งามแดงก่ำ ก่อนจะรีบกุมมือฮูหยินเฒ่าไว้แน่น
“หนิงเอ๋อร์ส่งทุกคนได้เท่านี้ โปรดรักษาตัวด้วย” หญิงสาวโผเข้ากอดหญิงชราไว้แน่น
“ท่านยายรักษาตัวด้วย หนิงเอ๋อร์จะรอท่านกลับมา ฮึก...”
เสียงสั่นเครือของนางทำให้ฮูหยินเฒ่ายากจะปล่อยหลานสาวไว้เพียงลำพัง
“หนิงเอ๋อร์ ยายผิดต่อเจ้าแล้ว ผิดต่อแม่เจ้า เข้มแข็งไว้อย่าให้ผู้ใดรู้จุดอ่อนเจ้า”
“เจ้าค่ะ หลานจะจำไว้”
อวี้หนิงยืดตัวตรง ปาดน้ำตาให้สองผู้เฒ่าเบาใจ ก่อนที่ทั้งสองผู้เฒ่าจะออกเดินนำหน้าทุกคนไป
“หนิงเอ๋อร์ น้ารู้ว่าสิ่งนี้จะทำให้เจ้าต้องลำบาก แต่นี่อาจเป็นหนทางช่วยตระกูลเราได้”
เหรินซือเฉิงที่ยืนเงียบอยู่นาน รีบยัดกระดาษแผ่นหนึ่งใส่มืออวี้หนิง
“ซือเฉิง!” หมิ่งฮ่าวรีบปรามน้องชาย เขารู้ดีว่าเรื่องนี้ยากที่จะให้อิสตรีบอบบางเช่นนี้ทำการสำเร็จ
“พี่ใหญ่! อวี้หนิงเป็นทางรอดเดียวของเราแล้ว”
อวี้หนิงแม้ยังไม่เข้าใจ ทว่าเมื่อได้ยินท่านน้าของตนบอกว่าเป็นหนทางรอดของตระกูลเหริน นางก็ตอบรับทันที
“ท่านน้า ท่านลุง โปรดวางใจ แม้หนิงเอ๋อร์ยังไม่รู้ว่านี่คืออะไร แต่หากเป็นหนทางช่วยทุกคน หนิงเอ๋อร์ยอมเอาชีวิตเข้าแลก”
หมิ่งฮ่าวเมื่อเห็นความมุ่งมั่นจากดวงตาของหลานสาว ตัวเขาที่หวังให้ตระกูลเหรินพ้นมลทิน ก็ไม่คิดขัดอีกต่อไป
“เช่นนั้นก็ฝากเจ้าแล้ว” อวี้หนิงพยักหน้ารับ ก่อนจะมองส่งทุกคนเข้าไปยังเขตโรงเตี๊ยม
ชั้นสองของโรงเตี๊ยม หยางเฉิงที่ยืนจ้องมองเหตุการณ์เบื้องล่างจากขอบหน้าต่างตั้งแต่ต้นจนจบ ก็เอ่ยถามขันทีข้างกายเสียงเย็น
“จัดการเรียบร้อยหรือยัง”
“พ่ะย่ะค่ะ มือสังหารที่ถูกส่งมาถูกเก็บกวาดแล้ว” เจียงเฟิงรายงาน
“องค์ชายจะทำเช่นไรต่อ” หานหลี่เจี๋ยที่เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เอ่ยถาม
“เช่นนั้นก็ไปพบเหรินซิงหยูเสียหน่อย อย่างไรก็เคยมีคุณงามความดีต่อบ้านเมือง ข้าก็ควรไปส่งเสียหน่อย”
“องค์ชายจะเปิดเผยตัวหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เจี๋ยเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล ไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้นัก
“ท่านไม่ต้องกังวลไป ตระกูลเหรินเหลือเพียงอิสตรี อย่างไรก็ต้องการคนปกป้อง ตราตระกูลเหรินยังมีค่าอยู่”
“ตรานั่นจะมีค่าก็ต่อเมื่อคุณหนูใหญ่ซูผู้นั้นทวงความเป็นธรรมให้ตระกูลเหรินได้ หรือว่า…องค์ชายจะช่วยนางสืบหาความจริงกัน”
หยางเฉิงมองแผ่นหลังสตรีเบื้องล่างที่เพิ่งขึ้นรถม้าไป ใบหน้าคมยิ้มเย็น ก่อนเอ่ยกับอาจารย์ของตน
“เหตุใดต้องช่วยนาง? ถึงตระกูลเหรินจะไม่อาจทวงคืนความบริสุทธิ์ได้ เราก็มีหนทางอื่นที่จะทวงความบริสุทธิ์ให้ท่านแม่ ใยต้องเปลืองแรงช่วยผู้อื่นด้วยเล่า” ร่างสูงเอ่ยจบก็ผละออกจากขอบหน้าต่างไป
รุ่งเช้า ซูจิ้งซวนแต่งกายด้วยชุดขุนนาง ยืนรอบุตรสาวอยู่หน้าจวน วันนี้อวี้หนิงสวมเสื้อคลุมยาวแขนกว้างสีอ่อน ปักลายดอกเหมยด้วยไหมทอง ทับด้วยกระโปรงจีบยาวสีเขียวหยกที่พริ้วไหวไปตามแรงลมในฤดูเหมันต์ โดยมีเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวยาวสวมทับกรอมถึงข้อเท้า ผมยาวสีนิลถูกรวบเป็นมวย ปิ่นหยกสีขาวถูกปักไว้บนมวยผม ปรอยผมบางส่วนถูกปล่อยลงข้างแก้ม ขับให้ใบหน้างามดูละมุนละไม นางหยุดยืนอยู่ต่อหน้าบิดาด้วยท่าทีสงบนิ่ง “มาแล้วก็ขึ้นรถม้าเถิด” ซูจิ้งซวนเอ่ยเสียงแผ่ว ไม่กล้าสบตาบุตรี แม้เขาจะมิใช่ผู้บีบบังคับนาง หากแต่ก็ไม่เคยขัดขวางหลินอี้เหนียงเลยสักครั้ง ตลอดเส้นทางภายในรถม้า มีเพียงความเงียบงัน ทั้งบิดาและบุตรีต่างมิได้ปริปาก เมื่อถึงตำหนักเฉวียนชิง ซูจิ้งซวนแจ้งองครักษ์หน้าตำหนักว่าขอนำบุตรสาวเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ไม่นาน เจากงกงก็เดินออกมา “ใต้เท้าซู คุณหนูซู” เจากงกงเอ่ยทัก “เจากงกง” ซูจิ้งซวนค้อมกายทักทาย โดยมีอวี้หนิงยอบกายตามด้วยท่าทีสำรวม “ฝ่าบาทยังทรงหารือราชกิจอยู่ ท่านทั้งสองโปรดนั่งรอสักครู่” เจากงกงผายมือให้
เสี่ยวเหม่ยที่เห็นคุณหนูของตนกลับมา ทว่าใบหน้ากลับไม่สู้ดีนัก จึงรีบเข้าไปประคอง “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านอ๋องจะมารับเข้าจวนเมื่อใด” “กุ้ยเฟยไม่ยินดีให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋อง วาสนาข้ากับเขาคงมีเพียงเท่านี้” น้ำเสียงของอวี้หนิงสั่นเครืออย่างชัดเจน ดวงตาคู่งามไม่อาจกักเก็บความเสียใจได้อีก ก่อนที่หยดน้ำอุ่นจะพรั่งพรูไหลอาบแก้มนวล “คุณหนู~” เสี่ยวเหม่ยที่เสียใจแทนคุณหนูของตนได้แต่กอดนางร้องไห้ไปพร้อมกัน เรื่องของหลี่เยว่ซิงทำให้ทั้งวันอวี้หนิงไม่มีแรงทำสิ่งใดได้ นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยนึกถึงช่วงเวลาในอดีต ตอนที่ตาของนางยังเป็นจวิ้นอ๋องต่างแซ่ ตระกูลเหรินยังเรืองอำนาจ แม้แต่ตระกูลหลินก็อยากเกี่ยวดองด้วย กุ้ยเฟยมักให้คนส่งขนมหวานมาให้นางอยู่บ่อยครั้ง ตอนเข้าวังพร้อมมารดา หลินกุ้ยเฟยยังให้นางกำนัลใกล้ชิดมาเชิญนางไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนอยู่หลายครา นางและฉู่อ๋องแทบจะตัวติดกันทุกครั้ง แม้ไม่เคยเอ่ยความในใจกันทั้งสองฝ่าย ทว่าผู้ใหญ่ต่างรับรู้ได้ หลี่เยว่ซิงเองก็ตามใจนางเสียทุกอย่าง เขาทำให้นางรู้สึกถึงการถูกปกป้อง การให้เกียร
ภายในเรือนหอมบุปผา อวี้หนิงที่กำลังอ่านคำร้องที่ท่านน้าของตนให้มาในครานั้น กลับต้องถูกขัดจังหวะจากเสี่ยวเหม่ยที่เข้ามาในห้องอุ่นด้วยท่าทีร้อนรน “คุณหนู เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ เจ้ากรมคลังบีบบังคับนายท่านให้ส่งคุณหนูแต่งเข้าจวนฉินอ๋องแทน” อวี้หนิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับไม่ได้แปลกใจมากนัก นางเพียงปรายตามองสาวใช้เบื้องหน้าที่ใทั้งตื่นกลัว ทั้งแค้นเคืองในเวลาเดียวกัน “ท่านพ่อจะกล้าขัดราชโองการหรือ” “ไม่ใช่นายท่านเจ้าค่ะ แต่จะเป็นคุณหนูต่างหากเล่า” เสี่ยวเหม่ยรีบเอ่ยด้วยความร้อนใจ อวี้หนิงรู้สึกแปลกใจ ก่อนจะนึกถึงคำพูดของหลินซือเหยียนในครานั้น “หรือพวกเขาจะให้ข้าทูลขอต่อฮ่องเต้ให้ได้เป็นพระชายาฉินอ๋องแทนเช่นนั้นหรือ” คิ้วเรียวขมวดแน่น เสี่ยวเหม่ยรีบพยักหน้าแทนคำตอบ “ครานี้หลินอี้เหนียงคงลงแรงไปไม่น้อยเลย” ตั้งแต่วันที่เจินหยูรับราชโองการ นางเองคาดคิดไว้อยู่แล้วว่าหลินซือเหยียนต้องคิดใช้นางให้แต่งแทนบุตรีของตนแน่ แต่บิดาของนางไม่เห็นด้วย เช่นนั้นแล้วที่พึ่งเดียวของ
ภายในเรือนหอมบุปผา อวี้หนิงที่เอาแต่ตรวจบัญชีสินเดิมของมารดาอยู่ในห้องโดยไม่ออกไปพบผู้ใดมาหลายวัน กลับถูกดึงความสนใจจากความโกลาหลภายนอกเรือน “เสี่ยวเหม่ย เกิดอันใดขึ้น” เสี่ยวเหม่ยผู้ทำหน้าที่สอดส่องความเคลื่อนไหวภายในจวน รีบเข้ามารายงาน “ฮูหยินใหญ่เป็นลมหมดสติเจ้าค่ะ ส่วนอนุหลินกับคุณหนูรองก็อาละวาดเรื่องที่ต้องแต่งเข้าจวนฉินอ๋อง นายท่านถึงขั้นตบหน้าอนุหลินเพราะบันดาลโทสะเลยนะเจ้าคะ” เสี่ยวเหม่ยอธิบายตาโต อวี้หนิงก็ตกใจไม่ต่างกัน แต่ไหนแต่ไรบิดาของตนไม่กล้าขัดใจตระกูลหลินด้วยซ้ำ ครั้งนี้ถึงขั้นตบหน้าหลินซือเหยียน คงไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว “ไปดูกัน” อวี้หนิงเอ่ย พลางลุกขึ้นเดิน โดยมีเสี่ยวเหม่ยนำเสื้อคลุมมาสวมทับให้ ภายในจวนยังไม่ทันที่ซูจิ้งซวนจะจัดการกับปัญหา เจากงกงก็อัญเชิญราชโองการมาเสียแล้ว ขันทีเฒ่าหยุดอยู่หน้าลาน มองเห็นความโกลาหลที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะเรียกให้ซูจิ้งซวนออกมารับราชโองการ “กระหม่อมรับราชโองการ” จิ้งซวนคุกเข่าลงกับพื้น ด้านหลังเป็นหลินซือเหยียน พร้อมทั้ง
หยางเฉิงปรายตามองปิ่นหยกที่ได้มาพร้อมกับตราตระกูลเหริน ก่อนจะนึกถึงเจ้าของปิ่นขึ้นมา “ซูอวี้หนิงเล่า ยังปลอดภัยดีหรือไม่” ร่างสูงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูใหญ่ซูดูเหมือนว่าจะถูกอนุหลินบังคับให้แต่งออกไปเป็นอนุของคหบดีจง” “โอ้! นี่ใต้เท้าซูอยากจะมีบุตรเขยที่อายุมากกว่าตนหรอกหรือ” หยางเฉิงเห็นเป็นเรื่องขบขัน เจียงเฟิงที่เห็นท่าทีท่านอ๋องเช่นนี้ก็อดสงสารคุณหนูซูไม่ได้ ครั้งที่ฮูหยินซูและหวงกุ้ยเฟยยังมีพระชนม์อยู่ ทั้งสองสนิทสนมกันมาก คุณหนูซูในวัยเด็กยังเคยตามมารดามาเข้าเฝ้าหวงกุ้ยเฟย ใบหน้ากลมเล็กนั้นยิ้มแย้มกับทุกผู้ที่เดินผ่าน อีกทั้งยังใจดีนำขนมจากนอกวังมาให้เขา ที่ครั้งนั้นยังเป็นเด็กยากจนได้ลองชิมอยู่บ่อยครั้ง “ท่านอ๋องไม่คิดจะช่วยเหลือคุณหนูซูหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ อย่างน้อยก็ให้นางได้แต่งกับบัณฑิตหนุ่มสักคน” ขันทีหนุ่มเสี่ยงตายเอ่ยขอร้องแทนอวี้หนิง ทว่า หยางเฉิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับตวัดตามามองขันทีข้างกาย “เจ้าลืมแล้วหรือไร ตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนบ้า จะช่วยอันใ
เมื่อคนก่อเรื่องจากไป อวี้หนิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เสี่ยวเหม่ยรีบเข้ามาประคองเจ้านายในทันที “เมื่อครู่นี้คุณหนูทำได้ดีมากเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยเห็นคุณหนูรองทำหน้าคล้ายคนปลดทุกข์ไม่ออกเช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยยิ้มภูมิใจในตัวเจ้านาย “จริงหรือ? แต่ตอนนี้ข้าไม่มีแม้แต่แรงที่จะยืนแล้ว” อวี้หนิงผินใบหน้าซีดเซียวมามองสาวใช้ข้างกาย “เอ๋! ทำไมเป็นเช่นนี้เล่าเจ้าคะ นั่งก่อนเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยเห็นใบหน้าไร้เลือดฝาดของเจ้านายก็แปลกใจ รีบประคองนางนั่งลง อวี้หนิงนั่งสูดลมหายใจอยู่นาน กว่าความตื่นตระหนกจะจางหายไปตั้งแต่เล็กจนโต นางไม่ต้องแย่งชิงหรือปกป้องตัวเองจากผู้ใดด้วยซ้ำ นางมีตระกูลเหรินและมารดาคอยปกป้อง แม้แต่ท่านย่าจะทำสิ่งใด ยังต้องคอยดูสีหน้านางก่อน บัดนี้กลับตาลปัตร นางตัวคนเดียวแล้ว จากนี้ต้องคอยปกป้องตัวเอง “คุณหนู จากนี้เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ” นางไม่ได้ตอบคำถามของเสี่ยวเหม่ย เพียงแต่บอกให้สาวใช้ข้างกายจัดเก็บข้าวของให้เข้าที่เดิม นับจากนี้ชีวิตของนางคงไม่สงบสุขอีกต่อไป นางต้







