Beranda / รักโบราณ / ดรุณีกลางใจอ๋อง / บทที่ 7 สิ้นไร้หนทาง

Share

บทที่ 7 สิ้นไร้หนทาง

last update Terakhir Diperbarui: 2025-10-22 10:40:22

            อวี้หนิงก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยม สายตาของนางหยุดลงที่บุรุษในชุดคลุมสีดำ ถึงแม้บัดนี้จะอยู่ภายในอาคาร ทว่าเขายังไม่ยอมถอดผ้าปิดหน้าออก เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ตัวตน ข้างกายยังมีบุรุษที่มีผ้าปิดหน้านั่งอยู่ด้วยอีกสองคน

            ก่อนที่เขาจะปรายตามองนางครู่หนึ่งแล้วหันไปพูดคุยกับสหายร่วมโต๊ะอีกสองคนเช่นเดิม อีกมุมหนึ่งของห้องเป็นโต๊ะของผู้คุมนักโทษที่เข้ามาดื่มน้ำชาหลบหิมะ ทิ้งให้เหล่านักโทษทนหนาวอยู่ภายนอกอย่างไร้ปราณี

            นางกวาดสายตามองรอบโถงโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่มีแขกเข้ามาพักดื่มชา อาจจะเป็นเพราะอากาศข้างนอกที่เลวร้าย ไม่อาจสัญจรไปมาได้ แต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับอวี้หนิง ก่อนที่นางจะเดินตรงไปยังเถ้าแก่ที่กำลังตรวจนับบัญชีอยู่

                “เถ้าแก่ ข้าอยากได้ห้องพักหลายห้องหน่อย จะได้หรือไม่”

            ชายวัยกลางคนที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดจากบัญชีของร้านที่กำไรลดน้อยลงทุกเดือน ยิ้มกว้างในทันที

                “ได้ ๆ คุณหนูจะพักเลยหรือไม่ ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์พาขึ้นไป” เถ้าแก่ร้านเอ่ยพลางมองหากลุ่มคนที่จะเข้าพัก ทว่ากลับไม่พบใครนอกจากสตรีตรงหน้าเพียงผู้เดียว

                “แล้ว...คนที่จะเข้าพักเล่า?”

                “อยู่ด้านนอก” อวี้หนิงเอ่ยพลางมองไปยังทหารกลุ่มใหญ่

            เถ้าแก่รู้สึกไม่ถูกต้อง รีบจ้ำอ้าวไปยังหน้าประตูทันที ก่อนจะผลักประตูเปิดต้อนรับแขกกลุ่มใหญ่ ทว่าหน้าประตูกลับว่างเปล่า เมื่อมองไปยังเพิงพักม้าก็มีเพียงกลุ่มนักโทษหลายสิบคนเท่านั้น

                “อย่าบอกนะว่าแขกที่จะเข้าพักคือนักโทษพวกนั้น!” เถ้าแก่ร้านหันมาต่อว่าอวี้หนิงที่เดินตามหลังมาทันที

                “ใช่! ไม่มีกฎว่าห้ามนักโทษเข้าพักไม่ใช่หรือ” อวี้หนิงโต้แย้งทันที

                “นี่แม่นาง ถึงไม่มีกฎแต่ไม่มีใครจะให้นักโทษเข้ามาพักในโรงเตี๊ยมหรอกนะ หากแขกแตกตื่นจะทำอย่างไรกัน”

                “วันนี้ท่านไม่มีแขกนี่ มีก็เพียงบุรุษที่คล้ายชาวยุทธสามคนนั้น พวกเขาคงไม่กลัวนักโทษที่ถูกล่ามโซ่เช่นนี้กระมัง อีกอย่างข้างนอกนั่นก็มีคนแก่ด้วย เถ้าแก่ร้านเมตตาหน่อยได้หรือไม่”

                “ข้าก็อยากจะเมตตาหรอกนะแม่นาง แต่นั่นนักโทษเชียวนะ...” เถ้าแก่มีท่าทีจนปัญญา เสียงของทั้งสองดังพอควรจนดึงดูดความสนใจของทหารคุมตัวนักโทษได้

                “มีเรื่องอันใดกัน” ทหารท่าทางดุดันที่แต่งกายต่างจากคนอื่น เดินเข้ามาหาคนทั้งสอง

                “ท่านนายกอง แม่นางผู้นี้กำลังบีบบังคับข้าเปิดห้องพักให้นักโทษที่พวกท่านคุมตัวมา” เถ้าแก่ร้านเกรงความผิด รีบอธิบายในทันที

            นายกองใบหน้าบึ้งตึง มองอวี้หนิงด้วยสายตาดูแคลน

                “หากจำไม่ผิด ท่านคือคุณหนูใหญ่ซู บุตรีรองเจ้ากรมโยธา ใช่หรือไม่”

                “เจ้าค่ะ ข้าเอง” อวี้หนิงเอ่ยตอบ พลางถอยห่างจากบุรุษตรงหน้าที่ก้าวเข้าหานาง

            นายกองผู้นั้นเปลี่ยนสีหน้าทันทีเมื่อรู้ว่านางเป็นผู้ใด แววตาหยาบโลนมองนางตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ขายาวย่างเข้าหานางไม่ยอมหยุด

                “ข้าเห็นใจคุณหนูที่ห่วงคนตระกูลเหริน ทว่าข้าเป็นทหารต้องทำตามกฎ แต่ว่า...” นายกองผู้นั้นหยุดเอ่ย ทว่าสายตายังจ้องนางไม่วางตา ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

                “หากคุณหนูยอมมาร่วมดื่มชากับข้า ข้าอาจจะผ่อนปรนให้ผู้เฒ่าเหรินทั้งสองได้หลบหนาวในโรงเตี๊ยมก็ได้”

            อวี้หนิงจ้องเขม็งไปยังบุรุษตรงหน้า แววตาหยาบโลนนั้นนางชิงชังเป็นที่สุด ทว่าตอนนี้นางไร้ซึ่งกำลัง และหากทำให้คนผู้นี้ขุ่นเคือง เกรงว่าการไปชายแดนของคนตระกูลเหรินคงลำบากแน่

                “ขอบคุณนายกองที่ใจกว้างเชิญข้าร่วมโต๊ะ แต่ข้ายังมีธุระอื่น ท่านพ่อคงรอแล้ว ขอตัวก่อน”

            อวี้หนิงรีบออกมาจากโรงเตี๊ยม นางยังได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของทหารกลุ่มนั้นแว่วตามหลัง

            ผู้เฒ่าเหรินที่เห็นหลานสาวเดินออกมาด้วยท่าทีหวาดกลัว ก็เดาเรื่องราวออกในทันที ก่อนจะรีบเอ่ยถาม

                “คนพวกนั้นทำอันใดเจ้าหรือไม่”

            อวี้หนิงข่มความกลัวก่อนส่ายหน้าตอบผู้เป็นตา

                “ไม่เจ้าค่ะ เพียงพูดให้หวาดกลัว แต่พวกเขาไม่ยอมให้พวกท่านเข้าพัก”

                “ช่างเถิด ยายทนไหว หลานไม่ต้องกังวล” ฮูหยินเฒ่าเอ่ยปลอบใจหลานสาว

            ไม่นาน หน้าศาลาพักม้าจะมีทหารอีกกลุ่มเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม แลไม่นานนายกองผู้นั้นพร้อมกับทหารชุดแรกจะรีบร้อนควบม้าฝ่าหิมะออกไป

                “ท่านพ่อ เกิดอันใดขึ้นกันขอรับ” เหรินหมิ่งฮ่าวมองตามทางที่ทหารจากไป พลางเอ่ยถามบิดา

                “ข้าก็ไม่รู้ แต่พวกเจ้าระวังตัวไว้ให้มาก เกรงว่าการไปชายแดนครั้งนี้คงไม่ราบรื่นนัก” เหรินซิงหยูอยู่ในราชสำนักมานาน ย่อมรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของเหล่าขุนนางอยู่มาก

            เพียงไม่นาน ทหารในโรงเตี๊ยมก็ออกมาพร้อมยื่นตรามังกรให้กับผู้เฒ่าเหรินดู เหล่าขุนนางต่างรู้ดีว่าตรามังกรเป็นตราของกองกำลังส่วนพระองค์ของฮ่องเต้

                “ใต้เท้าเหริน ฮ่องเต้มีรับสั่งให้พวกข้าส่งพวกท่านให้ถึงชายแดน ตอนนี้หิมะตกหนัก เข้าไปพักด้านในก่อนเถิด”

            คนตระกูลเหรินหันมองผู้นำตระกูล ก่อนที่เหรินซิงหยูจะพยักหน้าให้ทำตาม

            นายทหารผู้นั้นจึงหันมาหาอวี้หนิง

                “คุณหนูซู ข้าจะให้คนส่งท่านกลับไป หากมีคนเห็นท่านอยู่ที่นี่ เกรงว่าตระกูลซูคงหนีไม่พ้นความผิดช่วยเหลือนักโทษแน่”

            อวี้หนิงอยากจะต่อรอง ทว่าถูกสายตาของซิงหยูปรามไว้เสียก่อน

                “หนิงเอ๋อร์ เจ้ากลับไปเถิด ส่งตาเท่านี้ก็พอ จงรักษาตัวให้ดี วันใดที่ความจริงกระจ่าง ตาจะกลับมาคิดบัญชีแค้นให้เจ้า”

            อวี้หนิงหันมองทุกคน ดวงตาคู่งามแดงก่ำ ก่อนจะรีบกุมมือฮูหยินเฒ่าไว้แน่น

                “หนิงเอ๋อร์ส่งทุกคนได้เท่านี้ โปรดรักษาตัวด้วย” หญิงสาวโผเข้ากอดหญิงชราไว้แน่น

                “ท่านยายรักษาตัวด้วย หนิงเอ๋อร์จะรอท่านกลับมา ฮึก...”

            เสียงสั่นเครือของนางทำให้ฮูหยินเฒ่ายากจะปล่อยหลานสาวไว้เพียงลำพัง

                “หนิงเอ๋อร์ ยายผิดต่อเจ้าแล้ว ผิดต่อแม่เจ้า เข้มแข็งไว้อย่าให้ผู้ใดรู้จุดอ่อนเจ้า”

                “เจ้าค่ะ หลานจะจำไว้”

            อวี้หนิงยืดตัวตรง ปาดน้ำตาให้สองผู้เฒ่าเบาใจ ก่อนที่ทั้งสองผู้เฒ่าจะออกเดินนำหน้าทุกคนไป

                “หนิงเอ๋อร์ น้ารู้ว่าสิ่งนี้จะทำให้เจ้าต้องลำบาก แต่นี่อาจเป็นหนทางช่วยตระกูลเราได้”

            เหรินซือเฉิงที่ยืนเงียบอยู่นาน รีบยัดกระดาษแผ่นหนึ่งใส่มืออวี้หนิง

                “ซือเฉิง!” หมิ่งฮ่าวรีบปรามน้องชาย เขารู้ดีว่าเรื่องนี้ยากที่จะให้อิสตรีบอบบางเช่นนี้ทำการสำเร็จ

                “พี่ใหญ่! อวี้หนิงเป็นทางรอดเดียวของเราแล้ว”

            อวี้หนิงแม้ยังไม่เข้าใจ ทว่าเมื่อได้ยินท่านน้าของตนบอกว่าเป็นหนทางรอดของตระกูลเหริน นางก็ตอบรับทันที

                “ท่านน้า ท่านลุง โปรดวางใจ แม้หนิงเอ๋อร์ยังไม่รู้ว่านี่คืออะไร แต่หากเป็นหนทางช่วยทุกคน หนิงเอ๋อร์ยอมเอาชีวิตเข้าแลก”

            หมิ่งฮ่าวเมื่อเห็นความมุ่งมั่นจากดวงตาของหลานสาว ตัวเขาที่หวังให้ตระกูลเหรินพ้นมลทิน ก็ไม่คิดขัดอีกต่อไป

                “เช่นนั้นก็ฝากเจ้าแล้ว” อวี้หนิงพยักหน้ารับ ก่อนจะมองส่งทุกคนเข้าไปยังเขตโรงเตี๊ยม

            ชั้นสองของโรงเตี๊ยม หยางเฉิงที่ยืนจ้องมองเหตุการณ์เบื้องล่างจากขอบหน้าต่างตั้งแต่ต้นจนจบ ก็เอ่ยถามขันทีข้างกายเสียงเย็น

                “จัดการเรียบร้อยหรือยัง”

                “พ่ะย่ะค่ะ มือสังหารที่ถูกส่งมาถูกเก็บกวาดแล้ว” เจียงเฟิงรายงาน

                “องค์ชายจะทำเช่นไรต่อ” หานหลี่เจี๋ยที่เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เอ่ยถาม

                “เช่นนั้นก็ไปพบเหรินซิงหยูเสียหน่อย อย่างไรก็เคยมีคุณงามความดีต่อบ้านเมือง ข้าก็ควรไปส่งเสียหน่อย”

                “องค์ชายจะเปิดเผยตัวหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เจี๋ยเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล ไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้นัก

                “ท่านไม่ต้องกังวลไป ตระกูลเหรินเหลือเพียงอิสตรี อย่างไรก็ต้องการคนปกป้อง ตราตระกูลเหรินยังมีค่าอยู่”

                “ตรานั่นจะมีค่าก็ต่อเมื่อคุณหนูใหญ่ซูผู้นั้นทวงความเป็นธรรมให้ตระกูลเหรินได้ หรือว่า…องค์ชายจะช่วยนางสืบหาความจริงกัน”

            หยางเฉิงมองแผ่นหลังสตรีเบื้องล่างที่เพิ่งขึ้นรถม้าไป ใบหน้าคมยิ้มเย็น ก่อนเอ่ยกับอาจารย์ของตน

                “เหตุใดต้องช่วยนาง? ถึงตระกูลเหรินจะไม่อาจทวงคืนความบริสุทธิ์ได้ เราก็มีหนทางอื่นที่จะทวงความบริสุทธิ์ให้ท่านแม่ ใยต้องเปลืองแรงช่วยผู้อื่นด้วยเล่า” ร่างสูงเอ่ยจบก็ผละออกจากขอบหน้าต่างไป

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ดรุณีกลางใจอ๋อง   บทที่ 14 ทูลขอราชโองการ

    รุ่งเช้า ซูจิ้งซวนแต่งกายด้วยชุดขุนนาง ยืนรอบุตรสาวอยู่หน้าจวน วันนี้อวี้หนิงสวมเสื้อคลุมยาวแขนกว้างสีอ่อน ปักลายดอกเหมยด้วยไหมทอง ทับด้วยกระโปรงจีบยาวสีเขียวหยกที่พริ้วไหวไปตามแรงลมในฤดูเหมันต์ โดยมีเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวยาวสวมทับกรอมถึงข้อเท้า ผมยาวสีนิลถูกรวบเป็นมวย ปิ่นหยกสีขาวถูกปักไว้บนมวยผม ปรอยผมบางส่วนถูกปล่อยลงข้างแก้ม ขับให้ใบหน้างามดูละมุนละไม นางหยุดยืนอยู่ต่อหน้าบิดาด้วยท่าทีสงบนิ่ง “มาแล้วก็ขึ้นรถม้าเถิด” ซูจิ้งซวนเอ่ยเสียงแผ่ว ไม่กล้าสบตาบุตรี แม้เขาจะมิใช่ผู้บีบบังคับนาง หากแต่ก็ไม่เคยขัดขวางหลินอี้เหนียงเลยสักครั้ง ตลอดเส้นทางภายในรถม้า มีเพียงความเงียบงัน ทั้งบิดาและบุตรีต่างมิได้ปริปาก เมื่อถึงตำหนักเฉวียนชิง ซูจิ้งซวนแจ้งองครักษ์หน้าตำหนักว่าขอนำบุตรสาวเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ไม่นาน เจากงกงก็เดินออกมา “ใต้เท้าซู คุณหนูซู” เจากงกงเอ่ยทัก “เจากงกง” ซูจิ้งซวนค้อมกายทักทาย โดยมีอวี้หนิงยอบกายตามด้วยท่าทีสำรวม “ฝ่าบาทยังทรงหารือราชกิจอยู่ ท่านทั้งสองโปรดนั่งรอสักครู่” เจากงกงผายมือให้

  • ดรุณีกลางใจอ๋อง   บทที่ 13 บีบบังคับ

    เสี่ยวเหม่ยที่เห็นคุณหนูของตนกลับมา ทว่าใบหน้ากลับไม่สู้ดีนัก จึงรีบเข้าไปประคอง “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านอ๋องจะมารับเข้าจวนเมื่อใด” “กุ้ยเฟยไม่ยินดีให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋อง วาสนาข้ากับเขาคงมีเพียงเท่านี้” น้ำเสียงของอวี้หนิงสั่นเครืออย่างชัดเจน ดวงตาคู่งามไม่อาจกักเก็บความเสียใจได้อีก ก่อนที่หยดน้ำอุ่นจะพรั่งพรูไหลอาบแก้มนวล “คุณหนู~” เสี่ยวเหม่ยที่เสียใจแทนคุณหนูของตนได้แต่กอดนางร้องไห้ไปพร้อมกัน เรื่องของหลี่เยว่ซิงทำให้ทั้งวันอวี้หนิงไม่มีแรงทำสิ่งใดได้ นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยนึกถึงช่วงเวลาในอดีต ตอนที่ตาของนางยังเป็นจวิ้นอ๋องต่างแซ่ ตระกูลเหรินยังเรืองอำนาจ แม้แต่ตระกูลหลินก็อยากเกี่ยวดองด้วย กุ้ยเฟยมักให้คนส่งขนมหวานมาให้นางอยู่บ่อยครั้ง ตอนเข้าวังพร้อมมารดา หลินกุ้ยเฟยยังให้นางกำนัลใกล้ชิดมาเชิญนางไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนอยู่หลายครา นางและฉู่อ๋องแทบจะตัวติดกันทุกครั้ง แม้ไม่เคยเอ่ยความในใจกันทั้งสองฝ่าย ทว่าผู้ใหญ่ต่างรับรู้ได้ หลี่เยว่ซิงเองก็ตามใจนางเสียทุกอย่าง เขาทำให้นางรู้สึกถึงการถูกปกป้อง การให้เกียร

  • ดรุณีกลางใจอ๋อง   บทที่ 12 สู่ขอซูอวี้หนิง

    ภายในเรือนหอมบุปผา อวี้หนิงที่กำลังอ่านคำร้องที่ท่านน้าของตนให้มาในครานั้น กลับต้องถูกขัดจังหวะจากเสี่ยวเหม่ยที่เข้ามาในห้องอุ่นด้วยท่าทีร้อนรน “คุณหนู เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ เจ้ากรมคลังบีบบังคับนายท่านให้ส่งคุณหนูแต่งเข้าจวนฉินอ๋องแทน” อวี้หนิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับไม่ได้แปลกใจมากนัก นางเพียงปรายตามองสาวใช้เบื้องหน้าที่ใทั้งตื่นกลัว ทั้งแค้นเคืองในเวลาเดียวกัน “ท่านพ่อจะกล้าขัดราชโองการหรือ” “ไม่ใช่นายท่านเจ้าค่ะ แต่จะเป็นคุณหนูต่างหากเล่า” เสี่ยวเหม่ยรีบเอ่ยด้วยความร้อนใจ อวี้หนิงรู้สึกแปลกใจ ก่อนจะนึกถึงคำพูดของหลินซือเหยียนในครานั้น “หรือพวกเขาจะให้ข้าทูลขอต่อฮ่องเต้ให้ได้เป็นพระชายาฉินอ๋องแทนเช่นนั้นหรือ” คิ้วเรียวขมวดแน่น เสี่ยวเหม่ยรีบพยักหน้าแทนคำตอบ “ครานี้หลินอี้เหนียงคงลงแรงไปไม่น้อยเลย” ตั้งแต่วันที่เจินหยูรับราชโองการ นางเองคาดคิดไว้อยู่แล้วว่าหลินซือเหยียนต้องคิดใช้นางให้แต่งแทนบุตรีของตนแน่ แต่บิดาของนางไม่เห็นด้วย เช่นนั้นแล้วที่พึ่งเดียวของ

  • ดรุณีกลางใจอ๋อง   บทที่ 11 ราชโองการ

    ภายในเรือนหอมบุปผา อวี้หนิงที่เอาแต่ตรวจบัญชีสินเดิมของมารดาอยู่ในห้องโดยไม่ออกไปพบผู้ใดมาหลายวัน กลับถูกดึงความสนใจจากความโกลาหลภายนอกเรือน “เสี่ยวเหม่ย เกิดอันใดขึ้น” เสี่ยวเหม่ยผู้ทำหน้าที่สอดส่องความเคลื่อนไหวภายในจวน รีบเข้ามารายงาน “ฮูหยินใหญ่เป็นลมหมดสติเจ้าค่ะ ส่วนอนุหลินกับคุณหนูรองก็อาละวาดเรื่องที่ต้องแต่งเข้าจวนฉินอ๋อง นายท่านถึงขั้นตบหน้าอนุหลินเพราะบันดาลโทสะเลยนะเจ้าคะ” เสี่ยวเหม่ยอธิบายตาโต อวี้หนิงก็ตกใจไม่ต่างกัน แต่ไหนแต่ไรบิดาของตนไม่กล้าขัดใจตระกูลหลินด้วยซ้ำ ครั้งนี้ถึงขั้นตบหน้าหลินซือเหยียน คงไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว “ไปดูกัน” อวี้หนิงเอ่ย พลางลุกขึ้นเดิน โดยมีเสี่ยวเหม่ยนำเสื้อคลุมมาสวมทับให้ ภายในจวนยังไม่ทันที่ซูจิ้งซวนจะจัดการกับปัญหา เจากงกงก็อัญเชิญราชโองการมาเสียแล้ว ขันทีเฒ่าหยุดอยู่หน้าลาน มองเห็นความโกลาหลที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะเรียกให้ซูจิ้งซวนออกมารับราชโองการ “กระหม่อมรับราชโองการ” จิ้งซวนคุกเข่าลงกับพื้น ด้านหลังเป็นหลินซือเหยียน พร้อมทั้ง

  • ดรุณีกลางใจอ๋อง   บทที่ 10 พระชายาฉินอ๋อง

    หยางเฉิงปรายตามองปิ่นหยกที่ได้มาพร้อมกับตราตระกูลเหริน ก่อนจะนึกถึงเจ้าของปิ่นขึ้นมา “ซูอวี้หนิงเล่า ยังปลอดภัยดีหรือไม่” ร่างสูงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูใหญ่ซูดูเหมือนว่าจะถูกอนุหลินบังคับให้แต่งออกไปเป็นอนุของคหบดีจง” “โอ้! นี่ใต้เท้าซูอยากจะมีบุตรเขยที่อายุมากกว่าตนหรอกหรือ” หยางเฉิงเห็นเป็นเรื่องขบขัน เจียงเฟิงที่เห็นท่าทีท่านอ๋องเช่นนี้ก็อดสงสารคุณหนูซูไม่ได้ ครั้งที่ฮูหยินซูและหวงกุ้ยเฟยยังมีพระชนม์อยู่ ทั้งสองสนิทสนมกันมาก คุณหนูซูในวัยเด็กยังเคยตามมารดามาเข้าเฝ้าหวงกุ้ยเฟย ใบหน้ากลมเล็กนั้นยิ้มแย้มกับทุกผู้ที่เดินผ่าน อีกทั้งยังใจดีนำขนมจากนอกวังมาให้เขา ที่ครั้งนั้นยังเป็นเด็กยากจนได้ลองชิมอยู่บ่อยครั้ง “ท่านอ๋องไม่คิดจะช่วยเหลือคุณหนูซูหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ อย่างน้อยก็ให้นางได้แต่งกับบัณฑิตหนุ่มสักคน” ขันทีหนุ่มเสี่ยงตายเอ่ยขอร้องแทนอวี้หนิง ทว่า หยางเฉิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับตวัดตามามองขันทีข้างกาย “เจ้าลืมแล้วหรือไร ตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนบ้า จะช่วยอันใ

  • ดรุณีกลางใจอ๋อง   บทที่ 9 ถึงทางตัน

    เมื่อคนก่อเรื่องจากไป อวี้หนิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เสี่ยวเหม่ยรีบเข้ามาประคองเจ้านายในทันที “เมื่อครู่นี้คุณหนูทำได้ดีมากเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยเห็นคุณหนูรองทำหน้าคล้ายคนปลดทุกข์ไม่ออกเช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยยิ้มภูมิใจในตัวเจ้านาย “จริงหรือ? แต่ตอนนี้ข้าไม่มีแม้แต่แรงที่จะยืนแล้ว” อวี้หนิงผินใบหน้าซีดเซียวมามองสาวใช้ข้างกาย “เอ๋! ทำไมเป็นเช่นนี้เล่าเจ้าคะ นั่งก่อนเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยเห็นใบหน้าไร้เลือดฝาดของเจ้านายก็แปลกใจ รีบประคองนางนั่งลง อวี้หนิงนั่งสูดลมหายใจอยู่นาน กว่าความตื่นตระหนกจะจางหายไปตั้งแต่เล็กจนโต นางไม่ต้องแย่งชิงหรือปกป้องตัวเองจากผู้ใดด้วยซ้ำ นางมีตระกูลเหรินและมารดาคอยปกป้อง แม้แต่ท่านย่าจะทำสิ่งใด ยังต้องคอยดูสีหน้านางก่อน บัดนี้กลับตาลปัตร นางตัวคนเดียวแล้ว จากนี้ต้องคอยปกป้องตัวเอง “คุณหนู จากนี้เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ” นางไม่ได้ตอบคำถามของเสี่ยวเหม่ย เพียงแต่บอกให้สาวใช้ข้างกายจัดเก็บข้าวของให้เข้าที่เดิม นับจากนี้ชีวิตของนางคงไม่สงบสุขอีกต่อไป นางต้

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status