ในมือของกงเสวี่ยหลิงกำปิ่นปักผมเปื้อนเลือดแน่น ดวงตาที่เคยอ่อนโยนคู่นั้นแข็งกร้าวไร้ความอ่อนแอ เพราะความตกใจทำให้มือสกปรกปล่อยนกน้อยให้ร่วงหล่นเพื่อไปกุมเป้ากางเกงที่ถูกปิ่นของนางจ้วงแทง กงเสวี่ยหลิงยื่นมือไปรองรับร่างของนกน้อยได้ทัน แล้วรีบหมุนตัววิ่งออกไปท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของชายผู้นั้น ท่ามกลางความตกตะลึงของคนรอบข้างที่ไม่รู้ว่าจะต้องช่วยผู้เป็นนายที่ร้องอย่างเจ็บปวดหรือตามหญิงสาวที่วิ่งหนีสุดฝีเท้า
‘หลันหลัน’
นกน้อยถูกกอดแนบอก ได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงของกงเสวี่ยหลิงแทบจะทะลุทรวงอกออกมา เท้าเล็กๆ สะดุดพื้นดินขรุขระล้มจนศีรษะกระแทกก้อนหิน แต่นางรีบยันกายขึ้นแล้วออกวิ่งไม่สนใจเลือดที่ไหลลงมาเปื้อนใบหน้า เสียงคนวิ่งไล่ตามมาด้านหลัง กงเสวี่ยหลิงไม่เสียเวลาหันไปมอง นางรู้สึกถึงบางสิ่งที่พุ่งมาเฉียดใบหูของนาง
‘ธนู!’
‘หลันหลัน’
น้ำเสียงของกงเสวี่ยหลิงเด็ดเดี่ยวและผสานความผ่อนคลายอย่างคนยอมรับชะตากรรม ‘เจ้าโบยบินไปสู่ท้องฟ้าอันอิสระเถิด อย่าถูกกักขังเช่นข้า ข้าติดค้างเจ้า รั้งนกน้อยอย่างเจ้าให้อยู่เป็นเพื่อนข้า ทั้งที่บ้านของเจ้าคือท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ คืออิสรเสรี’ มือที่ประคองนางไว้แนบอกยื่นนางออกไปสุดมือ ก่อนที่ร่างของกงเสวี่ยหลิงจะกระโดดผาน้ำตก
นางพุ่งตัวหมายจะปกป้องกงเสวี่ยหลิง แม้เป็นเพียงนกน้อย แต่นางรักและภักดีกับกงเสวี่ยหลิง มีท้องฟ้าเป็นบ้านอันเสรีแต่ไม่มีใครรักและห่วงใยเท่ากงเสวี่ยหลิง ชีวิตนกน้อยอย่างนางก็ไร้ความหมาย ร่างหญิงสาวทิ้งตัวลงรวดเร็ว แต่นางใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายพุ่งเข้าไปในอกของกงเสวี่ยหลิงก่อนที่ร่างของนางจะจมสู่ผิวน้ำ
จนกระทั่งนางลืมตาก็พบเซียวเหรินอีกครั้ง ครั้งนั้นนางถูกแมวใจร้ายตะปบฉีกปีกจนเกือบบินไม่ได้ ผ่านมาสี่ปี นางได้พบเขาอีกครั้ง
แต่ดวงจิตของนางกลับมาอยู่ในร่างของกงเสวี่ยหลิง
“ปวดแผลหรือ?”
น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถาม หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจึงนึกได้ว่าตนเองนั่งเอามือกุมศีรษะอยู่ นางจ้องมองบุรุษเบื้องหน้า เซียวเหรินคือบุรุษที่กงเสวี่ยหลิงมีใจให้ นางคาดเดาจากที่ทุกครั้งเมื่อกงเสวี่ยหลิงได้พบจางซงหยวนจะสอบถามเรื่องของเซียวเหรินเสมอ นางจึงพลอยรับรู้ทุกเรื่องราวของเซียวเหรินและความรู้สึกของกงเสวี่ยหลิงไปด้วย
นางลดมือลงแล้วส่ายหน้าไปมา จ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายแล้วเป็นฝ่ายยื่นมือไปแตะแก้มของเขาเบาๆ
“ซือจื่อผอมลงมาก” นางพยักหน้าให้กับตัวเอง แล้วเลื่อนมือไปจับแขนของชายหนุ่มที่นั่งนิ่งไม่ขยับตัว “แต่แขนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แสดงว่าซือจื่อแข็งแรงสุขสบายดี”
“แม่นาง” เซียวเหรินจับมือของนางออกจากท่อนแขนของเขา “ข้ามั่นใจว่าไม่เคยพบเจ้า เจ้าคงจำคนผิดแล้ว”
หญิงสาวส่ายหน้าไปมาแล้วฉีกยิ้มกว้าง “ข้าไม่อาจลืมผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้า คุณหนูบอกว่าซือจื่อเป็นหมอที่เก่งที่สุด รักษาคนนับร้อยนับพัน ซือจื่อจำข้าไม่ได้ย่อมไม่แปลกอันใด”
เซียวเหรินนิ่งงันไป นางพูดถูก เขารักษาคนไม่ได้สนใจหน้าตาหรือฐานะ สารภาพตามจริงเขาจำหน้าตาคนที่เขารักษาไม่ได้ เพียงแต่อาการเจ็บปวดหรือวิธีการรักษานั้น เขากลับจำได้แม่นนัก
“แม่นางรู้จักกงเสวี่ยหลิง?”
“ย่อมรู้จัก” หญิงสาวพยักหน้าแรงๆ ท่าทางไร้เดียงสาน่ารักน่าเอ็นดู
“แม่นางเป็นอะไรกับกงเสวี่ยหลิง?”
“ข้าเป็นนก!” หญิงสาวตอบด้วยรอยยิ้ม แต่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่ายแล้วจึงนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ “ข้าติดตามคุณหนูกงเสวี่ยหลิง ไม่ว่านางจะไปไหน ทำอะไร ข้าล้วนอยู่ข้างกายคุณหนูเสมอ”
คราวนี้เซียวเหรินพอใจกับคำตอบที่ได้ยิน แต่เข้าใจไปว่าหญิงผู้นี้เป็นคนรับใช้เท่านั้น
“เหตุใดเจ้าใส่เสื้อผ้าของกงเสวี่ยหลิง”
“คุณหนูไม่ได้เต็มใจ คุณหนูถูกล่อลวงให้ไปที่บ้านพักหลังใหญ่บนเขาลูกโน้น” นางพูดแล้วชี้นิ้วประกอบ “พวกเราถูกคนโฉดทำร้าย เพื่อปกป้องข้า คุณหนูใช้ปิ่นปักผมแทงชายแก่คนนั้น นางบอกให้ข้าหนีไปแต่ข้าไม่ไป นางกระโดดผาน้ำตก ข้าก็กระโดดด้วย แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดข้าจึงมาอยู่อย่างนี้”
เห็นหญิงสาวสูดลมหายใจกลั้นมิให้ร้องไห้ออกมา เซียวเหรินแม้เย็นชาแต่ไม่ไร้หัวใจ เขาจึงไม่เอ่ยปากบอกเล่าว่าเขาได้ย้อนกลับไปที่บึงน้ำที่นางตกลงมา ไม่มีร่างผู้อื่นอีก หากคิดในแง่ดี กงเสวี่ยหลิงอาจมีคนช่วยไปแล้วหรือลอยตามน้ำไปถึงหมู่บ้านอื่น
หรือ...อาจไม่โผล่ขึ้นมาจากน้ำอีกก็เป็นได้
กงเสวี่ยหลิงเป็นองค์หญิงแคว้นเฉียนเหลียง เป็นองค์หญิงตัวประกันและเครื่องบรรณาการ เขาไม่เคยเห็นใบหน้าของกงเสวี่ยหลิงแต่รับรู้เรื่องราวจากปากของกงอี้เทาและจางซงหยวน ซึ่งเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กัน ราวสี่ปีก่อนกงอี้เทานำขบวนเพื่อส่งกงเสวี่ยหลิงสู่เมืองหลวงบังเอิญได้พบกันอีกครั้ง คราวนั้นเขาเพิ่งช่วยนกหงส์หยกตัวหนึ่งไว้ และไม่ได้มีความคิดจะเลี้ยงดู กงอี้เทาเห็นเข้าก็หยอกล้อเขาเสียยกใหญ่ กระทั่งเขาได้ยินเสียงหวานใสจากในรถม้าที่อยู่ใกล้เอ่ยปากขอนกน้อย เขาจึงรู้ว่ากงเสวี่ยหลิงอยู่ในรถม้าคันนั้น เป็นการพบกันครั้งเดียวและพบกันโดยมิได้เห็นหน้า จากนั้นเขารับรู้เรื่องราวของนางจากปากของ กงอี้เทาที่มักลอบมาพบปะสนทนากันอยู่บ่อยครั้ง
“แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป”
“ข้า...” นางกลอกตาไปมา “ไม่มีคุณหนู...ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไร”
เซียวเหรินคิดถึงกงอี้เทา ปกติหนึ่งหรือสองเดือนจะต้องลอบออกจากตำหนักมาหาเขาเพื่อสนทนาพูดคุยเช่นสหายรัก อย่างไรหญิงคนนี้ก็เป็นคนของกงเสวี่ยหลิง เช่นนั้นส่งนางให้กงอี้เทาดูแลต่อคงไม่เป็นไร หรือถ้าเป็นคนร้ายก็ให้จางซงหยวนจัดการเสีย
“เช่นนั้นเจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อน รักษาตัวเองให้หายดี ข้าจะส่งข่าวให้กงอี้เทารู้ เพื่อเขาจะได้มารับเจ้าและออกติดตามคุณหนูของเจ้า”
“ข้าอยู่ที่นี่ได้หรือ?”
“ได้” เขาพยักหน้ารับ “แต่ห้ามพูดเรื่องกงเสวี่ยหลิงให้ใครได้ยิน”
“ได้! ข้าทำได้!”
“ดี”
“ขอบคุณซือจื่อ”
“อย่าเรียกชื่อนี้อีก”
หญิงสาวอ้าปากค้างสีหน้างุนงง “ก็คุณหนูกับคุณชายจางเรียกท่านว่าซือจื่อนี่”
“เรียกข้าเซียวเหริน” เขาไม่ต้องการให้ใครอื่นเรียกชื่อรองอย่างสนิทสนมพร่ำเพรื่ออีก
“แต่ว่า...” นางเคยชินกับการรับคำสั่งของกงเสวี่ยหลิงคนเดียวเท่านั้น
“หากต้องการอยู่ที่นี่ทำตามคำสั่งข้า”
หญิงสาวได้แต่พยักหน้าหงึกๆ พอเห็นร่างสูงลุกขึ้นจากตั่งของนางแล้ว นางก็รีบลุกขึ้นหมายจะเดินตามเขา แต่ร่างกายที่แทบไร้เรี่ยวแรงทำให้นางแทบไม่มีแรงทรงตัว ร่างเกือบทรุดลงไปกองกับพื้น แต่มือใหญ่เข้ามาประคองได้ทัน
“เจ้ายังไม่แข็งแรง พักผ่อนในนี้ไปก่อน”
“คือ...ข้า...ข้าหิวแล้ว”
เซียวเหรินเห็นสีหน้าประดักประเดิดของนางแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ เอาเถอะ ใครใช้ให้เขาเป็นหมอรักษาผู้อื่นกันเล่า คิดเสียว่าเลี้ยงหมาแมวเพิ่มสักตัว
เอ๊ะ! นางบอกตัวเองเป็นนก เช่นนั้นเขาเลี้ยงนกเพิ่มก็แล้วกัน
‘หลันหลัน’
หญิงสาวโผล่หน้าออกมาจากเรือนหลังน้อย ดวงตาสุกใสกวาดตามองด้วยความตื่นเต้น นางฟังเรื่องราวของเซียวเหรินมามากมาย แต่ไม่คิดว่าจะได้เห็นด้วยตาตัวเองเช่นนี้ เป็นอย่างที่คุณหนูกงเสวี่ยหลิงเล่าให้ฟังจริงๆ ด้วย เรือนหลังน้อยไม่มีบ่าวรับใช้ เป็นเรือนที่อบอวลด้วยกลิ่นสมุนไพรต่างๆ เซียวเหรินเป็นคนพูดน้อยใบหน้าเรียบเฉยจึงคล้ายคนหยิ่งยโส ทว่าความจริงแล้วเขาไม่เคยนิ่งดูดาย เมื่อเห็นใครเจ็บไข้หรือบาดเจ็บมาย่อมยื่นมือช่วยเหลือทุกครั้งไป
หญิงสาวได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วมองเด็กสองคนที่แย่งกันมองนอกหน้าต่างรถม้าที่โยกไหวไปมา นี่คือเส้นทางที่นางตัดสินใจแล้ว เขาไม่ต้องการนาง นางก็ไม่สามารถทำใจแข็งมองดูเขากับหญิงอื่นได้ ไม่รู้ทำไม ใจนางจึงชอบบุรุษผู้นั้นไปได้ ภายนอกเขาดูเย็นชาแต่เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาใส่ใจนางอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไร นางก็เป็นเพียงหญิงจากหอนางโลมที่รัชทายาทประทานให้ เมื่อเขาไม่ต้องการก็ส่งนางกลับไป คิดถึงเรื่องนี้หัวใจก็เจ็บราวถูกมีดเฉือดเนื้อหัวใจเป็นริ้วๆ“นั้นอะไร” เด็กหญิงเอ่ยถาม“ม้ายังไงเล่า” เด็กชายตอบ “มีคนขี่ม้ามาทางนี้”“คงเป็นทหารนำสาสน์ด่วนผ่านมาทางนี้” ผู้เป็นแม่อธิบาย“ข้าจะเป็นทหาร!” เด็กชายพูดขึ้น“ข้าด้วย” เด็กหญิงพูดบ้าง“เจ้าเป็นผู้หญิง เป็นทหารไม่ได้”“ข้าจะเป็นทหาร ขี่ม้าเหมือนคนผู้นั้น”“อ๋า! ใกล้มาแล้ว”จู่ๆ รถม้าก็หยุดกะทันหัน ผู้คนในรถม้าไม่ทันตั้งตัวล้มไปคนละทาง หลิวเจียวเหมยยื่นมือไปรับเด็กหญิงไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มกระแทกพื้นรถ“เกิดอะไรขึ้น!” หลิวเจียวเหมยหัวเสีย แม้จะเป็นคนของทางการแต่ทำเช่นนี้ไม่ถูก หากมีคนบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร หญิงสาวหงุดหงิดแล้วยื่นหน้าออกไปมองเป็นจังหว
หยางเฟยหลิงก้าวพรวดพราดเข้าไปหาน้องชายที่นี่นั่งอ่านตำราอยู่ สีหน้าของหยางไห่เทาไม่สะทกสะท้านแม้ถูกกระชากคอเสื้อจนตัวลอยขึ้นจากเก้าอี้ สาวใช้ตกใจส่งเสียงหวีดร้องขึ้นมาทันที “พี่ใหญ่” หยางไห่เทาคลี่ยิ้มไม่ถือสาที่ถูกพี่ชายทำเช่นนี้ “หากเจ้ายังเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ก็บอกมาว่าซ่อนหลิวเจียวเหมยไว้ที่ใด!” “แค่สตรีนางหนึ่งเป็นแค่หญิงรับใช้ พี่ใหญ่จะต้องสนใจไปไย” “นางเป็นคนของข้า!” “ข้ารู้” หยางไห่เทายังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเตรียมใจมาเจอเรื่องเช่นนี้แล้วจึงไม่ได้หวาดกลัวสิ่งใด เขายกมือขึ้นแตะหลังมือพี่ใหญ่เป็นเชิงเตือนให้ปล่อยมือ แม่ทัพหนุ่มรู้ดีว่าทำไม่ถูกนัก แต่เขาระงับใจไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนปล่อยมือจากเสื้อของน้องชาย หยางไห่เทาพรูลมหายใจเบาๆ พลางจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วผายมือเชิญให้พี่ใหญ่นั่งลงก่อน เขารินน้ำชาด้วยตนเองแล้วส่งให้ “พี่ใหญ่ไม่ต้องการนางแล้ว จะรั้งนางไว้เพื่อสิ่งใด มิสู้ปล่อยให้นางได้ใช้ชีวิตของตนมิดีกว่าหรือ?” “ผู้ใดบอกว่าข้าไม่ต้องการนาง” เขา
บ้านเมืองสงบสุขไปหรือไร ไฉนทุกคนถึงได้เป็นห่วงเป็นไยว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน หยางเฟยหลิงหงุดหงิดในใจทว่าไม่สามารถแสดงสีหน้าหรืออารมณ์ออกมาได้ เขายังคงนั่งจิบน้ำชาอย่างไร้ความรู้สึกต่อหน้ารัชทายาทฝูไหลที่นัดหมายพบหน้าเขาถึงที่จวน โดยแจ้งว่ามีใบชาชั้นเลิศมอบให้ คนอย่างเขาดื่มสุรามากกว่าน้ำชาด้วยซ้ำ เหตุใดจึงมอบใบชาให้เขากันเล่า และสุดท้ายก็สอบถามเขาเรื่องตบแต่งภรรยา “แม่ทัพหยางไม่ถูกใจน้องสาวของข้ารึ หรือเจ้าชอบองค์หญิงคนไหน ข้าสามารถพูดกับเสด็จพ่อได้” “ฐานะกระหม่อมไม่คู่ควร โปรดเลิกคิดเรื่องเหล่านี้เถิด” ฝูไหลไม่โกรธแต่กลับหัวเราะออกมา “หรือแม่ทัพหยางมีหญิงในดวงใจจึงไม่พึ่งใจพี่สาวน้องสาวของข้า” หญิงในดวงใจ เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตั้งแต่รับหลิวเจียวเหมยไว้ข้างกาย เขาก็ไม่ต้องสตรีนางใดอีก เขาชอบเวลาที่มีนางอยู่ใกล้ๆ นางเหมือนสายน้ำไหลเย็นที่ไร้เสียง แต่รับรู้ได้ว่ามีตัวตนในขณะเดียวกันก็ซุกซ่อนอีกด้านที่ไม่เปิดเผยให้ผู้อื่นได้สัมผัส ท่าทางแง่งอนหรือดื้อรั้น ภายใต้ท่าทีอ่อนน้อมเช่นนางจะหัวแข็งไ
ปลายจมูกโด่งกดซุกไซ้ที่ซอกคอขาวผ่อง หญิงสาวบิดตัวไปมาพลางยกมือขึ้นปัดป้อง ทว่าสองมือกลับถูกกดลงข้างตัวทำให้คนที่หลับใหลผวาตื่นจ้องมองใบหน้าผู้บุกรุกยามวิกาล “ท่าน...ท่านแม่ทัพ...” “หรือเจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด” น้ำเสียงหงุดหงิดเคล้ากับกลิ่นสุรารสแรงทำให้หลิวเจียวเหมยตัวเกร็งและไม่กล้าขยับตัวส่งเดชอีก ท่าทางตื่นกลัวของนางทำให้หยางเฟยหลิงหงุดหงิด เหตุใดนางจึงดูกลัวเขานักนะ ทั้งที่ร่วมหลับนอนกันมาหลายครั้งหลายคราแล้ว“ตอบสิ”“....” หญิงสาวปรับสายตาครู่หนึ่ง ยามนี้ร่างใหญ่โตของเขาคร่อมร่างนางอยู่ ไอร้อนจากตัวบุรุษโอบล้อมราวย้ำเตือนว่านางไม่อาจหลบหนีไปได้“ข้า...ข้าไม่ได้รอผู้ใดเจ้าค่ะ” ‘ข้ามีสิทธิ์รอหรือ? ข้าเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงท่านแม่ทัพ จะมีสิทธิ์ทำสิ่งใดได้’คล้ายไม่พอใจกับคำตอบที่ได้ยิน ริมฝีปากเจือรสสุราทาบทับลงมาจูบกลีบปากดุจกลีบกุหลาบ เขาขบเม้มริมฝีปากนางอย่างแรงจนหญิงสาวนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ ร่างกายดิ้นรนต่อต้านแต่ไม่อาจสู้แรงอีกฝ่ายและแน่นอนว่าเขาไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด ยิ่งนางต่อต้านเขายิ่งอยากเอาชนะ มือที่ว่างอีกข้างกระชากเสื้อของนางเปิดอ
คนเป็นน้องอ้าปากจะพูดแต่หญิงสาวยกน้ำชาเข้ามาก่อน แม้นางสวมชุดสาวใช้แต่กิริยามารยาทอ่อนช้อยงดงามสมกับเป็นคุณหนูในตระกูลเก่าแก่ หากไม่เพราะเลือกข้างผิดคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ หญิงสาวรินน้ำชาเสร็จก็ค่อยๆ ก้าวออกไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่ต้องให้ใครเอ่ยปากขับไล่ แม่ทัพหยางมองร่างบอบบางเดินออกไปแล้วจึงย้ายสายตามาจ้องมองน้องชาย “พี่ใหญ่คงรู้แล้วว่าข้าป่วยทางใจ หมอที่ใดก็เยียวยามิได้” หยางไห่เทายกน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “ไม่อาจกล่าวโทษพี่ใหญ่ที่ทำให้ครอบครัวเราจากเดิมที่เป็นเพียงคนยากไร้ได้กลับกลายเป็นคนตระกูลสูงส่งมีผู้คนนับหน้าถือตา แต่สิ่งเหล่านั้นสร้างความกดดันให้ข้าไม่น้อย ไม่ว่าจะทำสิ่งใดมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับพี่ใหญ่ผู้เกรียงไกรในสนามรบ” “เหลวไหล ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านะ” หยางไห่เทาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนคลี่ยิ้มเหนื่อยล้า“พวกเรารู้ดีว่าพี่ใหญ่ทำเพื่อครอบครัวมากเพียงใด แต่พวกเราก็หนักใจที่ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงมากมายที่มาพร้อมฐานะที่สูงขึ้น” “ข้าไม่รู้ว่า...” “เรื่องนี้พี่ใหญ่ไม่ผิด ท่านเองก็รู้ว่าในวังหลวงมี
“ท่านแม่พูดว่า...น้องเล็กจะกลับมาแล้วหรือขอรับ” “ใช่” หากหยางไห่เทากลับมา...น้องชายคงอยากพบหลิวเจียวเหมยเป็นแน่ แม้หลิวเจียวเหมยเคยพูดกับเขาว่านับหยางไห่เทาเป็นสหาย แต่น้องชายของเขาเล่าคิดเช่นไรกับสตรีผู้นี้? อาหารเลิศรสกลายเป็นฝืนคอไปทันที หลังจากกินอาหารเสร็จ พ่อลูกนั่งจิบชาอยู่ครู่หนึ่ง หยางเฟยหลิงจึงขอตัวกลับ ระหว่างที่เดินออกมานั้น เด็กน้อยวิ่งถลาเข้ามาทางเขาอย่างไม่ตั้งใจ “ตงตงระหว่างชนท่านลุง” น้องชายคนรองร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เด็กน้อยวัยสิบขวบวิ่งชนเข้าไปเต็มที แต่หยางเฟยหลิงคว้าร่างเล็กไว้ได้ทันก่อนจะชนกับเขาเข้า ซึ่งถ้าอาจทำให้เด็กน้อยเจ็บตัวได้ เด็กชายตัวจ้อยแหงนหน้ามองบุรุษร่างสูงใหญ่ด้วยความไม่คุ้นเคย ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ แล้วหันไปทางบิดาที่เดินตามมา “ท่านลุง?” “นี่ท่านลุงของเจ้า” น้องชายคนรองหัวเราะเบาๆ แล้วอุ้มเจ้าจอมซนเอาไว้ “พี่ใหญ่ไม่เป็นไรกระมัง” “ข้าจะเป็นอะไรได้” เขามองเด็กน้อยแล้วยิ้ม “พี่ใหญ่ก็กลับมาบ้านบ่อยๆ ลูกข้าจะได้จำหน้าท่านลุงได้...หรือไม