เข้าสู่ระบบบทที่ 2 บุษบา
บ้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาหลังนี้ เป็นบ้านเก่าแก่ที่สืบทอดมานาน ประกายและพิศดุจดาวไม่เคยคิดย้ายออก แม้ว่าหลังไม่ใหญ่มากนักแต่หรูหรากว่าบ้านละแวกนี้มาก
“วันนี้ไม่นอนบ้าน ไม่ต้องเก็บรถ”
อัคคีลงจากรถหรูสีดำมันปลาบเอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ สั่งชุมพล ซึ่งเป็นบอดี้การ์ดกึ่งคนขับรถรูปร่างสันทัดแต่เชี่ยวชาญรักษาความปลอดภัยชั้นยอด และอยู่ด้วยกันมานานหลายปีจนรู้ใจดั่งเพื่อนสนิท
เขาพาร่างสูงใหญ่เดินเข้าบ้าน ตัวยังสวมชุดสูททำงาน เพียงแต่ปลดเนคไทออกจากตัวแล้ว ปลดกระดุมบนลงสองเม็ดเพื่อผ่อนคลาย
“อ้าว เพลิงมาแล้วแม่”
เสียงทุ้มพร่าของชายสูงวัยกว่ารีบพูดเสียงดังขึ้นบอกภรรยาที่กำลังเดินออกมาจากในครัว เมื่อมองเห็นลูกชาย ประกายเดินเข้ามาสวมกอด ตบไหล่
“เป็นไง”
“ครับสบายดีครับพ่อ”
“ดีแล้ว ไปเข้าบ้าน หนูแพรกับที่บ้านมานั่งเล่นสักพักแล้ว”
อัคคีเบือนหน้าหนีเพื่อกลบสีหน้าเบื่อหน่าย พอหันกลับมาอีกครั้งจึงแสร้งปั้นรอยยิ้มออกมา
ประกายพาเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นกระทั่งอัคคีมองเห็นคุณลุงพฤกษ์ และคุณน้ารส พ่อกับแม่ของบุษบา
“สวัสดีครับ คุณลุง คุณน้า”
อัคคียกมือไหว้นอบน้อมเมื่อเดินเข้ามาใกล้ พ่อกับแม่ของบุษบารีบลุกขึ้น
“ไหว้พระเถอะลูก ไม่เจอกันนานเลย รูปหล่อกว่าเดิม สบายดีไหม”
“ขอบคุณคุณลุง สบายดีครับ”
ประกายมองด้วยแววตายิ้มแย้ม รีบเดินไปแทรกดันลูกชายนั่งลงโซฟาใกล้กับบุษบา
“นี่มาทำความรู้จักกันก่อน นี่หนูแพรลูกสาวคนโตของพฤกษ์ แล้วก็นี่พี่เพลิงไงลูก”
“สวัสดีค่ะพี่เพลิง”
บุษบาเสียงสั่นเบา ๆ ขณะยกมือไหว้สวยงาม แล้วนั่งก้มหน้าต่อไม่พูดไม่จา รู้สึกได้ว่าชายหนุ่มด้านข้างยืดกายตึงเครียดขึ้นเมื่อเห็นเธอเอาแต่ก้มหน้างุด
ร่างสูงโปร่งหุ่นดีราวนางแบบ ใบหน้าหวานละมุนยิ่งดูงดงามแบบเรียบร้อยอย่างหญิงไทยในวรรณคดี หญิงสาวตรงหน้าเอาแต่นั่งก้มหน้า อัคคีเพ่งมองเพียงครู่จึงเลื่อนสายตาออกเพื่อคลายความอึดอัดใจให้บุษบา
“คุณลุงสบายดีไหมครับ ผมไม่ได้กลับบ้านเสียนานเลย”
“โอ้ย! ลุงก็สบายดีตามประสาคนสูงวัยนั่นแหล่ะพ่อเพลิง”
“คุณลุงพฤกษ์ยังไม่แก่เสียหน่อยครับ แล้วนี่ที่โรงพยาบาลใครดูแลเหรอครับ”
“ลุงให้ผู้จัดการเขาช่วยดูแล แล้วเข้าไปตรวจงานบ้านอาทิตย์ละสองสามครั้ง เสียดายมีลูกแค่สองคนนะพ่อเพลิง แพรเขาไม่ถนัดงานหมอเลือกเรียนนิเทศศาสตร์ ส่วนเจ้าพลอยเองก็ซุกซนตามประสา จบเอกภาษาก็ขอไปทำงานบนเรือสำราญ”
“น้องพลอย?”
“ก็แฝดน้องของแพรไงลูก จำได้ไหมคนที่ปีนต้นมะม่วงเป็นประจำ”
อัคคีหันกลับมาทางมารดาพิศดุจดาวเมื่อได้ยินเสียงหวานของแม่อธิบาย
“พอจำได้ครับ”
“พลอยเขาไม่ค่อยกลับบ้าน นี่ก็ไปแล้ว ตอนนี้อยู่สิงคโปร์ จะกลับอีกทีคงช่วงปีใหม่”
ลุงพฤกษ์พูดขึ้นพรางยิ้มอารมณ์ดี
“อ้าว ๆ อย่ามัวแต่คุย ไปทานข้าวกันดีกว่า เด็ก ๆ ตั้งโต๊ะสักพักแล้ว อาหารจะหายร้อนเสียหมด”
บุษบาลุกขึ้นยืนทีหลังอย่างมีมารยาทผู้ที่เด็กกว่า เดินตามก้มหน้างุด เธอเพียงชำเลืองมองอัคคีเพียงปราดเดียวแล้วหลบสายตาจากนั้นแทบไม่ยอมเงยหน้าอีกเลยจนกว่าจะมีคนชวนคุย
ไม่น่าเชื่อว่าพอโตขึ้นมา อัคคีหรือพี่เพลิงที่เธอเคยพบเจอเมื่อสมัยวัยเด็กจะตัวโตใหญ่ขึ้นมาก ใบหน้าแกร่งคมเข้มดูดุดันกว่าเมื่อก่อน และไม่ค่อยยิ้มเหมือนเคย
“น้องแพร น้องแพร?”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นสองครั้งบุษบาถึงได้ตื่นจากภวังค์เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มด้านข้าง
“ช่วงนี้น้องแพรทำงานอะไรครับ”
“ม่ะ ไม่ได้ทำค่ะ ช่วยคุณพ่อดูงานที่โรงพยาบาลค่ะ”
บุษบาพยายามหาเสียงของตัวเองเปล่งเสียงตอบตระกุกตระกักไปบ้างแต่ยังจบประโยค อัคคีเองฝืนหักห้ามตัวเองไม่ให้ตวาดขึ้นเสียงใส่ ตัวเขาเองไม่ชอบผู้หญิงเรียบร้อย จะพูดแต่ละคราวดั่งพิกุลร่วงจากปากอย่างนี้
“ลองมาเป็นผู้ช่วยเลขาส่วนตัวของพี่ไหมครับ ได้เรียนรู้งานและยังทำความรู้จักกันไปในตัวด้วย”
“ดี ๆ เป็นความคิดที่ดี ลุงเห็นด้วย แพรไปทำงานกับพี่เพลิงเขานะลูก ทำงานโรงพยาบาลน่าเบื่อ ไปลองอะไรใหม่ ๆ บ้าง”
ลุงพฤกษ์รีบเอ่ยพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับเสียงของประกายเองสมทบอีกเสียง
“ใช่แล้วหนูแพร จริงอย่างเจ้าเพลิงบอก จะได้ทำความรู้จักสนิทสนมกันเสียก่อน”
บุษบามองหน้าคนทั้งโต๊ะ แล้วหันไปมองมารดาที่เพียงแค่ยิ้มให้เธอแต่ไม่พูดอะไร จึงเหลือบมองอัคคีที่ยังนั่งรอคำตอบอยู่
“ค่ะ ได้ค่ะ”
อัคคีเกือบหลุดถอนหายใจออกมาเมื่อรอคำตอบอยู่สักพักก่อนที่บุษบาจะยอมตอบรับคำ
“ถ้างั้นพรุ่งนี้น้องแพรไปยื่นใบสมัครนะครับ พี่จะจัดการสั่งเลขาไว้”
“ระ เร็วขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ครับ พี่เป็นคนทำอะไรฉับไว ไม่ยืดยาดเสียเวลา”
บุษบาก้มหน้างุดอีกครั้งใบหน้าแดงก่ำ น้ำเสียงทุ้มของอัคคีมีร่องรอยติเตียนเธออย่างชัดแจ้ง แม้ว่าเขาไม่พูดออกมาโดยตรง
ครั้งนี้บุษบาปากสั่นเล็กน้อย เธอเองโดยธรรมชาติเป็นคนขี้กลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งน้ำเสียงติเตียนของอัคคีชายหนุ่มในอนาคตที่เธอต้องแต่งงานด้วย ยิ่งทำให้บุษบาทั้งกลัวและเขินอาย
เมื่อวานนี้เองที่บิดาหรือพฤกษ์ เกษมจิตรวัฒน์และคุณแม่รสา เกษมจิตรวัฒน์ ได้แจ้งข่าวร้ายนี้แก่เธอ แรกทีเดียวบุษบายังไม่เชื่อ คิดว่าตัวเองนั้นฟังผิดไป แต่เมื่อพ่อกับแม่ย้ำอีกครั้ง ทั้งพยายามเข้ามาปลอบเธอ ลูบแขนลูบหัว พูดจาหว่านล้อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน บุษบากลับพบว่าหัวสมองเธอนั้นมึนงงไม่กระจ่างแจ้ง
กระทั่งมื้อเย็นนี้ได้พบกับอัคคี ชายหนุ่มลูกเสี้ยวหน้าดุผิวเข้ม และเพียงแค่มองก็ทำให้เธอหวาดกลัวได้ เธอสัมผัสรับรู้ความจริงที่พ่อกับแม่บอกเมื่อวานนี้ชัดเจนขึ้น
พ่อกับแม่กำลังจับเธอแต่งงานกับผู้ชายตรงหน้าแบบคลุมถุงชน โดยอ้างบุญคุณสมัยเก่าก่อนตั้งแต่เธอยังไม่เกิด แต่ไม่ยอมบอกว่าเป็นบุญคุณเรื่องอะไร
“อ้าว หนูแพร อิ่มแล้วเหรอลูก”
เสียงหวานของพิศดุจดาว มารดาของอัคคีเอ่ยถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าหญิงสาวนั่งเงียบรวบช้อนเรียบร้อย ก้มหน้าเพียงอย่างเดียว
“ค่ะ”
ยิ่งคำตอบสั้น ๆ แผ่วเบายิ่งทำให้พิศดุจดาวมองเด็กสาวข้างลูกชายอย่างเห็นใจ แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของประกาย เธอเองก็ไม่อยากขัด อีกอย่างหนูบุษบาตัวเธอเองรู้จักมาตั้งแต่เด็ก เป็นหญิงสาวเรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย เธอหวังว่าเมื่อแต่งงานกันไปอัคคีคงมองเห็นความดีของเด็กสาวคนนี้
“เพลิง”
“ครับแม่”
“ทำไมไม่พาหนูแพรไปเดินเล่นในสวนล่ะลูก จะได้พูดคุยตามประสาหนุ่มสาว”
อัคคีจ้องตาผู้เป็นมารดาเขม็งแต่ยังยินยอมทำตามแต่โดยดี พร้อมลุกขึ้นยืนซ้อนด้านหลังบุษบาเพื่อช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้อย่างสุภาพบุรุษ
“เชิญครับน้องแพร”
บุษบายังก้มหน้าเมื่อลุกขึ้นเดินตามอัคคีออกจากห้องอาหาร และร่างสูงเดินก้าวยาวไม่ได้รอเธอลงไปยังซุ้มศาลาแล้ว ขณะที่บุษบายังค่อยทอดขาเดินไม่เต็มใจนัก
“น้องแพรครับ”
“คะ”
“พี่อยากให้เราทำความรู้จักกันไว้ก่อน ต่อไปเมื่อไปทำงาน พี่จะเป็นคนขับรถมาส่งน้องแพรเองนะครับ ยกเว้นว่าวันไหนไม่ว่าง พี่จะให้คนรถขับมาส่ง”
“ม่ะ ไม่เป็นไรคะ แพรกลับเองได้ เกรงใจพี่เพลิง”
“ไม่เป็นไรครับ เราควรรีบทำความคุ้นเคยกันไว้ก่อน แต่งงานกันไปจะได้คุ้นชินกัน”
คราวนี้อัคคีสังเกตชัดเจนขึ้นว่าบุษบาขี้อายมากขนาดไหน เพียงเขาพูดออกมาแค่นั้น ไม่ได้พูดจาลึกซึ้งถึงเรื่องบนเตียงแม้แต่น้อย แต่บุษบากลับหน้าแดงก่ำดั่งลูกพีชทั้งสองข้างจนเขาต้องเบือนหน้าหนีอย่างเบื่อหน่าย
“ตกลงตามนี้นะครับ”
“ค่ะ”
ความอึดอัดปกคลุมไปทั่วทั้งซุ้มเมื่อหมดเรื่องพูดจนอัคคีไม่อาจทนไหว เดินนำพากลับเข้าบ้าน จากนั้นเขาเองเอ่ยขอตัวกลับคอนโดมิเนียมเลย
“แพรลูก”
“คะแม่”
รสาเอ่ยเรียกบุษบาเมื่ออาหารมื้อค่ำสิ้นสุดและทั้งพฤกษ์ เธอและบุษบาเดินกลับบ้าน โดยผ่านประตูรั้วด้านข้างที่ทำเชื่อมต่อกันไว้
“ลูกคิดว่าพี่เพลิงเป็นยังไงบ้าง”
บุษบาไม่พุดอะไร ยังก้าวเดินต่อไปแม้ในใจตัดสินใจไปแล้วว่าเธอไม่มีวันแต่งงานกับอัคคีเด็ดขาด แต่ด้วยเป็นคนหัวอ่อนจึงต้องแสร้งพูดตามใจพ่อกับแม่ไปก่อน
“ค่ะก็ดีค่ะ”
“งั้นดีเลย ค่อยยังชั่ว แม่กลัวเหลือเกินว่าลูกจะไม่ชอบเพลิง”
“ไม่หรอกค่ะ”
“พรุ่งนี้เช้าตื่นแต่เช้านะลูก ไปบริษัทพี่เพลิง ลองไปทำงานแปลกใหม่บ้าง แล้วศึกษาเรียนรู้นิสัยกันและกันไว้ พี่เพลิงเองเขาก็ไม่ได้รังเกียจอะไรเรา คุณประกายบอกว่าพี่เพลิงตกลงที่จะแต่งงานกับลูก”
บุษบาอึ้งไปบ้าง เมื่อตอนอยู่ในสวนเธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกโกรธ ฉุนเฉียวและความอึดอัดใจของอัคคีชัดเจนจนเธอคาดหวังว่าเขาคงปฏิเสธ แต่ไม่เลยทุกอย่างยังเหมือนเดิม
“ค่ะ”
ตอนนี้เธอทำได้เพียงขานรับแม่ไปก่อนพร้อมทั้งนึกในใจต้องโทรศัพท์หาน้องสาวโดยด่วน เรื่องนี้ยากเกินกว่าที่บุษบาจะรับมือเองได้ ต้องเป็นอุณากรรณเท่านั้น
บทที่ 13 หนีเที่ยว“พลอย จะออกไปข้างนอกเหรอ”บุษบาที่นั่งอยู่ตรงโซฟาห้องนั่งเล่นเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ เอ่ยทักเมื่อเห็นอุณากรรณแต่งตัวจัดเต็มในชุดรัดรูปสีดำตัวสั้น ตัวเสื้อควานลึกยังดีที่มีเสื้อคลุมตัวเล็กพอให้ปกปิดบ้าง รองเท้าส้นสูงสีดำสานไขว้ประดับคริสตัลคู่เก่งราคาแพง ดัดผมลอนเล็กน้อยเป็นคลื่นสยายลงกลางหลัง แต่งหน้าสโมคกี้อายแต่ไม่เข้มมาก ริมฝีปากสีแดงสด“ใช่แล้ว นุ้ยกับติซ่าชวนไปเที่ยวผับเปิดใหม่”“ใครกัน?”“โธ่เอ้ย! แพร ก็เพื่อนร่วมงานยังไงล่ะ แพรไปทำงานเป็นอาทิตย์นี่ไม่รู้จักใครเลยเหรอไง”อุณากรรณพูดพรางหมุนดูตัวเองในกระจกหน้าต่างบานใหญ่ที่สะท้อนหน้าหวานซึ้งเพื่อสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง“แล้วนี่พี่เพลิงรู้หรือเปล่า”“เกี่ยวอะไรกับพี่เพลิงด้วยแพร”อุณากรรณคว้ากระเป๋าหนังแกะสีดำทรงสี่เหลี่ยมขนาดเก้านิ้วขึ้นสะพายไหล่ เอี้ยวหน้ามองบุษบาฝาแฝดที่เหมือนตัวเองดั่งเงาในกระจก แต่นิสัยผิดแผกแตกต่างราวฟ้ากับดิน“อ้าว ก็พี่เพลิงเขาโทรหาทุกวันไม่ใช่เหรอ ถ้าพี่เพลิงโทรมาหาจะทำยังไง”นึกไปถึงอัคคี อย่างที่บุษบาบอกเขาโทรศัพท์มาจากสิงคโปร์ทุกวันจริง ๆ แต่โทรไม่นาน แค่ถามว่าทำอะไร กินข้าวห
บทที่ 12 พี่ชอบกินเด็กครับปัง!เสียงปิดประตูทำให้บุษบาเดินออกมาจากห้องนอน มองเห็นน้องสาวฝาแฝดใบหน้าดูไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะคิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น ทั้งริมฝีปากเม้มตึง“เป็นอะไรพลอย”เฮือก!! อุณากรรณสะดุ้งทันทีเพราะมัวแต่คิดเรื่องบนรถจนไม่ได้ยินเสียงพี่สาวฝาแฝดเดินออกมาจากห้องนอน“ไม่มีอะไร”รีบแสร้งเดินไปรินน้ำในครัวเพื่อปรับสีหน้า“อย่ามาโกหกเลย เราเป็นฝาแฝดกันนะ แค่มองหน้าก็รู้แล้วว่ามีเรื่อง”อุณากรรณยกน้ำขึ้นดื่มแล้วเดินออกจากห้องครัวตรงไปทางโถงนั่งเล่นของคอนโดมิเนียมขนาดกว้างพอสมควรขณะเดินไปพยายามคิดหาคำพูดบอกพี่สาว ตอนนี้เธอทำเรื่องยุ่งยากกว่าเดิม บุษบาต้องใจเสียแน่เมื่อได้ยินตุบ!หลังจากทิ้งร่างบนโซฟาแล้ววางแก้วน้ำลง จึงหันไปมองพี่สาวฝาแฝดตรง ๆ ตัดสินใจพูดความจริงออกไปดีกว่า“พี่เพลิงจะให้พ่อกับแม่ไปหาฤกษ์แล้ว”“ห๊า!! อะไรนะ ไหน ๆ พลอยบอกมีวิธี แล้ว แล้วนี่แค่พลอยไปทำงานวันเดียว ทำไมกลายเป็นแบบนี้”“ใจเย็น ๆ สิแพร พลอยเองก็ไม่เข้าใจ ตามที่แพรเล่ามา พี่เพลิงก็ดูไม่ได้ชอบอะไรแพร ซ้ำยังยืดเวลาขอดูใจออกไปอีก แต่ค่ำนี้หลังจากกลับจากทานข้าวกับลูกค้า ก่อนลงจากรถพี่เพลิงก็บอกจะให้พ่อก
บทที่ 11 แต่งงานกันให้เร็วที่สุดภายในรถเงียบสนิท หลังจากอุณากรรณบอกทางไปคอนโดมิเนียมซึ่งอยู่ใกล้กับที่ทำงาน ตัวเธอเองนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา หันหน้าหนีคนร่างโตไปนอกรถ มองรถบนถนนที่ยังหนาตาแม้ว่าดึกแล้วก็ตาม“พรุ่งนี้ไปทานข้าวกลางวันกัน”จู่ ๆ อัคคีเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบในรถ อุณากรรณไม่ตอบยังนั่งหันหน้าออกไปนอกรถ“เลน่า ยังงอนอยู่อีกเหรอครับ”“ใครงอนกันคะ แพรเปล่าสะหน่อย แค่ง่วง”เสียงหวานนุ่มขึ้นเสียงสูงเล็กน้อยไม่รู้ตัว ตอบทั้งที่ไม่หันหน้ามองคนร่างโตด้ายข้างแม้แต่น้อย จนเขาเองถอนหายใจ“ต่อไปพี่จะไม่พบกับเกรซอีก”“ก็แล้วแต่บอสสิคะ”“พี่จะไม่ติดต่อกับผู้หญิงคนอื่นอีก”ผู้หญิงคนอื่น? คงมีหลายคนสินะคราวนี้อุณากรรณไม่นั่งนิ่งเงียบ เอี้ยวหน้ากลับไปหาอัคคีทันควันเมื่อได้ยิน สีหน้าแสดงอารมณ์โกรธแต่ยังไม่รู้ตัวจนคนร่างสูงจ้องมองอย่างเผลอไผล“ก็แล้วแต่บอสสิคะ ไม่ใช่ธุระของแพร ไม่ต้องบอกแพรก็ได้ค่ะ”ดวงตากลมโตวิบวับแพรวระยับขณะที่พูดน้ำเสียงกระแทกเล็กน้อย จ้องตอบนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มออกดำไม่ลดละ แต่เพราะอัคคีเองไม่ปิดบังความปรารถนา แววตาจึงล้ำลึกขึ้นจนเป็นอุณากรรณต้องเบือนหน้าหนีพ่วงแก้มแดงซ่าน“ก
บทที่ 10 ใครเอาแต่ใจ ใครดื้อเพียงไม่นานนักรถหรูเลี้ยวเข้าถนนกว้างโค้งของโรงแรมระดับชั้นนำ“ที่จริงพี่เพลิงน่าจะให้คุณเกรซมา แพรแต่งตัวไม่เหมาะเลยค่ะ”“ไม่หรอก เลน่าแต่งตัวมาดีแล้ว อีกอย่างแทนตัวเองว่าเลน่าก็ถูกแล้วไม่ต้องแทนตัวเองว่าแพรกับพี่อีก”“ทำไมล่ะคะ แพรจะพูดชื่อไหนก็ได้นี่คะ ก็มันชื่อของแพร”อัคคีไม่ตอบ เขาเดินลงจากรถลงไปก่อนรอกระทั่งอุณากรรณลงจากรถจึงยื่นแขนออกมาให้คล้อง สังเกตว่าหญิงสาวชะงักคิดก่อนแต่ไม่นานเท่านั้นก็ยอมคล้องแขนเขาเดินขึ้นโถงบันไดลำแขนแกร่งแน่นอบอุ่นถึงร้อนจัด อุณากรรณมองมือตัวเองที่จับลำแขนนั้นไว้ มือเรียวเล็กของเธอเมื่อเทียบกับเขาแล้วยิ่งดูเล็กไปถนัดใจ“มาเถอะ พี่จะแนะนำให้รู้จัก”อุณากรรณละสายตาออกจากท่อนแขนแกร่ง มองตรงไปทางโต๊ะรับรองที่โทรศัพท์มาจองไว้ มีชายหนุ่มสองคนยืนรออยู่ก่อนหน้าแล้ว หน้าตาคล้ายเป็นคนชนชาติจีนดั่งเช่นคนสิงคโปร์ทั่ว ๆ ไป สวมชุดสูทนักธุรกิจ รูปร่างสันทัดไม่สูงไม่เตี้ย แต่พออัคคีเดินเข้าไปใกล้ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองดูเตี้ยลงไปทันที“ริชาร์ด คาล นี่เลน่า คู่หมั้นผมครับ”คราวนี้อุณากรรณยิ้มไม่ออกแต่ก็พูดแก้ตัวไม่ได้ต่อหน้านักธุรกิจชาวสิงคโ
บทที่ 9 พี่เพลิงอุณากรรณนั่งเขี่ยมือเล่นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต เมื่อกลางวันตอนอยู่ในลิฟต์สองต่อสองว่าแย่แล้ว ตกเย็นพอขึ้นมานั่งรถคันเดียวกัน แม้ว่ารถคันใหญ่แต่ยังรับรู้ถึงไออุ่นจากคนตัวโตด้านข้างอยู่ดีทั้งกลิ่นบุหรี่ กลิ่นกายชาย สารพัดที่ทำให้สาวสะพรั่งอย่างเธอว้าวุ่นได้ จึงพยายามหาอย่างอื่นทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปจากอัคคีดวงหน้าหวานซึ้งเบี่ยงไปด้านข้างเพื่อมองถนนท่ามกลางรถมากมายของเมืองหลวงที่ขยับไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น“วันนี้รถติดหน่อยนะครับนาย”เสียงชุมพลเอ่ยถึงขึ้นขณะที่รถแล่นจนเกือบจะคลาน“ไม่เป็นไร ยังพอมีเวลา”เสียงทุ้มต่ำด้านข้างคุยโต้ตอบกับคนขับรถสนิทสนมจนอุณากรรณแปลกใจ เธอมักไม่ค่อยพบคนในระดับนี้พูดคุยกับคนขับรถมาก่อน ส่วนใหญ่มักไว้ตัวและท่ามาก จึงเอี้ยวหน้าไปมอง ถึงกับสะดุ้งตกใจจริง ๆ เพราะเจอเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลที่หลุบมองเธออยู่ก่อนแล้วอย่างค้นหา“น้องแพรไม่เมื่อยเหรอครับ”“คะ คะ อะไรนะคะ”ใบหน้าคมเข้มยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเสียงตอบมึนงง“ก็พี่ถามว่าน้องแพรไม่เมื่อยเหรอครับ นั่งตัวลีบอยู่ตรงนั้น ขยับมาอีกก็ได้นะ พี่ไม่กัดหรอก”“เออ ไม่เป็นไรค่ะ แพรไม่เมื่อยค
บทที่ 8 บอสขณะที่อัคคีกำลังเดินขึ้นอาคารสำนักงานก่อนจะเหลือบสายตามองเห็นหญิงสาวร่างสูงโปร่งของบุษบา ซึ่งวันนี้ดูสูงกว่าทุกวัน ทีแรกเขาเองไม่ได้ใส่ใจแต่เมื่อกวาดตามองอีกครั้งพลันสะดุดเข้ากับรองเท้าส้นสูงแบบสานพันข้อเท้า จึงไล่สายตาขึ้นไปยังใบหน้าอีกครั้ง หน้าหวานซึ้งยังคงเดิม สวยดั่งนางในวรรณคดี แต่มีบางอย่างผิดแปลกไปคงเป็นทรงผมที่ไม่มัดรวบตึงเหมือนทุกวัน หรือเพราะเสื้อผ้า กระโปรงสั้นเหนือเข่าอวดท่อนขาเรียวยาวขาวนวล หรือจะเป็นเพราะเสียงหัวเราะหวานนุ่มเบา ๆ เมื่อกำลังฟังเพื่อนนินทานินทา!! เมื่อเขาเดินเข้าใกล้จึงได้ยินเสียงของคนร่างอวบพูดขึ้นพร้อมคว้าเอวของบุษบาเข้าใกล้ จนตัวบุษบาเองหัวเราะร่วนออกมาอัคคีเริ่มชักสีหน้าจึงเรียกเสียงดังขึ้นให้พนักงานในบริษัทรับรู้ว่าเขาได้ยินและไม่พอใจร่างระหงของบุษบาไม่ได้สะดุ้งขึ้นเหมือนทุกครั้ง เธอเพียงยืดแผ่นหลังขึ้นเล็กน้อยแล้วค่อยเหลียวกลับมาสบตากับเขาดวงตากลมโตปนซึ้งซึ่งเหมือนจะรื้นนน้ำตาทุกครั้ง วันนี้กระจ่างใสพร้อมร่องรอยติเตียนส่งตรงมายังเขา จนอัคคีจดจ้องตอบอีกครั้งด้วยตาคมดุ“ค่ะ บอส”อัคคีหรี่ตาลงเล็กน้อยเพียงแวบเดียวก่อนเอ่ยเสียงราบเรียบ







