“คดีที่มือปราบเมิ่งจับกุมได้ในระยะนี้ มีสองสามคดีที่เมื่อจับกุมได้แล้วกลับต้องปล่อยตัวภายหลัง ท่านหาเวลาไปตรวจสอบหน่อยก็แล้วกัน”
รองผู้บัญชาการทหารม้ารับคำแล้วจึงไปสืบสวนและตรวจสอบคดีที่เมิ่งหยางเป็นผู้จับกุมอย่างละเอียด สุ่ยฝานหรงสังหรณ์ใจว่าต้องมีสิ่งซ่อนเร้น แต่ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นหลักฐานชัดเจนว่าเมิ่งหยางพัวพันในทางมิชอบ
วันแต่งงานของเมิ่งหยางและสุ่ยเฉินเฟิงก็ใกล้เข้ามาแล้ว เขานึกเป็นห่วงน้องสาวอย่างบอกไม่ถูกจึงตัดสินใจบอกกล่าวข้อกังวลนี้ สุ่ยเฉินเฟิงฟังแล้วก็นิ่งอึ้งไปนาน ทั้งสองนำความไปปรึกษาแม่ทัพใหญ่สุ่ยลี่หรงผู้เป็นบิดาและฮูหยินเจียงไจฉือผู้เป็นมารดา
ฮูหยินแม่ทัพใหญ่ใบหน้าซีดเผือด หันมามองบุตรีผู้งดงามด้วยความสงสาร หากแต่งงานไปแล้วเมิ่งหยางถูกจับกุมเนื่องจากการกระทำความผิด เช่นนั้นแล้วบุตรีของนางจะมีชีวิตต่อไปเช่นไร ในขณะที่แม่ทัพใหญ่สุ่ยลี่หรงนิ่งเงียบ แต่มีเพลิงโทสะอัดแน่นในดวงตา
“คนสกปรกเช่นนี้ จะปล่อยให้เข้ามาเกี่ยวพันกับตระกูลของเราได้อย่างไร” ท่านแม่ทัพใหญ่หันไปสั่งการบุตรชายเสียงราบเรียบ แต่น่าสะพรึงกลัวว่า “เจ้าไปหาจุดอ่อนของเมิ่งหยางมาให้ข้า ต้องหาให้ได้”
อีกไม่กี่วันก็ถึงกำหนดที่ขบวนสินสอดจะส่งมายังจวนแม่ทัพใหญ่ แต่ก็เกิดเรื่องเสียก่อน แม่นางจากครอบครัวเล็ก ๆ กล่าวว่านางตั้งครรภ์กับเมิ่งหยาง อย่างไรก็ต้องรับนางเป็นอนุ แม้หลายจวนจะมีทั้ง ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรอง อนุ สาวใช้อุ่นเตียงก็ตาม แต่สุ่ยเฉินเฟิงเติบโตมาในจวนที่แม่ทัพใหญ่และฮูหยินรักใคร่กลมเกลียวกัน บิดาไม่มีภริยาอื่นใด บรรยากาศภายในจวนจึงเต็มไปด้วยความสงบสุข
ในขณะที่เหมยกุ้ยเพื่อนสนิทของนางซึ่งมีบิดาที่แจกจ่ายความรักอย่างทั่วถึง ในจวนมีฮูหยินรอง ฮูหยินสาม และอนุหลายนาง แต่ละวันพันเรื่อง มารดาของเหมยกุ้ยซึ่งเป็นฮูหยินใหญ่หาความสงบแทบไม่มี
แม้จะระแวงแคลงใจการทำงานของเมิ่งหยาง แต่เมื่อเกิดเหตุอื้อฉาวในเรื่องชู้สาวเช่นนี้ สุ่ยเฉินเฟิงก็ร้าวรานใจ นั่นหมายความว่าตลอดเวลาที่คบหากับนาง เมิ่งหยางก็ไร้ความซื่อสัตย์ คำสัญญาที่เคยกล่าวว่าจะมีนางเพียงผู้เดียวก็เป็นเพียงคำลวง สุ่ยเฉินเฟิงตรองดูแล้วจึงขอยกเลิกการหมั้นหมาย
แม้เมิ่งหยางจะขออภัยและให้คำมั่นสัญญาว่าแม่นางผู้นั้นจะไม่รบกวนให้สุ่ยเฉินเฟิงระคายใจ แต่เขาก็ไม่อาจทอดทิ้งนางได้เพราะมีชีวิตน้อย ๆ อยู่ในครรภ์ ในที่สุดการหมั้นหมายที่เตรียมไว้ก็ไม่เกิดขึ้น เสียงซุบซิบนินทาทั่วเมืองหลวง
“เจ้าเก็บตัวอยู่แต่ในจวนนานเกินไปแล้วนะ” หนึ่งเดือนต่อมา เหมยกุ้ยเอ่ยปากเมื่อมาเยือนจวนแม่ทัพใหญ่ อันที่จริงนางก็มาพูดคุยเป็นเพื่อนเกือบทุกวัน มองเพื่อนเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในจวนแล้วอึดอัดใจแทน “ไปเดินเล่นกันไหม เลือกซื้อของสวย ๆ หรือไปหาของอร่อยกัน”
สุ่ยเฉินเฟิงคิดดูแล้ว การเปลี่ยนบรรยากาศอาจทำให้นางเพลิดเพลินจนลืมเรื่องหมองเศร้าได้บ้าง ในที่สุดสองสาวก็ไปปรากฏตัวอยู่ที่ร้านเครื่องประดับ ระหว่างที่เลือกปิ่นปักผมกันนั้น ด้านหลังก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
“เฟิงเอ๋อร์ ต้องการชิ้นไหนเลือกได้เลย ข้าซื้อให้เจ้า” ร่างสูงของเมิ่งหยางเคลื่อนเข้ามาใกล้
สุ่ยเฉินเฟิงเหลือบตามมองเพื่อนสาว เหมยกุ้ยรีบส่ายหน้า “ข้าเปล่า ไม่รู้เขามาเจอพวกเราได้อย่างไร”
สุ่ยเฉินเฟิงวางปิ่นในมือกลับเข้าที่เดิม แล้วเดินออกจากร้าน เมิ่งหยางเดินตาม นางจึงหันหน้ามามองเขาตรง ๆ “คุณชายเมิ่ง ข้าขอความเป็นส่วนตัว”
เมิ่งหยางระล่ำระลัก “เฟิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าโกรธข้าได้ไหม ขอเวลาให้นางคลอดเสียก่อน แล้วข้าจะให้เงินนางไปตั้งตัว ไม่รับเป็นอนุ เก็บไว้เพียงเด็ก”
ถ้อยคำนั้นทำให้กลุ่มคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินชัดเจน มีเสียงนินทาว่าเป็นชายหญิงที่ร้ายกาจ แม้จะกระซิบกระซาบแล้วก็ยังลอยมาเข้าหูบุตรีแม่ทัพใหญ่ ใบหน้าพลันร้อนผ่าวด้วยความอับอาย
“ข้าไม่โกรธท่านแล้ว แต่อย่าให้ข้าต้องทำให้พ่อแม่ลูกพลัดพราก ต่อไปท่านและข้าเดินบนถนนคนละเส้นกันแล้ว”
สุ่ยเฉินเฟิงขยับเดินหนีแต่ชายหนุ่มกลับยึดข้อมือของนางไว้ “เฟิงเอ๋อร์” หญิงสาวใช้มือปลดมือใหญ่นั้นออก สีหน้าของนางนิ่งมาก เมิ่งหยางมือตกลงข้างกายอย่างอ่อนแรง
สุ่ยเฉินเฟิงมองตรง ๆ กล้ำกลืนความเจ็บช้ำไว้ในใจ แม้มิได้มีความรักใคร่ฉันท์ชายหนุ่มหญิงสาว แต่เมิ่งหยางในสายตาของนางนั้นก็คือบุรุษที่นางมั่นใจว่าเขารักใคร่และซื่อสัตย์ต่อนางผู้เดียวมาตลอดเวลาอันยาวนาน
“อย่าทำอย่างนี้ แล้วต่อไปก็โปรดเรียกข้าว่าคุณหนูสุ่ย”
นางเดินหน้าเชิดจากไป เมิ่งหยางขยับจะตาม แต่เหมยกุ้ยรีบเข้ามาขวางไว้ ในที่สุดมือปราบหนุ่มก็ได้แต่ยืนนิ่งอย่างเศร้าหมองมองอดีตคู่หมายและเพื่อนจากไป ดวงตาของมือปราบหนุ่มวาวโรจน์ อย่าได้คิดว่าจะปล่อยมือจากนางง่าย ๆ อย่างไรเขาก็ต้องได้ครอบครองสุ่ยเฉินเฟิง
เขามีความรักลึกซึ้งในตัวตนของนางมานานแล้ว และที่สำคัญนางเป็นบุตรีของแม่ทัพใหญ่ การเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันย่อมมีประโยชน์มาก วันนี้ปล่อยให้นางมีเวลาทำใจอีกหน่อย เมิ่งหยางถอนหายใจ แล้วจึงหันกลับเดินไปอีกทาง
สิบปีผ่านไป ณ ตำหนักคุนหนิง ฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง นั่งดื่มชาในสวนดอกไม้ อากาศอบอุ่น มีลมพัดผ่านเบา ๆ นึกถึงชะตาชีวิตที่แปลกประหลาด ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มีชีวิตสงบสุขเหมือนคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไป แต่เมื่อถึงวัยมีคู่ครองก็มีเรื่องเดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น ชีวิตเหมือนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง กว่าจะฝ่าฟันมาถึงวันนี้ก็ได้รับประคับประคองจากพระสวามีผู้สง่างามและครอบครัวเดิม สุ่ยเฉินเฟิงสัญญากับตนเองว่าจะทะนุถนอมความรักของพวกเขาไว้อย่างดีฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง และฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมห้าองค์ องค์ชายหย่งเฉิงคล้ายเสด็จพ่อมากที่สุดทั้งรูปร่างหน้าตา อุปนิสัย และความรู้ความสามารถ องค์ชายหย่งเฉิงชื่นชอบการฝึกซ้อมอาวุธทุกประเภท อีกทั้งยังชำนาญหมากล้อมและการฝึกเชาว์ปัญญาต่าง ๆ เรียกว่าเก่งทั้งบู๊และบุ๋นองค์หญิงเฟิงซินหน้าตาคล้ายเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ ทำให้นางเป็นที่โปรดปรานของเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือยิ่งนัก บางครั้งฮ่องเต้ยังจำใจต้องอนุญาตให้องค์หญิงเฟิงซินไปพักค้างที่ตำหนักนอกวังบ้างเพราะทนการรบเร้าของผู้เป็นมารดาไม่ไหว แรก ๆ ก็ไปพักค้างครั้งละหนึ่งคืน พอนานเข้าเสด็จย่าไทเฮา
ราษฎรต้อนรับการประสูติขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงอย่างเอิกเกริก ร้านค้าในตลาดและบ้านเรือนราษฎรปักธงถวายพระพร เหลาเฉียนจัดทำอาหารพิเศษแจกจ่ายให้ลูกค้าโดยไม่คิดเงิน ร้านขายผลไม้ก็นำส้มมงคลมาแจกจ่ายให้ผู้คนที่สัญจรไปมาเมื่อครั้งเทียนตี้หย่งยังดำรงตำแหน่งฉินอ๋อง ราษฎรก็รักใคร่ชื่นชม แม้ในจวนอ๋องจะไม่มีพระชายา พระชายารอง หรืออนุ ก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจ ต่อมาขึ้นครองราชย์ ราษฎรก็ปลื้มปิติ แต่ก็กังวลเพราะฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ลั่นวาจาไว้ว่าจะมีฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิงเพียงพระองค์เดียวแม้ในขณะที่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งฮองเฮา พระนางจะตั้งครรภ์แล้วก็ตาม หากเป็นพระราชธิดาพวกเขาก็ยังไม่วางใจ ดังนั้นเมื่อองค์ชายน้อยหย่งเฉิงประสูติ จึงเป็นทั้งความยินดีและความโล่งใจของราษฎรทั้งหลาย อย่างน้อยก็สบายใจได้ว่า แคว้นต้าเจียมีผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรแล้วในแต่ละวันขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงมีเสด็จย่าทั้งสองและท่านยายผลัดกันมาดูแล คือเสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้ เสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ และท่านยายเจียงจือไฉ แต่เสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้จะได้เปรียบมากกว่าเพราะประทับในวังเช่นเดียวกัน จึงมาดูแลเกือบทุกวัน เว้นแต่วันที่เสด็จย่าไทเฮ
พระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามความประสงค์ของสุ่ยเฉินเฟิง ตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาได้รับการปรับปรุงใหม่ มีห้องสำหรับทารกติดกับห้องบรรทมของฮองเฮา สำหรับฮ่องเต้เทียนคงอิงฉงนั้นแม้จะมีตำหนักเฉียนชิง แต่พระองค์ก็จะมาบรรทมที่ตำหนักคุนหนิงเป็นประจำ เว้นแต่ช่วงที่ทรงงานดึกจึงจะพักผ่อนที่ตำหนักเฉียนชิงเพื่อให้ฮองเฮาพักผ่อนเต็มที่ ไม่ต้องตื่นกลางดึกสุ่ยฝานหรงซึ่งบัดนี้ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีนั้น บางวันจะพาเหมยกุ้ยเข้าวังมาส่งที่ตำหนักคุนหนิงในช่วงเช้า และมารับกลับหลังจากประชุมขุนนางเสร็จ ชีวิตของสุ่ยเฉินเฟิงจึงไม่เงียบเหงาเกินไป ส่วนถิงถิงซึ่งบัดนี้เป็นนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาก็ช่างมีเรื่องซุบซิบมาเล่าให้ฟัง แม้กระทั่งองค์หญิงนาราที่เสวยผลไป่เซียงกั่วเพื่อให้เกิดผื่นจะได้ยืดเวลาการอยู่ในวังหลวงเพื่อมีเวลาขอถวายตัวเป็นสนมก็มาเล่าให้ฟัง เรียกได้ว่าทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ถิงถิงไม่ค่อยจะพลาดข่าว ถิงถิงมีความเห็นว่ารู้มากหน่อยดีกว่ารู้น้อยไปเมื่อสุ่ยฝานหรงเข้ารับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแล้ว ฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ก็ต้องวางกำลังคนที่ไว้ใจให้ควบคุมหน่วยกำลัง
ไทเฮาสือจินอวี้ลุกขึ้นจากที่ประทับ ตรงไปยังองค์หญิงนาราที่นั่งคุกเข่า ใช้สองพระหัตถ์แตะไหล่ประคองให้องค์หญิงน้อยลุกขึ้นยืน แล้วตรัสว่า “องค์หญิงนารามีหน้าตาสวยงามและเพียบพร้อมด้วยความรู้ ไม่ควรจะมาเป็นสนม ความหวังดีนี้ไม่อาจรับไว้ได้ ขอให้แคว้นต้าเจียและเผ่าตู้ผูกพันเป็นมิตรที่ดีต่อกันเถิด”ภายนอกมีเสียงดังขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”เมื่อร่างสูงสง่าของฮ่องเต้ก้าวเข้ามาในโถงกลางของวังหลัง พระองค์ทำความเคารพไทเฮาก่อน แล้วจึงหันไปตรัสแก่ผู้อื่นที่ทำความเคารพว่า “ไม่ต้องมากพิธี” องค์หญิงน้อยมองด้วยสายตาหลงใหลเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยแล้วตรัสด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เจิ้นขอบใจในน้ำใจของถู่ซือและองค์หญิง แต่ไม่อาจรับไว้ได้ ต้าเจียและเผ่าตู้ไม่จำเป็นต้องผูกพันกันด้วยการอภิเษกหรือการเป็นสนม แต่ยังเป็นพันธมิตรกันต่อไปได้”องค์หญิงน้อยทำได้เพียงกล่าวเสียงเบาว่า “เพคะ” รู้สึกอับอายแทบแทรกแผ่นดิน ไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธแม้แต่การเป็นสนม เทียนตี้หย่งหันไปทางทูตเผ่าตู้แล้วตรัสว่า “เผ่าตู้มีสินค้าหายากหลายอย่างที่ต้าเจียไม่มี เจิ้นจะให้ทูตการค้าต้าเจียหารือเรื่องการพัฒนาการค้าขายระหว่างกันดีห
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เทียนตี้หย่ง ขึ้นครองราชย์สถาปนาเป็นฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง ราษฎรทั่วแคว้นต้าเจียเฉลิมฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน พวกเขาล้วนมีความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดที่เคยหวัง ต่างแคว้นล้วนส่งทูตมาแสดงความยินดี ไม่มีแคว้นใดหาญกล้าทดสอบความแข็งแกร่งของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เผ่าตู้เป็นชนเผ่าที่เคยถูกแคว้นต้าเลี่ยงรุกรานและสร้างความอัปยศให้แก่องค์หญิงหลายองค์จนปลิดชีพตนเอง เมื่อแคว้นต้าเจียปราบปรามแคว้นต้าเลี่ยงทำให้เผ่าตู้ได้รับอิสระอีกครั้ง เมื่อมาแสดงความยินดีในครั้งนี้ มีองค์หญิงน้อยเผ่าตู้ร่วมเดินทางมาด้วย องค์หญิงนาราเป็นองค์หญิงองค์เดียวที่ปลอดภัยจากการรุกราน เนื่องจากช่วงเวลานั้นไม่ได้อยู่ในดินแดนเผ่าตู้ ในท้องพระโรง พระเจ้าเทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ขาวใส ดวงตาดำขลับยาวรีปลายชี้ฟ้า จมูกโด่งเป็นสัน ช่างสง่างามเหลือเกิน องค์หญิงน้อยมองดูด้วยความตะลึง หลงรักบุรุษผู้สง่างามนี้ทันทีเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์ขอบคุณแคว้นต่าง ๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดี และเชิญทูตทุกแคว้นทุกชนเผ่าเข้าร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น เนื่องจากยังไม่มีการแต่งตั
หลังจากพระเจ้าเต๋อหมิงได้รับบาดเจ็บ คณะหมอหลวงก็พยายามทุกวิธีในการรักษา เพราะฤทธิ์ยาระงับความเจ็บปวดที่หมอหลวงปรุงขึ้น แม้พระพักตร์จะขาวซีดแต่ก็ไม่แสดงถึงความเจ็บปวด เวลาผ่านไปสิบกว่าวัน ลมหายใจที่แผ่วเบานั้นก็หยุดนิ่ง หัวหน้าหมอหลวงตรวจชีพจรอีกครั้งก่อนจะหันมาทูลต่อไทเฮาสือจินอวี้ว่า“พระองค์กลับคืนสู่สวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮาสือจินอวี้ตัวอ่อน เป็นลมล้มพับ ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ที่ยืนอยู่ใกล้กันรับตัวเสด็จป้าสะใภ้ไว้ทันก่อนพระวรกายกระทบพื้น หมอหลวงแบ่งคนมาปฐมพยาบาลไทเฮา ความเศร้าโศกเสียใจล้นห้องบรรทมออกไปครอบคลุมวังหลวงและกระจายออกไปทั่วแคว้น พระเจ้าเต๋อหมิงเป็นผู้ปกครองใต้หล้าด้วยความเมตตา จึงเป็นที่รักใคร่ของราษฎร ในช่วงเวลาอันเศร้าหมอง ฉินอ๋องเป็นกำลังหลักในการสั่งการเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยหลังจากพิธีการต่าง ๆ ผ่านพ้นไป ไทเฮาสือจินอวี้ก็เรียกฉินอ๋องเข้าเฝ้า สุ่ยเฉินเฟิงดูแลเครื่องแต่งกายให้พระสวามี ฉินอ๋องใช้นิ้วดันคางของนางให้เงยหน้าขึ้น“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ากังวลอะไรหรือ”สุ่ยเฉินเฟิงถอนหายใจ “ไม่แน่ว่าการเรียกตัวเข้าเฝ้าในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับบัลลังก์ที่ว่างอยู่เพ