ในที่สุดสุ่ยเฉินเฟิงก็รับกล่องไม้ไว้ เมิ่งหยางยิ้มแววตาแจ่มใส กล่าวต่อไปว่า “เฟิงเอ๋อร์ ข้าคิดว่างานมงคลของเราสมควรจัดได้แล้ว หากเจ้าไม่ว่าอันใด ข้าจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขออย่างเป็นทางการ สามหนังสือหกพิธีการจะทำให้ครบถ้วนเหมาะสม เป็นหน้าเป็นตาให้เจ้า”
สุ่ยเฉินเฟิงสะดุ้ง นางยังต้องการอิสระ ยังไม่พร้อมรับหน้าที่เป็นฮูหยินควบคุมกำกับดูแลเรือนของผู้ใด ตอนนี้เป็นคุณหนูสุ่ยก็มีความสุขมากอยู่แล้ว สุ่ยเฉินเฟิงหลุบตาลงต่ำ หญิงสาวตัดสินใจบอกตามตรงว่า
“พี่หยาง ขอบอกตามตรงว่าตอนนี้ข้ายังอยากใช้ชีวิตอิสระอีกสักหน่อย”
เมิ่งหยางถอนหายใจ “พวกเราก็รู้จักกันมานานมากแล้ว ครอบครัวทั้งสองฝ่ายล้วนยินดี อีกสองเดือนพวกเราทำพิธีหมั้นหมายให้เรียบร้อยเถิด แล้วกำหนดวันแต่งเสียเลย”
ในที่สุดสุ่ยเฉินเฟิงก็รับคำ นางมองเมิ่งหยางเฉกเช่นพี่ชายคนหนึ่ง มิได้มีจิตปฏิพัทธ์เช่นหนุ่มสาว แต่ก็เป็นหน้าที่ของนางที่ต้องแต่งให้เมิ่งหยาง
นอกจากสุ่ยเฉินเฟิงแล้ว ยังมีอีกคนในห้องอักษรที่หายใจไม่ทั่วท้อง เขาสั่งให้คนเปิดหน้าต่างให้กว้างเพื่อฟังเสียงสนทนาของคนบนศาลากลางน้ำ แต่ห้องอักษรก็ไกลเกินไป จางชุนซึ่งเป็นองครักษ์คนสนิทจึงต้องทำหน้าที่เป็นคนไปยืนแอบฟังอยู่หลังเสาใกล้ศาลากลางน้ำและนำความมาแจ้งแก่ผู้เป็นนาย เมื่อฟังแล้วฉินอ๋อง เทียนตี้หย่งก็สีหน้ามืดครึ้ม นิ่งเงียบ
สุ่ยฝานหรงใช้ไม้ชี้ไปตามถนนบนแผนที่พลางกล่าวว่า
“เส้นทางหลักนี้ชำรุด หากจะใช้เส้นทางรองก็ต้องอ้อมไปหน่อย ท่านอ๋องมีความคิดเห็นประการใดพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อไม่มีเสียงตอบ บุตรชายแม่ทัพใหญ่จึงเงยหน้าขึ้นมาจากแผนที่มองหน้าสหายผู้สูงศักดิ์ ฉินอ๋องรู้สึกตัว พยายามให้ความสำคัญกับแผนที่แต่ดูเหมือนว่าสมาธิจะหลุดลอยไปไหนก็ไม่รู้ ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากว่า
“ท่านจะให้เฟิงเอ๋อร์แต่งให้เมิ่งหยางจริง ๆ หรือ”
สุ่ยฝานหรงมีสีหน้างง ๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมฉินอ๋องต้องทำเสียงเข้ม
“ผู้อาวุโสของสองตระกูลเคยให้คำมั่นสัญญากันไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่นั่นเป็นเรื่องตั้งแต่เฟิงเอ๋อร์ยังไม่ถือกำเนิด อีกอย่างนางก็ยังเยาว์เกินไป ”
“เฟิงเอ๋อร์พ้นวัยปักปิ่นมาหลายปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เฟิงเอ๋อร์เป็นน้องสาวของพวกเรานะ นางไม่จำเป็นต้องรีบแต่งให้ใคร ควรดูคนที่ดีที่สุด”
พี่ชายแท้ ๆ ของสุ่ยเฉินเฟิงทำตาปริบ ๆ เข้าใจล่ะว่าพวกเขาเห็นนางมาตั้งแต่เป็นทารก ดูนางเติบโตมาด้วยกัน แต่จะรั้งน้องสาวไว้เฝ้าจวนก็จะเกินไปหน่อย
เมื่อสุ่ยเฉินเฟิงไม่สามารถหาเหตุผลมาหักล้างเพื่อรั้งรอพิธีมงคลได้ นางก็เตรียมตัวเองให้พร้อม ทางฝ่ายเมิ่งหยางนั้น เขาพร้อมมานานแล้ว แต่ก็ยังหมั่นตรวจสอบสิ่งของที่ต้องใช้ตามขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้พิธีครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด ในขณะเดียวกันงานในหน้าที่มือปราบก็มีผลงานเด่น ๆ เสมอ ข่าวการปราบปรามขบวนการค้าเกลือเถื่อนรายใหญ่แพร่กระจายไปทุกหัวถนน ชื่อเสียงของเมิ่งหยางขจรขจาย
ขุนนางหลายรายแม้จะทราบว่าเมิ่งหยางเตรียมจะเข้าพิธีมงคลกับสุ่ยเฉินเฟิงแล้ว ก็ยังอยากให้บุตรีที่มิได้กำเนิดจากภริยาเอกของตนได้แต่งเข้าเป็นฮูหยินรอง บุคคลที่มีความรู้ความสามารถและมีความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นเมิ่งหยางนี้หายากยิ่งนัก ต่อไปจะต้องเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งใหญ่โตเป็นแน่ อีกทั้งเมิ่งหยางเป็นน้องชาย คนเล็กของเมิ่งกุ้ยเฟยซึ่งเป็นที่รักยิ่งของฮ่องเต้ เดิมเมิ่งหยางก็นับว่าเป็นคุณชายที่มีฐานะปานกลาง แต่ด้วยฝีมือการทำงานที่จริงจัง ขยันขันแข็ง เขาร่ำรวยขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ที่วัยใกล้เคียงกันไม่มีผู้ใดโดดเด่นเท่าเขาอีกแล้ว
“การปราบปรามการค้าเกลือเถื่อนมีความไม่ชอบมาพากลพ่ะย่ะค่ะ”
เหลียงจื้อ องครักษ์คนสนิทอีกคนหนึ่งส่งรายงานให้ฉินอ๋อง เมื่ออักษรปรากฏแก่สายตา คิ้วหนาก็ขมวด
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เมื่อครั้งมือปราบเมิ่งจับกุมก็มีเกลือเถื่อนจำนวนมาก
เหตุใดไม่สามารถเอาผิดผู้ต้องหาได้”
“เกลือเถื่อนหายไปจากสถานที่จัดเก็บของกลางพ่ะย่ะค่ะ หัวหน้าผู้ควบคุมของกลางเป็นลูกน้องของมือปราบเมิ่ง”
ฉินอ๋องเขียนอักษรลงบนกระดาษแผ่นเล็ก ๆ แล้วส่งให้จางชุนที่ยืนฟังอยู่ด้วย สั่งการว่า
“เจ้านำไปส่งให้รองผู้บัญชาการสุ่ยเดี๋ยวนี้”
สามชั่วยามต่อมา สุ่ยฝานหรง รองผู้บัญชาการทหารม้า ก็เดินหน้าเคร่งเครียดเข้ามาที่จวนอ๋อง
“กระหม่อมไปตรวจสอบแล้ว เมื่อหลายวันก่อนหัวหน้าผู้ควบคุมสถานที่จัดเก็บของกลางลาออก แจ้งว่าจะกลับไปยังบ้านในชนบท แต่ติดต่อสายข่าวในชนบทนั้นแล้ว ไม่มีใครเห็นคนผู้นี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอ๋อง พยักหน้ารับรู้ข้อมูล มองหน้าสหายสนิทแล้วเอ่ยว่า “แล้วท่านทราบหรือไม่ว่า หัวหน้าผู้ควบคุมเป็นคนของมือปราบเมิ่ง ว่าที่น้องเขยของท่าน”
เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นที่หน้าผากของรองผู้บัญชาการทหารม้า
“เพิ่งทราบวันนี้พ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดหากกระทำผิดต่อแผ่นดิน กระหม่อมก็ไม่ปล่อยไว้แน่นอน” สุ่ยฝานหรงสบตาสหายผู้สูงศักดิ์ด้วยดวงตาแน่วแน่ พลางกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะบอกว่าเมิ่งหยางเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนี้”
ฉินอ๋องรินน้ำชาส่งให้สหายสนิท “ท่านไม่ต้องเครียด ตอนนี้เขายังไม่ถือว่าเป็นน้องเขยท่าน”
สุ่ยฝานหรงรับถ้วยน้ำชามาดื่มรวดเดียวหมด ถอนหายใจหนักหน่วงแล้วกล่าวว่า
“ก็อีกไม่นานแล้วพ่ะย่ะค่ะ มีเรื่องเช่นนี้ กระหม่อมไม่สบายใจเป็นที่สุด หากต่อไปมีหลักฐานว่าเมิ่งหยางร่วมอยู่ในขบวนการนี้ด้วยเฟิงเอ๋อร์จะเป็นเช่นไร”
“คดีที่มือปราบเมิ่งจับกุมได้ในระยะนี้ มีสองสามคดีที่เมื่อจับกุมได้แล้วกลับต้องปล่อยตัวภายหลัง ท่านหาเวลาไปตรวจสอบหน่อยก็แล้วกัน”รองผู้บัญชาการทหารม้ารับคำแล้วจึงไปสืบสวนและตรวจสอบคดีที่เมิ่งหยางเป็นผู้จับกุมอย่างละเอียด สุ่ยฝานหรงสังหรณ์ใจว่าต้องมีสิ่งซ่อนเร้น แต่ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นหลักฐานชัดเจนว่าเมิ่งหยางพัวพันในทางมิชอบวันแต่งงานของเมิ่งหยางและสุ่ยเฉินเฟิงก็ใกล้เข้ามาแล้ว เขานึกเป็นห่วงน้องสาวอย่างบอกไม่ถูกจึงตัดสินใจบอกกล่าวข้อกังวลนี้ สุ่ยเฉินเฟิงฟังแล้วก็นิ่งอึ้งไปนาน ทั้งสองนำความไปปรึกษาแม่ทัพใหญ่สุ่ยลี่หรงผู้เป็นบิดาและฮูหยินเจียงไจฉือผู้เป็นมารดาฮูหยินแม่ทัพใหญ่ใบหน้าซีดเผือด หันมามองบุตรีผู้งดงามด้วยความสงสาร หากแต่งงานไปแล้วเมิ่งหยางถูกจับกุมเนื่องจากการกระทำความผิด เช่นนั้นแล้วบุตรีของนางจะมีชีวิตต่อไปเช่นไร ในขณะที่แม่ทัพใหญ่สุ่ยลี่หรงนิ่งเงียบ แต่มีเพลิงโทสะอัดแน่นในดวงตา“คนสกปรกเช่นนี้ จะปล่อยให้เข้ามาเกี่ยวพันกับตระกูลของเราได้อย่างไร” ท่านแม่ทัพใหญ่หันไปสั่งการบุตรชายเสียงราบเรียบ แต่น่าสะพรึงกลัวว่า “เจ้าไปหาจุดอ่อนของเมิ่งหยางมาให้ข้า ต้องหาให้ได้” อีกไ
ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของบุรุษหนุ่มในเครื่องแต่งกายสามัญชนที่เพิ่งเดินออกมาจากเหลาเฉียน แม้จะแต่งกายเหมือนคุณชายจวนใดจวนหนึ่งแต่กลิ่นอายความสูงศักดิ์ยังคงแผ่ออกจากกาย อีกทั้งยังมีกลุ่มชายฉกรรจ์ที่อยู่รอบตัวนั้นอีก ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ในเครื่องแต่งกายสามัญชนมองตามหญิงสาวทั้งสอง พลันโบกมือให้กลุ่มองครักษ์กระจายตัว เหลือไว้เพียงจางชุนองครักษ์คนสนิท เขาก้าวเท้ายาว ๆ เดินไปเคียงข้างสุ่ยเฉินเฟิงและเหมยกุ้ย“เฟิงเอ๋อร์ คุณหนูเหมย พวกเจ้ามาซื้อของหรือ” หญิงสาวทั้งสองกำลังจะยอบตัวตามแบบพิธีทำความเคารพผู้ดำรงตำแหน่งอ๋องที่เป็นเชื้อพระวงศ์ เทียนตี้หย่งรีบยกมือห้าม แล้วกล่าวเสียงเบาว่า“ไม่ต้องมากพิธี ตอนนี้ข้าแต่งกายสามัญชน พวกเจ้าไม่เห็นหรือ อย่าให้ราษฎรแตกตื่น”หญิงสาวทั้งสองยิ้ม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ปะปนอยู่กับสามัญชน สุ่ยเฉินเฟิงกล่าวเสียงเบาว่า “พวกหม่อมฉันซื้อของเรียบร้อย กำลังจะกลับจวนแล้ว ทูลลาเพคะ” ฉินอ๋องรีบก้าวไปขวางหน้า “ไหน ๆ ก็ออกมาแล้ว วันนี้เหลาเฉียนมีหมูหมักพุทราสูตรใหม่ พวกเจ้าไปชิมด้วยกันเถิด”เหมยกุ้ยทำตาโต ดวงหน้ากลม ๆ ยิ้มแป้น “ดีเพคะ ฟังชื่อก็น่าอร่อย
เมื่อวสันตฤดูมาเยือน ปีนี้ฝนตกหนักกว่าทุกปี อากาศขมุกขมัว ข่าวการลักลอบค้าเกลือเถื่อนกำลังเป็นประเด็นให้ผู้คนได้ถกเถียงกัน คนทั่วไปก็ว่ามือปราบวังหลวงเมิ่งหยางมีความรู้ความสามารถเก่งกล้าเกินกว่าผู้ใด นักเล่าเรื่องนิยมเล่าเรื่องของเมิ่งหยางโดยให้เขาเป็นพระเอกไปปราบอธรรมต่าง ๆ ใส่สีตีข่าวอีกหน่อยเพื่อความบันเทิง เมิ่งหยางก็ประทับอยู่ในใจของผู้คนแล้วแม้ว่าเมิ่งหยางเป็นมือปราบวังหลวง แต่หากมีคดีสำคัญที่นอกเหนือจากความรับผิดชอบ เขามักจะเข้ามาช่วยเหลือจับกุมผู้กระทำผิดเสมอ ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวว่าเขาแทรกแซงการทำงาน สถานะน้องชายคนเล็กของเมิ่งกุ้ยเฟยทำให้ได้รับความเกรงใจเป็นพิเศษอย่างไรก็ตาม คดีใหญ่ ๆ ที่เมิ่งหยางเป็นผู้คลี่คลาย สามารถจับกุมผู้กระทำผิดส่งศาลได้จำนวนมาก แต่บรรดามือปราบด้วยกันกลับกังขา เมื่อส่งผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการของศาลแล้ว หลายคดีที่ไม่สามารถลงทัณฑ์ได้เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ“นี่ก็เป็นอีกคดีที่ผู้ต้องหามีแนวโน้มจะรอดพ้นจากการถูกลงทัณฑ์เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ” ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง เคาะลงบนสำนวนของเถ้าแก่ถาง พ่อค้าเกลือเถื่อนรายใหญ่ สุ่ยฝานหรงถอนหายใจ“คดีนี้ เมื่อ
ในเวลาต่อมา ร่างสูงใบหน้าละมุนก็มาเยือนที่คุมขัง เขาแจ้งแก่ผู้คุมว่าต้องการมาสอบปากคำเพิ่มเติม ผู้คุมเห็นว่าเมิ่งหยางเป็นผู้จับกุมเถ้าแก่ถางในครั้งแรก จึงให้เข้าไปพบนักโทษแต่โดยดี “เถ้าแก่ ท่านยังจ่ายค่าเรือนไม่ครบ”เถ้าแก่ถางมองเมินเมิ่งหยางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน“ข้าถูกคุมขังโทษทัณฑ์ร้ายแรงขนาดนี้ ท่านยังกล้ามาถามเรื่องเงินหรือ”“ตอนแรก ข้าก็ช่วยให้จำนวนเกลือมีเพียงเล็กน้อยแล้ว เป็นท่านเองที่ไม่รอบคอบ ไม่แบ่งของไว้หลาย ๆ ที่”“ก็ท่านเองมิใช่หรือ แนะนำให้เก็บไว้ที่จีฮวงลู่”เมิ่งหยางโบกมืออย่างรำคาญ ดวงตาแข็งกร้าว “ข้าไม่เถียงกับท่านแล้ว บอกมาท่านเก็บทรัพย์สินไว้ที่ไหน จะเอามาจ่ายค่าเรือนให้ครบ”เถ้าแก่ถางยืนกรานไม่บอกที่เก็บทรัพย์สิน เมิ่งหยางแสยะยิ้ม กล่าวเบา ๆ ว่า “พรุ่งนี้ รอฟังข่าว”มือปราบหนุ่มจากไปแล้ว เถ้าแก่ถางระล่ำระลักบอกผู้คุมว่า “ข้าขอพบฉินอ๋อง ข้ามีเรื่องจะสารภาพเพิ่มเติม”คืนนั้น ยามจื่อ ชายฉกรรจ์ในชุดดำนับสิบคนถีบประตูเรือนเถ้าแก่ถางจนสลักหลุด เมื่อเข้าไปในเรือนได้แล้วก็แยกย้ายกันไปค้นตามห้องต่าง ๆ เมิ่งหยางยืนสั่งการอย่างอหังการ“ฆ่าให้หมด ให้มันรู้ว่าการปฏิเสธอำ
งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างสนุกสนาน อย่างไรก็ตาม หญิงสาวทั้งหลายและชายหนุ่มทั้งปวงก็ได้แต่มองกันห่าง ๆ จนกระทั่งเสนาบดีกรมคลังกล่าวเชิญแขกทุกท่านร่วมสนุกแข่งขันยิงธนู โดยไม่แบ่งแยกหญิงชาย ทุกคนจึงไปรวมตัวกันที่ลานกว้างซึ่งเป็นสถานที่จัดแข่งขัน สุ่ยเฉินเฟิงซึ่งแทรกกลุ่มหญิงสาวเข้ามาใกล้พี่ชายกล่าวเสียงใส“พี่ใหญ่ ท่านก็ลองสักหน่อย ของรางวัลก็น่าสนใจมิใช่น้อย”ทันใดนั้น บุรุษในเครื่องแต่งกายสีเขียวเข้ม ปักลวดลายสวยงามก็ก้าวเข้ามา“หากคุณหนูสุ่ยต้องการของรางวัล ข้าจะนำมาให้”พลันสายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เจ้าของเสียง บุตรชายคนเล็กแห่งจวนเสนาบดีกรมโยธานั่นเอง เขามีชื่อเสียงในฝีมือธนูอยู่พอสมควร สุ่ยเฉินเฟิงแย้มปาก“ขอบคุณคุณชายมาก แต่พี่ชายของข้าก็จะนำมาให้ข้าอยู่แล้ว ไม่รบกวนคุณชาย”จงเฝิ่นลู่สีหน้ามืดครึ้มแล้ว นางเม้มปาก พยายามกลืนความขุ่นเคืองใจลงท้อง งานนี้จวนเสนาบดีกรมคลังเป็นเจ้าภาพ คนที่โดดเด่นที่สุดก็ควรเป็นนาง แต่นี่อะไร บุตรีของแม่ทัพใหญ่แย่งความสนใจมากเกินไปแล้วบุตรชายเสนาบดีกรมโยธายังคงมียิ้มที่มุมปากก่อนเดินไปประจำจุดแข่งขัน สุ่ยฝานหรงก็เช่นกัน แน่นอนว่าสุ่ยฝานหรง รองผู้บัญชาการทหาร
ร่างสูงเพรียวของฉินอ๋องก้าวเข้ามาในห้องทำงานของรองผู้บัญชาการทหารม้า เมื่อได้รับข่าวจากสุ่ยฝานหรง เขาก็รีบรุดมาอย่างเร็ว ดวงตายาวรีบัดนี้เปล่งประกายโหด“ยังไม่สารภาพงั้นหรือ ถ้าเช่นนั้น ข้าจะสอบถามเอง”เท่านั้นเอง หญิงสาวก็ร้องโหยหวน การสอบปากคำผู้ต้องหาของฉินอ๋องเป็นที่เลื่องลือ ไม่มีผู้ที่ฉินอ๋องสอบปากคำด้วยตนเองแล้วไม่คายความลับ ทันใดนั้น ร่างกายของนางก็ชักเกร็ง นัยน์ตาเหลือกลาน ฉินอ๋องตะโกนลั่น“อย่าให้นางฆ่าตัวตาย”แต่ก็สายไปเสียแล้ว ผิวของหญิงสาวเป็นสีม่วงคล้ำช้ำเลือดช้ำหนองอย่างรวดเร็ว นางขบกัดยาพิษที่ซ่อนไว้ในซอกฟันให้แตกออก พิษเข้าทำลายระบบหายใจอย่างรวดเร็วและยังมีผลต่อระบบการหมุนเวียนของโลหิตเมื่อนายทหารคนสนิทของสุ่ยฝานหรงตรวจสอบศพ ก็พบว่านางมีสัญญลักษณ์กองโจรปีศาจคำราม รองผู้บัญชาการทหารม้าเคร่งเครียด เส้นเลือดปูดโปนบนขมับ เขาสั่งห้ามทุกคนแพร่งพรายเรื่องนี้ เพื่อมิให้กระทบต่อชื่อเสียงของสุ่ยเฉินเฟิงคนของสุ่ยฝานหรงทำงานอย่างรวดเร็ว ร่างของหญิงสาวนางนั้นถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากที่ทำการรองผู้บัญชาการทหารม้าอย่างเงียบเชียบภายในห้องทำงานของรองผู้บัญชาการทหารม้าเต็มไปด้วยผู้คนที
ในลานกว้างบนยอดเขาเกาชาน บุรุษที่มีเครื่องหน้าละมุนนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่ประกอบขึ้นอย่างสวยงาม ใกล้กันมีร่างขาวผ่องในเครื่องแต่งกายสีครีมนั่งหน้าบึ้ง ชายฉกรรจ์จำนวนมากและหญิงสาวหกคนแต่งกายทะมัดทะแมงนั่งล้อมวง นอกจากมีไหเหล้าวางไว้ข้างกายแล้ว ยังมีอาวุธวางไว้ไม่ห่างกายทุกคน กลิ่นหมูป่าย่างโชยหอมมาแตะจมูก เสียงท้องของใครคนหนึ่งในหน่วยมัจฉาพระกาฬดังขึ้น ทุกคนในหน่วยหันหน้ามามองจางชุน เขายิ้มจืดๆ เอามือกุมท้อง ยังโชคดีที่หน่วยมัจฉาพระกาฬอยู่ห่างจากกลุ่มชายฉกรรจ์พอที่เสียงท้องร้องหิวไม่ดังไปเข้าหูเพราะมั่นใจในความปลอดภัยของพื้นที่ กองโจรปีศาจคำรามจึงจัดคนไว้ลาดตระเวนจำนวนหนึ่ง ที่เหลือฉลองกันเต็มที่ วันนี้ลูกพี่จะสมรสสมรักแล้ว อันที่จริงสุ่ยเฉินเฟิงก็เป็นคู่หมายของเมิ่งหยางมาตั้งแต่นางยังอยู่ในท้องมารดาแล้ว เพียงแต่ว่ายังมิได้มีพิธีหมั้นตามธรรมเนียม เมิ่งหยางก็เกิดเหตุเสียก่อนฉินอ๋องเขม้นมองว่าที่บ่าวสาวในกองโจร อย่างน้อยก็ยังสบายใจได้นิดหน่อยว่าสุ่ยเฉินเฟิงยังปลอดภัย จะบุกเข้าไปชิงตัวนางทันทีก็คงยาก กองโจรนี้มีจำนวนคนมากกว่าหน่วยมัจฉาพระกาฬหลายเท่าตัว ยังไม่แน่ว่ามีกับดัก
ทางสุ่ยฝานหรงนั้น เมื่อฉินอ๋องพร้อมหน่วยมัจฉาพระกาฬเคลื่อนกายลงน้ำไปแล้ว ชายหนุ่มส่งยาลูกกลอนเม็ดเล็ก ๆ ให้ฝูซิง นายทหารคนสนิทและทหารในหน่วยพยัคฆ์เหินอีกจำนวนหนึ่ง ก่อนจะหยิบห่อของที่ได้รับจากฉินอ๋องออกมาหนึ่งห่อแล้วกล่าวว่า“ยาลูกกลอนนี้ช่วยป้องกันพิษจากสมุนไพรที่จะทาลงบนเกราะ แม้ว่าสมุนไพรพิษมีผลเฉพาะพืช ไม่มีผลต่อคนหรือสัตว์ แต่ท่านอ๋องคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด ไม่ต้องการให้มีผลกระทบใด ๆ จึงให้ผู้มีหน้าที่โรยสมุนไพรพิษกินยาลูกกลอนป้องกันไว้ก่อน”รองผู้บัญชาการทหารม้ากวาดตามองกองกำลังที่ติดตามมา แล้วกล่าวต่อไปว่า“ยาลูกกลอนมีจำกัด ไม่สามารถแจกจ่ายให้ทุกคนได้ ขอให้ผู้ที่ไม่ได้ทำหน้าที่โรยสมุนไพรพิษถอยไปอยู่เหนือลมก่อนเถิด”เหล่าทหารที่ไม่ได้กินยาลูกกลอนและม้าศึกทั้งหลายถอยไปตั้งมั่นอยู่เหนือลม สุ่ยฝานหรงเปิดห่อของ สมุนไพรพิษในห่อมีสีแดงคล้ำ กลิ่นเหมือนใบไม้หมักที่ทับถมกันมานานปีส่งกลิ่นฉุนเฉียวแรง สมุนไพรพิษผสมน้ำทาลงบนเสื้อเกราะของทหาร ทหารผู้กล้าล่องแพไม้ที่ต่อขึ้นอย่างลวก ๆ ไปยังฝั่งป่าไม้กินเนื้อคน กลิ่นสมุนไพรพิษดูเหมือนจะทำให้ต้นไม้ใหญ่ตระหนกไม่น้อยเลยทีเดียว พยายามเอนลำต้นออ
สิบปีผ่านไป ณ ตำหนักคุนหนิง ฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง นั่งดื่มชาในสวนดอกไม้ อากาศอบอุ่น มีลมพัดผ่านเบา ๆ นึกถึงชะตาชีวิตที่แปลกประหลาด ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มีชีวิตสงบสุขเหมือนคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไป แต่เมื่อถึงวัยมีคู่ครองก็มีเรื่องเดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น ชีวิตเหมือนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง กว่าจะฝ่าฟันมาถึงวันนี้ก็ได้รับประคับประคองจากพระสวามีผู้สง่างามและครอบครัวเดิม สุ่ยเฉินเฟิงสัญญากับตนเองว่าจะทะนุถนอมความรักของพวกเขาไว้อย่างดีฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง และฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมห้าองค์ องค์ชายหย่งเฉิงคล้ายเสด็จพ่อมากที่สุดทั้งรูปร่างหน้าตา อุปนิสัย และความรู้ความสามารถ องค์ชายหย่งเฉิงชื่นชอบการฝึกซ้อมอาวุธทุกประเภท อีกทั้งยังชำนาญหมากล้อมและการฝึกเชาว์ปัญญาต่าง ๆ เรียกว่าเก่งทั้งบู๊และบุ๋นองค์หญิงเฟิงซินหน้าตาคล้ายเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ ทำให้นางเป็นที่โปรดปรานของเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือยิ่งนัก บางครั้งฮ่องเต้ยังจำใจต้องอนุญาตให้องค์หญิงเฟิงซินไปพักค้างที่ตำหนักนอกวังบ้างเพราะทนการรบเร้าของผู้เป็นมารดาไม่ไหว แรก ๆ ก็ไปพักค้างครั้งละหนึ่งคืน พอนานเข้าเสด็จย่าไทเฮา
ราษฎรต้อนรับการประสูติขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงอย่างเอิกเกริก ร้านค้าในตลาดและบ้านเรือนราษฎรปักธงถวายพระพร เหลาเฉียนจัดทำอาหารพิเศษแจกจ่ายให้ลูกค้าโดยไม่คิดเงิน ร้านขายผลไม้ก็นำส้มมงคลมาแจกจ่ายให้ผู้คนที่สัญจรไปมาเมื่อครั้งเทียนตี้หย่งยังดำรงตำแหน่งฉินอ๋อง ราษฎรก็รักใคร่ชื่นชม แม้ในจวนอ๋องจะไม่มีพระชายา พระชายารอง หรืออนุ ก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจ ต่อมาขึ้นครองราชย์ ราษฎรก็ปลื้มปิติ แต่ก็กังวลเพราะฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ลั่นวาจาไว้ว่าจะมีฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิงเพียงพระองค์เดียวแม้ในขณะที่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งฮองเฮา พระนางจะตั้งครรภ์แล้วก็ตาม หากเป็นพระราชธิดาพวกเขาก็ยังไม่วางใจ ดังนั้นเมื่อองค์ชายน้อยหย่งเฉิงประสูติ จึงเป็นทั้งความยินดีและความโล่งใจของราษฎรทั้งหลาย อย่างน้อยก็สบายใจได้ว่า แคว้นต้าเจียมีผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรแล้วในแต่ละวันขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงมีเสด็จย่าทั้งสองและท่านยายผลัดกันมาดูแล คือเสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้ เสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ และท่านยายเจียงจือไฉ แต่เสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้จะได้เปรียบมากกว่าเพราะประทับในวังเช่นเดียวกัน จึงมาดูแลเกือบทุกวัน เว้นแต่วันที่เสด็จย่าไทเฮ
พระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามความประสงค์ของสุ่ยเฉินเฟิง ตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาได้รับการปรับปรุงใหม่ มีห้องสำหรับทารกติดกับห้องบรรทมของฮองเฮา สำหรับฮ่องเต้เทียนคงอิงฉงนั้นแม้จะมีตำหนักเฉียนชิง แต่พระองค์ก็จะมาบรรทมที่ตำหนักคุนหนิงเป็นประจำ เว้นแต่ช่วงที่ทรงงานดึกจึงจะพักผ่อนที่ตำหนักเฉียนชิงเพื่อให้ฮองเฮาพักผ่อนเต็มที่ ไม่ต้องตื่นกลางดึกสุ่ยฝานหรงซึ่งบัดนี้ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีนั้น บางวันจะพาเหมยกุ้ยเข้าวังมาส่งที่ตำหนักคุนหนิงในช่วงเช้า และมารับกลับหลังจากประชุมขุนนางเสร็จ ชีวิตของสุ่ยเฉินเฟิงจึงไม่เงียบเหงาเกินไป ส่วนถิงถิงซึ่งบัดนี้เป็นนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาก็ช่างมีเรื่องซุบซิบมาเล่าให้ฟัง แม้กระทั่งองค์หญิงนาราที่เสวยผลไป่เซียงกั่วเพื่อให้เกิดผื่นจะได้ยืดเวลาการอยู่ในวังหลวงเพื่อมีเวลาขอถวายตัวเป็นสนมก็มาเล่าให้ฟัง เรียกได้ว่าทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ถิงถิงไม่ค่อยจะพลาดข่าว ถิงถิงมีความเห็นว่ารู้มากหน่อยดีกว่ารู้น้อยไปเมื่อสุ่ยฝานหรงเข้ารับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแล้ว ฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ก็ต้องวางกำลังคนที่ไว้ใจให้ควบคุมหน่วยกำลัง
ไทเฮาสือจินอวี้ลุกขึ้นจากที่ประทับ ตรงไปยังองค์หญิงนาราที่นั่งคุกเข่า ใช้สองพระหัตถ์แตะไหล่ประคองให้องค์หญิงน้อยลุกขึ้นยืน แล้วตรัสว่า “องค์หญิงนารามีหน้าตาสวยงามและเพียบพร้อมด้วยความรู้ ไม่ควรจะมาเป็นสนม ความหวังดีนี้ไม่อาจรับไว้ได้ ขอให้แคว้นต้าเจียและเผ่าตู้ผูกพันเป็นมิตรที่ดีต่อกันเถิด”ภายนอกมีเสียงดังขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”เมื่อร่างสูงสง่าของฮ่องเต้ก้าวเข้ามาในโถงกลางของวังหลัง พระองค์ทำความเคารพไทเฮาก่อน แล้วจึงหันไปตรัสแก่ผู้อื่นที่ทำความเคารพว่า “ไม่ต้องมากพิธี” องค์หญิงน้อยมองด้วยสายตาหลงใหลเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยแล้วตรัสด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เจิ้นขอบใจในน้ำใจของถู่ซือและองค์หญิง แต่ไม่อาจรับไว้ได้ ต้าเจียและเผ่าตู้ไม่จำเป็นต้องผูกพันกันด้วยการอภิเษกหรือการเป็นสนม แต่ยังเป็นพันธมิตรกันต่อไปได้”องค์หญิงน้อยทำได้เพียงกล่าวเสียงเบาว่า “เพคะ” รู้สึกอับอายแทบแทรกแผ่นดิน ไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธแม้แต่การเป็นสนม เทียนตี้หย่งหันไปทางทูตเผ่าตู้แล้วตรัสว่า “เผ่าตู้มีสินค้าหายากหลายอย่างที่ต้าเจียไม่มี เจิ้นจะให้ทูตการค้าต้าเจียหารือเรื่องการพัฒนาการค้าขายระหว่างกันดีห
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เทียนตี้หย่ง ขึ้นครองราชย์สถาปนาเป็นฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง ราษฎรทั่วแคว้นต้าเจียเฉลิมฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน พวกเขาล้วนมีความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดที่เคยหวัง ต่างแคว้นล้วนส่งทูตมาแสดงความยินดี ไม่มีแคว้นใดหาญกล้าทดสอบความแข็งแกร่งของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เผ่าตู้เป็นชนเผ่าที่เคยถูกแคว้นต้าเลี่ยงรุกรานและสร้างความอัปยศให้แก่องค์หญิงหลายองค์จนปลิดชีพตนเอง เมื่อแคว้นต้าเจียปราบปรามแคว้นต้าเลี่ยงทำให้เผ่าตู้ได้รับอิสระอีกครั้ง เมื่อมาแสดงความยินดีในครั้งนี้ มีองค์หญิงน้อยเผ่าตู้ร่วมเดินทางมาด้วย องค์หญิงนาราเป็นองค์หญิงองค์เดียวที่ปลอดภัยจากการรุกราน เนื่องจากช่วงเวลานั้นไม่ได้อยู่ในดินแดนเผ่าตู้ ในท้องพระโรง พระเจ้าเทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ขาวใส ดวงตาดำขลับยาวรีปลายชี้ฟ้า จมูกโด่งเป็นสัน ช่างสง่างามเหลือเกิน องค์หญิงน้อยมองดูด้วยความตะลึง หลงรักบุรุษผู้สง่างามนี้ทันทีเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์ขอบคุณแคว้นต่าง ๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดี และเชิญทูตทุกแคว้นทุกชนเผ่าเข้าร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น เนื่องจากยังไม่มีการแต่งตั
หลังจากพระเจ้าเต๋อหมิงได้รับบาดเจ็บ คณะหมอหลวงก็พยายามทุกวิธีในการรักษา เพราะฤทธิ์ยาระงับความเจ็บปวดที่หมอหลวงปรุงขึ้น แม้พระพักตร์จะขาวซีดแต่ก็ไม่แสดงถึงความเจ็บปวด เวลาผ่านไปสิบกว่าวัน ลมหายใจที่แผ่วเบานั้นก็หยุดนิ่ง หัวหน้าหมอหลวงตรวจชีพจรอีกครั้งก่อนจะหันมาทูลต่อไทเฮาสือจินอวี้ว่า“พระองค์กลับคืนสู่สวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮาสือจินอวี้ตัวอ่อน เป็นลมล้มพับ ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ที่ยืนอยู่ใกล้กันรับตัวเสด็จป้าสะใภ้ไว้ทันก่อนพระวรกายกระทบพื้น หมอหลวงแบ่งคนมาปฐมพยาบาลไทเฮา ความเศร้าโศกเสียใจล้นห้องบรรทมออกไปครอบคลุมวังหลวงและกระจายออกไปทั่วแคว้น พระเจ้าเต๋อหมิงเป็นผู้ปกครองใต้หล้าด้วยความเมตตา จึงเป็นที่รักใคร่ของราษฎร ในช่วงเวลาอันเศร้าหมอง ฉินอ๋องเป็นกำลังหลักในการสั่งการเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยหลังจากพิธีการต่าง ๆ ผ่านพ้นไป ไทเฮาสือจินอวี้ก็เรียกฉินอ๋องเข้าเฝ้า สุ่ยเฉินเฟิงดูแลเครื่องแต่งกายให้พระสวามี ฉินอ๋องใช้นิ้วดันคางของนางให้เงยหน้าขึ้น“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ากังวลอะไรหรือ”สุ่ยเฉินเฟิงถอนหายใจ “ไม่แน่ว่าการเรียกตัวเข้าเฝ้าในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับบัลลังก์ที่ว่างอยู่เพ
พระเจ้าเต๋อหมิงบาดเจ็บสาหัส นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุพระองค์ก็ยังไม่ลืมพระเนตรขึ้นมา มีเพียงชีพจรและลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ เกิดความโกลาหลในการบริหารงานเล็กน้อย ไทเฮาสือจินอวี้ต้องออกนั่งเป็นประธานการประชุมขุนนางในฐานะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระนางไม่ประทับบนบัลลังก์มังกร แต่กลับให้คนนำเก้าอี้หงส์จากตำหนักของพระนางมาใช้ประทับเป็นการชั่วคราวแม้ว่าปกติไม่ว่าไทเฮาหรือฮองเฮาพระองค์ใดก็ตาม ไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของวังหลวงได้ ผู้เป็นมารดาของแผ่นดินมีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลวังหลังให้เป็นไปโดยเรียบร้อย แต่สถานการณ์ของแคว้นต้าเจียในคราวนี้แตกต่างออกไป พระเจ้าเต๋อหมิงไม่ได้อภิเษกสมรสเพราะอยู่ระหว่างการไว้ทุกข์ให้กับไท่ซ่างหวงซึ่งก็คือเสด็จพ่อของพระองค์นั่นเอง อีกทั้งพระเจ้าเต๋อหมิงก็ไม่มีสนมจึงยังไม่มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาแม้แต่พระองค์เดียว แคว้นต้าเจียจึงยังไม่มีรัชทายาทเดิมทีเหล่าขุนนางตั้งใจว่าหลังจากพ้นการไว้ทุกข์ให้ไท่ซ่างหวงแล้ว พวกเขาจะกดดันให้พระเจ้าเต๋อหมิงอภิเษกสมรสและแต่งตั้งฮองเฮา รวมทั้งให้เริ่มการคัดเลือกสนมเข้ามาปรนนิบัติตามธรรมเนียมท
ก่อนที่สุ่ยฝานหรงจะออกไป ฉินอ๋องสั่งการเพิ่มเติมว่า “ตอนที่จับกุมเมิ่งกุ้ยเฟย คนที่สุสานบรรพชนล้วนถูกลงโทษ นางกำนัลอู่ก็ติดตามกุ้ยเฟยไปที่สุสานด้วย ท่านตรวจสอบด้วยว่าผู้ใดช่วยเหลือให้นางหลบหนีจนรอดพ้นได้” “พ่ะย่ะค่ะ”สุ่ยฝานหรงออกไปแล้ว ฉินอ๋องกลับเข้าไปในห้องบรรทมของพระเจ้าเต๋อหมิง มีโต๊ะวางไว้มุมห้อง เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ จางชุนรินน้ำชาส่งให้ เขารับมาถือไว้นิ่ง ๆ มองตรงไปก็เห็นญาติผู้พี่นอนนิ่ง พระพักตร์ซีดเซียว นี่คือสิ่งที่เขากังวลอยู่เสมอว่าจะเกิดขึ้น และแล้วก็เกิดขึ้นจริง พี่สี่ของเขาพระทัยอ่อน ใช้สายพระเนตรที่เมตตามองผู้คนโดยรอบ ใช้พระคุณแต่เพียงอย่างเดียวในการปกครองเวลาผ่านไป แม่ทัพใหญ่สุ่ยฝานหรงกลับมาอีกครั้งเมื่อเข้ายามอิ๋น เขาสีหน้าไม่ดีนัก รายงานว่า“ตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพ่ะย่ะค่ะ นางกำนัลอู่ไม่ถูกจับกุมเพราะนางลากลับบ้านเดิมเพื่อจัดการงานศพของมารดา เมื่องานศพเสร็จแล้ว ระหว่างทางที่เดินทางกลับเมืองหลวง ก็ได้ข่าวว่าคนที่สุสานบรรพชนถูกจับกุม นางจึงซ่อนเร้นตัว เมื่อทหารที่ไปตรวจค้นสุสานบรรพชนและทำลายเห็ดเมากลับไปแล้ว นางก็ลักลอบเข้าไปในสุสานบรรพชน เพราะนางอยู่ที่นั่นกั
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ หลานจะสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้สภาพในคุกไม่เหมาะสำหรับผู้บาดเจ็บ” เขาหันถามหัวหน้าหมอหลวงว่า “จะเคลื่อนย้ายฝ่าบาทได้หรือไม่ หรือต้องรอให้อาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน”หัวหน้าหมอหลวงตอบว่า “สามารถเคลื่อนย้ายได้แล้วพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง คุกหลวงไม่เหมาะกับการรักษาผู้ป่วยจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”ในที่สุด พระเจ้าเต๋อหมิงก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังตำหนักเฉียนชิง ฉินอ๋องประคองไทเฮา สือจินอวี้ไปพร้อมกัน โดยให้สุ่ยฝานหรงซึ่งตามมาถึงแล้ว ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียด ไทเฮานั่งกุมพระหัตถ์พระราชโอรส พระพักตร์ของพระองค์และพระเจ้าเต๋อหมิงซีดขาวพอกัน"เสด็จป้าสะใภ้พักผ่อนก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ไทเฮาสือจินอวี้ส่ายพระพักตร์ “ป้าสะใภ้จะเฝ้าเต๋อเอ๋อร์ เมื่อเขาฟื้นจะได้เห็นหน้าแม่เป็นคนแรก”“ถ้าเช่นนั้นหลานจะให้คนจัดห้องด้านข้างเป็นที่บรรทมชั่วคราวดีไหมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ไปพักผ่อนก่อน มิฉะนั้นอาจจะประชวรไปอีกพระองค์ หากพี่สี่รู้สึกตัวแม้เพียงเล็กน้อยจะให้คนไปทูลให้ทรงทราบทันที”ไทเฮาพยักพระพักตร์ ฉินอ๋องจึงสั่งให้ขันทีประจำตำหนักเฉียนชิงเร่งจัดห้องบรรทมช