ในที่สุดสุ่ยเฉินเฟิงก็รับกล่องไม้ไว้ เมิ่งหยางยิ้มแววตาแจ่มใส กล่าวต่อไปว่า “เฟิงเอ๋อร์ ข้าคิดว่างานมงคลของเราสมควรจัดได้แล้ว หากเจ้าไม่ว่าอันใด ข้าจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขออย่างเป็นทางการ สามหนังสือหกพิธีการจะทำให้ครบถ้วนเหมาะสม เป็นหน้าเป็นตาให้เจ้า”
สุ่ยเฉินเฟิงสะดุ้ง นางยังต้องการอิสระ ยังไม่พร้อมรับหน้าที่เป็นฮูหยินควบคุมกำกับดูแลเรือนของผู้ใด ตอนนี้เป็นคุณหนูสุ่ยก็มีความสุขมากอยู่แล้ว สุ่ยเฉินเฟิงหลุบตาลงต่ำ หญิงสาวตัดสินใจบอกตามตรงว่า
“พี่หยาง ขอบอกตามตรงว่าตอนนี้ข้ายังอยากใช้ชีวิตอิสระอีกสักหน่อย”
เมิ่งหยางถอนหายใจ “พวกเราก็รู้จักกันมานานมากแล้ว ครอบครัวทั้งสองฝ่ายล้วนยินดี อีกสองเดือนพวกเราทำพิธีหมั้นหมายให้เรียบร้อยเถิด แล้วกำหนดวันแต่งเสียเลย”
ในที่สุดสุ่ยเฉินเฟิงก็รับคำ นางมองเมิ่งหยางเฉกเช่นพี่ชายคนหนึ่ง มิได้มีจิตปฏิพัทธ์เช่นหนุ่มสาว แต่ก็เป็นหน้าที่ของนางที่ต้องแต่งให้เมิ่งหยาง
นอกจากสุ่ยเฉินเฟิงแล้ว ยังมีอีกคนในห้องอักษรที่หายใจไม่ทั่วท้อง เขาสั่งให้คนเปิดหน้าต่างให้กว้างเพื่อฟังเสียงสนทนาของคนบนศาลากลางน้ำ แต่ห้องอักษรก็ไกลเกินไป จางชุนซึ่งเป็นองครักษ์คนสนิทจึงต้องทำหน้าที่เป็นคนไปยืนแอบฟังอยู่หลังเสาใกล้ศาลากลางน้ำและนำความมาแจ้งแก่ผู้เป็นนาย เมื่อฟังแล้วฉินอ๋อง เทียนตี้หย่งก็สีหน้ามืดครึ้ม นิ่งเงียบ
สุ่ยฝานหรงใช้ไม้ชี้ไปตามถนนบนแผนที่พลางกล่าวว่า
“เส้นทางหลักนี้ชำรุด หากจะใช้เส้นทางรองก็ต้องอ้อมไปหน่อย ท่านอ๋องมีความคิดเห็นประการใดพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อไม่มีเสียงตอบ บุตรชายแม่ทัพใหญ่จึงเงยหน้าขึ้นมาจากแผนที่มองหน้าสหายผู้สูงศักดิ์ ฉินอ๋องรู้สึกตัว พยายามให้ความสำคัญกับแผนที่แต่ดูเหมือนว่าสมาธิจะหลุดลอยไปไหนก็ไม่รู้ ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากว่า
“ท่านจะให้เฟิงเอ๋อร์แต่งให้เมิ่งหยางจริง ๆ หรือ”
สุ่ยฝานหรงมีสีหน้างง ๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมฉินอ๋องต้องทำเสียงเข้ม
“ผู้อาวุโสของสองตระกูลเคยให้คำมั่นสัญญากันไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่นั่นเป็นเรื่องตั้งแต่เฟิงเอ๋อร์ยังไม่ถือกำเนิด อีกอย่างนางก็ยังเยาว์เกินไป ”
“เฟิงเอ๋อร์พ้นวัยปักปิ่นมาหลายปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เฟิงเอ๋อร์เป็นน้องสาวของพวกเรานะ นางไม่จำเป็นต้องรีบแต่งให้ใคร ควรดูคนที่ดีที่สุด”
พี่ชายแท้ ๆ ของสุ่ยเฉินเฟิงทำตาปริบ ๆ เข้าใจล่ะว่าพวกเขาเห็นนางมาตั้งแต่เป็นทารก ดูนางเติบโตมาด้วยกัน แต่จะรั้งน้องสาวไว้เฝ้าจวนก็จะเกินไปหน่อย
เมื่อสุ่ยเฉินเฟิงไม่สามารถหาเหตุผลมาหักล้างเพื่อรั้งรอพิธีมงคลได้ นางก็เตรียมตัวเองให้พร้อม ทางฝ่ายเมิ่งหยางนั้น เขาพร้อมมานานแล้ว แต่ก็ยังหมั่นตรวจสอบสิ่งของที่ต้องใช้ตามขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้พิธีครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด ในขณะเดียวกันงานในหน้าที่มือปราบก็มีผลงานเด่น ๆ เสมอ ข่าวการปราบปรามขบวนการค้าเกลือเถื่อนรายใหญ่แพร่กระจายไปทุกหัวถนน ชื่อเสียงของเมิ่งหยางขจรขจาย
ขุนนางหลายรายแม้จะทราบว่าเมิ่งหยางเตรียมจะเข้าพิธีมงคลกับสุ่ยเฉินเฟิงแล้ว ก็ยังอยากให้บุตรีที่มิได้กำเนิดจากภริยาเอกของตนได้แต่งเข้าเป็นฮูหยินรอง บุคคลที่มีความรู้ความสามารถและมีความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นเมิ่งหยางนี้หายากยิ่งนัก ต่อไปจะต้องเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งใหญ่โตเป็นแน่ อีกทั้งเมิ่งหยางเป็นน้องชาย คนเล็กของเมิ่งกุ้ยเฟยซึ่งเป็นที่รักยิ่งของฮ่องเต้ เดิมเมิ่งหยางก็นับว่าเป็นคุณชายที่มีฐานะปานกลาง แต่ด้วยฝีมือการทำงานที่จริงจัง ขยันขันแข็ง เขาร่ำรวยขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ที่วัยใกล้เคียงกันไม่มีผู้ใดโดดเด่นเท่าเขาอีกแล้ว
“การปราบปรามการค้าเกลือเถื่อนมีความไม่ชอบมาพากลพ่ะย่ะค่ะ”
เหลียงจื้อ องครักษ์คนสนิทอีกคนหนึ่งส่งรายงานให้ฉินอ๋อง เมื่ออักษรปรากฏแก่สายตา คิ้วหนาก็ขมวด
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เมื่อครั้งมือปราบเมิ่งจับกุมก็มีเกลือเถื่อนจำนวนมาก
เหตุใดไม่สามารถเอาผิดผู้ต้องหาได้”
“เกลือเถื่อนหายไปจากสถานที่จัดเก็บของกลางพ่ะย่ะค่ะ หัวหน้าผู้ควบคุมของกลางเป็นลูกน้องของมือปราบเมิ่ง”
ฉินอ๋องเขียนอักษรลงบนกระดาษแผ่นเล็ก ๆ แล้วส่งให้จางชุนที่ยืนฟังอยู่ด้วย สั่งการว่า
“เจ้านำไปส่งให้รองผู้บัญชาการสุ่ยเดี๋ยวนี้”
สามชั่วยามต่อมา สุ่ยฝานหรง รองผู้บัญชาการทหารม้า ก็เดินหน้าเคร่งเครียดเข้ามาที่จวนอ๋อง
“กระหม่อมไปตรวจสอบแล้ว เมื่อหลายวันก่อนหัวหน้าผู้ควบคุมสถานที่จัดเก็บของกลางลาออก แจ้งว่าจะกลับไปยังบ้านในชนบท แต่ติดต่อสายข่าวในชนบทนั้นแล้ว ไม่มีใครเห็นคนผู้นี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอ๋อง พยักหน้ารับรู้ข้อมูล มองหน้าสหายสนิทแล้วเอ่ยว่า “แล้วท่านทราบหรือไม่ว่า หัวหน้าผู้ควบคุมเป็นคนของมือปราบเมิ่ง ว่าที่น้องเขยของท่าน”
เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นที่หน้าผากของรองผู้บัญชาการทหารม้า
“เพิ่งทราบวันนี้พ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดหากกระทำผิดต่อแผ่นดิน กระหม่อมก็ไม่ปล่อยไว้แน่นอน” สุ่ยฝานหรงสบตาสหายผู้สูงศักดิ์ด้วยดวงตาแน่วแน่ พลางกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะบอกว่าเมิ่งหยางเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนี้”
ฉินอ๋องรินน้ำชาส่งให้สหายสนิท “ท่านไม่ต้องเครียด ตอนนี้เขายังไม่ถือว่าเป็นน้องเขยท่าน”
สุ่ยฝานหรงรับถ้วยน้ำชามาดื่มรวดเดียวหมด ถอนหายใจหนักหน่วงแล้วกล่าวว่า
“ก็อีกไม่นานแล้วพ่ะย่ะค่ะ มีเรื่องเช่นนี้ กระหม่อมไม่สบายใจเป็นที่สุด หากต่อไปมีหลักฐานว่าเมิ่งหยางร่วมอยู่ในขบวนการนี้ด้วยเฟิงเอ๋อร์จะเป็นเช่นไร”
สิบปีผ่านไป ณ ตำหนักคุนหนิง ฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง นั่งดื่มชาในสวนดอกไม้ อากาศอบอุ่น มีลมพัดผ่านเบา ๆ นึกถึงชะตาชีวิตที่แปลกประหลาด ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มีชีวิตสงบสุขเหมือนคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไป แต่เมื่อถึงวัยมีคู่ครองก็มีเรื่องเดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น ชีวิตเหมือนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง กว่าจะฝ่าฟันมาถึงวันนี้ก็ได้รับประคับประคองจากพระสวามีผู้สง่างามและครอบครัวเดิม สุ่ยเฉินเฟิงสัญญากับตนเองว่าจะทะนุถนอมความรักของพวกเขาไว้อย่างดีฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง และฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมห้าองค์ องค์ชายหย่งเฉิงคล้ายเสด็จพ่อมากที่สุดทั้งรูปร่างหน้าตา อุปนิสัย และความรู้ความสามารถ องค์ชายหย่งเฉิงชื่นชอบการฝึกซ้อมอาวุธทุกประเภท อีกทั้งยังชำนาญหมากล้อมและการฝึกเชาว์ปัญญาต่าง ๆ เรียกว่าเก่งทั้งบู๊และบุ๋นองค์หญิงเฟิงซินหน้าตาคล้ายเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ ทำให้นางเป็นที่โปรดปรานของเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือยิ่งนัก บางครั้งฮ่องเต้ยังจำใจต้องอนุญาตให้องค์หญิงเฟิงซินไปพักค้างที่ตำหนักนอกวังบ้างเพราะทนการรบเร้าของผู้เป็นมารดาไม่ไหว แรก ๆ ก็ไปพักค้างครั้งละหนึ่งคืน พอนานเข้าเสด็จย่าไทเฮา
ราษฎรต้อนรับการประสูติขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงอย่างเอิกเกริก ร้านค้าในตลาดและบ้านเรือนราษฎรปักธงถวายพระพร เหลาเฉียนจัดทำอาหารพิเศษแจกจ่ายให้ลูกค้าโดยไม่คิดเงิน ร้านขายผลไม้ก็นำส้มมงคลมาแจกจ่ายให้ผู้คนที่สัญจรไปมาเมื่อครั้งเทียนตี้หย่งยังดำรงตำแหน่งฉินอ๋อง ราษฎรก็รักใคร่ชื่นชม แม้ในจวนอ๋องจะไม่มีพระชายา พระชายารอง หรืออนุ ก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจ ต่อมาขึ้นครองราชย์ ราษฎรก็ปลื้มปิติ แต่ก็กังวลเพราะฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ลั่นวาจาไว้ว่าจะมีฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิงเพียงพระองค์เดียวแม้ในขณะที่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งฮองเฮา พระนางจะตั้งครรภ์แล้วก็ตาม หากเป็นพระราชธิดาพวกเขาก็ยังไม่วางใจ ดังนั้นเมื่อองค์ชายน้อยหย่งเฉิงประสูติ จึงเป็นทั้งความยินดีและความโล่งใจของราษฎรทั้งหลาย อย่างน้อยก็สบายใจได้ว่า แคว้นต้าเจียมีผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรแล้วในแต่ละวันขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงมีเสด็จย่าทั้งสองและท่านยายผลัดกันมาดูแล คือเสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้ เสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ และท่านยายเจียงจือไฉ แต่เสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้จะได้เปรียบมากกว่าเพราะประทับในวังเช่นเดียวกัน จึงมาดูแลเกือบทุกวัน เว้นแต่วันที่เสด็จย่าไทเฮ
พระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามความประสงค์ของสุ่ยเฉินเฟิง ตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาได้รับการปรับปรุงใหม่ มีห้องสำหรับทารกติดกับห้องบรรทมของฮองเฮา สำหรับฮ่องเต้เทียนคงอิงฉงนั้นแม้จะมีตำหนักเฉียนชิง แต่พระองค์ก็จะมาบรรทมที่ตำหนักคุนหนิงเป็นประจำ เว้นแต่ช่วงที่ทรงงานดึกจึงจะพักผ่อนที่ตำหนักเฉียนชิงเพื่อให้ฮองเฮาพักผ่อนเต็มที่ ไม่ต้องตื่นกลางดึกสุ่ยฝานหรงซึ่งบัดนี้ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีนั้น บางวันจะพาเหมยกุ้ยเข้าวังมาส่งที่ตำหนักคุนหนิงในช่วงเช้า และมารับกลับหลังจากประชุมขุนนางเสร็จ ชีวิตของสุ่ยเฉินเฟิงจึงไม่เงียบเหงาเกินไป ส่วนถิงถิงซึ่งบัดนี้เป็นนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาก็ช่างมีเรื่องซุบซิบมาเล่าให้ฟัง แม้กระทั่งองค์หญิงนาราที่เสวยผลไป่เซียงกั่วเพื่อให้เกิดผื่นจะได้ยืดเวลาการอยู่ในวังหลวงเพื่อมีเวลาขอถวายตัวเป็นสนมก็มาเล่าให้ฟัง เรียกได้ว่าทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ถิงถิงไม่ค่อยจะพลาดข่าว ถิงถิงมีความเห็นว่ารู้มากหน่อยดีกว่ารู้น้อยไปเมื่อสุ่ยฝานหรงเข้ารับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแล้ว ฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ก็ต้องวางกำลังคนที่ไว้ใจให้ควบคุมหน่วยกำลัง
ไทเฮาสือจินอวี้ลุกขึ้นจากที่ประทับ ตรงไปยังองค์หญิงนาราที่นั่งคุกเข่า ใช้สองพระหัตถ์แตะไหล่ประคองให้องค์หญิงน้อยลุกขึ้นยืน แล้วตรัสว่า “องค์หญิงนารามีหน้าตาสวยงามและเพียบพร้อมด้วยความรู้ ไม่ควรจะมาเป็นสนม ความหวังดีนี้ไม่อาจรับไว้ได้ ขอให้แคว้นต้าเจียและเผ่าตู้ผูกพันเป็นมิตรที่ดีต่อกันเถิด”ภายนอกมีเสียงดังขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”เมื่อร่างสูงสง่าของฮ่องเต้ก้าวเข้ามาในโถงกลางของวังหลัง พระองค์ทำความเคารพไทเฮาก่อน แล้วจึงหันไปตรัสแก่ผู้อื่นที่ทำความเคารพว่า “ไม่ต้องมากพิธี” องค์หญิงน้อยมองด้วยสายตาหลงใหลเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยแล้วตรัสด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เจิ้นขอบใจในน้ำใจของถู่ซือและองค์หญิง แต่ไม่อาจรับไว้ได้ ต้าเจียและเผ่าตู้ไม่จำเป็นต้องผูกพันกันด้วยการอภิเษกหรือการเป็นสนม แต่ยังเป็นพันธมิตรกันต่อไปได้”องค์หญิงน้อยทำได้เพียงกล่าวเสียงเบาว่า “เพคะ” รู้สึกอับอายแทบแทรกแผ่นดิน ไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธแม้แต่การเป็นสนม เทียนตี้หย่งหันไปทางทูตเผ่าตู้แล้วตรัสว่า “เผ่าตู้มีสินค้าหายากหลายอย่างที่ต้าเจียไม่มี เจิ้นจะให้ทูตการค้าต้าเจียหารือเรื่องการพัฒนาการค้าขายระหว่างกันดีห
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เทียนตี้หย่ง ขึ้นครองราชย์สถาปนาเป็นฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง ราษฎรทั่วแคว้นต้าเจียเฉลิมฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน พวกเขาล้วนมีความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดที่เคยหวัง ต่างแคว้นล้วนส่งทูตมาแสดงความยินดี ไม่มีแคว้นใดหาญกล้าทดสอบความแข็งแกร่งของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เผ่าตู้เป็นชนเผ่าที่เคยถูกแคว้นต้าเลี่ยงรุกรานและสร้างความอัปยศให้แก่องค์หญิงหลายองค์จนปลิดชีพตนเอง เมื่อแคว้นต้าเจียปราบปรามแคว้นต้าเลี่ยงทำให้เผ่าตู้ได้รับอิสระอีกครั้ง เมื่อมาแสดงความยินดีในครั้งนี้ มีองค์หญิงน้อยเผ่าตู้ร่วมเดินทางมาด้วย องค์หญิงนาราเป็นองค์หญิงองค์เดียวที่ปลอดภัยจากการรุกราน เนื่องจากช่วงเวลานั้นไม่ได้อยู่ในดินแดนเผ่าตู้ ในท้องพระโรง พระเจ้าเทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ขาวใส ดวงตาดำขลับยาวรีปลายชี้ฟ้า จมูกโด่งเป็นสัน ช่างสง่างามเหลือเกิน องค์หญิงน้อยมองดูด้วยความตะลึง หลงรักบุรุษผู้สง่างามนี้ทันทีเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์ขอบคุณแคว้นต่าง ๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดี และเชิญทูตทุกแคว้นทุกชนเผ่าเข้าร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น เนื่องจากยังไม่มีการแต่งตั
หลังจากพระเจ้าเต๋อหมิงได้รับบาดเจ็บ คณะหมอหลวงก็พยายามทุกวิธีในการรักษา เพราะฤทธิ์ยาระงับความเจ็บปวดที่หมอหลวงปรุงขึ้น แม้พระพักตร์จะขาวซีดแต่ก็ไม่แสดงถึงความเจ็บปวด เวลาผ่านไปสิบกว่าวัน ลมหายใจที่แผ่วเบานั้นก็หยุดนิ่ง หัวหน้าหมอหลวงตรวจชีพจรอีกครั้งก่อนจะหันมาทูลต่อไทเฮาสือจินอวี้ว่า“พระองค์กลับคืนสู่สวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮาสือจินอวี้ตัวอ่อน เป็นลมล้มพับ ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ที่ยืนอยู่ใกล้กันรับตัวเสด็จป้าสะใภ้ไว้ทันก่อนพระวรกายกระทบพื้น หมอหลวงแบ่งคนมาปฐมพยาบาลไทเฮา ความเศร้าโศกเสียใจล้นห้องบรรทมออกไปครอบคลุมวังหลวงและกระจายออกไปทั่วแคว้น พระเจ้าเต๋อหมิงเป็นผู้ปกครองใต้หล้าด้วยความเมตตา จึงเป็นที่รักใคร่ของราษฎร ในช่วงเวลาอันเศร้าหมอง ฉินอ๋องเป็นกำลังหลักในการสั่งการเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยหลังจากพิธีการต่าง ๆ ผ่านพ้นไป ไทเฮาสือจินอวี้ก็เรียกฉินอ๋องเข้าเฝ้า สุ่ยเฉินเฟิงดูแลเครื่องแต่งกายให้พระสวามี ฉินอ๋องใช้นิ้วดันคางของนางให้เงยหน้าขึ้น“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ากังวลอะไรหรือ”สุ่ยเฉินเฟิงถอนหายใจ “ไม่แน่ว่าการเรียกตัวเข้าเฝ้าในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับบัลลังก์ที่ว่างอยู่เพ