แชร์

บทที่ 4 มารหัวใจ

ผู้เขียน: ซ่งฉีเจิน
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-02 20:55:43

ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของบุรุษหนุ่มในเครื่องแต่งกายสามัญชนที่เพิ่งเดินออกมาจากเหลาเฉียน แม้จะแต่งกายเหมือนคุณชายจวนใดจวนหนึ่งแต่กลิ่นอายความสูงศักดิ์ยังคงแผ่ออกจากกาย อีกทั้งยังมีกลุ่มชายฉกรรจ์ที่อยู่รอบตัวนั้นอีก ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ในเครื่องแต่งกายสามัญชนมองตามหญิงสาวทั้งสอง พลันโบกมือให้กลุ่มองครักษ์กระจายตัว เหลือไว้เพียงจางชุนองครักษ์คนสนิท เขาก้าวเท้ายาว ๆ เดินไปเคียงข้างสุ่ยเฉินเฟิงและเหมยกุ้ย

“เฟิงเอ๋อร์ คุณหนูเหมย พวกเจ้ามาซื้อของหรือ” หญิงสาวทั้งสองกำลังจะยอบตัวตามแบบพิธีทำความเคารพผู้ดำรงตำแหน่งอ๋องที่เป็นเชื้อพระวงศ์ เทียนตี้หย่งรีบยกมือห้าม แล้วกล่าวเสียงเบาว่า

“ไม่ต้องมากพิธี ตอนนี้ข้าแต่งกายสามัญชน พวกเจ้าไม่เห็นหรือ อย่าให้ราษฎรแตกตื่น”

หญิงสาวทั้งสองยิ้ม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ปะปนอยู่กับสามัญชน สุ่ยเฉินเฟิงกล่าวเสียงเบาว่า “พวกหม่อมฉันซื้อของเรียบร้อย กำลังจะกลับจวนแล้ว ทูลลาเพคะ”  

ฉินอ๋องรีบก้าวไปขวางหน้า “ไหน ๆ ก็ออกมาแล้ว วันนี้เหลาเฉียนมีหมูหมักพุทราสูตรใหม่ พวกเจ้าไปชิมด้วยกันเถิด”

เหมยกุ้ยทำตาโต ดวงหน้ากลม ๆ ยิ้มแป้น “ดีเพคะ ฟังชื่อก็น่าอร่อยแล้ว” ว่าแล้วนางก็หันไปจูงมือเพื่อน “ไปชิมกัน” ฉินอ๋องยิ้มบาง ๆ สั่งจางชุนให้แจ้งแก่ทหารไปเชิญสุ่ยฝานหรงมาร่วมมื้ออาหารด้วย แล้วทั้งหมดเดินย้อนกลับไปเหลาเฉียน เหตุการณ์นี้ก็อยู่ในสายตาของสตรีหน้าตางดงามในเครื่องแต่งกายหรูหราที่ยืนห่างออกไป

จงเฝิ่นลู่ บุตรีเสนาบดีกรมคลัง มองเห็นฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง แม้จะอยู่ในเครื่องแต่งกายสามัญชน แต่นางก็จำได้ แน่นอนว่าในแวดวงสังคมชั้นสูงด้วยกันย่อมรู้จักหน้าตาของราชวงศ์ ฉินอ๋องเองก็ได้ชื่อว่าเป็นราชวงศ์ที่แต่งกายแบบสามัญชนออกตรวจตราความเป็นไปของสังคมอยู่บ่อยครั้ง

ในครั้งแรกที่มองเห็นฉินอ๋อง นางก็เร่งฝีเท้าเพื่อเข้าไปคารวะ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นอ๋องหนุ่มเดินตรงไปหาสุ่ยเฉินเฟิงและเหมยกุ้ย นางอยู่ไกลเกินกว่าจะได้ยินการพูดคุย แต่สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของพวกเขาเหล่านั้นและการเดินเข้าไปยังเหลาเฉียนด้วยกัน ก็พอจะเดาได้ถึงความสัมพันธ์อันดี

จงเฝิ่นลู่กัดริมฝีปากอย่างเคืองแค้น นางและสุ่ยเฉินเฟิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ยังจำได้ไม่ลืมเมื่อครั้งยังเยาว์วัย ในงานเลี้ยงหนึ่ง เด็ก ๆ รวมตัวกันอยู่ใกล้บึงบัว สุ่ยเฉินเฟิง เอื้อมมือไปเด็ดดอกบัวแล้วตกลงไปในน้ำ นางอุตส่าห์ยื่นมือไปให้จะช่วยดึงขึ้นจากน้ำ สุ่ยเฉินเฟิงกลับฉุดนางตกลงไปในบึงบัวด้วยกัน เปียกมะล่อกมะแล่กทั้งสองคน

เมื่อเริ่มโตขึ้นอีกหน่อย ในงานเทศกาลโคมไฟ มีการโต้เถียงกันว่าโคมไฟของผู้ใดสวยกว่ากัน ไม่รู้ว่าสุ่ยเฉินเฟิงทำวิธีใด จู่จู่โคมไฟของนางก็เกิดการลุกไหม้ สะเก็ดไฟกระเด็นไปโดนชุดสวยงามของสตรีนางหนึ่ง แม้จะดับไฟทันเวลาแต่บิดาของจงเฝิ่นลู่ก็ต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่สตรีนางนั้นเป็นผ้าไหมผืนงามพับใหญ่ กล่าวได้ว่าสุ่ยเฉินเฟิงเป็นดาวอับโชคของจงเฝิ่นลู่จริง ๆ

หลากหลายเรื่องราวยังพออภัยกันได้ แต่เมื่อเติบโตพ้นวัยปักปิ่น ชายหนุ่มคนเดียวที่จงเฝิ่นลู่มีใจให้ก็คือ ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่งผู้นั้น ในขณะที่สุ่ยเฉินเฟิงซึ่งมีคู่หมายอยู่แล้วคือเมิ่งหยาง แต่ก็ยังทำตัวสนิทสนมกับฉินอ๋อง เรื่องนี้นางเกลียดชังถึงสองชั้น ชั้นแรกนางเท่านั้นเหมาะจะเป็นพระชายาของฉินอ๋อง ชั้นที่สอง เมิ่งหยางเป็นน้องชายคนเล็กของมารดาของนางและเมิ่งกุ้ยเฟย จึงนับเป็นญาติสนิท เดิมเมิ่งหยางและสุ่ยเฉินเฟิงเป็นคู่ที่ผู้ใหญ่หมายตาไว้ แต่เมื่อเมิ่งหยางสร้างเรื่อง สัญญาก็ถูกฉีกกระจุยไปแล้ว บัดนี้ สุ่ยเฉินเฟิงกลับเป็นมารหัวใจอย่างเต็มตัวเสียแล้ว

 ในเหลาเฉียน สุ่ยฝานหรงซึ่งถูกตามตัวมาร่วมสังสรรค์คีบอาหารให้น้องสาวอย่างเอาใจ

“ปลานึ่งบ๊วยของโปรดของเจ้า กินเข้าไปเยอะ ๆ ช่วงนี้ผอมเกินไปแล้ว”

“พี่ใหญ่จะขุนข้าไว้ต้มพะโล้ใช่ไหมเจ้าคะ”

เสียงหัวเราะของคนร่วมโต๊ะดังประสานกัน สุ่ยฝานหรงมองอย่างพึงพอใจ เขารู้ดีว่าเหตุการณ์ที่เมิ่งหยางก่อขึ้นทำให้สุ่ยเฉินเฟิงได้รับความอับอาย สตรีที่ทะนงตนในรูปโฉมเช่นนางเสียหน้ามิใช่น้อย เขาในฐานะพี่ชายจึงดูแลน้องสาวมากกว่าปกติ เหมยกุ้ยก็หมั่นมาพูดคุยที่จวน แต่ที่น่าแปลกใจก็คือฉินอ๋องยังกรุณาเอาใจใส่สุ่ยเฉินเฟิงมากขึ้น คงเพราะเห็นนางเป็นน้องสาวเช่นกัน ก็เห็นนางมาตั้งแต่แบเบาะนี่นะ

“เจ้ากินเข้าไปเถอะ กินอย่างไรก็ไม่อ้วน ไม่เหมือนข้า กินนิดเดียวเอวก็หนาขึ้นหลายชุ่น” เหมยกุ้ยสนับสนุน สุ่ยเฉินเฟิงเย้าเพื่อนว่า “เจ้าหาว่าเลี้ยงข้าเสียข้าวสุกล่ะสิ”

เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง สุ่ยเฉินเฟิงมองคนรอบโต๊ะ ฉินอ๋องมียิ้มบาง ๆ ประดับริมฝีปาก ใบหน้าหล่อเหลาของเขาทำให้คนมองแล้วช่างสบายตายิ่งนัก สุ่ยฝานหรงก็เอาอกเอาใจนางผิดปกติ เหมยกุ้ยก็ไม่แย่งขนมกับนางเหมือนเช่นเคย ทุกคนคงเป็นห่วงมากสินะ ต้องทำให้คลายกังวลหน่อยแล้ว

“ทำให้ทุกท่านเป็นห่วงแล้ว ท่านอ๋อง พี่ใหญ่ กุ้ยเอ๋อร์ ไม่ต้องห่วงข้า ข้าไม่เป็นไร แค่รำคาญปากคนนิดหน่อย”

สุ่ยฝานหรงปลอบน้อง “เจ้าไม่ต้องเสียใจไป โชคดีแล้วที่รู้เรื่องก่อนที่จะแต่งให้เขา หากแต่งไปแล้ว ก็คงทำได้แต่ยอมรับแล้ว”

“ข้าไม่ได้เสียใจ พี่ใหญ่ แต่เสียหน้า”

เหมยกุ้ยขัดคอว่า “เฮอะ จะเสียได้ยังไง หน้าสวย ๆ ก็ยังอยู่บนคอเจ้า”

สุ่ยเฉินเฟิงทำตาโต อ้าปากค้าง “หน้าข้าก็รักษาไว้ไม่ได้แล้ว ใคร ๆ ก็รู้ว่า เขาเป็นคู่หมายของข้า แต่กลับไปมีสัมพันธ์กับคนอื่น รับเป็นอนุเข้าจวนแล้ว”

สุ่ยฝานหรงตัดบท “เอาเถอะ ดีแล้วที่ไม่เสียใจ”

วงสนทนาเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย สุ่ยเฉินเฟิงพูดคุยปกติ แต่ใครจะรู้ว่าในใจนางกล้ำกลืนเพียงใด แม้ไม่เศร้าใจ เพราะรู้จักมักคุ้นกันมาตั้งแต่เยาว์วัย นางมองเมิ่งหยางเป็นเช่นพี่ชายคนหนึ่ง แต่ความรู้สึกว่าถูกหยามเกียรติยังคงอัดแน่น

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ดอกไม้ในเปลวเพลิง   บทที่ 114 ใต้หล้าล้วนสงบสุข

    สิบปีผ่านไป ณ ตำหนักคุนหนิง ฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง นั่งดื่มชาในสวนดอกไม้ อากาศอบอุ่น มีลมพัดผ่านเบา ๆ นึกถึงชะตาชีวิตที่แปลกประหลาด ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มีชีวิตสงบสุขเหมือนคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไป แต่เมื่อถึงวัยมีคู่ครองก็มีเรื่องเดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น ชีวิตเหมือนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง กว่าจะฝ่าฟันมาถึงวันนี้ก็ได้รับประคับประคองจากพระสวามีผู้สง่างามและครอบครัวเดิม สุ่ยเฉินเฟิงสัญญากับตนเองว่าจะทะนุถนอมความรักของพวกเขาไว้อย่างดีฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง และฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมห้าองค์ องค์ชายหย่งเฉิงคล้ายเสด็จพ่อมากที่สุดทั้งรูปร่างหน้าตา อุปนิสัย และความรู้ความสามารถ องค์ชายหย่งเฉิงชื่นชอบการฝึกซ้อมอาวุธทุกประเภท อีกทั้งยังชำนาญหมากล้อมและการฝึกเชาว์ปัญญาต่าง ๆ เรียกว่าเก่งทั้งบู๊และบุ๋นองค์หญิงเฟิงซินหน้าตาคล้ายเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ ทำให้นางเป็นที่โปรดปรานของเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือยิ่งนัก บางครั้งฮ่องเต้ยังจำใจต้องอนุญาตให้องค์หญิงเฟิงซินไปพักค้างที่ตำหนักนอกวังบ้างเพราะทนการรบเร้าของผู้เป็นมารดาไม่ไหว แรก ๆ ก็ไปพักค้างครั้งละหนึ่งคืน พอนานเข้าเสด็จย่าไทเฮา

  • ดอกไม้ในเปลวเพลิง   บทที่ 113 ราษฎรกินอิ่มนอนอุ่น

    ราษฎรต้อนรับการประสูติขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงอย่างเอิกเกริก ร้านค้าในตลาดและบ้านเรือนราษฎรปักธงถวายพระพร เหลาเฉียนจัดทำอาหารพิเศษแจกจ่ายให้ลูกค้าโดยไม่คิดเงิน ร้านขายผลไม้ก็นำส้มมงคลมาแจกจ่ายให้ผู้คนที่สัญจรไปมาเมื่อครั้งเทียนตี้หย่งยังดำรงตำแหน่งฉินอ๋อง ราษฎรก็รักใคร่ชื่นชม แม้ในจวนอ๋องจะไม่มีพระชายา พระชายารอง หรืออนุ ก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจ ต่อมาขึ้นครองราชย์ ราษฎรก็ปลื้มปิติ แต่ก็กังวลเพราะฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ลั่นวาจาไว้ว่าจะมีฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิงเพียงพระองค์เดียวแม้ในขณะที่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งฮองเฮา พระนางจะตั้งครรภ์แล้วก็ตาม หากเป็นพระราชธิดาพวกเขาก็ยังไม่วางใจ ดังนั้นเมื่อองค์ชายน้อยหย่งเฉิงประสูติ จึงเป็นทั้งความยินดีและความโล่งใจของราษฎรทั้งหลาย อย่างน้อยก็สบายใจได้ว่า แคว้นต้าเจียมีผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรแล้วในแต่ละวันขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงมีเสด็จย่าทั้งสองและท่านยายผลัดกันมาดูแล คือเสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้ เสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ และท่านยายเจียงจือไฉ แต่เสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้จะได้เปรียบมากกว่าเพราะประทับในวังเช่นเดียวกัน จึงมาดูแลเกือบทุกวัน เว้นแต่วันที่เสด็จย่าไทเฮ

  • ดอกไม้ในเปลวเพลิง   บทที่ 112 เจ้าก้อนแป้งตัวน้อยน่ารัก

    พระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามความประสงค์ของสุ่ยเฉินเฟิง ตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาได้รับการปรับปรุงใหม่ มีห้องสำหรับทารกติดกับห้องบรรทมของฮองเฮา สำหรับฮ่องเต้เทียนคงอิงฉงนั้นแม้จะมีตำหนักเฉียนชิง แต่พระองค์ก็จะมาบรรทมที่ตำหนักคุนหนิงเป็นประจำ เว้นแต่ช่วงที่ทรงงานดึกจึงจะพักผ่อนที่ตำหนักเฉียนชิงเพื่อให้ฮองเฮาพักผ่อนเต็มที่ ไม่ต้องตื่นกลางดึกสุ่ยฝานหรงซึ่งบัดนี้ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีนั้น บางวันจะพาเหมยกุ้ยเข้าวังมาส่งที่ตำหนักคุนหนิงในช่วงเช้า และมารับกลับหลังจากประชุมขุนนางเสร็จ ชีวิตของสุ่ยเฉินเฟิงจึงไม่เงียบเหงาเกินไป ส่วนถิงถิงซึ่งบัดนี้เป็นนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาก็ช่างมีเรื่องซุบซิบมาเล่าให้ฟัง แม้กระทั่งองค์หญิงนาราที่เสวยผลไป่เซียงกั่วเพื่อให้เกิดผื่นจะได้ยืดเวลาการอยู่ในวังหลวงเพื่อมีเวลาขอถวายตัวเป็นสนมก็มาเล่าให้ฟัง เรียกได้ว่าทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ถิงถิงไม่ค่อยจะพลาดข่าว ถิงถิงมีความเห็นว่ารู้มากหน่อยดีกว่ารู้น้อยไปเมื่อสุ่ยฝานหรงเข้ารับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแล้ว ฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ก็ต้องวางกำลังคนที่ไว้ใจให้ควบคุมหน่วยกำลัง

  • ดอกไม้ในเปลวเพลิง   บทที่ 111 เข้าวัง

    ไทเฮาสือจินอวี้ลุกขึ้นจากที่ประทับ ตรงไปยังองค์หญิงนาราที่นั่งคุกเข่า ใช้สองพระหัตถ์แตะไหล่ประคองให้องค์หญิงน้อยลุกขึ้นยืน แล้วตรัสว่า “องค์หญิงนารามีหน้าตาสวยงามและเพียบพร้อมด้วยความรู้ ไม่ควรจะมาเป็นสนม ความหวังดีนี้ไม่อาจรับไว้ได้ ขอให้แคว้นต้าเจียและเผ่าตู้ผูกพันเป็นมิตรที่ดีต่อกันเถิด”ภายนอกมีเสียงดังขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”เมื่อร่างสูงสง่าของฮ่องเต้ก้าวเข้ามาในโถงกลางของวังหลัง พระองค์ทำความเคารพไทเฮาก่อน แล้วจึงหันไปตรัสแก่ผู้อื่นที่ทำความเคารพว่า “ไม่ต้องมากพิธี” องค์หญิงน้อยมองด้วยสายตาหลงใหลเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยแล้วตรัสด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เจิ้นขอบใจในน้ำใจของถู่ซือและองค์หญิง แต่ไม่อาจรับไว้ได้ ต้าเจียและเผ่าตู้ไม่จำเป็นต้องผูกพันกันด้วยการอภิเษกหรือการเป็นสนม แต่ยังเป็นพันธมิตรกันต่อไปได้”องค์หญิงน้อยทำได้เพียงกล่าวเสียงเบาว่า “เพคะ” รู้สึกอับอายแทบแทรกแผ่นดิน ไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธแม้แต่การเป็นสนม เทียนตี้หย่งหันไปทางทูตเผ่าตู้แล้วตรัสว่า “เผ่าตู้มีสินค้าหายากหลายอย่างที่ต้าเจียไม่มี เจิ้นจะให้ทูตการค้าต้าเจียหารือเรื่องการพัฒนาการค้าขายระหว่างกันดีห

  • ดอกไม้ในเปลวเพลิง   บทที่ 110 ใคร ๆ ก็หลงรักฮ่องเต้ผู้สง่างาม

    พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เทียนตี้หย่ง ขึ้นครองราชย์สถาปนาเป็นฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง ราษฎรทั่วแคว้นต้าเจียเฉลิมฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน พวกเขาล้วนมีความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดที่เคยหวัง ต่างแคว้นล้วนส่งทูตมาแสดงความยินดี ไม่มีแคว้นใดหาญกล้าทดสอบความแข็งแกร่งของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เผ่าตู้เป็นชนเผ่าที่เคยถูกแคว้นต้าเลี่ยงรุกรานและสร้างความอัปยศให้แก่องค์หญิงหลายองค์จนปลิดชีพตนเอง เมื่อแคว้นต้าเจียปราบปรามแคว้นต้าเลี่ยงทำให้เผ่าตู้ได้รับอิสระอีกครั้ง เมื่อมาแสดงความยินดีในครั้งนี้ มีองค์หญิงน้อยเผ่าตู้ร่วมเดินทางมาด้วย องค์หญิงนาราเป็นองค์หญิงองค์เดียวที่ปลอดภัยจากการรุกราน เนื่องจากช่วงเวลานั้นไม่ได้อยู่ในดินแดนเผ่าตู้ ในท้องพระโรง พระเจ้าเทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ขาวใส ดวงตาดำขลับยาวรีปลายชี้ฟ้า จมูกโด่งเป็นสัน ช่างสง่างามเหลือเกิน องค์หญิงน้อยมองดูด้วยความตะลึง หลงรักบุรุษผู้สง่างามนี้ทันทีเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์ขอบคุณแคว้นต่าง ๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดี และเชิญทูตทุกแคว้นทุกชนเผ่าเข้าร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น เนื่องจากยังไม่มีการแต่งตั

  • ดอกไม้ในเปลวเพลิง   บทที่ 109 เทพสงครามครองบัลลังก์มังกร

    หลังจากพระเจ้าเต๋อหมิงได้รับบาดเจ็บ คณะหมอหลวงก็พยายามทุกวิธีในการรักษา เพราะฤทธิ์ยาระงับความเจ็บปวดที่หมอหลวงปรุงขึ้น แม้พระพักตร์จะขาวซีดแต่ก็ไม่แสดงถึงความเจ็บปวด เวลาผ่านไปสิบกว่าวัน ลมหายใจที่แผ่วเบานั้นก็หยุดนิ่ง หัวหน้าหมอหลวงตรวจชีพจรอีกครั้งก่อนจะหันมาทูลต่อไทเฮาสือจินอวี้ว่า“พระองค์กลับคืนสู่สวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮาสือจินอวี้ตัวอ่อน เป็นลมล้มพับ ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ที่ยืนอยู่ใกล้กันรับตัวเสด็จป้าสะใภ้ไว้ทันก่อนพระวรกายกระทบพื้น หมอหลวงแบ่งคนมาปฐมพยาบาลไทเฮา ความเศร้าโศกเสียใจล้นห้องบรรทมออกไปครอบคลุมวังหลวงและกระจายออกไปทั่วแคว้น พระเจ้าเต๋อหมิงเป็นผู้ปกครองใต้หล้าด้วยความเมตตา จึงเป็นที่รักใคร่ของราษฎร ในช่วงเวลาอันเศร้าหมอง ฉินอ๋องเป็นกำลังหลักในการสั่งการเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยหลังจากพิธีการต่าง ๆ ผ่านพ้นไป ไทเฮาสือจินอวี้ก็เรียกฉินอ๋องเข้าเฝ้า สุ่ยเฉินเฟิงดูแลเครื่องแต่งกายให้พระสวามี ฉินอ๋องใช้นิ้วดันคางของนางให้เงยหน้าขึ้น“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ากังวลอะไรหรือ”สุ่ยเฉินเฟิงถอนหายใจ “ไม่แน่ว่าการเรียกตัวเข้าเฝ้าในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับบัลลังก์ที่ว่างอยู่เพ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status