สุ่ยเฉินเฟิงบุตรีแม่ทัพใหญ่ได้รับมหันตภัยจากคู่หมายที่มีผู้เรืองอำนาจหนุนหลัง ฉินอ๋อง เทพสงครามผู้สง่างามและเฉลียวฉลาดต้องผจญภัยเหนือจินตนาการเพื่อปราบปรามผู้ฉ้อราษฎร์บังหลวงและช่วยเหลือนาง ไม่ว่าภารกิจจะสำเร็จหรือล้มเหลว ความสัมพันธ์ในราชวงศ์ก็จะเปลี่ยนไปตลอดกาล ความยากลำบากที่ต้องเผชิญเป็นได้ทั้งลิขิตจากสวรรค์หรือคำสั่งจากนรก
View Moreบทนำ
ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่งพร้อมหน่วยมัจฉาพระกาฬเคลื่อนตัวลงน้ำอย่างแผ่วเบา พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียวในน้ำ ลัดเลาะริมฝั่งนี้ เมื่อมองไปยังฝั่งตรงข้าม ก็เห็นรากไม้ในน้ำพยายามยืดรากออกมาจนสุด หวังจะเกี่ยวกระหวัดกลุ่มคนไปเป็นอาหาร บางรากถึงขนาดพุ่งออกมาจากลำต้นหวังจะแทงทะลุร่างกำยำหลายร่างที่ดำน้ำท้าทาย น่าเสียดายที่เมื่อหลุดจากขั้วก็ร่วงผลอยเป็นปุ๋ยอยู่ในน้ำ หน่วยมัจฉาพระกาฬโผล่ขึ้นหายใจเป็นช่วง ๆ ต้องเร่งรีบว่ายน้ำไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด ระยะเวลาต้องสอดคล้องกับการดำเนินการที่ต้นทางของสหายสนิท มิฉะนั้น ไม่เพียงแต่ชีวิตของหญิงสาวผู้เป็นดวงใจจะสูญสิ้น เขาและหน่วยมัจฉาพระกาฬก็คงต้องฝังร่างไว้ใต้โคลนเลนของแม่น้ำแห่งนี้ด้วย ไม่ว่าภารกิจนี้จะสำเร็จหรือล้มเหลว ความสัมพันธ์ในราชวงศ์ก็จะเปลี่ยนไปตลอดกาล ความยากลำบากที่ต้องเผชิญในภายหน้าเป็นได้ทั้งลิขิตจากสวรรค์หรือคำสั่งจากนรก
บทที่ 1 ท่านอ๋องผู้สง่างามรถม้าคันใหญ่ตกแต่งอย่างหรูหราเคลื่อนมาจอดตรงหน้าจวนแม่ทัพใหญ่ ร่างสูงสง่าของชายหนุ่มก้าวลงมาอย่างคล่องแคล่ว กลิ่นอายความสูงส่งแผ่กระจาย ดวงตาดำขลับยาวรีปลายเฉียงชี้ฟ้านั้นทรงพลังอำนาจ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากสีสดตามธรรมชาติ หล่อเหลาสง่างามเกินไปแล้ว บุตรชายแม่ทัพใหญ่ซึ่งเป็นสหายสนิทพร้อมน้องสาวและคู่หมายมารอต้อนรับ
“คารวะท่านอ๋อง” ทุกคนทำความเคารพพร้อมกัน ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ยิ้มบาง ๆ ให้สุ่ยฝานหรง สหายสนิท รอยยิ้มยังเผื่อแผ่ไปให้สตรีรูปร่างอ้อนแอ้นในเครื่องแต่งกายสวยงาม แล้วค่อยจางลงเมื่อถึงใบหน้า คู่หมายของน้องสาวสหาย ชายหนุ่มหันมาพยักยิ้มกับน้องสาวสหาย
“ไม่ต้องมากพิธี เชิญตามสบายเถิด”
สุ่ยเฉินเฟิงทูลอย่างยิ้มแย้ม “วันนี้ที่จวนทำขนมกุ้ยฮวาสูตรพิเศษเพคะ จัดเตรียมไว้ให้ในห้องอักษรแล้ว”
ฉินอ๋องมองอย่างเอ็นดู “สูตรที่เจ้าคิดขึ้นเองน่ะรึ ไม่มั่นใจเลยว่าท้องไส้จะไม่ปั่นป่วน”
สุ่ยเฉินเฟิงได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ นางไม่กล้าต่อปากต่อคำ ฉินอ๋องหันมาทางเมิ่งหยาง คู่หมายหน้าขาวนวลของสุ่ยเฉินเฟิง “วันนี้ไม่มีงานหรือ”
เมิ่งหยางเหนื่อยหน่ายกับน้ำเสียงเข้มงวดของฉินอ๋อง แต่ก็ต้องตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ เพราะเทียนตี้หย่งนอกจากมีตำแหน่งฉินอ๋องแล้ว เขายังเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเพราะบิดาเป็นพระอนุชาของฮ่องเต้ แม้บัดนี้พระอนุชาจะกลับสู่สรวงสวรรค์แล้ว ฮ่องเต้ก็รักใคร่เอ็นดูพระราชนัดดามาก อีกทั้งฉินอ๋องยังเป็นที่รักและชื่นชมของราษฎรอีกด้วย เมิ่งหยางเก็บความหงุดหงิดไว้ในใจ ไม่ตอบคำถาม แต่ยิ้มแย้มกล่าวว่า
“กระหม่อมมีสิ่งของหายากจากแดนไกลก็เลยนำมาให้คุณหนูสุ่ยพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ งั้นก็ตามสบายเถอะ”
เทียนตี้หย่งพยักหน้ายิ้มบาง ๆ แอบซ่อนความขุ่นเคืองไว้ในใจ หนอยแน่ วัน ๆ ไม่คิดจะทำงานเลยนะ เอาแต่มาเกี้ยวผู้หญิง ถึงอย่างไรเขาก็เห็นสุ่ยเฉินเฟิงมาตั้งแต่เล็ก ๆ เขาถือว่านางก็เป็นน้องสาวของเขาเหมือนกัน
เมื่อสุ่ยฝานหรงเชิญฉินอ๋องไปยังห้องอักษรแล้ว สุ่ยเฉินเฟิงและเมิ่งหยางก็ตรงไปที่ศาลากลางน้ำ บางครั้งเมิ่งหยางก็งง ๆ เพราะสุ่ยฝานหรงซึ่งเป็นพี่ชายแท้ ๆ ยังไม่ทำน้ำเสียงเข้มงวดเท่ากับบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นเสมือนพี่ชายของสุ่ยเฉินเฟิงเลย
ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่งเป็นสหายกับสุ่ยฝานหรงมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงเห็นสุ่ยเฉินเฟิงตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ในวัยสามขวบ หนูน้อยก็แอบมาขีดเขียนลงบนม้วนตำราซึ่งเขาและสุ่ยฝานหรงร่วมกันจัดทำเพื่อส่งเป็นการบ้านให้แก่อาจารย์ในสำนักศึกษา เมื่อห้าขวบก็เอาน้ำหวานให้ม้าของเขากินด้วยความเมตตา ทำให้ม้าท้องเสีย กล่าวได้ว่าเมื่อมาที่จวนแม่ทัพใหญ่ เทียนตี้หย่งต้องกำชับองครักษ์ให้ระมัดระวังให้ดี อย่าให้เด็กน้อยทำข้าวของของเขาเสียหายได้อีก จนกระทั่งสุ่ยเฉินเฟิงถึงวัยปักปิ่น เขาก็มิต้องระมัดระวังสิ่งของอีกต่อไปแล้ว แต่ต้องระมัดระวังอารมณ์ยามที่เห็นเมิ่งหยางใกล้ชิดกับสุ่ยเฉินเฟิง เมื่อนึกถึงบุรุษร่างสูงหน้าขาวนวลที่มีเครื่องหน้าละมุนแล้ว ฉินอ๋องก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก สุ่ยเฉินเฟิง บุตรีสายตรงแห่งจวนแม่ทัพใหญ่ ใบหน้างดงามเป็นที่เลื่องลือ ฉลาดหลักแหลม กริยามารยาทเหมาะสม ภาพลักษณ์ภายนอกเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่เพียบพร้อมจริง ๆ แต่ใครจะรู้ว่านางมีมุมที่ซุกซนเป็นที่สุด ฉินอ๋องเก็บความรู้สึกไว้ลึกที่สุดในหัวใจ อย่างไร นางก็มีคู่หมายแล้ว เขานึกไม่ถึงว่ากาลข้างหน้า จะมีเหตุให้พัวพันกันอย่างถึงที่สุด ยากจะแยกออกว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย
อากาศอบอุ่น ต้นไห่ถังส่งกลิ่นหอม สุ่ยเฉินเฟิงต้อนรับเมิ่งหยางที่ศาลากลางน้ำ เขาวางกล่องไม้แกะสลักสวยงามลงบนโต๊ะ เมื่อเปิดกล่องออก ความระยิบระยับของอัญมณีที่ฝังอยู่ในกำไลทำให้ตาพร่าเสียแล้ว กำไลลวดลายละเอียดสวยงามฝังพลอยล้ำค่าไว้รอบ มีไข่มุกถักเป็นสายสั้น ๆ ห้อยระย้าลงมาตรงปลายโดดเด่นด้วยไข่มุกเม็ดใหญ่ สุ่ยเฉินเฟิงเบิกตากว้าง ความตื่นเต้นปรากฏในดวงตากลมโตคู่สวย นางหยิบขึ้นมาพินิจ ใบหน้าสะอาดตาของเมิ่งหยางปรากฏรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ
“งามมากเจ้าค่ะ แต่ราคาก็คงมิใช่น้อย”
“สิ่งของที่เฟิงเอ๋อร์ต้องตาต้องใจ จะยากลำบากเพียงใด ข้าก็จัดหามาให้ได้”
“แต่ข้าขอไม่รับกำไลนี้เจ้าค่ะ มูลค่าสูงเกินจะรับไว้” คุณหนูแห่งจวนแม่ทัพใหญ่คิดหนัก ของมีค่าขนาดนี้จะรับกันง่าย ๆ กระไรได้ หญิงสาวเลื่อนกล่องไม้ไปตรงหน้าชายหนุ่ม เมิ่งหยางเลื่อนกล่องไม้กลับคืนมา “เจ้ารับไว้เถิดข้าตั้งใจเสาะหามาให้ อย่าให้เสียน้ำใจกันเลย”
สุ่ยเฉินเฟิงก็รู้อยู่แก่ใจว่าเมิ่งหยางคือคู่หมายที่ผู้อาวุโสสองตระกูลตั้งใจให้ครองคู่กัน คำสัญญานั้นเกิดขึ้นตั้งแต่นางยังอยู่ในครรภ์มารดา บัดนี้แม้ว่ายังมิได้จัดพิธีหมั้นหมายอย่างเป็นทางการ แต่ก็เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าเมิ่งหยางและสุ่ยเฉินเฟิงจะต้องสมรสกันในอนาคต บัดนี้นางเลยวัยปักปิ่นมาพอสมควรแล้ว เมิ่งหยางก็รับราชการมีอนาคตไกล เป็นมือปราบแห่งวังหลวงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง อีกทั้งเป็นน้องชายคนเล็กของเมิ่งกุ้ยเฟยอีกด้วย อันที่จริงเมิ่งหยางอยู่ในสถานะที่เลือกหน้าที่การงานได้ เขาเลือกที่จะเป็นมือปราบแห่งวังหลวง นอกจากมีเกียรติแล้วยังเพิ่มความมั่งคั่งให้อย่างสม่ำเสมอ
สิบปีผ่านไป ณ ตำหนักคุนหนิง ฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง นั่งดื่มชาในสวนดอกไม้ อากาศอบอุ่น มีลมพัดผ่านเบา ๆ นึกถึงชะตาชีวิตที่แปลกประหลาด ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มีชีวิตสงบสุขเหมือนคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไป แต่เมื่อถึงวัยมีคู่ครองก็มีเรื่องเดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น ชีวิตเหมือนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง กว่าจะฝ่าฟันมาถึงวันนี้ก็ได้รับประคับประคองจากพระสวามีผู้สง่างามและครอบครัวเดิม สุ่ยเฉินเฟิงสัญญากับตนเองว่าจะทะนุถนอมความรักของพวกเขาไว้อย่างดีฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง และฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมห้าองค์ องค์ชายหย่งเฉิงคล้ายเสด็จพ่อมากที่สุดทั้งรูปร่างหน้าตา อุปนิสัย และความรู้ความสามารถ องค์ชายหย่งเฉิงชื่นชอบการฝึกซ้อมอาวุธทุกประเภท อีกทั้งยังชำนาญหมากล้อมและการฝึกเชาว์ปัญญาต่าง ๆ เรียกว่าเก่งทั้งบู๊และบุ๋นองค์หญิงเฟิงซินหน้าตาคล้ายเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ ทำให้นางเป็นที่โปรดปรานของเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือยิ่งนัก บางครั้งฮ่องเต้ยังจำใจต้องอนุญาตให้องค์หญิงเฟิงซินไปพักค้างที่ตำหนักนอกวังบ้างเพราะทนการรบเร้าของผู้เป็นมารดาไม่ไหว แรก ๆ ก็ไปพักค้างครั้งละหนึ่งคืน พอนานเข้าเสด็จย่าไทเฮา
ราษฎรต้อนรับการประสูติขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงอย่างเอิกเกริก ร้านค้าในตลาดและบ้านเรือนราษฎรปักธงถวายพระพร เหลาเฉียนจัดทำอาหารพิเศษแจกจ่ายให้ลูกค้าโดยไม่คิดเงิน ร้านขายผลไม้ก็นำส้มมงคลมาแจกจ่ายให้ผู้คนที่สัญจรไปมาเมื่อครั้งเทียนตี้หย่งยังดำรงตำแหน่งฉินอ๋อง ราษฎรก็รักใคร่ชื่นชม แม้ในจวนอ๋องจะไม่มีพระชายา พระชายารอง หรืออนุ ก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจ ต่อมาขึ้นครองราชย์ ราษฎรก็ปลื้มปิติ แต่ก็กังวลเพราะฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ลั่นวาจาไว้ว่าจะมีฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิงเพียงพระองค์เดียวแม้ในขณะที่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งฮองเฮา พระนางจะตั้งครรภ์แล้วก็ตาม หากเป็นพระราชธิดาพวกเขาก็ยังไม่วางใจ ดังนั้นเมื่อองค์ชายน้อยหย่งเฉิงประสูติ จึงเป็นทั้งความยินดีและความโล่งใจของราษฎรทั้งหลาย อย่างน้อยก็สบายใจได้ว่า แคว้นต้าเจียมีผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรแล้วในแต่ละวันขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงมีเสด็จย่าทั้งสองและท่านยายผลัดกันมาดูแล คือเสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้ เสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ และท่านยายเจียงจือไฉ แต่เสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้จะได้เปรียบมากกว่าเพราะประทับในวังเช่นเดียวกัน จึงมาดูแลเกือบทุกวัน เว้นแต่วันที่เสด็จย่าไทเฮ
พระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามความประสงค์ของสุ่ยเฉินเฟิง ตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาได้รับการปรับปรุงใหม่ มีห้องสำหรับทารกติดกับห้องบรรทมของฮองเฮา สำหรับฮ่องเต้เทียนคงอิงฉงนั้นแม้จะมีตำหนักเฉียนชิง แต่พระองค์ก็จะมาบรรทมที่ตำหนักคุนหนิงเป็นประจำ เว้นแต่ช่วงที่ทรงงานดึกจึงจะพักผ่อนที่ตำหนักเฉียนชิงเพื่อให้ฮองเฮาพักผ่อนเต็มที่ ไม่ต้องตื่นกลางดึกสุ่ยฝานหรงซึ่งบัดนี้ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีนั้น บางวันจะพาเหมยกุ้ยเข้าวังมาส่งที่ตำหนักคุนหนิงในช่วงเช้า และมารับกลับหลังจากประชุมขุนนางเสร็จ ชีวิตของสุ่ยเฉินเฟิงจึงไม่เงียบเหงาเกินไป ส่วนถิงถิงซึ่งบัดนี้เป็นนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาก็ช่างมีเรื่องซุบซิบมาเล่าให้ฟัง แม้กระทั่งองค์หญิงนาราที่เสวยผลไป่เซียงกั่วเพื่อให้เกิดผื่นจะได้ยืดเวลาการอยู่ในวังหลวงเพื่อมีเวลาขอถวายตัวเป็นสนมก็มาเล่าให้ฟัง เรียกได้ว่าทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ถิงถิงไม่ค่อยจะพลาดข่าว ถิงถิงมีความเห็นว่ารู้มากหน่อยดีกว่ารู้น้อยไปเมื่อสุ่ยฝานหรงเข้ารับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแล้ว ฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ก็ต้องวางกำลังคนที่ไว้ใจให้ควบคุมหน่วยกำลัง
ไทเฮาสือจินอวี้ลุกขึ้นจากที่ประทับ ตรงไปยังองค์หญิงนาราที่นั่งคุกเข่า ใช้สองพระหัตถ์แตะไหล่ประคองให้องค์หญิงน้อยลุกขึ้นยืน แล้วตรัสว่า “องค์หญิงนารามีหน้าตาสวยงามและเพียบพร้อมด้วยความรู้ ไม่ควรจะมาเป็นสนม ความหวังดีนี้ไม่อาจรับไว้ได้ ขอให้แคว้นต้าเจียและเผ่าตู้ผูกพันเป็นมิตรที่ดีต่อกันเถิด”ภายนอกมีเสียงดังขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”เมื่อร่างสูงสง่าของฮ่องเต้ก้าวเข้ามาในโถงกลางของวังหลัง พระองค์ทำความเคารพไทเฮาก่อน แล้วจึงหันไปตรัสแก่ผู้อื่นที่ทำความเคารพว่า “ไม่ต้องมากพิธี” องค์หญิงน้อยมองด้วยสายตาหลงใหลเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยแล้วตรัสด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เจิ้นขอบใจในน้ำใจของถู่ซือและองค์หญิง แต่ไม่อาจรับไว้ได้ ต้าเจียและเผ่าตู้ไม่จำเป็นต้องผูกพันกันด้วยการอภิเษกหรือการเป็นสนม แต่ยังเป็นพันธมิตรกันต่อไปได้”องค์หญิงน้อยทำได้เพียงกล่าวเสียงเบาว่า “เพคะ” รู้สึกอับอายแทบแทรกแผ่นดิน ไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธแม้แต่การเป็นสนม เทียนตี้หย่งหันไปทางทูตเผ่าตู้แล้วตรัสว่า “เผ่าตู้มีสินค้าหายากหลายอย่างที่ต้าเจียไม่มี เจิ้นจะให้ทูตการค้าต้าเจียหารือเรื่องการพัฒนาการค้าขายระหว่างกันดีห
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เทียนตี้หย่ง ขึ้นครองราชย์สถาปนาเป็นฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง ราษฎรทั่วแคว้นต้าเจียเฉลิมฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน พวกเขาล้วนมีความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดที่เคยหวัง ต่างแคว้นล้วนส่งทูตมาแสดงความยินดี ไม่มีแคว้นใดหาญกล้าทดสอบความแข็งแกร่งของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เผ่าตู้เป็นชนเผ่าที่เคยถูกแคว้นต้าเลี่ยงรุกรานและสร้างความอัปยศให้แก่องค์หญิงหลายองค์จนปลิดชีพตนเอง เมื่อแคว้นต้าเจียปราบปรามแคว้นต้าเลี่ยงทำให้เผ่าตู้ได้รับอิสระอีกครั้ง เมื่อมาแสดงความยินดีในครั้งนี้ มีองค์หญิงน้อยเผ่าตู้ร่วมเดินทางมาด้วย องค์หญิงนาราเป็นองค์หญิงองค์เดียวที่ปลอดภัยจากการรุกราน เนื่องจากช่วงเวลานั้นไม่ได้อยู่ในดินแดนเผ่าตู้ ในท้องพระโรง พระเจ้าเทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ขาวใส ดวงตาดำขลับยาวรีปลายชี้ฟ้า จมูกโด่งเป็นสัน ช่างสง่างามเหลือเกิน องค์หญิงน้อยมองดูด้วยความตะลึง หลงรักบุรุษผู้สง่างามนี้ทันทีเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์ขอบคุณแคว้นต่าง ๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดี และเชิญทูตทุกแคว้นทุกชนเผ่าเข้าร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น เนื่องจากยังไม่มีการแต่งตั
หลังจากพระเจ้าเต๋อหมิงได้รับบาดเจ็บ คณะหมอหลวงก็พยายามทุกวิธีในการรักษา เพราะฤทธิ์ยาระงับความเจ็บปวดที่หมอหลวงปรุงขึ้น แม้พระพักตร์จะขาวซีดแต่ก็ไม่แสดงถึงความเจ็บปวด เวลาผ่านไปสิบกว่าวัน ลมหายใจที่แผ่วเบานั้นก็หยุดนิ่ง หัวหน้าหมอหลวงตรวจชีพจรอีกครั้งก่อนจะหันมาทูลต่อไทเฮาสือจินอวี้ว่า“พระองค์กลับคืนสู่สวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮาสือจินอวี้ตัวอ่อน เป็นลมล้มพับ ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ที่ยืนอยู่ใกล้กันรับตัวเสด็จป้าสะใภ้ไว้ทันก่อนพระวรกายกระทบพื้น หมอหลวงแบ่งคนมาปฐมพยาบาลไทเฮา ความเศร้าโศกเสียใจล้นห้องบรรทมออกไปครอบคลุมวังหลวงและกระจายออกไปทั่วแคว้น พระเจ้าเต๋อหมิงเป็นผู้ปกครองใต้หล้าด้วยความเมตตา จึงเป็นที่รักใคร่ของราษฎร ในช่วงเวลาอันเศร้าหมอง ฉินอ๋องเป็นกำลังหลักในการสั่งการเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยหลังจากพิธีการต่าง ๆ ผ่านพ้นไป ไทเฮาสือจินอวี้ก็เรียกฉินอ๋องเข้าเฝ้า สุ่ยเฉินเฟิงดูแลเครื่องแต่งกายให้พระสวามี ฉินอ๋องใช้นิ้วดันคางของนางให้เงยหน้าขึ้น“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ากังวลอะไรหรือ”สุ่ยเฉินเฟิงถอนหายใจ “ไม่แน่ว่าการเรียกตัวเข้าเฝ้าในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับบัลลังก์ที่ว่างอยู่เพ
พระเจ้าเต๋อหมิงบาดเจ็บสาหัส นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุพระองค์ก็ยังไม่ลืมพระเนตรขึ้นมา มีเพียงชีพจรและลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ เกิดความโกลาหลในการบริหารงานเล็กน้อย ไทเฮาสือจินอวี้ต้องออกนั่งเป็นประธานการประชุมขุนนางในฐานะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระนางไม่ประทับบนบัลลังก์มังกร แต่กลับให้คนนำเก้าอี้หงส์จากตำหนักของพระนางมาใช้ประทับเป็นการชั่วคราวแม้ว่าปกติไม่ว่าไทเฮาหรือฮองเฮาพระองค์ใดก็ตาม ไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของวังหลวงได้ ผู้เป็นมารดาของแผ่นดินมีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลวังหลังให้เป็นไปโดยเรียบร้อย แต่สถานการณ์ของแคว้นต้าเจียในคราวนี้แตกต่างออกไป พระเจ้าเต๋อหมิงไม่ได้อภิเษกสมรสเพราะอยู่ระหว่างการไว้ทุกข์ให้กับไท่ซ่างหวงซึ่งก็คือเสด็จพ่อของพระองค์นั่นเอง อีกทั้งพระเจ้าเต๋อหมิงก็ไม่มีสนมจึงยังไม่มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาแม้แต่พระองค์เดียว แคว้นต้าเจียจึงยังไม่มีรัชทายาทเดิมทีเหล่าขุนนางตั้งใจว่าหลังจากพ้นการไว้ทุกข์ให้ไท่ซ่างหวงแล้ว พวกเขาจะกดดันให้พระเจ้าเต๋อหมิงอภิเษกสมรสและแต่งตั้งฮองเฮา รวมทั้งให้เริ่มการคัดเลือกสนมเข้ามาปรนนิบัติตามธรรมเนียมท
ก่อนที่สุ่ยฝานหรงจะออกไป ฉินอ๋องสั่งการเพิ่มเติมว่า “ตอนที่จับกุมเมิ่งกุ้ยเฟย คนที่สุสานบรรพชนล้วนถูกลงโทษ นางกำนัลอู่ก็ติดตามกุ้ยเฟยไปที่สุสานด้วย ท่านตรวจสอบด้วยว่าผู้ใดช่วยเหลือให้นางหลบหนีจนรอดพ้นได้” “พ่ะย่ะค่ะ”สุ่ยฝานหรงออกไปแล้ว ฉินอ๋องกลับเข้าไปในห้องบรรทมของพระเจ้าเต๋อหมิง มีโต๊ะวางไว้มุมห้อง เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ จางชุนรินน้ำชาส่งให้ เขารับมาถือไว้นิ่ง ๆ มองตรงไปก็เห็นญาติผู้พี่นอนนิ่ง พระพักตร์ซีดเซียว นี่คือสิ่งที่เขากังวลอยู่เสมอว่าจะเกิดขึ้น และแล้วก็เกิดขึ้นจริง พี่สี่ของเขาพระทัยอ่อน ใช้สายพระเนตรที่เมตตามองผู้คนโดยรอบ ใช้พระคุณแต่เพียงอย่างเดียวในการปกครองเวลาผ่านไป แม่ทัพใหญ่สุ่ยฝานหรงกลับมาอีกครั้งเมื่อเข้ายามอิ๋น เขาสีหน้าไม่ดีนัก รายงานว่า“ตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพ่ะย่ะค่ะ นางกำนัลอู่ไม่ถูกจับกุมเพราะนางลากลับบ้านเดิมเพื่อจัดการงานศพของมารดา เมื่องานศพเสร็จแล้ว ระหว่างทางที่เดินทางกลับเมืองหลวง ก็ได้ข่าวว่าคนที่สุสานบรรพชนถูกจับกุม นางจึงซ่อนเร้นตัว เมื่อทหารที่ไปตรวจค้นสุสานบรรพชนและทำลายเห็ดเมากลับไปแล้ว นางก็ลักลอบเข้าไปในสุสานบรรพชน เพราะนางอยู่ที่นั่นกั
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ หลานจะสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้สภาพในคุกไม่เหมาะสำหรับผู้บาดเจ็บ” เขาหันถามหัวหน้าหมอหลวงว่า “จะเคลื่อนย้ายฝ่าบาทได้หรือไม่ หรือต้องรอให้อาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน”หัวหน้าหมอหลวงตอบว่า “สามารถเคลื่อนย้ายได้แล้วพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง คุกหลวงไม่เหมาะกับการรักษาผู้ป่วยจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”ในที่สุด พระเจ้าเต๋อหมิงก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังตำหนักเฉียนชิง ฉินอ๋องประคองไทเฮา สือจินอวี้ไปพร้อมกัน โดยให้สุ่ยฝานหรงซึ่งตามมาถึงแล้ว ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียด ไทเฮานั่งกุมพระหัตถ์พระราชโอรส พระพักตร์ของพระองค์และพระเจ้าเต๋อหมิงซีดขาวพอกัน"เสด็จป้าสะใภ้พักผ่อนก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ไทเฮาสือจินอวี้ส่ายพระพักตร์ “ป้าสะใภ้จะเฝ้าเต๋อเอ๋อร์ เมื่อเขาฟื้นจะได้เห็นหน้าแม่เป็นคนแรก”“ถ้าเช่นนั้นหลานจะให้คนจัดห้องด้านข้างเป็นที่บรรทมชั่วคราวดีไหมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ไปพักผ่อนก่อน มิฉะนั้นอาจจะประชวรไปอีกพระองค์ หากพี่สี่รู้สึกตัวแม้เพียงเล็กน้อยจะให้คนไปทูลให้ทรงทราบทันที”ไทเฮาพยักพระพักตร์ ฉินอ๋องจึงสั่งให้ขันทีประจำตำหนักเฉียนชิงเร่งจัดห้องบรรทมช
Comments