ฉินป๋อหลิน ทายาทผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลฉิน ก้าวลงจากเครื่องบินที่เพิ่งแตะรันเวย์ของสนามบินต้าหลี่ ใบหน้าคมคายเรียบเฉยภายใต้กรอบแว่นกันแดดราคาแพง แม้จะเพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากอังกฤษ แต่แววตาของเขากลับว่างเปล่า ไร้ซึ่งความยินดีหรือตื่นเต้นใด ๆ
เพราะการกลับมาครั้งนี้ไม่ใช่ด้วยความสมัครใจ หากแต่เป็นเพราะเสียงเรียกหาจากมารดาของเขา ฉินป๋อหลินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะสาวเท้าออกจากสนามบิน ทิ้งเมืองผู้ดีไว้เบื้องหลัง
ทันใดนั้นเอง หญิงสาวคนหนึ่งในชุดเดรสสีแดงเพลิงก็ปรากฏตัวขึ้น เธอเดินเข้ามาหาฉินป๋อหลินอย่างมั่นใจ พร้อมกับส่งยิ้มหวานเยิ้มให้เขา
“สวัสดีค่ะคุณ ดิฉันชื่อ...”
“ไม่สนใจ” ฉินป๋อหลินตัดบทเสียงแข็ง พร้อมกับสาวเท้าเดินผ่านเธอไปราวกับเธอเป็นเพียงอากาศธาตุ
หญิงสาวหน้าชาเล็กน้อยกับท่าทีเย็นชาของเขา แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม เธอรีบสาวเท้าตามเขาไป
“คุณคะ ดิฉันแค่อยากจะ...”
“ผมบอกว่าไม่สนใจไง!” ฉินป๋อหลินหันกลับมาตวาดใส่เธอเสียงดัง จนคนรอบข้างหันมามองด้วยความตกใจ
หญิงสาวตัวสั่นเทาด้วยความกลัว เธอไม่เคยคิดว่าชายหนุ่มที่เพียบพร้อม จะมีท่าทีหยาบคายและเย็นชาได้ถึงเพียงนี้ เธอรีบเดินหนีไปทันที
ฉินป๋อหลินถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงพวกนี้ถึงได้ชอบตามตื๊อเขา ทั้ง ๆ ที่เขาก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่สนใจ
“น่ารำคาญเป็นบ้า” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเร่งฝีเท้าออกจากสนามบินโดยเร็วที่สุด เขาอยากจะกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ไม่อยากเจอเรื่องวุ่นวายแบบนี้อีกแล้ว
รถยนต์คันหรูเคลื่อนตัวผ่านประตูทางเข้าไร่องุ่นหยางกวงอย่างเชื่องช้า ฉินป๋อหลินมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์เขียวขจีที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นต่อสายตา แต่กลับไม่สามารถจุดประกายความรู้สึกใด ๆ ในใจเขาได้เลย รถจอดสนิทหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ บ่าวรับใช้รีบกุลีกุจอมาเปิดประตูให้เขา
“คุณชายกลับมาแล้วครับ” เสียงทักทายดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มกว้างของคนรับใช้ แต่ฉินป๋อหลินเพียงพยักหน้ารับรู้เล็กน้อย ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในบ้าน
“อาหลินลูกแม่!” เสียงหวังซู่หลินดังมาจากห้องรับแขก เธอรีบลุกขึ้นมาต้อนรับลูกชายด้วยความดีใจ “กลับมาแล้วก็ดีแล้วลูก คิดถึงจะแย่”
ฉินหลงเจ๋อวางหนังสือพิมพ์ลง พลางทักทายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “กลับมาแล้วเหรอลูก”
“ครับ” ฉินป๋อหลินตอบรับสั้น ๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างเหนื่อยหน่าย
หวังซู่หลินมองลูกชายด้วยความเป็นห่วง “เดินทางเหนื่อยไหมลูก แม่ให้คนเตรียมอาหารไว้ให้แล้วนะ”
“ขอบคุณครับแม่” ฉินป๋อหลินตอบรับ แต่ก็ไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นใด ๆ
ฉินหลงเจ๋อมองภรรยาและลูกชายสลับกันไปมา เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไป แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร
“อาหลิน” หวังซู่หลินเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แม่มีเรื่องอยากจะคุยกับลูกหน่อย”
ฉินป๋อหลินเงยหน้าขึ้นมองมารดา “เรื่องอะไรครับ?”
“เรื่องอนาคตของลูกน่ะ” หวังซู่หลินเว้นช่วงเล็กน้อย “แม่ว่าถึงเวลาแล้วที่ลูกจะต้อง...”
ฉินป๋อหลินรู้ทันทีว่ามารดาต้องการจะพูดเรื่องอะไร เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดสวนขึ้น “ผมเหนื่อยแล้ว ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ”
เขาตัดบทและรีบเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอน ทิ้งให้หวังซู่หลินและฉินหลงเจ๋อมองตามหลังไปด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน
ฉินป๋อหลินเหยียดกายลงบนเตียงนุ่มหลังจากอาบน้ำชำระร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางมายาวนาน ความรู้สึกหงุดหงิดยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจ เขาไม่ชอบที่ถูกใครมาบงการชีวิต แม้แต่แม่ของเขาเองก็ตาม เธอชอบสั่งให้เขาทำนู่นทำนี่ราวกับว่าเขาเป็นเด็กน้อย ทั้งที่เขาโตพอที่จะตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ด้วยตัวเองได้แล้ว
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด ฉินป๋อหลินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ส่วนพ่อก็ไม่เคยขัดใจแม่ได้เลยสักครั้ง ปล่อยให้แม่ทำตามใจตัวเองทุกอย่าง นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ เพราะเขาอยากหนีจากกรงทองที่แสนอึดอัด
ถ้าไม่ใช่เพราะแม่โทรมาบอกว่าพ่อป่วย เขาคงไม่มีวันกลับมาเหยียบที่นี่อีก ฉินป๋อหลินหลับตาลงอย่างเหนื่อยหน่าย วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน
“คืนนี้เป็นของเรา” ป๋อหลินพูดเบา ๆ ขณะที่เขากอดเธอไว้แน่นเสียงหัวใจของทั้งคู่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน เสียงกระซิบและเสียงหัวเราะเบา ๆ ก่อเกิดเป็นบทเพลงแห่งความรักที่พวกเขาร่วมบรรเลงอย่างสมบูรณ์ค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยความรักและความสุข ลืมความทุกข์โศกและความสูญเสียในอดีต เหลือเพียงความรักที่แท้จริงและความผูกพันที่ไม่มีวันจางหายเช้าวันหนึ่ง เหว่ยเฟิงรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยสบายตัวนัก เธอมีอาการคลื่นไส้และเวียนศีรษะเล็กน้อย ตอนแรกเธอคิดว่าอาจเป็นเพราะทำงานหนักเกินไป แต่เมื่ออาการไม่ดีขึ้น เธอจึงตัดสินใจไปหาหมอในเมืองเมื่อผลตรวจออกมา เหว่ยเฟิงแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เธอตั้งครรภ์! ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามาในใจ ทั้งความดีใจ ความตื่นเต้น และความกังวลเล็ก ๆ เธอจะบอกข่าวดีนี้กับฉินป๋อหลินอย่างไรดีนะ?เขาจะตื่นเต้นดีใจกับข่าวดีนี้หรือเปล่าและทันทีที่กลับถึงบ้าน เหว่ยเฟิงก็ตรงไปหาฉินป๋อหลินที่กำลังจัดการเอกสารอยู่ในห้องทำงาน“ป๋อหลินคะ ฉันมีเรื่องจะบอกคุณค่ะ” เหว่ยเฟิงพูดเสียงแผ่วฉินป๋อหลินเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยความเป็นห่วง “มีอะไรหรือ เฟิงเอ๋อร์? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”เหว่ยเฟิงสูดหายใจเ
และมาวันนี้ที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นก็มาถึง ในที่สุดฉินหลงเจ๋อก็จากไปอย่างสงบจากโรคมะเร็งตับระยะสุดท้าย แม้ความโศกเศร้าจะเกาะกุมหัวใจ ฉินป๋อหลินและเหว่ยเฟิงก็พยายามยิ้มให้กันพวกเขาเข้าใจดีว่าตอนนี้ฉินหลงเจ๋อจากไปอย่างสงบ ปราศจากความเจ็บปวดทรมาน และที่สำคัญที่สุด ท่านจากไปพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสุข“พ่อคงไม่อยากเห็นพวกเราเศร้านักหรอกค่ะ” เหว่ยเฟิงเอ่ยเสียงแผ่ว ปลอบประโลมฉินป๋อหลินที่ยังคงมีน้ำตาคลอหน่วยฉินป๋อหลินพยักหน้ารับ “ใช่แล้วเฟิงเอ๋อร์ พ่อคงอยากให้พวกเรามีความสุข”หลังจากนั้นฉินป๋อหลินก็รับช่วงต่อธุรกิจไร่องุ่นหยางกวงแทนบิดาอย่างเต็มตัว เขาและเหว่ยเฟิงก็ช่วยกันทำงานร่วมกันอย่างมุ่งมั่นและขยันขันแข็งวันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า ไร่องุ่นที่เคยเจอปัญหาและความท้าทายกลับเริ่มเติบโตและประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นด้วยความร่วมมือของสองสามีภรรยา ทำให้พวกเขากลายเป็นคู่รักที่แข็งแกร่ง ทั้งในเรื่องงานและชีวิตครอบครัวยามเช้าในไร่องุ่นเต็มไปด้วยความสดชื่น แสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านใบไม้เขียวขจี เหว่ยเฟิงและฉินป๋อหลินเดินเคียงข้างกันท่ามกลางแปลงองุ่นที่กำลังสุกงอม มือของทั้งสองจับกันไว้แน่น สายลมเบา ๆ
เมื่อเหว่ยเฟิงและฉินป๋อหลินเดินทางมาถึงโรงพยาบาลจิตเวช ภาพของม่านชิงชิงที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เธอแทบจำไม่ได้ หญิงสาวที่เคยงดงามและเย่อหยิ่ง บัดนี้เหลือเพียงร่างกายที่ผ่ายผอมและดวงตาที่ว่างเปล่าหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเหว่ยเฟิงกับฉินป๋อหลินอย่างเลื่อนลอย ไม่มีวี่แววของความเกลียดชังหรือความอาฆาตใด ๆ หลงเหลืออยู่“เธอจำฉันได้หรือไม่” เหว่ยเฟิงเอ่ยถามเสียงเบาม่านชิงชิงส่ายหน้าช้า ๆ น้ำตาไหลอาบแก้ม “ฉันไม่รู้จักคุณค่ะ ฉันจำอะไรไม่ได้จริง ๆ”เหว่ยเฟิงมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความเวทนา นี่คือผลลัพธ์ของความแค้นที่ม่านชิงชิงเคยปลูกฝังไว้ในใจ“ม่านชิงชิง ฉันให้อภัยเธอ” เหว่ยเฟิงเอ่ยออกมาจากใจม่านชิงชิงมองเหว่ยเฟิงด้วยความประหลาดใจ เธอไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำเหล่านี้จากปากของใครสักคน“ขอบคุณ” ม่านชิงชิงกระซิบ ถึงแม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่เหว่ยเฟิงพูดก็ตามที“ฉันสงสารม่านชิงชิงจังค่ะ ป๋อหลิน ถึงเธอจะเคยทำร้ายฉันยังไง ฉันก็ไม่เคยโกรธเธอเลย” เหว่ยเฟิงเอ่ยกับสามี ระหว่างเดินทางกลับบ้านด้วยกัน“ทุกอย่างมันเกิดจากการกระทำของเธอเอง ไม่มีใครทำเธอเลย”“นั่นสิคะ”การไปเยี่ยมม่านชิงชิงครั้งนี้ทำให้เหว่ยเฟิงได้เรียนรู้
ข่าวการจับกุมชายฉกรรจ์ที่บ้านพักท้ายไร่แพร่กระจายไปทั่วเมืองต้าหลี่อย่างรวดเร็ว การสอบปากคำของพวกเขาชี้ชัดไปที่ม่านชิงชิงในฐานะผู้บงการอยู่เบื้องหลังการพยายามลักพาตัวและทำร้ายเหว่ยเฟิง ตำรวจไม่รอช้าออกหมายจับเธอทันทีขณะเดียวกันตำรวจก็มาแจ้งกับฉินป๋อหลิน ถึงการตามตัวหาม่านชิงชิงตามที่อยู่ในทะเบียนราษฎร์แล้ว ก็พบว่าบ้านหลังนั้นถูกธนาคารยึดทรัพย์ และถูกศาลฟ้องล้มละลายพอทุกคนได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจเช่นกัน พร้อมกับปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดหวังซู่หลินเองที่ตอนนี้กำลังพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล ได้ฟังที่ตำรวจแจ้งก็ร้องไห้โฮด้วยความเสียใจ ไม่คิดเลยว่าม่านชิงชิงจะหลอกลวงนางได้ในวันเดียวกันนั้น ม่านชิง ๆ ก็ได้ข่าวว่าตำรวจจะนำกำลังมาจับกุม ม่านชิงชิงรู้ตัวทันทีว่าเธอไม่มีทางหนีรอดจากเรื่องนี้ได้อีกต่อไป เธอรู้ว่าไม่สามารถปฏิเสธความผิดที่ตัวเองก่อไว้ได้ ทุกอย่างกำลังพังทลายลงตรงหน้าในห้องที่เงียบงัน ม่านชิงชิงทำการเก็บข้าวของเท่าที่จำเป็นอย่างลวก ๆ ตอนนี้เธอไม่มีเวลามากนัก เพราะตำรวจอาจมาถึงตัวเธอได้ทุกเมื่อ“ฉันจะทำยังไงดี... ฉันจะหนีไปไหนได้บ้าง?” ม่านชิงชิงพึมพำกับตัวเองเสียงสั่น ขณะเร่งก้าวเด
เหว่ยเฟิงมาถึงบ้านพักท้ายไร่ตามที่ม่านชิงชิงนัดหมายโดยบอกว่าจะขอปรับความเข้าใจ เพราะเธอนั้นจะขอยอมแพ้กับรักครั้งนี้แล้ว ทั้งเจ้าตัวยังบอกอีกว่าจะยอมถอยกลับไปปักกิ่งตอนแรกเหว่ยเฟิงมีความลังเลว่าจะไปตามที่ม่านชิงชิงเอ่ยปากร้องขอดีหรือไม่ แต่ในที่สุดเธอก็ตกลงที่จะไปตามนัดด้วยอยากไปเคลียร์ใจกันให้จบเช่นนั้นเหว่ยเฟิงจึงเดินเข้าไปในบ้านพักท้ายไร่เพียงลำพัง“ม่านชิงชิง ฉันมาแล้ว”แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากภายใน เหว่ยเฟิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เธอตัดสินใจผลักประตูเข้าไปช้า ๆภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้เธอแทบหยุดหายใจ ชายฉกรรจ์ร่างกำยำหลายคนยืนออกันอยู่กลางห้อง พวกเขาทั้งหมดจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย“นี่มันอะไรกัน!?” เหว่ยเฟิงอุทานออกมาด้วยความตกใจ เธอพยายามตั้งสติ ถอยหลังไปช้า ๆ แต่ก็สายเกินไป ชายฉกรรจ์คนหนึ่งพุ่งเข้ามาจับตัวเธอไว้แน่น“ปล่อยฉันนะ! นี่มันเรื่องอะไรกัน!” เหว่ยเฟิงดิ้นรนสุดแรง แต่ก็ไม่อาจสู้แรงของชายฉกรรจ์ได้ เธอรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่กำลังกัดกินหัวใจ เธอตะโกนสุดเสียง“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยฉันที!”ทว่าเสียงของหญิงสาวจมหายไปในความเงียบงันของบ้านพักท้ายไร่ท
“ม่านชิงชิง พอได้แล้ว!” ฉินป๋อหลินที่เดินเข้ามาในห้องของหญิงสาวพูดเสียงเข้ม “ผมรู้นะว่าคุณกำลังคิดจะทำอะไรโง่ ๆ ผมจะไม่ยอมให้คุณทำร้ายเหว่ยเฟิงอีกแล้ว”ม่านชิงชิงหน้าถอดสี เธอไม่คิดว่าฉินป๋อหลินจะรู้ทันแผนการของเธอ เธอพยายามแก้ตัว “คุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันแค่...”“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” ฉินป๋อหลินขัดจังหวะ “ผมรู้จักคุณดีพอ ม่านชิงชิง ผมเคยหลงเชื่อคำพูดของคุณ แต่ตอนนี้ผมตาสว่างแล้ว ผมจะไม่ยอมให้คุณมาทำลายความสุขของผมกับเหว่ยเฟิงอีก”ม่านชิงชิงกำมือแน่นด้วยความโกรธและผิดหวัง เธอไม่คิดว่าฉินป๋อหลินจะปกป้องเหว่ยเฟิงขนาดนี้ เธอรู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังพังทลายลงต่อหน้าต่อตา“แล้วคุณจะเสียใจ” เธอพูดเสียงสั่น “เหว่ยเฟิงจะต้องหายไปจากที่นี่...”“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ฉินป๋อหลินตวาดเสียงดังคำพูดของฉินป๋อหลินเหมือนคมมีดกรีดลึกเข้าไปในใจของม่านชิงชิง เธอรู้สึกหวาดกลัวเขาเป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องสู้เพื่ออนาคตของตัวเอง ม่านชิงชิงจึงรีบหันหลังวิ่งหนีไป ทิ้งให้ฉินป๋อหลินยืนอยู่คนเดียวฉินป๋อหลินรู้ดีว่าสิ่งต่อไปที่ต้องทำคือการกลับไปพูดกับแม่อย่างจริงจัง เขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าเขาจะไม่ยอมให้ม่านชิงชิงอยู่ในบ้านน