ณ ดินแดนอันไกลโพ้น ภายใต้ผืนฟ้ายามรัตติกาล ดาวนับล้านเปล่งแสงระยิบระยับดั่งอัญมณีต้องแสงจันทร์ ประหนึ่งต้องการประชันแสงกับความอยุติธรรมที่กำลังปกคลุมไปทั่วหล้า สายลมหนาวเหน็บพัดโบกเอื่อยเฉื่อย นำพากลิ่นอายแห่งความมืดมนและคาวโลหิตเจือปนไปในบรรยากาศ
ที่กลางเวหานั้น เงาร่างหนึ่งกำลังโซซัดโซเซทะยานไปด้วยความยากลำบาก โลหิตสีชาดไหลซึมจากบาดแผลเป็นสาย ชโลมอาภรณ์จนเปียกชุ่ม ความเจ็บปวดกัดกินร่างกายทุกอณู แต่เจ้าของร่างนั้นยังคงกัดฟันฝืนตนให้ก้าวต่อไป มิอาจยอมแพ้ได้ เบื้องหลัง ห่างออกไปประมาณสิบลี้ เงาทมิฬของเหล่าผู้ไล่ล่ากำลังพุ่งทะยานมาอย่างรวดเร็ว นำทัพโดยชายลึกลับสามคน ผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยอำนาจและเจตนาสังหารอันเกรี้ยวกราด "เร่งมือเข้าไป! อย่าให้มันหลุดรอดไปได้!" เสียงทรงพลังของชายหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งดังขึ้น มือขวาของเขากุมขวานยักษ์แน่น ประหนึ่งพร้อมจะสับเป้าหมายให้ขาดสะบั้นทุกเมื่อ ดวงตาทอประกายกร้าว แน่วแน่ในภารกิจสังหาร "นายน้อยเจิน อย่าได้เร่งร้อนนัก" ชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งเอื้อนเอ่ย น้ำเสียงราบเรียบแฝงความมั่นใจ เขาสวมอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ รูปโฉมสง่างามประหนึ่งคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์ "ในเมื่อมันบาดเจ็บหนักเพียงนี้ สุดท้ายก็มิอาจหนีเงื้อมมือของพวกเราไปได้หรอก" เขาเหยียดยิ้มบางเบา ก่อนหันไปสบตาชายหนุ่มอีกผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งยืนอยู่เคียงข้าง "หากมิได้น้องซ่งคอยชี้เบาะแสให้ เราคงมิอาจลงมือได้สะดวกเช่นคืนนี้" ชายหนุ่มแซ่ซ่งยกมือขึ้นประสานเป็นเชิงถ่อมตน "พี่เหลียนกล่าวเกินไปแล้ว ข้าเพียงบังเอิญล่วงรู้ว่า ซ่งเหยียนเฟยเข้าไปยังถ้ำโบราณของยอดฝีมือเผ่าทมิฬที่เพิ่งถูกค้นพบ เพียงลำพังเพื่อเสาะหาสมบัติเท่านั้น หาได้มีความดีความชอบอันใดไม่" ทว่านัยน์ตาของเขากลับฉายแววเย็นเยียบ มิอาจปิดบังความลำพองในใจได้ ‘ซ่งเหยียนเฟย คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของเจ้า! ใครใช้ให้เจ้ามาขวางทางข้าในทุกสิ่งเล่า?’ เขานึกในใจ พลางแสยะยิ้มเย้ยหยัน ชายแซ่เหลียนพยักหน้าเล็กน้อย "น้องซ่งวางใจเถิด สัญญาที่ข้าให้ไว้ ข้าย่อมมิผิดคำพูด" ซ่งหนุ่มหัวเราะเบา ๆ พลางกล่าวอย่างอ่อนน้อม "ขอบคุณท่านพี่เหลียนที่เมตตา ข้ารบกวนท่านแล้ว" นายน้อยเจินที่เงียบฟังอยู่นาน พลันขมวดคิ้วถาม "แล้วสมบัติที่มันได้มาเล่า? หากมันเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น คงมิใช่ได้มาเพียงเล็กน้อยเป็นแน่ พวกเราจะจัดสรรกันอย่างไร?" ชายหนุ่มแซ่เหลียนปรายตามองไปยังเงาดำที่กำลังพยายามดิ้นรนหนีอยู่ไกลลิบ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ "ค่อยหารือกันภายหลังเถิด ประการแรก...เราต้องสังหารมันให้ได้เสียก่อน" เขากระตุกยิ้มเย็น แล้วสะบัดชายแขนเสื้อส่งสัญญาณ "ออกล่า!" ในบัดดล เงาร่างของเหล่านักฆ่าทั้งกลุ่มก็พุ่งทะยานไปข้างหน้าดุจเหยี่ยวปีกกล้า มุ่งตรงไปยังเหยื่อผู้บาดเจ็บที่กำลังรอรับชะตากรรมเบื้องหน้า... เสียงไอแหบพร่า ดังขึ้นท่ามกลางสายลมอันเย็นเยียบ “แค่ก... แค่ก...” ซ่งเหยียนเฟยกระอักโลหิตออกมาเป็นหยดเล็ก ๆ ใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยความอิดโรยและเจ็บปวด เขาทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น ร่างสั่นสะท้านด้วยความอ่อนล้า มือที่เปรอะเปื้อนโลหิตสั่นระริกขณะหยิบเม็ดยาสีขาวขึ้นมาถือไว้ก่อนจะกลืนลงคอไปในทันที เมื่อโอสถศักดิ์สิทธิ์แผ่พลังเข้าสู่ร่างกาย เขารีบเดินลมปราณเพื่อฟื้นฟูบาดแผล พลังอันบรรเจิดไหลเวียนไปตามชีพจรฝึกยุทธ์ของเขา ไม่นานใบหน้าที่เคยซีดขาวเริ่มกลับมามีสีเลือด ลมหายใจที่ขาดห้วงก็เริ่มมั่นคงขึ้น ทว่าความเสียหายที่ได้รับรุนแรงเกินไป แม้โอสถล้ำค่าจะช่วยบรรเทา แต่ก็มิอาจเยียวยาได้ในพริบตา อาการบาดเจ็บยังคงหนักหนาอยู่ 'พวกมันรู้ที่ซ่อนของข้าได้อย่างไร? การเดินทางมายังที่แห่งนี้ มีเพียงท่านพ่อและคนสนิทของข้าเท่านั้นที่ล่วงรู้...' แววตาของเขาทอประกายเย็นเยียบขณะครุ่นคิด หัวใจพลันเต้นแรงขึ้น เมื่อสำนึกได้ถึงความเป็นไปได้หนึ่ง 'หรือว่า... จะมีไส้ศึกแฝงตัวอยู่ใกล้ข้า?' ริมฝีปากของซ่งเหยียนเฟยเม้มแน่น ดวงตาวาวโรจน์ด้วยเพลิงโทสะที่คุกรุ่นอยู่ภายใน 'ไม่ผิดแน่! คนผู้นั้นต้องเป็นสมุนของซ่งเหว่ยนาน! แต่เป็นผู้ใดกันเล่า?' เขากำหมัดแน่นด้วยแรงข่มกลั้น หัวใจเต็มไปด้วยความคับแค้น แต่ยามนี้ยังมิใช่เวลามาคิดถึงเรื่องนั้น สิ่งสำคัญคือการเอาตัวรอด 'เฮ้อ... ไว้ข้าสืบเรื่องนี้ทีหลังเถอะ ตอนนี้ข้าถูกลอบโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส หากมิใช่เพราะสมบัติวิเศษที่ท่านพ่อมอบให้ ข้าคงสิ้นชีพไปแล้ว' แววตาของเขาแน่วแน่ ขณะตัดสินใจได้แล้วว่าต้องทำสิ่งใด 'ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าต้องหนีไปตั้งหลักก่อน! พวกมันมากันเป็นกลุ่ม อีกทั้งยังมีเหลียนตงเยว่และเจินเหยียน สองนายน้อยแห่งตระกูลเหลียนและตระกูลเจิน รวมถึงตัวต้นเหตุของเรื่องนี้... ซ่งเหว่ยนาน!' เปลวเพลิงแห่งโทสะลุกโชนในแววตาของเขา แต่ในยามนี้ มิอาจทำสิ่งใดได้มากนัก นอกจากเอาชีวิตรอดไปก่อน เพียงพริบตาที่เขากำลังจะเร่งความเร็วในการหลบหนี เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากเบื้องหน้า “จะรีบร้อนไปที่ใดหรือ พี่ซ่ง?” เสียงเรียบเนิบที่แฝงด้วยความเป็นมิตรดังขึ้น ทว่ากลับทำให้หัวใจของซ่งเหยียนเฟยเย็นเยียบ เหลียนตงเยว่เผยรอยยิ้มบางเบา ขณะที่เงาร่างจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นโดยรอบ ไม่ช้าเขาก็ถูกล้อมไว้ด้วยยอดฝีมือกว่าสิบคน “ส่งสมบัติออกมาเสียเถิด” เจินเหยียนกล่าวพลางยกขวานขึ้นพาดบ่า แววตาเหยียดหยาม “บางทีพวกข้าอาจจะใจดี ปล่อยให้เจ้าจากไปโดยไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน” ซ่งเหยียนเฟยกวาดตามองเหล่าศัตรูโดยรอบ สายตาของเขาหยุดอยู่ที่บุรุษผู้หนึ่งซึ่งยืนเด่นเป็นสง่า... ซ่งเหว่ยนาน “เจ้าไม่มีทางหนีรอดหรอก ซ่งเหยียนเฟย” ชายหนุ่มผู้มีนามสกุลเดียวกันกล่าวด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ยอมแพ้เสียตอนนี้ บางทีข้าอาจจะเมตตาให้เจ้าตายโดยไม่ทรมาน” ซ่งเหยียนเฟยจ้องบุรุษตรงหน้าด้วยความเกรี้ยวกราด “ซ่งเหว่ยนาน! เจ้ายังมีความละอายใจอยู่หรือไม่!? คิดจะแทงข้างหลังคนในตระกูลเดียวกัน คบค้าศัตรูเพื่อล้างบางเครือญาติของตนเอง!” ซ่งเหว่ยนานแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา “หึ! ผู้ใดใช้ให้เจ้ามาขวางทางข้า? สิ่งที่ควรเป็นของข้า เหตุใดเจ้าถึงได้มันไป? เจ้าทำลายอนาคตของข้า แย่งทุกสิ่งที่ควรเป็นของข้าไป!” ซ่งเหยียนเฟยหัวเราะเยาะเย้ย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสมเพช “ซ่งเหว่ยนาน เจ้าช่างโง่เขลานัก! เจ้าถูกชักจูงราวกับวัวที่ถูกดึงจมูกให้เดินตามศัตรู! หากท่านพ่อรู้เรื่องนี้เข้า เจ้าคิดหรือว่าจะยังมีชีวิตรอด!?” ซ่งเหว่ยนานทำท่าจะกล่าววาจาบางอย่าง แต่กลับถูกขัดจังหวะโดยชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์แห่งตระกูลเหลียน "ใจเย็นก่อนเถิดน้องซ่ง อย่าได้ปล่อยให้มันปั่นป่วนจิตใจเจ้า ไม่ว่าอย่างไรเสีย วันนี้มันต้องม้วยมรณาเป็นแน่แท้!" เหลียนตงเยว่เอ่ยขึ้น ดวงตาทอประกายเย็นเยียบ ราวกับผู้ตัดสินชะตาชีวิต "ซ่งเหยียนเฟย เจ้าอย่าได้คิดถ่วงเวลาพวกเราอีกเลย เคราะห์กรรมของเจ้ามาถึงแล้ว! ต่อให้เจ้ามีปีกโบยบิน ก็มิอาจหลีกหนีชะตากรรม! พวกเรา—จงจับกุมมันเสีย! ริบสมบัติมาให้หมด ก่อนจะปลิดชีพมัน!" คำสั่งของเหลียนตงเยว่ดังสะท้อนก้อง ราวเสียงฟ้าผ่าท่ามกลางพายุคลั่ง "รับบัญชา นายน้อย!" เหล่าผู้ติดตามกว่า 10 ชีวิตขานรับพร้อมเพรียง ก่อนจะพุ่งทะยานเข้าหาซ่งเหยียนเฟย ประหนึ่งฝูงอสรพิษที่หิวกระหายโลหิต ซ่งเหยียนเฟยยืนนิ่งสง่าดั่งขุนเขา แม้ศัตรูนับสิบจะแผ่พลังคุกคาม แต่แววตาของเขากลับแน่วแน่ดุจหินผา "มาสู้กันอย่างยุติธรรมสิ หากพวกเจ้าคิดว่าตนเก่งกาจจริง! เช่นนั้นก็เข้ามาเถิด! ข้าจะตัดสินพวกเจ้าด้วยคมดาบนี้เอง!" น้ำเสียงดังก้องไปทั่ว พลังปราณอันลึกล้ำแผ่ซ่านออกมา ก่อให้เกิดสายลมหมุนวนรอบกายเขา เหลียนตงเยว่หัวเราะเย้ยหยัน "เจ้าคิดจะใช้วาจาหลอกล่อข้ากระนั้นหรือ? ฝันไปเถิด! ทุกคน—ลงมือ!" เสียงฝีเท้าดังกระหึ่ม ประหนึ่งเสียงอัสนี ซ่งเหยียนเฟยแค่นเสียงเย้ย ก่อนจะตวัดดาบในมือ "พวกมดปลวกเช่นพวกเจ้า... ยังกล้ามาขวางทางข้าอีกหรือ?" ดวงตาเปล่งประกายเยียบเย็น คมดาบสะบัดออกเป็นประกาย พริบตานั้นเอง เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วบริเวณ คมดาบของเขาสะบั้นศัตรูราวใบไม้ร่วง เลือดสีแดงฉานพวยพุ่งสู่ฟากฟ้า ร่างผู้โชคร้ายแหลกสลาย บ้างถูกตัดขาดเป็นสองท่อน บ้างสิ้นชีพในเสี้ยวพริบตา จากผู้ล้อมกรอบที่เคยอวดโอ่ บัดนี้เหลือเพียงไม่กี่ชีวิต ดวงตาทุกคู่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว "ไร้ค่า! พวกขยะเช่นนี้ ยังคิดจะสังหารมันอีกหรือ!?" เหลียนตงเยว่แค่นเสียงอย่างเดือดดาล ดวงตาลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะ "เราสามคนร่วมมือกัน—สังหารมันเสีย!" ทันใดนั้น ทั้งสามทะยานเข้าหาซ่งเหยียนเฟยพร้อมกัน! หนึ่งดาบ หนึ่งกระบี่ หนึ่งขวาน ซัดเข้าปะทะประหนึ่งพายุอสนีบาต! เสียงอาวุธกระทบกันดังกัมปนาท แรงปะทะสะท้านสะเทือนพื้นปฐพี ผืนดินแตกเป็นรอยร้าว ต้นไม้โค่นล้มเป็นแนวยาว ภูเขาถูกพลังสะบั้นจนป่นปี้ เศษหินกระเด็นปลิวราวสายฝน ภาพของการต่อสู้ดุเดือดปานสงครามเทพอุบัติขึ้นต่อหน้าทุกผู้คน ซ่งเหยียนเฟยสบโอกาส กระโจนขึ้นสู่เวหา พลังอำนาจแห่งอสนีสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา "ดาบฟ้าผ่าทลายโลกา!" พลันนั้น พลังสายฟ้าสีแดงฉานพวยพุ่งจากฟากฟ้า หลอมรวมเข้ากับดาบของเขา แปรเปลี่ยนเป็นคมอัสนีมหึมา เปล่งประกายดุจเทพแห่งอสนี ดาบยักษ์นั้นฟาดลงมาจากสวรรค์ ประหนึ่งเทพพิโรธลงมาพิพากษาโลกมนุษย์! เสียงอสนีบาตดังกึกก้อง พสุธาสะท้านสะเทือน ปานวาระวันสิ้นโลกกำลังมาเยือน ดาบอัสนีอันทรงพลังพุ่งลงมาหมายปลิดชีพทั้งสาม ซ่งเหว่ยนานมองภาพนั้น ดวงตาสั่นไหวไปด้วยความริษยา "ดาบทลายฟ้า...!" เหลียนตงเยว่กัดฟันแน่น ประจักษ์ถึงพลังทำลายล้างที่อาจบดขยี้ทุกสรรพสิ่งให้แหลกลาญ เขาตะโกนก้อง "ทุกคน ป้องกันไว้! มิฉะนั้น พวกเราจะพินาศ!" ทั้งสามต่างปลดปล่อยสมบัติป้องกันของตนออกมา แสงอาคมเรืองรองระเบิดประกายเจิดจ้า พลังปราณอันแข็งแกร่งถูกหลั่งไหลเข้าสู่สมบัติเหล่านั้น บังเกิดเป็นม่านพลังมหาศาลที่ปกคลุมทั่วร่างของพวกเขา ตูมมมมมม!! เสียงปะทะสะท้านฟ้า ดาบของซ่งเหยียนเฟยฟาดลงมา ประกายดาบพุ่งทะลวงเข้าใส่เกราะพลังของทั้งสาม เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว หากมีมนุษย์ธรรมดาผู้ใดตกอยู่ในรัศมีห้าพันลี้ คงไร้หนทางเอาชีวิตรอด พลังทำลายมหาศาลกวาดล้างทุกสรรพสิ่งโดยรอบ ภูเขาสูงถูกฟันขาดเป็นสองท่อน ต้นไม้ใหญ่นับพันปลิวว่อนดั่งใบไม้ต้องพายุ ราวกับสรรพสิ่งถูกฉีกขาดออกจากกัน แม้ทั้งสามจะสามารถสกัดพลังดาบไว้ได้ส่วนใหญ่ แต่แรงกระแทกที่เล็ดลอดผ่านม่านพลังยังคงส่งผลให้พวกเขากระอักโลหิตและได้รับบาดเจ็บหนัก “แฮ่ก...แฮ่ก... คาดไม่ถึง... พวกเจ้าสามคนจะสามารถต้านรับดาบของข้าได้” ซ่งเหยียนเฟยกล่าวเสียงเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยความกดดันราวกับยอดเขาที่ตั้งตระหง่าน เหลียนตงเยว่เช็ดโลหิตที่มุมปาก ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยแววตาคมกริบ “พวกข้าก็คาดไม่ถึงเช่นกัน ไม่คิดว่าข่าวลือจะเป็นความจริง... เจ้าก้าวเข้าสู่ระดับนั้นแล้ว หากมิใช่เช่นนั้น เพียงแค่เจ้าเพียงคนเดียว ย่อมไม่มีทางมีพลังกล้าแข็งถึงเพียงนี้ และคงมิอาจรับมือพวกเราสามคนได้อย่างแน่นอน” ดวงตาของเขาจ้องลึกเข้าไปในแววตาของซ่งเหยียนเฟย ดั่งจะมองทะลุทุกสิ่งภายในจิตใจของอีกฝ่าย ซ่งเหว่ยนานที่ยืนอยู่ด้านข้าง หรี่ตาลงพร้อมเอ่ยเสียงขุ่น “ซ่งเหยียนเฟย เจ้านี่มันรอบคอบยิ่งนัก แม้แต่ข้าเองก็ยังมิอาจล่วงรู้” น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความอิจฉาและโทสะอันยากจะปิดบัง ซ่งเหยียนเฟยปรายตามองเขาเพียงชั่วครู่ก่อนกล่าว “หากเจ้าซ่งเหว่ยนานสามารถรู้ทุกสิ่ง ข้าคงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้” คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความจริงแท้ หากความลับนี้แพร่งพรายออกไป ย่อมมีผู้คนมากมายหมายเอาชีวิตเขา เนื่องจากเขาเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในรอบหมื่นปีของตระกูลซ่ง เป็นผู้ที่ถูกวางความหวังว่าจะนำพาตระกูลสู่ความรุ่งเรือง หากเขาเติบโตขึ้นมา ผู้ที่หวาดกลัวอำนาจของเขาย่อมไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป ซ่งเหยียนเฟยสูดลมหายใจลึก ก่อนจะกล่าวเสียงทรงอำนาจ “ซ่งเหว่ยนาน เจ้าคิดให้รอบคอบ เจ้ากำลังร่วมมือกับศัตรูเพื่อสังหารสายเลือดเดียวกัน ถึงแม้เราจะเกิดจากมารดาคนละคน แต่เราก็มีบิดาคนเดียวกัน เจ้าควรเลือกข้างให้ถูกต้อง หากเจ้าหันมาช่วยข้าป้องกันศัตรู ย่อมเป็นทางเลือกที่สมควรกว่า” ซ่งเหว่ยนานชะงักไป ดวงตาของเขาฉายแววลังเล ริมฝีปากเม้มแน่น ความคิดปั่นป่วนประดังเข้ามาในจิตใจ ‘ชั่วดีอย่างไรเขาก็เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันกับข้า... เช่นนี้ถูกต้องแล้วหรือ? หรือว่าข้าได้ทำสิ่งที่ไม่อาจย้อนคืน?’ หัวใจของเขากระวนกระวาย ด้านหนึ่งคือความแค้นที่สุมอก อีกด้านคือสายสัมพันธ์แห่งโลหิตที่มิอาจตัดขาด เขาจะเลือกทางใด? หนทางแห่งโทสะ หรือเส้นทางแห่งสายสัมพันธ์? เหลียนตงเยว่จ้องมองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยดวงตาล้ำลึก ในใจคุกรุ่นไปด้วยความคิดอันแน่วแน่ 'มิได้! ข้าไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินไปตามอำเภอใจได้ มิเช่นนั้นภายภาคหน้าคงเกิดเรื่องใหญ่แน่ ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ซ่งเฟยเหยียนต้องจบชีวิตลงที่นี่!' เมื่อคิดเช่นนั้น เขาจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงเร้นด้วยเล่ห์เหลี่ยม ปลุกซ่งเหว่ยนานให้ตื่นจากภวังค์ "น้องซ่ง เจ้าอย่าได้หลงกลวาจาของมัน! สิ่งที่มันกล่าวก็เพื่อถ่วงเวลาให้เราลังเลเท่านั้น เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่ามันช่วงชิงสิ่งใดไปจากเจ้าบ้าง? ทั้งชื่อเสียง ศักดิ์ศรี ตำแหน่ง เกียรติยศ ล้วนถูกมันพรากไปจนสิ้น! ข้ารู้ว่าเจ้ามีน้ำใจ คิดกับมันเป็นพี่น้อง แต่เจ้าลองตรึกตรองดูเถิด! มันเคยคิดกับเจ้าเช่นนั้นหรือไม่? หากมันมีใจจริง เหตุใดจึงปล่อยให้เจ้าตกต่ำอับจนเป็นหมาหัวเน่าเช่นนี้!" ซ่งเหว่ยนานเมื่อได้ฟัง ดวงตาก็ลุกวาวด้วยเพลิงแห่งโทสะ เลือดลมเดือดพล่าน จิตใจพลันมืดบอด ลืมเลือนสติที่เคยมีสิ้น! เขากำหมัดแน่น ประกายเย็นเยียบวาบขึ้นในดวงตา เอ่ยวาจาออกมาด้วยเสียงเย็นชา "ซ่งเฟยเหยียน! เจ้ากับข้ามิเคยเป็นพี่น้องกัน! ทุกสิ่งที่ข้าสู้อุตส่าห์สร้างมาต้องพังทลายเพราะเจ้า! วันนี้... ข้าจะเป็นผู้ชำระแค้นด้วยมือของข้าเอง!" ชายหนุ่มแซ่เจินที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ เห็นฉากนี้แล้ว พลันเกิดความคิดในใจ 'เหลียนตงเยว่... บุรุษผู้นี้ ภายนอกดูสำรวมสงบเสงี่ยม ราวคุณชายผู้สูงศักดิ์ ทว่าภายในกลับล้ำลึกราวเหวสมุทร อำมหิตเยี่ยงอสูร ร้อยเล่ห์เพทุบายสามารถชักนำผู้คนให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งวาจาได้โดยง่าย นับเป็นบุคคลอันตรายอย่างแท้จริง! ในภายภาคหน้า หากไม่มีความจำเป็น ข้าคงต้องหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขาแล้ว' ซ่งเฟยเหยียนที่เผชิญหน้ากับคำกล่าวหา ถึงกับชะงักไปชั่วขณะ ก่อนเอ่ยออกมาด้วยแววตาเย็นเยียบ เสียงเต็มไปด้วยความผิดหวัง "เจ้า... ไยจึงโง่เขลาเช่นนี้! ถูกสั่นคลอนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็มิอาจแยกแยะถูกผิดได้แล้วหรือ?!" เหลียนตงเยว่เห็นว่าสถานการณ์กำลังเป็นไปตามที่ตนต้องการ จึงก้าวขึ้นมาข้างหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง "พวกเราในสภาพเช่นนี้ ไม่อาจรับมือซ่งเฟยเหยียนได้โดยตรง ทว่า... ข้ามีสิ่งหนึ่งที่จะสามารถควบคุมเขาได้! ค่ายกลพฤกษาวารี ท่านพ่อของข้าได้มันมาจากแดนไกล" นายน้อยเจินเมื่อได้ยินถึงกับเบิกตากว้าง เอ่ยออกมาด้วยความตกตะลึง "ค่ายกลพฤกษาวารีแห่งเผ่าพฤกษาในตำนานหรือ?! ข้าเคยได้ยินมาว่า ค่ายกลนี้สามารถกักขังยอดฝีมือระดับหัวหน้าตระกูลหรือเจ้าสำนักได้โดยง่าย เจ้ามีมันจริงๆ หรือ?!" เหลียนตงเยว่หัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าว "หามิได้ นี่เป็นเพียงของลอกเลียนแบบเท่านั้น อีกทั้งยังเสียหายไปมากแล้ว ทว่าก็เพียงพอจะใช้สยบซ่งเฟยเหยียน!" เขาส่งสายตาคมกริบมองไปยังสองสหาย กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ค่ายกลนี้ต้องใช้พลังจากผู้บรรลุระดับเขตแดนสวรรค์ถึงสามคนในการเปิดใช้งาน พวกเราต้องร่วมกันถ่ายพลังปราณเข้าไปเพื่อควบคุมมัน!" กล่าวจบ เขาก็หยิบเอาค่ายกลเก่าแก่ที่ดูคล้ายใบไม้ออกจากกระเป๋ามิติ จากนั้นประสานมือ บรรจงวาดอักขระลึกลับกลางอากาศ คลื่นพลังโบราณแผ่กระจายออกมาเบาบาง "น้องซ่ง นายน้อยเจิน! ถึงเวลาแล้ว!" เหลียนตงเยว่หันไปพยักหน้าให้ทั้งสองคน ทั้งสามและเหล่าผู้รอดชีวิตต่างเร่งเร้าพลังปราณส่งเข้าสู่ค่ายกลป้องกันอันวิจิตร ทันใดนั้น เสียงสั่นสะเทือนดังขึ้น "เอี๊ยด" ราวกับประตูโบราณกำลังถูกผลักออก แสงสีเขียวอมฟ้าพวยพุ่งออกมาราวกับสายธารแห่งพลัง เส้นสายของอักขระค่ายกลเริ่มปรากฏเป็นรัศมี ก่อนจะกลายเป็นเถาวัลย์มหึมานับพัน พวกมันแผ่ขยายออกไปดุจงูใหญ่ แผ่ไอพลังที่เย็นยะเยือกและแฝงไปด้วยกลิ่นอายพิษร้ายกาจ หนามสีฟ้าหม่นดั่งน้ำแข็งแหลมคมปกคลุมทั่วลำต้น พร้อมจะปลิดชีพผู้กล้าทั้งหลายที่ขวางทาง เถาวัลย์อสรพิษนับพันพุ่งทะยานหมายสังหารซ่งเหยียนเฟย ประหนึ่งคลื่นพายุที่ไร้ซึ่งปรานี ทว่าชายหนุ่มหาได้ครั่นคร้ามไม่ เขากระชับกระบี่ในมือ ก่อนจะสะบั้นลงอย่างเฉียบขาด เถาวัลย์ที่พุ่งเข้าหาถูกฟาดฟันจนขาดสะบั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทว่าความพิศวงของมันคือ ยิ่งถูกทำลาย พวกมันกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้น ราวกับมีชีวิตที่ไม่มีวันสิ้นสุด ขนาดของมันขยายใหญ่ขึ้น ความเร็วเพิ่มขึ้นราวกับพายุที่บ้าคลั่ง ซ่งเหยียนเฟยแม้เป็นอัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์ ทว่าบาดแผลจากศึกก่อนหน้ายังคงกัดกร่อนเรี่ยวแรงของเขา ยิ่งใช้พลังต่อกรกับเถาวัลย์ปีศาจ ยิ่งทำให้พลังชีวิตของเขาร่อยหรอลงทุกขณะ ลมหายใจหนักหน่วง แรงกำลังถดถอย แต่จิตวิญญาณแห่งนักสู้ยังคงลุกโชนไม่ยอมพ่ายแพ้ ‘หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องดับดิ้นเป็นแน่ เถาวัลย์เหล่านี้ราวกับปีศาจ ยิ่งตัดมันก็ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเท่าตัว! มีวิธีใดเล่าที่จะหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้?’ นัยน์ตาคมกริบของเขาฉายแววไม่ยินยอม ดวงจิตแห่งอัจฉริยะไม่อาจยอมรับความตายที่ไร้ความหมายได้ ‘ซ่งเหยียนเฟย ข้าครองชื่อเสียงเลื่องลือมานับยี่สิบปี ต้องมาจบชีวิตเพียงเท่านี้อย่างนั้นหรือ?’ ขณะที่สิ้นหวัง เสี้ยวหนึ่งของความทรงจำพลันแวบผ่านเข้ามาในห้วงคิดของเขา ดวงตาเปล่งประกาย ก่อนจะจ้องไปยังบางสิ่งในอกเสื้อ ‘จริงสิ! สมบัติที่ข้าได้จากสถานที่นั้น! มันมีลักษณะคล้ายค่ายกลมิติเคลื่อนย้าย…’ ซ่งเหยียนเฟยเคยอ่านจากตำราพิสดาร แม้ไม่รู้ว่าค่ายกลนี้จะส่งตนไปยังแห่งหนใด แต่หากยังคงรั้งอยู่ที่นี่ ความตายย่อมเป็นสิ่งแน่นอน ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว ‘หากภูเขายังคงตั้งตระหง่าน ย่อมมีไม้ให้จุดไฟเสมอ’ เขาตัดสินใจในฉับพลัน ไม่มีสิ่งใดให้ต้องลังเลอีกต่อไป มือเรียวแกร่งควักสมบัติล้ำค่าออกมา ก่อนจะเร่งเร้าพลังปราณสู่มัน แสงเจิดจ้าเปล่งประกายราวอาทิตย์กลางเวหา เสียงของค่ายกลเคลื่อนย้ายเริ่มทำงาน ท่ามกลางวงล้อมของเถาวัลย์มฤตยู ซ่งเหว่ยนานขมวดคิ้วแน่น ดวงตาฉายแววฉงน "เขานำสิ่งใดออกมา?" นายน้อยเจินเพ่งมองสิ่งนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "ของชิ้นนี้... ช่างละม้ายคล้ายกับค่ายกลมิติเคลื่อนย้ายโบราณ!" เหลียนตงเยว่หน้าถอดสี ร่างกายสั่นสะท้านเล็กน้อยราวกับตระหนักถึงภัยอันใหญ่หลวง "ใช่แน่นอน! แย่แล้ว! เขาคิดจะใช้มันเพื่อหลบหนี! ทุกคน เร่งมือให้ไว! เติมพลังปราณให้ถึงขีดสุด!" ทันใดนั้น คลื่นพลังปราณจากยอดฝีมือทั้งหลายก็ระเบิดออกมาราวกับสึนามิที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่ง พลังเหล่านั้นหลั่งไหลเข้าสู่ค่ายกลเบื้องหน้าโดยไม่อาจห้ามได้ ค่ายกลเริ่มส่องประกายเจิดจ้า ประกายอักขระเรืองรองยิ่งทวีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เถาวัลย์จำนวนมหาศาลงอกเงยขึ้นจากพื้น เพิ่มขึ้นถึงห้าเท่าจากเดิม! พวกมันหนาขึ้น ยาวขึ้น ราวกับมังกรพันปีที่มีชีวิต หลากหลายเส้นแผ่ขยายพุ่งเข้าโจมตีซ่งเหยียนเฟยราวกับอสรพิษที่หิวกระหาย ซ่งเหยียนเฟยจ้องมองทุกสิ่งเบื้องหน้าด้วยแววตาเย็นเยียบ ก่อนที่เสียงคำรามต่ำจะลอดออกมาจากลำคอ "สารเลว! ในเมื่อพวกเจ้าบีบให้ข้าจนตรอกนัก!" สิ้นคำ ดวงตาของเขาก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทดุจเหวลึกแห่งความมืดมิด พลังอันน่าสะพรึงเริ่มพลุ่งพล่านออกจากร่างของเขา มวลพลังอันลึกลับปะทุออกมาเป็นระลอกคลื่น สั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ อัสนีสีแดงโลหิตแล่นพล่านทั่วร่างของเขา ก่อเกิดเป็นอสนีบาตอันเกรี้ยวกราดรอบตัว ร่างของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลง ค่อยๆ บีบอัดแน่นจนกลายเป็นสีดำสนิทราวกับเงามัจจุราช พลังมหาศาลปะทุออกมาจากร่างของเขา บิดเบี้ยวอากาศโดยรอบ เถาวัลย์อันแข็งแกร่งที่เคยเป็นดั่งกำแพงเหล็กถูกแรงกดดันของเขาทำลายเป็นเสี่ยงๆ พวกมันแตกออก ราวกับเต้าหู้ที่ถูกสับด้วยกระบี่อันแหลมคมที่สุดในใต้หล้า เหลียนตงเยว่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง ก่อนจะตะโกนขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ "บัดซบ! เขากำลังจะระเบิดตัวเอง!" “ทุกคน ป้องกันตัวเองให้ดี! หนีออกไปให้ไกลที่สุด!” เสียงตะโกนของเขาทำให้เหล่ายอดฝีมือรีบลงมือ พวกเขาต่างชักนำอาวุธวิเศษและยันต์ป้องกันออกมา เร่งเร้าพลังปราณของตนเพื่อเสริมเกราะป้องกัน พร้อมกันนั้นก็เร่งรุดหลบหนีด้วยความเร็วสูงสุด ทุกคนต่างตระหนักได้ว่า หากถูกพลังระเบิดของซ่งเหยียนเฟยซัดกระแทกเข้าไปโดยตรง มีแต่ต้องม้วยมรณาเท่านั้น! บรรยากาศรอบข้างพลันเงียบงัน อากาศเย็นเฉียบราวกับถูกแช่แข็ง กาลเวลาเหมือนหยุดชะงัก ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับกลายเป็นความว่างเปล่าในห้วงมิติแห่งความตาย... ณ วินาทีนี้เอง พายุทำลายล้างกำลังจะถือกำเนิดขึ้น! ตู้มมมมม!! เสียงกัมปนาทสะท้านฟ้าสะเทือนดิน แรงระเบิดอันเกรี้ยวกราดทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าให้มลายสิ้น สายฟ้าสีชาดสาดประกายเจิดจ้า ผสานกับความมืดที่ก่อตัวขึ้นราวกับเป็นเงามรณะ พลังทำลายของมันกวาดล้างทุกสรรพสิ่งในรัศมีหนึ่งหมื่นลี้จนสิ้นซาก ภูเขาสูงตระหง่านแปรเป็นผุยผง ต้นไม้ใหญ่ลอยคว้างก่อนจะถูกแรงลมกรรโชกกระจายไปตามสายอัสนี แผ่นดินแตกร้าวเป็นปริฉาก แม่น้ำพลันเหือดแห้งประหนึ่งถูกฉีกขาดจากห้วงมิติ ความรุนแรงครั้งนี้มิใช่เพียงแค่แผ่นดินไหวสะเทือน แต่ราวกับเป็นจุดสิ้นสุดของโลกใบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกบดขยี้ให้กลับคืนสู่วัฏจักรดั่งเดิม แม้แต่ห้วงมิติเองยังมิอาจต้านทาน พลังอันมหาศาลนี้ได้ฉีกเปิดช่องว่างแห่งกาลเวลา เผยให้เห็นรอยร้าวแห่งจักรวาล สำหรับผู้ที่มิอาจหลบหนีได้ทัน— ซ่า! ซ่า! ละอองเลือดสาดกระเซ็นดุจสายฝน อณูชิ้นเนื้อกระจัดกระจายปลิวว่อนไปตามสายลม บ้างสูญสลายไปโดยสิ้นไร้ซาก ความคาวคลุ้งของโลหิตแผ่กำจายไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ เติมแต่งทัศนียภาพให้กลายเป็นสีแดงฉาน ดินแดนที่เคยอุดมสมบูรณ์ บัดนี้กลับไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต ทุกอย่างตกอยู่ในห้วงอ้างว้างเงียบงัน ไร้ซึ่งร่องรอยของผู้คน มิอาจล่วงรู้ได้เลยว่า ณ ที่แห่งนี้เคยมีการต่อสู้ที่ดุเดือดเกิดขึ้น ทุกสรรพสิ่งอันตรธานหายไป เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าอันเป็นนิรันดร์ ห่างออกไปจากจุดศูนย์กลางของแรงระเบิด บุคคลสามคนกำลังเคลื่อนที่อย่างทุลักทุเล ร่างกายอาบโชกไปด้วยโลหิต สภาพของพวกเขาเสมือนวิญญาณที่เพิ่งหลบหนีจากเงื้อมมือมัจจุราชได้อย่างหวุดหวิด ผิวกายเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ เสื้อผ้าขาดวิ่น มองดูแล้วไม่น่าอภิรมย์เลยแม้แต่น้อย แม้ทั้งสามจะสามารถเอาชีวิตรอดจากมหันตภัยครั้งนี้ได้ ทว่าพลังทำลายล้างจากการระเบิดของซ่งเหยียนเฟยนั้นรุนแรงเกินกว่าที่จะต้านทาน รวดเร็วเกินกว่าที่จะหลบหลีก แม้ว่าพวกเขาจะใช้ค่ายกลพฤกษาวารีเป็นเกราะกำบัง ทว่ามันก็เป็นเพียงของลอกเลียนแบบที่บอบบาง อีกทั้งพลังปราณที่ใช้ควบคุมค่ายกลก็มีน้อยเกินไป ไม่อาจหยุดยั้งคลื่นทำลายล้างได้โดยสมบูรณ์ สุดท้าย แม้จะหลบพ้นจากเงื้อมมือแห่งความตายมาได้ ทว่าพวกเขากลับต้องแลกมาด้วยความสูญเสียมหาศาล ความมุ่งหมายที่ตั้งใจไว้กลับกลายเป็นเพียงภาพลวงตา ประหนึ่งคำกล่าวที่ว่า 'จับไก่ยังไม่ได้ ยังต้องเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือ' ท่ามกลางสนามรบที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและซากศพ ฝุ่นควันจากการปะทะยังคงลอยอ้อยอิ่งไม่จางหาย เศษซากของพลังปราณและพลังทำลายล้างยังคงสั่นสะเทือนอยู่ในอากาศ หนุ่มแซ่เจิน แม้ร่างกายโชกเลือด แต่ยังคงยืนหยัดอย่างองอาจ ท่าทางของเขาแม้จะบาดเจ็บหนัก ทว่าสายตากลับแน่วแน่ไม่หวั่นไหว เขาประสานมือคารวะอย่างอ่อนแรงก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น "ทุกท่าน ข้าขอตัวไปรักษาตัวเองก่อน" กล่าวจบ ร่างของเขาก็เคลื่อนจากไป แม้ฝีเท้าจะอ่อนแรง แต่ก็ยังทรงอำนาจดุจอสูรที่บาดเจ็บ ยังคงสง่างามดุจราชสีห์ผู้ไม่ยอมล้มลงง่าย ๆ เหลียนตงเยว่ทอดสายตามองตาม ก่อนจะหันไปกล่าวกับซ่งเหว่ยนาน "น้องซ่ง เจอกันใหม่ ลาก่อน" ซ่งเหว่ยนานกำมือแน่น ดวงตาฉายแววครุ่นคิดก่อนกล่าวขึ้น "พี่เหลียน ข้าคิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เขามีสายเลือดเผ่าทมิฬ..." เหลียนตงเยว่พลันแค่นเสียงเบา ๆ คล้ายยิ้มเย้ยหยัน ทว่าแววตากลับฉายประกายลึกล้ำ เขาเงยหน้ามองไปยังจุดที่การระเบิดรุนแรงที่สุดก่อนกล่าวเสียงขรึม "แม้เขาจะมีสายเลือดเผ่าทมิฬไหลเวียนอยู่ในร่าง แต่มิอาจปฏิเสธได้ว่าการระเบิดครั้งนี้รุนแรงเกินไป อีกทั้งก่อนหน้านี้ เขาก็บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว โอกาสรอดของเขาคงไม่เกินสามส่วน... ต่อให้รอดมาได้ ก็คงเป็นได้เพียงคนพิการเท่านั้น ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะโชคดีถึงเพียงนั้น" สายตาของเขายังคงทอดมองไปยังเถ้าถ่านที่ฟุ้งกระจายในอากาศ คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยคล้ายต้องการย้ำเตือนตนเองให้เชื่อในคำพูดนั้น ทว่าในส่วนลึกของใจกลับรู้สึกแปลกประหลาด... ซ่งเหว่ยนานพยักหน้าช้า ๆ "ได้ยินท่านพูดเช่นนี้ ข้าก็เบาใจลง หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น... เจอกันใหม่ พี่เหลียน" "เจอกันใหม่ น้องซ่ง" เหลียนตงเยว่ประสานมืออย่างสง่างาม ทั้งสองต่างพยุงร่างโชกเลือดของตนออกจากพื้นที่แห่งการสังหาร ซ่งเหว่ยนานที่มีพลังอ่อนแอที่สุดยิ่งเดินได้อย่างยากลำบาก ทุกย่างก้าวของเขาทิ้งรอยโลหิตไว้เบื้องหลัง ทว่าภายในแววตายังคงสะท้อนถึงจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้ เมื่อร่างของทั้งสองลับสายตา ความเงียบสงัดก็ค่อย ๆ โรยตัวลงบนสนามรบอีกครั้ง สายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน ปัดเป่าคราบเลือดและเศษซากของศึกครั้งใหญ่ ทว่ากลิ่นแห่งความเป็นตายยังคงค้างอยู่ในอากาศไม่จางหาย...ณ ห้วงเวลาที่ร่างของซ่งเหยียนเฟยกำลังแตกสลายประหนึ่งบุปผาต้องวายุพัด ร่างหนึ่งพลันปรากฏกายดุจเทพเซียนเหินลงจากสรวงสวรรค์ ท่ามกลางกระแสพลังที่บิดเบี้ยว ร่างนั้นทิ้งกายลงสู่ใจกลางค่ายกล หากพิจารณาด้วยสายตาถี่ถ้วน จะประจักษ์ชัดว่ารูปโฉมนั้นละม้ายคล้ายคลึงซ่งเหยียนเฟยมิมีผิดเพี้ยน เว้นแต่เพียงสัดส่วนที่ย่อลงราวกับถอดแบบมาในขนาดเล็ก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือซ่งเหยียนเฟยในร่างจำลองอันน่าพิศวง จากเดิมที่ซ่งเหยียนเฟยเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม ดวงหน้าหวานล้ำประดุจสตรีแรกแย้ม เมื่อกลับกลายร่างเป็นขนาดจิ๋ว กลับดูน่ารักน่าเอ็นดูราวกับตุ๊กตาแก้วเจียระไนก็มิปาน ผิวพรรณผุดผ่องดุจหิมะแรกต้องแสงจันทร์ นัยน์ตากลมโตเปล่งประกายราวดวงดาราบนฟากฟ้า จมูกโด่งเล็กรับกับริมฝีปากบางราวกลีบดอกเหมย รอบกายของร่างน้อยนั้นเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ประหนึ่งมีหลุมดำอมฤตย์ขนาดยักษ์กำลังอ้าปากกลืนกินสรรพสิ่งในห้วงมิติ พลังงานอันมหาศาลหมุนวนรอบตัวเขา ก่อเกิดเป็นกระแสลมที่พัดโหมกระหน่ำราวพายุคลั่ง แสงสีม่วงครามสาดส่องเจิดจ้าจนแสบตา "พรึ่บ!" ทันใดนั้น สรรพสิ่งก็กลับคืนสู่ความสงบเงียบ ราวกับมิเคยมีสิ่งใดปรากฏ ณ ที่แห่งนี้
ยามอรุณรุ่งเรืองรอง แสงสุริยันแรกผุดพ้นขอบฟ้า สาดส่องสีทองทาบทาทั่วผืนแผ่นดิน ลอดผ่านร่องรอยปริแตกเพียงเล็กน้อยของบานหน้าต่างไม้ ต้องใบหน้าคมสันของอวี้เหวิน เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นวันใหม่ ท้องนภาสีครามสดใส ไร้ซึ่งเมฆามาบดบัง หมู่สกุณาน้อยใหญ่ต่างขับขานเสียงเพลงอันไพเราะ ดังก้องกังวานไปทั่วพฤกษานานา ระหว่างที่พวกมันโผบินออกหาอาหารในยามเช้า อวี้เหวินค่อยๆ ลืมตาตื่นจากนิทรา ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตามวิถีแห่งผู้ฝึกตน ก่อนที่แสงตะวันจะทอเต็มฟ้า เขาจะฝึกฝนร่างกายเสริมสร้างความแข็งแกร่ง เพื่อเป็นรากฐานอันมั่นคงในการบ่มเพาะพลังปราณในภายภาคหน้า วันนี้ก็เช่นเคย ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม "ฟึ่บ! ฟึ่บ!" เสียงหมัดหนักแน่นผสานกับการเคลื่อนไหวที่ว่องไว ราวกับสายลมที่พัดผ่าน นี่เป็นช่วงท้ายของการฝึกกายา เหงื่อที่ไหลรินชุ่มโชกอาภรณ์เนื้อหยาบที่สวมใส่ เป็นดั่งเครื่องยืนยันถึงความมานะพากเพียรในการขับพิษและสิ่งสกปรกออกจากร่างกายเมื่อสุริยเทพเพิ่งจะฉายรัศมีเจิดจ้า อวี้เหวินหลังจากรับประทานอาหารเช้าที่เรียบง่ายแต่เพียงพอต่อการบำรุงกำลังเสร็จสิ้น จึงเตรียมตัวออกเดินทางสู่พงไพรบนยอดเขา เขาจัดเตรี
ขณะที่อวี้เหวินหันกายกลับไป ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในห้วงสายตาของเขา ราวกับบุปผาต้องลมที่ร่วงหล่นลงบนผืนดินอันแข็งกระด้าง'ผู้ใดกันเล่า เหตุใดจึงมานอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่กลางป่าลึกอันเปลี่ยวร้างเช่นนี้?' เขาครุ่นคิดในใจ พลางย่างเท้าเข้าไปหาร่างนั้นด้วยความระมัดระวัง ราวกับเกรงว่าเสียงฝีเท้าจะรบกวนการพักผ่อนอันแสนเงียบสงบ ร่างมนุษย์บอบบางร่างหนึ่งที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติ ค่อยๆ ปรากฏรูปร่างชัดเจนขึ้นในม่านสายตาของอวี้เหวิน'ช่างงดงามเสียจริง...สตรีเช่นนั้นหรือ?' อวี้เหวินจ้องมองไปยังร่างนั้นอย่างตะลึงงัน ราวกับต้องมนต์สะกด ผิวพรรณขาวผ่องดุจหิมะแรกต้องแสงจันทร์ ใบหน้างดงามหมดจดราวกับเทพธิดาที่ร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ เส้นผมสีแดงเพลิงยาวสลวยราวกับสายไหม ทว่า...บนชุดผ้าเนื้อดีที่นางสวมใส่นั้น ปรากฏร่องรอยแห่งการฉีกขาดและคราบโลหิตแห้งกรัง บ่งบอกถึงการเผชิญเคราะห์ร้ายมามิใช่น้อย'ดูท่าทางนางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก ข้าควรยื่นมือเข้าช่วยเหลือตามวิสัยบุรุษหรือไม่?' ความลังเลฉายชัดในดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวของเขา"ตุบ!" เสียงฝ่ามือหนาหนักกระทบลงบนศีรษะตนเองเบาๆ "เจ้ามันคนใจหินไปแล้ว
ในห้วงสำนึกของซ่งเหยียนเฟย 'เหตุใดข้าจึงมิอาจขยับเขยื้อนกายได้?' ความรู้สึกอึดอัดประดุจถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทว่าท่ามกลางความอึดอัดนั้น กลับมีกระแสไออุ่นอันแสนสบายราวกับแสงตะวันยามเช้าค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ทุกอณูของร่างกาย 'สิ่งนี้คืออันใดกัน? ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างประหลาด ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นแขนขาที่ข้าเคยใช้มานับครั้งไม่ถ้วน' ดวงจิตในห้วงสำนึกจับจ้องไปยังอวัยวะภายในที่ถูกห่อหุ้มด้วยม่านพลังสีดำมืดสนิท ราวกับราตรีที่ไร้ซึ่งดวงดาว "อ๊ากกก!" ฉับพลันทันใดนั้นเอง กระแสพลังแห่งความมืดที่เคยอ่อนโยนกลับแปรเปลี่ยนเป็นคมมีดนับพันเล่ม กรีดแทงลึกลงไปในส่วนที่สึกหรอ บาดแผล และความอ่อนแอภายในร่างกายของเขา สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสราวกับถูกฉีกทึ้งวิญญาณ ทว่าเมื่อห้วงเวลาแห่งความทรมานนั้นค่อยๆ ผ่านพ้นไป อาการบาดเจ็บภายในที่เคยร้าวรานกลับค่อยๆ สมานตัวดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับได้รับการชุบชีวิตใหม่ ทันใดนั้นเอง ความทรงจำและองค์ความรู้บางอย่างก็ไหลบ่าเข้ามาในห้วงสำนึกของเขา 'หรือว่า...จะเป็นพลังทมิฬ? พลังแห่งความมืดมิดที่บริสุทธิ์ สีดำสนิทดุจห้วงอว
ครู่กาลล่วงเลย เปลือกตาคู่หนึ่งจึงค่อยๆ ปรือเปิดจากห้วงนิทรา ความพร่าเลือนในม่านตาค่อยๆ จางหาย แปรเปลี่ยนเป็นความคมชัด อวี้เหวินขยับศีรษะเพียงเล็กน้อย หันไปยังทิศเบื้องขวา จึงปรากฏแก่สายตาซึ่งร่างของอสูรแมงมุมพิศดารตัวหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ เมื่อพิเคราะห์ดูอย่างละเอียดละออ จะเห็นได้ว่าใบหน้าของมันละม้ายคล้ายคลึงกับสุนัขอย่างน่าประหลาด มันถูกพิฆาตจนร่างแหลกเหลวออกเป็นสองส่วน ชิ้นส่วนอวัยวะกระจัดกระจาย เลือดสีม่วงเข้มข้นไหลนองผืนปฐพี ส่งกลิ่นคาวคลุ้งรุนแรงท่ามกลางไอแดดที่แผดเผาราวกับเปลวเพลิง"เจ้าตื่นแล้วหรือ?" เสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มิได้แสดงความตื่นตระหนกต่อภาพที่ปรากฏเสียงนั้นปลุกอวี้เหวินให้หลุดพ้นจากภวังค์แห่งความงุนงง เขาสังเกตเห็นว่าอาภรณ์ของตนเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีม่วงเหนียวข้น ซึ่งบัดนี้ได้แห้งกรังติดอยู่กับเนื้อผ้า "มัน... มันเกิดอันใดขึ้นกัน?" อวี้เหวินพึมพำด้วยความสับสนงุนงาย"เจ้าถูกอสูรแมงมุมพิษหน้าสุนัขเล่นงานเข้าแล้ว" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวพลางชี้ไปยังซากอสูรที่นอนตายอยู่มิไกล"เจ้าอาจถูกพิษของมันขณะที่ยึดเหนี่ยวโขดหินนั่น จึงเป็นเหตุให้เจ้ารู้สึกหนักอึ้งร
ท่ามกลางเมืองเฉินอันคึกคัก มีร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในย่านเก่าแก่ของเมือง แม้ขนาดของมันจะมิได้ใหญ่โตโอฬาร ทว่ากลับแฝงไปด้วยร่องรอยของกาลเวลาที่สั่งสมมาเนิ่นนาน ร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อว่า "美味" (Měiwèi, ของกินเลิศรส) ซึ่งนับเป็นร้านอาหารที่มีเกียรติและได้รับการยอมรับสูงสุดในเมืองเฉิน เมื่อย่างกรายเข้ามาเบื้องหน้าร้าน ผู้อาจหาญทั้งหลายย่อมต้องหยุดสายตาลงยังป้ายไม้เก่าแก่ที่แขวนอยู่เหนือประตู ป้ายไม้แผ่นนี้ถูกสลักด้วยลายมือวิจิตรงดงาม บ่งบอกถึงชื่อร้านที่สืบทอดมาแต่โบราณ ด้านข้างของร้าน อักษรสลักบนผนังทั้งสองฝั่งยิ่งเสริมความหนักแน่นให้แก่สถานที่แห่งนี้ ทางขวาคือคำว่า "张进鸿" (เตียจิงฮ้ง, เจริญก้าวหน้าเกริกก้องเกรียงไกร) และทางซ้ายคือ "荣耀" (Róngyào, มีเกียรติอันประเสริฐรุ่งโรจน์) หากบุคคลทั่วไปได้พบเห็น คงเข้าใจว่านี่เป็นเพียงคำอวยพรเพื่อเสริมสิริมงคล ทว่าผู้ที่ล่วงรู้เบื้องลึกแห่งร้านเหมยเหว่ยย่อมตระหนักดีว่า นี่มิใช่เพียงถ้อยคำมงคล หากแต่เป็นปณิธานอันหนักแน่นของสถานที่แห่งนี้ อักษรด้านขวาถูกจารึกขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้คนที่แวะเวียนมารับประทานอาหาร ณ ที่แห่งนี้ โดยเฉ
"ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำเกินหยั่งถึง!" อวี้เหวินอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายราวกับค้นพบขุมทรัพย์ล้ำค่า เขาทอดสายตามองไปยังห้วงความคิด พลางหวนรำลึกถึงเนื้อหาของเคล็ดวิชาอีกครา 'เคล็ดวิชาหมัดอัคนีสังหารนั้น แบ่งออกเป็นสามขอบเขตใหญ่ อันได้แก่ ปฐพี อัคคี และวารี แต่ละขอบเขตยังแบ่งย่อยออกเป็นสามระดับ คือ เเรกเริ่ม กลาง และสูงสุด ในขอบเขตปฐพีนั้น เป็นการวางรากฐานแห่งกระบวนท่าของหมัดอัคนีสังหาร พลังอำนาจแห่งหมัดในระดับเริ่มต้นอยู่ที่สามร้อยจิน ระดับกลางอยู่ที่หกร้อยจิน และระดับสูงสุดอยู่ที่เก้าร้อยจิน' ภาพกระบวนท่าอันสลับซับซ้อนเริ่มฉายชัดในมโนสำนึกของอวี้เหวิน ราวกับมีผู้มาสาธิตอยู่ตรงหน้า เขาสังเกตทุกการเคลื่อนไหว จดจำทุกรายละเอียด เมื่อเริ่มเข้าใจในแก่นแห่งวิชาแล้ว อวี้เหวินจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เริ่มต้นร่ายรำตามภาพที่ปรากฏในห้วงนิมิต ฝ่ามือและหมัดถูกส่งออกไปในอากาศอย่างหนักแน่น สลับหมุนเวียนราวกับพายุโหมกระหน่ำ เท้าก้าวไปตามจังหวะ ท่วงท่าการยืนมั่นคงดุจขุนเขา ทุกอิริยาบถที่แสดงออกมาล้วนสง่างามและหนักแน่นราวกับผืนปฐพีอันกว้างใหญ่ ในระหว่างที่ฝึกฝนเพลงหมัด อวี้เหวินมิไ
ยามเมื่อสุริยันเยื้องย่างลงจากนภา โลกธาตุพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มชาด แสงสุดท้ายสาดส่องทาบทาทิวเมฆราวกับผ้าไหมปักลาย เด็กหนุ่มนามว่าอวี้เหวินก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ทอดฝีเท้าหนักแน่นแต่มิได้เร่งรีบ จุดหมายปลายทางคือบ้านหลังน้อย แสงไฟสลัวริบหรี่ลอดออกมาจากบานหน้าต่างไม้ในอีกไม่กี่ก้าวเบื้องหน้า ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักตลอดวันเกาะกุมหัวใจ ทว่าเมื่อย่างเท้าเข้าสู่เรือน ได้รับการต้อนรับอันอบอุ่นและการดูแลเอาใจใส่จากผู้เป็นบิดา ความอ่อนล้าทั้งมวลก็มลายหายสิ้นดุจไอหมอกยามรุ่งอรุณ หลังจากอวี้เหวินและบิดาได้ร่วมโต๊ะทานอาหารค่ำ พูดคุยสารทุกข์สุกดิบจนกระทั่งราตรีเริ่มย่างเข้าสู่ยามดึกสงัด อวี้เหวินจึงนั่งลงขัดสมาธิ สงบจิตใจปรับลมปราณอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะล้มตัวลงนอน ณ ห้วงความมืดมิดภายในเม็ดหินอัญมณีสีดำสนิทที่ห้อยอยู่บนคอของอวี้เหวิน ปรากฏร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างอ้อยอิ่ง “สามสิบสี่… สามสิบห้า… เวลาล่วงเลยมาเกือบเดือน ข้ากลับเคลื่อนกายมาได้เพียงสามสิบห้าก้าวเท่านั้น เบื้องหน้าจักมีสิ่งใดซ่อนอยู่อีกเล่า?” ซ่งเหยียนรำพึงรำพันกับตนเอง พลางหายใจหอบถี่ราวกับคนจมน้ำ เขานั่งลง หลับตาลงเพื่อ
ประตูไม้เก่าเก็บของเพิงพักส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อถูกผลักเปิดออก เสาไม้ผุกร่อนเอียงตามแรงลมประหนึ่งจะถล่มลงได้ทุกเมื่อ กลิ่นอับชื้นจากเศษฝุ่นและไม้เก่าภายในชวนให้นึกถึงเพิงร้างไร้ผู้คน อวี้เหวินก้าวเข้าสู่ที่พักชั่วคราวนั้นอย่างระมัดระวัง แขนแข็งแรงประคองร่างบางในชุดขาวของสตรีเบื้องหน้าไว้แนบอก ราวกับกลัวเพียงแรงสะเทือนเพียงน้อยจะทำให้นางแตกสลายยามเมื่อร่างบอบบางถูกวางลงบนฟูกฟางเก่าเนื้อดี มือแกร่งค่อยประคองจัดท่าให้สตรีผู้นั้นนั่งลงอย่างนุ่มนวล แม้ใบหน้างามล่มเมืองจะถูกผืนแพรบางสีขาวปิดบังไว้ ทว่ารัศมีแห่งความงามราวเทพธิดาจำแลงก็มิอาจซ่อนเร้นได้ นางนั่งสงบนิ่งราวกับภาพวาดจากปลายพู่กันของจิตรกรสวรรค์ แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องลงมาเป็นลำ เส้นผมดำขลับยาวสลวยดั่งน้ำตกจากผา สูบประกายจากผิวขาวผ่องราวหิมะแรกต้องแสง จนบุรุษผู้พบเห็นมิกล้าแม้แต่จะสัมผัสอวี้เหวินสูดลมหายใจลึก มือหนึ่งค่อยเอื้อมไปปลดปมเสื้อคลุมเนื้อละเอียดทางด้านหลัง นิ้วมือที่เคยชาชินกับการจับดาบในสนามรบ กลับสั่นระริกเมื่อสัมผัสผืนผ้าบางเบาดุจกลีบเมฆ เสื้อคลุมสีขาวนวลค่อยๆ ร่วงหล่นจากบ่า เผยแผ่นหลังขาวเนียนราวมรกตไร้ตำหนิ นุ่มละ
ใต้ฟ้าค่ำ...ทะเลไร้คลื่นลมกลับโหมกระหน่ำด้วยกลิ่นอายแห่งการประทะอันเกรี้ยวกราด ริมฝั่งเกาะร้างท่ามกลางม่านรัตติกาล อวี้เหวินยืนนิ่งกลางพื้นทรายที่แตกร้าวเป็นตาข่ายโลหิต เบื้องหน้าเขา ร่างอสูรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหลิวหงกลับทรุดตัวลงอย่างยากจะหยัดยืน พลังที่เคยแข็งแกร่งเช่นขุนเขา บัดนี้กลับสั่นคลอนดั่งเสาหลักบ้านทรุดโทรมแววตาของอวี้เหวินเรืองแสงสีทองอ่อน ภายในนั้นแฝงไว้ด้วยรังสีแห่งเพลิงอัคคีและประกายแห่งอัสนีบาต มือขวาของเขาแน่นราวคีมเหล็ก ทั่วกายแผ่ไอร้อนระอุ สะท้อนกับเส้นผมยาวสลวยสีดำสนิทราวกับถูกเพลิงล้อมรอบ...กายาเขาถูกห่อหุ้มด้วยไอพลังสีน้ำเงินเข้มปนประกายทองแดง เสมือนชุดเกราะเงาไร้รูปลักษณ์ ขณะที่กล้ามเนื้อภายใต้ชุดคลุมสีทมิฬที่ขาดวิ่นเต้นระริกด้วยพลังดั่งภูตอัสนีแฝงสิง"เตาอัสนีวิบัติ" ขั้นที่สองระดับกลางยามเลื่อนถึงขั้นนี้ กายาของอวี้เหวินแปรเปลี่ยนเสมือนร่างเทพอัสนี ทุกฝีก้าวหนักแน่นปานทุ่มแผ่นดินทุกหมัดเปี่ยมด้วยพลังกระชากวิญญาณพลันเขากระโจนพุ่งเข้าหาร่างหลิวหงอีกครา มือซ้ายสะบัดเป็นวิถีกงล้อแห่งสายฟ้า มือขวากำรอบเป็นหมัดเพลิงคำราม“หมัดอัคนีสังหาร!”เสียงหมัดซัดผ่านอากาศรา
อวี้เหวินในยามนี้ ทรุดเข่าลงเบื้องหน้าหาดคลื่นซัด... ดวงตาเคยคมดุจมีดกระบี่ บัดนี้พร่าเลือนราวหมอกเช้า เสียงฟ้าครวญลมร้องกลับกลายเป็นเพียงเสียงแผ่วเบาในโสตประสาทของเขา จิตใจของเขาถูกกัดกร่อนราวเหล็กที่แช่กรด คลื่นความมืดมนปะทะซัดเข้าราวพายุพัดจิต “เฮ้! เจ้าหนู อวี้เหวิน... เจ้าไหวรึไม่!?” เสียงหนึ่งดังขึ้นภายในมโนสำนึก..แหบพร่าแต่แฝงไปด้วยความร้อนรน ห้วงเสียงนั้นคือซ่งเหยียนเฟย... สหายจากมิติสร้อยคอ ผู้เคยปากกล้าท้าโลกหล้า ซ่งเหยียนเฟยกำลังจะก้าวออกจากมิติมา เเต่ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็ถูกตรึงแน่นด้วยพลังลึกลับ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้เพียงปลายนิ้ว เขายังเพียรเรียกหาเสียงแล้วเสียงเล่า “บัดซบ... ไออสูรหน้าคน!” ซ่งเหยียนเฟยสบถพลางตวัดฝ่ามือไปมาในมิติจำกัด “หากข้าก้าวออกไปได้ละก็..ท่านปู่ผู้นี้จะฉีกกระชากร่างมันจนกระดูกแหลก!” แต่เสียงของเขา กลับสะท้อนอยู่เพียงในเงาจิต ไม่อาจเข้าถึงจิตอวี้เหวินที่กำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงว่างอันไร้ปลาย..เข่าทั้งสองแนบทราย ดวงหน้าหล่อเหลาหม่นหมอง ผมยาวหลุดรุ่ยคลอเคลียหน้าผาก ดั่งรัตติกาลที่คลุมร่างเทวะให้กลายเป็นมนุษย์ผู้ตกสู่ขุมนรก เสียงของซ่งเหยียนเฟยยัง
ใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเหนือชายฝั่งอันวิเวก เสียงคลื่นกระทบโขดหินดังเป็นจังหวะอ้อยอิ่ง ทว่าภายใต้ความสงบนั้น คือบรรยากาศที่ตึงเครียดประหนึ่งสายฟ้าเงื้อมคมรอจู่โจม ร่างในชุดดำของอวี้เหวินยืนนิ่งประหนึ่งเงาสลัวในม่านรัตติกาล สองตาจับจ้องไปยังบุรุษตรงหน้า ผู้ซึ่งบัดนี้หาใช่เพียงชายวัยกลางคน หากแต่ครึ่งหนึ่งของใบหน้ากลับกลายเป็นอสูรอันน่าสะพรึง ร่างกายแปรเปลี่ยน กล้ามเนื้อปูดโปน เกล็ดสีดำสนิทผุดขึ้นราวอสรพิษจำแลง เงาของง้าวดำในมือขยับไหวเพียงนิด กลับแผ่กลิ่นอายสังหารออกมาราวกับทะลวงอากาศ อวี้เหวินไม่กล่าววาจาใดให้เปลืองถ้อยคำ ขณะที่จันทราเบื้องบนยังไม่ทันเคลื่อนคล้อยจากยอดฟ้า เขาก็พุ่งออกประหนึ่งอัสนีสาดฟาด! หมัดแรกพุ่งทะลวงอากาศเป็นประกายเพลิง ปะทะตรงกับเคียวมารของหลิวหง เสียงดังสนั่นดั่งเหล็กกล้ากระทบหินผา แรงสั่นสะเทือนสะท้านไปทั่วร่างของหลิวหงจนเขาต้องถอยหลังพลางยกเคียวขึ้นยันตัวไว้ กลับถูกแรงมหาศาลผลักให้ลอยขึ้นจากพื้นไปเล็กน้อย “โอ้…” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังแผ่ว ราวเสียงกระซิบของปีศาจร้าย “…เจ้ามีเรี่ยวแรงเหนือกว่าเด็กหญิงผู้นั้นเสียอีก เช่นนี้...การสังหารเจ้าจึงนับว่าคุ้มค่าม
ใต้เงาราตรีแห่งฟากฟ้าปราศจากจันทร์ ดวงดาวพลันหลบเร้นอยู่หลังม่านเมฆทะมึน เสียงลมหอบหวิวผสานกับเสียงคลื่นที่ซัดกระแทกชายฝั่งมิได้สงบลงเลยแม้แต่น้อย ท่ามกลางกลิ่นเค็มของไอทะเลและกลิ่นคาวโลหิตที่ฟุ้งกระจาย ฉากการประมือของสองสายเลือดมนุษย์กับสัตว์อสูรและมารชั่วคลุ้งไปทั่วชายหาดอันเคยสงบงาม กลับกลายเป็นแดนประหัตประหารที่เต็มไปด้วยหลุมลึก โขดหินที่ถูกแรงกระแทกจนแหลกละเอียด ต้นไม้ชายฝั่งก็ถูกถอนราก เศษกิ่งใบปลิวว่อนราวใบไม้ร่วงในวสันต์ “โฮกกกก!!!” เสียงคำรามอันบ้าคลั่งของ หลงหมิ่น แผดก้องดั่งเสียงมังกรโกรธเกรี้ยว มันมีบาดแผลลึกหลายแห่ง โลหิตสีครามสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนพื้นทราย แต่แทนที่จะอ่อนแรงลง พลังของมันกลับพวยพุ่งขึ้น ร่างมหึมาพุ่งทะยานดั่งเงาวารีใต้สมุทรอันเชี่ยวกราก ลำคอและเขี้ยวยาวเปล่งประกายด้วยพลังอาภรณ์วารีอันเข้มข้น มุ่งสังหารเด็กหนุ่มตรงหน้าโดยไร้ความปรานี! อวี้เหวิน ไม่คิดหลบ ร่างของเขาสวมเสื้อคลุมดำแนบลู่กับลม เส้นผมยาวสะบัดอย่างองอาจ สองดวงตาคมกล้าฉายแววสงบ เย็นเยียบยิ่งน้ำแข็งแต่เร่าร้อนด้วยเพลิงภายใน “มาเถิด! ข้ากำลังร้อนมืออยู่พอดี!” ทันใดนั้น! กำปั้นข้างขวาของเ
ภายใต้เงาจันทราซีดเซียวที่ทอดแสงนวลลงบนผืนน้ำทะเลอันมืดมิด กลิ่นไอเค็มยังคงล่องลอยเคล้าคลอกับลมราตรี อวี้เหวินยืนหยัดดุจขุนเขาที่มิหวั่นไหวเบื้องหน้าบุรุษวัยกลางคน ดวงตากลับฉายแววกระวนกระวายราวถูกเพลิงแผดเผา แสงจันทร์สาดส่องลงบนใบหน้าคมคายราวสลักเสลา เงาร่างในอาภรณ์ดำสนิทดุจเงามัจจุราชขยับเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยร่องรอยแห่งความระแวงแคลงใจ “เหตุใดข้าจึงมิได้ยินเสียงของมัน…?” น้ำเสียงของเขานั้นเยือกเย็น ทว่าในแววตาแฝงความเคร่งเครียดและจับสังเกตอย่างลึกซึ้ง เป็นคำถามที่ราวกับเขาโยนหินลงสระ เพื่อรอดูคลื่นสะท้อนกลับมาจากคำพูดของชายผู้นั้น ชายวัยกลางคนผู้มีผิวคล้ำจากแสงแดด มองสบตาอวี้เหวินพลางขมวดคิ้ว สีหน้าร้อนรนแฝงความกลัว “ท่านจอมยุทธ์!” เขากล่าวเสียงสั่น “ท่านอย่ารอช้าเถิด วันนี้มันมิได้ส่งเสียงคำรามก้องเช่นทุกครา แต่กลับคลานขึ้นฝั่งโดยไร้สุ้มเสียง…ข้าหวั่นว่า มันตั้งใจจะลิ้มลองเลือดเนื้อมนุษย์แล้ว!” เขากลืนน้ำลายฝืดคอ ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “และ...จุดที่มันขึ้นมานั้น มีเด็กคนหนึ่งอยู่พอดี!” คำพูดสุดท้ายดั่งสายฟ้าฟาดลงกลางอ
เบื้องหน้าแมกไม้สูงใหญ่ที่โอบล้อมบึงใสกลางป่า เงาสะท้อนของเมฆสีเทารางเลือนวาดทับผิวน้ำดั่งม่านหมอกชะล้างใจ เมื่อเสียงสายลมโอบพัดใบไม้ให้ไหวเอน เด็กน้อยเบื้องข้างขอนไม้ก็ก้มหน้าลงแผ่วเบา คล้ายกำลังรวบรวมใจเพื่อกล่าวต่อ “เมื่อเดือนก่อน…” เสียงของเขาแผ่วพร่า ราวกลัวว่าหากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมาแล้ว ความเศร้าที่ซุกซ่อนจะพรั่งพรูไม่อาจห้าม “มีคนจากภายนอกกลุ่มหนึ่งมาถึงหมู่บ้าน…” ดวงตาเล็กจ้องมองบึงอย่างเหม่อลอย สะท้อนแววอ้างว้างเจือปนระลึกถึง “พวกเขาสวมอาภรณ์ดูสง่า บางคนมีกระบี่แนบกาย บางคนมีกระบี่หลังสะพาย บางคนมีดวงตาที่เปล่งแสงราวจิตวิญญาณไม่ธรรมดา… ข้าคิดว่าพวกเขาคงเป็นผู้ฝึกปราณที่มีฝีมือ” เขาสูดหายใจเข้าแผ่วเบาก่อนหลุบตามองดินร่วนใต้เท้า “แต่ไม่กี่วันให้หลัง พวกเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครล่วงรู้ว่าพวกเขาไปทางใด ไม่มีแม้เสียงร่ำลา… แม้แต่ร่างก็ไม่ปรากฏให้เห็น” เสียงแผ่วพร่าของเด็กน้อยพลันสั่นไหว น้ำใสคลอหน่วยดวงตากลมโตก่อนหยาดหยดลงบนหลังมืออันสั่นเครือ เขาปาดน้ำตาอย่างเงียบงัน ก่อนพึมพำด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบา “หนึ่งในนั้น… คือคนที่ข้ารู้จัก” ดวงตาน้อยคู่นั้นค่
อวี้เหวินยังคงจ้องมองเขาอย่างแน่วแน่ ราวกับต้องการอ่านความจริงจากลึกในดวงจิตของอีกฝ่าย เฒ่าเจียนสูดลมหายใจลึก ก่อนเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “ราวหนึ่งเดือนก่อน ข้าออกเรือไปยังทะเลทางทิศตะวันตก จุดนั้นห่างจากชายฝั่งไกลพอควร ตั้งใจเพียงจะหาปูหาหอยไปขายแลกเบี้ย… แต่สิ่งที่ข้าเจอนั้น…” เขาหยุดนิ่ง ขยับถ้วยชามาแนบอก มือทั้งสองสั่นไหวเล็กน้อย “มัน… มันใหญ่โตราวกับเนินเขาเคลื่อนที่ได้ ลำตัวเรียวยาว ราวงูทะเลที่คลานบนผืนน้ำ… แววตามันวาววับ เยียบเย็นดั่งคมดาบในหิมะขาว ข้าแน่ใจว่า มันไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดา หากแต่เป็นสิ่งที่ผู้คนเล่าขาน… ‘เงามังกรใต้สมุทร’…” อวี้เหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสบตากับเซี่ยชิงหลัวซึ่งนิ่งฟังอยู่ข้างกาย แม้นใบหน้านางจะถูกผ้าขาวบางปิดบัง แต่เพียงแค่ดวงตางามที่ทอแววบางอย่างเจือแสงครุ่นคิด เขาก็รู้ได้ในบัดดลว่านางเองก็เข้าใจในสิ่งเดียวกัน “ท่านเคยได้ยินชื่อมันหรือไม่?” อวี้เหวินเอ่ยเสียงต่ำ เฒ่าเจียนพยักหน้าเบา ๆ “เคย… เคยได้ยินจากพวกชาวเรือเฒ่าในอดีต พวกเขาเรียกมันว่า ‘หลงหมิ่น’ …อสูรโบราณที่สืบสายโลหิตแห่งอสรพิษทะเลจากยุคดึกดำบรรพ์ มันไม่ค่อยปรากฏตัวบนผิวน้ำ และไม
ยามอรุณรุ่งแผ่แสงอ่อนบางลงแตะต้องริมขอบฟ้า เฉกเช่นม่านทองที่คลี่คลุมผืนนภา สีฟ้าเรื่อแซมประกายสีส้มจางไล้ผ่านยอดไม้ และแนบอิงผิวคลื่นเบื้องล่าง จนผืนน้ำคล้ายพลิ้วไหวไปด้วยแสงทองนั้น สายลมยามเช้าพัดเอื่อยพาไอเค็มของทะเลโชยมาแตะปลายจมูก อ่อนโยนและเย็นสบายนัก ใต้เงาไม้ริมชายฝั่ง ร่างบอบบางในอาภรณ์สีขาวนวลนั่งสงบนิ่งอยู่ข้างขอนไม้ ดวงหน้างดงามราวภาพวาดยังคงเคลิ้มในห้วงนิทราอย่างสงบเสงี่ยม แสงแดดเบาบางส่องต้องผ่านซอกกิ่งไม้ แผ่วพาดลงบนเรียวแก้มนวลเนียนประหนึ่งหยาดหิมะแรกของฤดูหนาว ดวงตางามล้ำคู่นั้นพลันขยับกระพริบไหว ลืมขึ้นอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา ราวกลีบบุปผาที่แย้มรับแสงแรกของวัน เมื่อสติกลับคืน คิ้วเรียวเล็กพลันขมวดเข้าหากันอย่างแผ่วเบา ราวกับผืนน้ำต้องลมแผ่ว รำลึกขึ้นได้ว่าตนเอ่ยปากจะร่วมเฝ้ายามเคียงข้างบุรุษผู้นั้น ทว่ากลับเผลอหลับใหลไปโดยมิรู้ตัว ความรู้สึกผิดพลันแผ่ซ่านไปทั่วอุรา ใบหน้านวลผ่องราวหยกขาวพลันแต้มสีชมพูระเรื่อ ดุจกลีบเหมยแรกแย้มต้องหิมะยามอรุณรุ่ง งดงามจับตา ราวกับภาพวาดสวรรค์ที่รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน นางขยับกายเล็กน้อย พลิกตัวไปมองหาร่างของบุรุษผู้เป็นสหายร่วม