หน้าหลัก / แฟนตาซี / ดาบพิฆาตสลับนภา / บทที่2 ลมเงียบสงัด เพลิงแค้นก่อเกิด ตระกูลใหญ่เบื้องหลัง

แชร์

บทที่2 ลมเงียบสงัด เพลิงแค้นก่อเกิด ตระกูลใหญ่เบื้องหลัง

ผู้เขียน: Prince_White
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-04-20 15:07:39

ในค่ำคืนที่ลมพัดผ่านอย่างเงียบเชียบ ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างถูกหยุดนิ่งกลางอากาศ ช่วงเวลาที่ทุกเสียงสูญหายไป กลายเป็นความเงียบสงัดราวกับสภาวะที่หยุดนิ่งในอดีต ไม่มีเสียงของสัตว์ป่า หรือแม้แต่ลมหายใจของมนุษย์

"เหวินเออร์! เกิดอะไรขึ้น?" เสียงดังขึ้นใกล้หูของอวี้เหวิน พร้อมกับแรงเขย่าของร่างกายที่ทำให้เขาตื่นจากห้วงฝัน

"ท่านแม่!" อวี้เหวินสะดุ้งตื่นขึ้นทันที ใจเต้นรัวเหมือนถูกดึงกลับจากห้วงความฝัน เขากระพริบตาหลายครั้งจนเริ่มเห็นภาพที่ยังคงพร่าเบลอ ก่อนที่จะค่อยๆ จับจ้องไปที่ชายกลางคนผู้หนึ่ง ใบหน้าหมายตาดีแต่มีริ้วรอยแห่งวัยกำลังยืนอยู่ข้างเขา

"ท่าน...พ่อ? เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่?" อวี้เหวินถามด้วยความงุนงง

"ข้าเสร็จจากภารกิจเร็วกว่าที่คาดไว้ จึงกลับมาถึงเร็วขึ้น" อวี้หลานตอบด้วยน้ำเสียงสงบ และถามต่อ "แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น? แม่ของเจ้าล่ะ?"

"ท่านแม่..." อวี้เหวินเอ่ยเสียงเบา สายตาแฝงไปด้วยความเศร้าและความเกลียดชัง "ท่านแม่ถูกพวกชั่วกลุ่มหนึ่งจับตัวไป"

"ใคร!" อวี้หลานถามด้วยเสียงสั่น เงื้อมมือทำของที่ถืออยู่ตกกระทบพื้นเสียงดัง

"มันเรียกตัวเองว่าเฉินเทียนซิง!" อวี้เหวินพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

"เฉินเทียนซิง!" อวี้หลานกล่าวชื่อด้วยเสียงทุ้มต่ำ ซึ่งแฝงไปด้วยความเกลียดชัง

"ท่านพ่อรู้จักมันหรือ?"

"เฉินเทียนซิง..." อวี้หลานพึมพำในลำคอ หลับตาและถอนหายใจยาว ครู่หนึ่งเขานิ่งไป ก่อนที่จะเอ่ยเสียงเบา "เข้าบ้านกันเถอะ"

ภายในบ้านที่มีบรรยากาศเงียบสงบ มุมห้องนั้นมีโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมขนาดพอเหมาะตั้งอยู่ พร้อมเก้าอี้ไม้เรียบง่ายที่ล้อมรอบ โต๊ะในห้องที่เต็มไปด้วยความสงบระหว่างพ่อลูกที่นั่งหันหน้าเข้าหากัน

"ท่านพ่อ... ลูกอยากรู้จริงๆ ว่าครอบครัวของเราเป็นใครกันแน่?" อวี้เหวินถามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มเย็นลง

"เจ้าต้องการรู้จริงๆ หรือ?" อวี้หลานถามกลับ สายตาของเขาจับจ้องไปยังบุตรชายตนเอง

อวี้เหวินพยักหน้า "ขอรับ... ลูกอยากรู้จริงๆ"

อวี้หลานลุกขึ้นยืน ท่าทางสง่างามเมื่อมือไขว้หลังและหันหลังให้กับบุตรชาย "เจ้าโตแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าจะได้รู้ในสิ่งที่ควรรู้"

"แม่ของเจ้าคือ เฉินซีเยว่ บุตรีคนเล็กของ เฉินเหลียน ผู้เป็นประมุขตระกูลเฉินแห่งดินแดนภาคกลาง ซีเยว่คือธิดาศักดิ์สิทธิ์ของตระกูล มีพรสวรรค์สูงล้ำเหนือใครในรอบร้อยปี ทุกคนในตระกูลคาดหวังในตัวนาง และมีผู้คนมากมายหมายปอง แต่นางกลับเลือกที่จะพบกับข้า... อวี้หลาน"

"วันนั้น ข้าเป็นเพียงนักฝึกยุทธ์พเนจร เดินทางไปทั่วดินแดนจนได้พบกับแม่ของเจ้าที่ขุมทรัพย์แห่งหนึ่งในภาคกลาง ในการผจญภัยครั้งนั้น นางมีนิสัยที่มักทำทุกสิ่งด้วยตนเอง และไม่ยอมให้ใครติดตาม จนเกือบโดนสัตว์อสูรทำร้าย โชคดีที่ข้าอยู่ใกล้และช่วยชีวิตนางไว้ได้ทัน"

"นี่เป็นการพบพานครั้งแรกของพวกเรา นับแต่นั้นมา บิดาและมารดาของเจ้าก็ได้มีโอกาสติดต่อกันมากขึ้น จากคนแปลกหน้ากลายเป็นผู้มีใจให้แก่กัน ทว่าความสุขมักไม่ยืนยาว เมื่อตระกูลเฉินล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์นี้ พวกเขาหาหนทางขัดขวางและกีดกันสารพัด ตั้งแต่การเจรจาเสนอผลประโยชน์ ไปจนถึงใช้กำลังบีบบังคับ แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็มิอาจแยกข้าและมารดาเจ้าจากกันได้"

"จนกระทั่งถึงวันนั้น วันที่เส้นด้ายบาง ๆ ระหว่างพวกเรากับตระกูลเฉินขาดสะบั้น ตระกูลเฉินปรารถนาจะจับคู่เฉินเทียนซิงให้แต่งกับซีเยว่ เพื่อเสริมฐานอำนาจและเปิดทางให้เฉินเทียนซิงได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำตระกูล ทว่าซีเยว่กลับไม่ยอมรับนางใช้ทุกวิถีทางเพื่อหลุดพ้นจากพันธนาการนี้"

"ทว่า... นางเป็นเพียงสตรีเยาว์วัย จะทานทนแรงกดดันอันมหาศาลจากบรรดาผู้อาวุโสจอมเจ้าเล่ห์ได้อย่างไร ในที่สุด นางจึงจำต้องใช้ไม้ตายสุดท้าย ประกาศออกไปว่านางตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว คาดมิถึง ข่าวนี้กลับกลายเป็นไฟโหมกระพือให้บิดาของนางโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม ประกอบกับการยุยงของเฉินเทียนซิง ทำให้เขาสั่งกักตัวนางไว้ ทว่ามารดาเจ้าหาใช่สตรีอ่อนแอ นางสามารถหลบหนีออกมาได้และมาพบกับข้า พวกเราจึงพากันหนีเตลิดไปสุดหล้าฟ้าเขียว นานนับเดือน"

"แต่สี่มือย่อมมิอาจสู้สี่กร สุดท้าย ตระกูลเฉินก็ตามเจอเรา พวกมันระดมยอดฝีมือมาหลายสิบคนเพื่อสังหารเรา แม้ข้ากับมารดาเจ้าจะมีฝีมือ แต่ก็มิอาจต่อกรกับจำนวนที่มหาศาล สุดท้าย พวกเราถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส"

"เฉินเทียนซิงซึ่งเป็นหัวหน้ากองกำลังไล่ล่ามองเห็นว่าข้าอาการย่ำแย่ จึงคิดสังหารข้าเสีย ใช้อาวุธวิเศษประจำตระกูลจู่โจม ข้าจึงต้องรีดเค้นพลังเผาผลาญโลหิตตนเพื่อปกป้องมารดาเจ้า ทว่าก็มิอาจป้องกันได้หมด พลังที่เล็ดลอดกลับกระแทกใส่นางเต็มแรง"

"ด้วยร่างกายที่อ่อนแอจากการตั้งครรภ์เดิมทีนางก็ไม่อาจต่อสู้ได้อยู่แล้ว เมื่อถูกพลังสะท้อนกลับ นางจึงต้องเผาผลาญพลังยุทธ์ทั้งหมดในร่างเพื่อปกป้องลูกในครรภ์ ส่งผลให้เส้นชีพจรพลังยุทธ์ของนางขาดสะบั้น มิอาจฝึกปรือวรยุทธ์ได้อีกตลอดชีวิต สำหรับชาวยุทธ์แล้ว นี่หาใช่ความพิการธรรมดาไม่ แต่เป็นโทษทัณฑ์อันโหดร้ายที่สุด!"

เขาพลันกล่าวด้วยความโกรธแค้น น้ำเสียงของอวี้หลานเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ สายตาลุกโชนด้วยเพลิงแค้น

" ทว่าห้วงแห่งความสิ้นหวังกลับเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น"

"พระเจ้ายังมีเมตตาแก่พวกเรา ในห้วงเวลาที่คิดว่าเราจะสิ้นชีพลง ณ ที่นั้น พลันปรากฏยอดยุทธ์ลึกลับท่านหนึ่ง พาเราหลบหนีไปด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด ทำให้เรารอดพ้นจากเงื้อมมืออสูรเหล่านั้น" เขากล่าวด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง

อวี้เหวินซึ่งนั่งนิ่งฟัง พลันเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย "ท่านพ่อ... ยอดยุทธ์ท่านนั้นคือผู้ใดหรือ?"

เขาถอนหายใจ "เวลานั้น พวกเรามัวแต่เร่งรีบหนีตาย ผู้อาวุโสท่านนั้นได้พาเรามายังสถานที่ปลอดภัย หลังจากอาการพวกเราทุเลา ก็ปรารถนาจะทูลถามนามของท่านเพื่อทดแทนบุญคุณ ทว่า...ท่านกลับจากไปแล้วโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด นี่เป็นความเสียใจที่สุดประการหนึ่งในชีวิตของข้า"

เขามองบุตรชายด้วยสายตาจริงจัง ก่อนจะกล่าวเสียงหนักแน่น "เหวินเออร์ หากในวันหน้า เจ้าพบชายชราผมขาว นุ่งชุดแดงสลับดำยาวสลวย มักพกกิ่งไม้อยู่ด้านหลัง จงให้ความเคารพและปฏิบัติต่อท่านอย่างดี หากข้ากับมารดาเจ้ามิอาจทดแทนบุญคุณท่านนั้นได้ จงเป็นเจ้าที่สืบทอดคำมั่นนี้แทน"

อวี้เหวินลุกขึ้นยืน ดวงตาของเขาแน่วแน่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น "ท่านพ่อ เรื่องของท่านก็คือเรื่องของข้า หากผู้ใดมีบุญคุณ ข้าย่อมตอบแทนร้อยเท่า หากผู้ใดทำร้ายครอบครัวข้า ข้าจักให้มันชดใช้พันเท่า!"

"ดี!" อวี้หลานพยักหน้ารับ ดวงตาฉายแววหนักแน่นมั่นคง

"หนทางแห่งยุทธ์มิอาจเดินด้วยสองมือเปล่า พลังที่แท้จริงมิได้มาจากเพียงความเคียดแค้น แต่ต้องเป็นพลังที่เจ้าหลอมรวมขึ้นด้วยตนเอง!"

เขาถอนหายใจยาว ก่อนกล่าวต่อ "หากเจ้าปรารถนาจะช่วยมารดา เจ้าต้องฝึกปรือพลังให้แข็งแกร่ง ข้าจะให้เวลาเพียงสามเดือน หากเจ้าสามารถบรรลุระดับก่อตั้งรากฐานขั้นกลาง ข้าจะพาเจ้าเข้าสู่ตำหนักเจ้าเมือง"

"ตำหนักเจ้าเมือง?" อวี้เหวินเอ่ยถาม นัยน์ตาเปล่งประกายด้วยความสงสัยปะปนกับความหวัง

"ถูกต้อง" อวี้หลานกล่าวเสียงหนักแน่น "ตำหนักเจ้าเมืองเป็นหนึ่งในสี่สำนักชั้นยอดของแดนใต้ เป็นรองเพียงสุสานดาบทลายสวรรค์ หาใช่สถานที่สำหรับคนสามัญไม่ หากเจ้าสามารถเข้าสู่ตำหนักได้ หนทางของเจ้าจะเปิดกว้าง มิใช่เพียงเพื่อทวงคืนความเป็นธรรม แต่เพื่อสร้างพลังที่แท้จริงของเจ้าเอง!"

อวี้เหวินพยักหน้ารับ คุกเข่าลงกับพื้น น้ำเสียงหนักแน่นเปี่ยมด้วยมุ่งมั่น "ข้าจะทำให้ได้! ข้าจักไม่ทำให้ท่านพ่อและท่านแม่ต้องผิดหวัง!"

"เจ้าคือลูกที่ข้าภูมิใจ เหวินเออร์" อวี้หลานกล่าวพร้อมวางมือลงบนบ่าของบุตรชาย "แต่จงจำไว้ ความสำเร็จนั้นมิใช่สิ่งที่ได้มาง่ายดาย ทุกการฝึกฝน ทุกการเสียสละ ล้วนเป็นบททดสอบที่พระเจ้าส่งมา เจ้าจงเตรียมใจรับให้ดี"

เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง "อีกประการหนึ่ง แม่ของเจ้าเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลเฉิน แม้ว่านางจะถูกกักขัง แต่ตระกูลเฉินยังมิอาจทำอันใดแก่นางโดยพลการ จงวางใจ นางยังปลอดภัย"

อวี้เหวินกำหมัดแน่น แม้ความกังวลในใจจะลดลง แต่เปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นกลับยิ่งโหมแรง "ท่านพ่อ ข้าจักมิหยุดฝึกฝน! สิ่งที่พวกมันทำไว้ ข้าจะให้พวกมันชดใช้เป็นพันเท่า!"

"ดี! ดีมาก!" อวี้หลานหัวเราะเสียงต่ำด้วยความพึงพอใจ เขาลุกขึ้นยืน วางมือหนักแน่นลงบนบ่าของอวี้เหวิน "เจ้ามีหัวใจแห่งนักสู้ หากเจ้าไม่ละทิ้งหนทางนี้ วันหนึ่งเจ้าจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน!"

"ขอบคุณท่านพ่อ ข้าจะปฏิบัติตามคำของท่าน" อวี้เหวินกล่าวหนักแน่น

"ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จงฝึกฝนให้หนัก ในสามเดือนนี้ หากเจ้าฝ่าฟันจนบรรลุระดับก่อตั้งรากฐานขั้นกลาง ข้าจะนำพาเจ้าเข้าสู่ตำหนักเจ้าเมือง ที่นั่น จะเป็นบันไดให้เจ้าก้าวไปสู่จุดสูงสุด!"

เมื่อกล่าวจบ อวี้หลานมองบุตรชายด้วยแววตาภาคภูมิ ท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรี ดวงจันทร์ลอยเด่นเหนือเวหา ราวกับส่องแสงนำทางให้แก่ผู้ที่หมายจะก้าวข้ามชะตากรรมของตนเอง!

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่3 รัตติกาลโลหิต ดาราดับสูญ อสูรผงาดฟ้า

    ณ ดินแดนอันไกลโพ้น ภายใต้ผืนฟ้ายามรัตติกาล ดาวนับล้านเปล่งแสงระยิบระยับดั่งอัญมณีต้องแสงจันทร์ ประหนึ่งต้องการประชันแสงกับความอยุติธรรมที่กำลังปกคลุมไปทั่วหล้า สายลมหนาวเหน็บพัดโบกเอื่อยเฉื่อย นำพากลิ่นอายแห่งความมืดมนและคาวโลหิตเจือปนไปในบรรยากาศ ที่กลางเวหานั้น เงาร่างหนึ่งกำลังโซซัดโซเซทะยานไปด้วยความยากลำบาก โลหิตสีชาดไหลซึมจากบาดแผลเป็นสาย ชโลมอาภรณ์จนเปียกชุ่ม ความเจ็บปวดกัดกินร่างกายทุกอณู แต่เจ้าของร่างนั้นยังคงกัดฟันฝืนตนให้ก้าวต่อไป มิอาจยอมแพ้ได้ เบื้องหลัง ห่างออกไปประมาณสิบลี้ เงาทมิฬของเหล่าผู้ไล่ล่ากำลังพุ่งทะยานมาอย่างรวดเร็ว นำทัพโดยชายลึกลับสามคน ผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยอำนาจและเจตนาสังหารอันเกรี้ยวกราด "เร่งมือเข้าไป! อย่าให้มันหลุดรอดไปได้!" เสียงทรงพลังของชายหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งดังขึ้น มือขวาของเขากุมขวานยักษ์แน่น ประหนึ่งพร้อมจะสับเป้าหมายให้ขาดสะบั้นทุกเมื่อ ดวงตาทอประกายกร้าว แน่วแน่ในภารกิจสังหาร "นายน้อยเจิน อย่าได้เร่งร้อนนัก" ชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งเอื้อนเอ่ย น้ำเสียงราบเรียบแฝงความมั่นใจ เขาสวมอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ รูปโฉมสง่างามประหนึ่งคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์ "ในเ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่4 มังกรเพลิงพิโรธ คลื่นความแค้นสะท้านปฐพี

    ณ ห้วงเวลาที่ร่างของซ่งเหยียนเฟยกำลังแตกสลายประหนึ่งบุปผาต้องวายุพัด ร่างหนึ่งพลันปรากฏกายดุจเทพเซียนเหินลงจากสรวงสวรรค์ ท่ามกลางกระแสพลังที่บิดเบี้ยว ร่างนั้นทิ้งกายลงสู่ใจกลางค่ายกล หากพิจารณาด้วยสายตาถี่ถ้วน จะประจักษ์ชัดว่ารูปโฉมนั้นละม้ายคล้ายคลึงซ่งเหยียนเฟยมิมีผิดเพี้ยน เว้นแต่เพียงสัดส่วนที่ย่อลงราวกับถอดแบบมาในขนาดเล็ก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือซ่งเหยียนเฟยในร่างจำลองอันน่าพิศวง จากเดิมที่ซ่งเหยียนเฟยเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม ดวงหน้าหวานล้ำประดุจสตรีแรกแย้ม เมื่อกลับกลายร่างเป็นขนาดจิ๋ว กลับดูน่ารักน่าเอ็นดูราวกับตุ๊กตาแก้วเจียระไนก็มิปาน ผิวพรรณผุดผ่องดุจหิมะแรกต้องแสงจันทร์ นัยน์ตากลมโตเปล่งประกายราวดวงดาราบนฟากฟ้า จมูกโด่งเล็กรับกับริมฝีปากบางราวกลีบดอกเหมย รอบกายของร่างน้อยนั้นเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ประหนึ่งมีหลุมดำอมฤตย์ขนาดยักษ์กำลังอ้าปากกลืนกินสรรพสิ่งในห้วงมิติ พลังงานอันมหาศาลหมุนวนรอบตัวเขา ก่อเกิดเป็นกระแสลมที่พัดโหมกระหน่ำราวพายุคลั่ง แสงสีม่วงครามสาดส่องเจิดจ้าจนแสบตา "พรึ่บ!" ทันใดนั้น สรรพสิ่งก็กลับคืนสู่ความสงบเงียบ ราวกับมิเคยมีสิ่งใดปรากฏ ณ ที่แห่งนี้

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่5 กระบืออ้วนกลมนำทาง สู่ดินแดนอสูรพิศวง

    ยามอรุณรุ่งเรืองรอง แสงสุริยันแรกผุดพ้นขอบฟ้า สาดส่องสีทองทาบทาทั่วผืนแผ่นดิน ลอดผ่านร่องรอยปริแตกเพียงเล็กน้อยของบานหน้าต่างไม้ ต้องใบหน้าคมสันของอวี้เหวิน เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นวันใหม่ ท้องนภาสีครามสดใส ไร้ซึ่งเมฆามาบดบัง หมู่สกุณาน้อยใหญ่ต่างขับขานเสียงเพลงอันไพเราะ ดังก้องกังวานไปทั่วพฤกษานานา ระหว่างที่พวกมันโผบินออกหาอาหารในยามเช้า อวี้เหวินค่อยๆ ลืมตาตื่นจากนิทรา ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตามวิถีแห่งผู้ฝึกตน ก่อนที่แสงตะวันจะทอเต็มฟ้า เขาจะฝึกฝนร่างกายเสริมสร้างความแข็งแกร่ง เพื่อเป็นรากฐานอันมั่นคงในการบ่มเพาะพลังปราณในภายภาคหน้า วันนี้ก็เช่นเคย ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม "ฟึ่บ! ฟึ่บ!" เสียงหมัดหนักแน่นผสานกับการเคลื่อนไหวที่ว่องไว ราวกับสายลมที่พัดผ่าน นี่เป็นช่วงท้ายของการฝึกกายา เหงื่อที่ไหลรินชุ่มโชกอาภรณ์เนื้อหยาบที่สวมใส่ เป็นดั่งเครื่องยืนยันถึงความมานะพากเพียรในการขับพิษและสิ่งสกปรกออกจากร่างกายเมื่อสุริยเทพเพิ่งจะฉายรัศมีเจิดจ้า อวี้เหวินหลังจากรับประทานอาหารเช้าที่เรียบง่ายแต่เพียงพอต่อการบำรุงกำลังเสร็จสิ้น จึงเตรียมตัวออกเดินทางสู่พงไพรบนยอดเขา เขาจัดเตรี

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่6 บุรุษงามพิศวง หินทมิฬสะท้านวิญญาณ

    ขณะที่อวี้เหวินหันกายกลับไป ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในห้วงสายตาของเขา ราวกับบุปผาต้องลมที่ร่วงหล่นลงบนผืนดินอันแข็งกระด้าง'ผู้ใดกันเล่า เหตุใดจึงมานอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่กลางป่าลึกอันเปลี่ยวร้างเช่นนี้?' เขาครุ่นคิดในใจ พลางย่างเท้าเข้าไปหาร่างนั้นด้วยความระมัดระวัง ราวกับเกรงว่าเสียงฝีเท้าจะรบกวนการพักผ่อนอันแสนเงียบสงบ ร่างมนุษย์บอบบางร่างหนึ่งที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติ ค่อยๆ ปรากฏรูปร่างชัดเจนขึ้นในม่านสายตาของอวี้เหวิน'ช่างงดงามเสียจริง...สตรีเช่นนั้นหรือ?' อวี้เหวินจ้องมองไปยังร่างนั้นอย่างตะลึงงัน ราวกับต้องมนต์สะกด ผิวพรรณขาวผ่องดุจหิมะแรกต้องแสงจันทร์ ใบหน้างดงามหมดจดราวกับเทพธิดาที่ร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ เส้นผมสีแดงเพลิงยาวสลวยราวกับสายไหม ทว่า...บนชุดผ้าเนื้อดีที่นางสวมใส่นั้น ปรากฏร่องรอยแห่งการฉีกขาดและคราบโลหิตแห้งกรัง บ่งบอกถึงการเผชิญเคราะห์ร้ายมามิใช่น้อย'ดูท่าทางนางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก ข้าควรยื่นมือเข้าช่วยเหลือตามวิสัยบุรุษหรือไม่?' ความลังเลฉายชัดในดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวของเขา"ตุบ!" เสียงฝ่ามือหนาหนักกระทบลงบนศีรษะตนเองเบาๆ "เจ้ามันคนใจหินไปแล้ว

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่7 เตาอัสนีวิบัติหลอมกายา ปฐมบทแห่งการแปรเปลี่ยน

    ในห้วงสำนึกของซ่งเหยียนเฟย 'เหตุใดข้าจึงมิอาจขยับเขยื้อนกายได้?' ความรู้สึกอึดอัดประดุจถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทว่าท่ามกลางความอึดอัดนั้น กลับมีกระแสไออุ่นอันแสนสบายราวกับแสงตะวันยามเช้าค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ทุกอณูของร่างกาย 'สิ่งนี้คืออันใดกัน? ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างประหลาด ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นแขนขาที่ข้าเคยใช้มานับครั้งไม่ถ้วน' ดวงจิตในห้วงสำนึกจับจ้องไปยังอวัยวะภายในที่ถูกห่อหุ้มด้วยม่านพลังสีดำมืดสนิท ราวกับราตรีที่ไร้ซึ่งดวงดาว "อ๊ากกก!" ฉับพลันทันใดนั้นเอง กระแสพลังแห่งความมืดที่เคยอ่อนโยนกลับแปรเปลี่ยนเป็นคมมีดนับพันเล่ม กรีดแทงลึกลงไปในส่วนที่สึกหรอ บาดแผล และความอ่อนแอภายในร่างกายของเขา สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสราวกับถูกฉีกทึ้งวิญญาณ ทว่าเมื่อห้วงเวลาแห่งความทรมานนั้นค่อยๆ ผ่านพ้นไป อาการบาดเจ็บภายในที่เคยร้าวรานกลับค่อยๆ สมานตัวดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับได้รับการชุบชีวิตใหม่ ทันใดนั้นเอง ความทรงจำและองค์ความรู้บางอย่างก็ไหลบ่าเข้ามาในห้วงสำนึกของเขา 'หรือว่า...จะเป็นพลังทมิฬ? พลังแห่งความมืดมิดที่บริสุทธิ์ สีดำสนิทดุจห้วงอว

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่8 มังกรบรรจบเมฆาคล้อย: ปฐมบทนครเฉิน

    ครู่กาลล่วงเลย เปลือกตาคู่หนึ่งจึงค่อยๆ ปรือเปิดจากห้วงนิทรา ความพร่าเลือนในม่านตาค่อยๆ จางหาย แปรเปลี่ยนเป็นความคมชัด อวี้เหวินขยับศีรษะเพียงเล็กน้อย หันไปยังทิศเบื้องขวา จึงปรากฏแก่สายตาซึ่งร่างของอสูรแมงมุมพิศดารตัวหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ เมื่อพิเคราะห์ดูอย่างละเอียดละออ จะเห็นได้ว่าใบหน้าของมันละม้ายคล้ายคลึงกับสุนัขอย่างน่าประหลาด มันถูกพิฆาตจนร่างแหลกเหลวออกเป็นสองส่วน ชิ้นส่วนอวัยวะกระจัดกระจาย เลือดสีม่วงเข้มข้นไหลนองผืนปฐพี ส่งกลิ่นคาวคลุ้งรุนแรงท่ามกลางไอแดดที่แผดเผาราวกับเปลวเพลิง"เจ้าตื่นแล้วหรือ?" เสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มิได้แสดงความตื่นตระหนกต่อภาพที่ปรากฏเสียงนั้นปลุกอวี้เหวินให้หลุดพ้นจากภวังค์แห่งความงุนงง เขาสังเกตเห็นว่าอาภรณ์ของตนเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีม่วงเหนียวข้น ซึ่งบัดนี้ได้แห้งกรังติดอยู่กับเนื้อผ้า "มัน... มันเกิดอันใดขึ้นกัน?" อวี้เหวินพึมพำด้วยความสับสนงุนงาย"เจ้าถูกอสูรแมงมุมพิษหน้าสุนัขเล่นงานเข้าแล้ว" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวพลางชี้ไปยังซากอสูรที่นอนตายอยู่มิไกล"เจ้าอาจถูกพิษของมันขณะที่ยึดเหนี่ยวโขดหินนั่น จึงเป็นเหตุให้เจ้ารู้สึกหนักอึ้งร

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่9 ราตรีลึก ณ เหมยเหว่ย เงาอำนาจและหมากในกระดาน

    ท่ามกลางเมืองเฉินอันคึกคัก มีร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในย่านเก่าแก่ของเมือง แม้ขนาดของมันจะมิได้ใหญ่โตโอฬาร ทว่ากลับแฝงไปด้วยร่องรอยของกาลเวลาที่สั่งสมมาเนิ่นนาน ร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อว่า "美味" (Měiwèi, ของกินเลิศรส) ซึ่งนับเป็นร้านอาหารที่มีเกียรติและได้รับการยอมรับสูงสุดในเมืองเฉิน เมื่อย่างกรายเข้ามาเบื้องหน้าร้าน ผู้อาจหาญทั้งหลายย่อมต้องหยุดสายตาลงยังป้ายไม้เก่าแก่ที่แขวนอยู่เหนือประตู ป้ายไม้แผ่นนี้ถูกสลักด้วยลายมือวิจิตรงดงาม บ่งบอกถึงชื่อร้านที่สืบทอดมาแต่โบราณ ด้านข้างของร้าน อักษรสลักบนผนังทั้งสองฝั่งยิ่งเสริมความหนักแน่นให้แก่สถานที่แห่งนี้ ทางขวาคือคำว่า "张进鸿" (เตียจิงฮ้ง, เจริญก้าวหน้าเกริกก้องเกรียงไกร) และทางซ้ายคือ "荣耀" (Róngyào, มีเกียรติอันประเสริฐรุ่งโรจน์) หากบุคคลทั่วไปได้พบเห็น คงเข้าใจว่านี่เป็นเพียงคำอวยพรเพื่อเสริมสิริมงคล ทว่าผู้ที่ล่วงรู้เบื้องลึกแห่งร้านเหมยเหว่ยย่อมตระหนักดีว่า นี่มิใช่เพียงถ้อยคำมงคล หากแต่เป็นปณิธานอันหนักแน่นของสถานที่แห่งนี้ อักษรด้านขวาถูกจารึกขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้คนที่แวะเวียนมารับประทานอาหาร ณ ที่แห่งนี้ โดยเฉ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่10 ข้าไม่ได้ตั้งใจ!!

    "ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำเกินหยั่งถึง!" อวี้เหวินอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายราวกับค้นพบขุมทรัพย์ล้ำค่า เขาทอดสายตามองไปยังห้วงความคิด พลางหวนรำลึกถึงเนื้อหาของเคล็ดวิชาอีกครา 'เคล็ดวิชาหมัดอัคนีสังหารนั้น แบ่งออกเป็นสามขอบเขตใหญ่ อันได้แก่ ปฐพี อัคคี และวารี แต่ละขอบเขตยังแบ่งย่อยออกเป็นสามระดับ คือ เเรกเริ่ม กลาง และสูงสุด ในขอบเขตปฐพีนั้น เป็นการวางรากฐานแห่งกระบวนท่าของหมัดอัคนีสังหาร พลังอำนาจแห่งหมัดในระดับเริ่มต้นอยู่ที่สามร้อยจิน ระดับกลางอยู่ที่หกร้อยจิน และระดับสูงสุดอยู่ที่เก้าร้อยจิน' ภาพกระบวนท่าอันสลับซับซ้อนเริ่มฉายชัดในมโนสำนึกของอวี้เหวิน ราวกับมีผู้มาสาธิตอยู่ตรงหน้า เขาสังเกตทุกการเคลื่อนไหว จดจำทุกรายละเอียด เมื่อเริ่มเข้าใจในแก่นแห่งวิชาแล้ว อวี้เหวินจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เริ่มต้นร่ายรำตามภาพที่ปรากฏในห้วงนิมิต ฝ่ามือและหมัดถูกส่งออกไปในอากาศอย่างหนักแน่น สลับหมุนเวียนราวกับพายุโหมกระหน่ำ เท้าก้าวไปตามจังหวะ ท่วงท่าการยืนมั่นคงดุจขุนเขา ทุกอิริยาบถที่แสดงออกมาล้วนสง่างามและหนักแน่นราวกับผืนปฐพีอันกว้างใหญ่ ในระหว่างที่ฝึกฝนเพลงหมัด อวี้เหวินมิไ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-04-20

บทล่าสุด

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่50 "มิได้ตั้งใจมอง!"...คำสารภาพที่มาพร้อมรอยฝ่ามือ!

    ประตูไม้เก่าเก็บของเพิงพักส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อถูกผลักเปิดออก เสาไม้ผุกร่อนเอียงตามแรงลมประหนึ่งจะถล่มลงได้ทุกเมื่อ กลิ่นอับชื้นจากเศษฝุ่นและไม้เก่าภายในชวนให้นึกถึงเพิงร้างไร้ผู้คน อวี้เหวินก้าวเข้าสู่ที่พักชั่วคราวนั้นอย่างระมัดระวัง แขนแข็งแรงประคองร่างบางในชุดขาวของสตรีเบื้องหน้าไว้แนบอก ราวกับกลัวเพียงแรงสะเทือนเพียงน้อยจะทำให้นางแตกสลายยามเมื่อร่างบอบบางถูกวางลงบนฟูกฟางเก่าเนื้อดี มือแกร่งค่อยประคองจัดท่าให้สตรีผู้นั้นนั่งลงอย่างนุ่มนวล แม้ใบหน้างามล่มเมืองจะถูกผืนแพรบางสีขาวปิดบังไว้ ทว่ารัศมีแห่งความงามราวเทพธิดาจำแลงก็มิอาจซ่อนเร้นได้ นางนั่งสงบนิ่งราวกับภาพวาดจากปลายพู่กันของจิตรกรสวรรค์ แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องลงมาเป็นลำ เส้นผมดำขลับยาวสลวยดั่งน้ำตกจากผา สูบประกายจากผิวขาวผ่องราวหิมะแรกต้องแสง จนบุรุษผู้พบเห็นมิกล้าแม้แต่จะสัมผัสอวี้เหวินสูดลมหายใจลึก มือหนึ่งค่อยเอื้อมไปปลดปมเสื้อคลุมเนื้อละเอียดทางด้านหลัง นิ้วมือที่เคยชาชินกับการจับดาบในสนามรบ กลับสั่นระริกเมื่อสัมผัสผืนผ้าบางเบาดุจกลีบเมฆ เสื้อคลุมสีขาวนวลค่อยๆ ร่วงหล่นจากบ่า เผยแผ่นหลังขาวเนียนราวมรกตไร้ตำหนิ นุ่มละ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่49 คืนเเห่งความสูญสิ้น ดวงดาวดับเเสง

    ใต้ฟ้าค่ำ...ทะเลไร้คลื่นลมกลับโหมกระหน่ำด้วยกลิ่นอายแห่งการประทะอันเกรี้ยวกราด ริมฝั่งเกาะร้างท่ามกลางม่านรัตติกาล อวี้เหวินยืนนิ่งกลางพื้นทรายที่แตกร้าวเป็นตาข่ายโลหิต เบื้องหน้าเขา ร่างอสูรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหลิวหงกลับทรุดตัวลงอย่างยากจะหยัดยืน พลังที่เคยแข็งแกร่งเช่นขุนเขา บัดนี้กลับสั่นคลอนดั่งเสาหลักบ้านทรุดโทรมแววตาของอวี้เหวินเรืองแสงสีทองอ่อน ภายในนั้นแฝงไว้ด้วยรังสีแห่งเพลิงอัคคีและประกายแห่งอัสนีบาต มือขวาของเขาแน่นราวคีมเหล็ก ทั่วกายแผ่ไอร้อนระอุ สะท้อนกับเส้นผมยาวสลวยสีดำสนิทราวกับถูกเพลิงล้อมรอบ...กายาเขาถูกห่อหุ้มด้วยไอพลังสีน้ำเงินเข้มปนประกายทองแดง เสมือนชุดเกราะเงาไร้รูปลักษณ์ ขณะที่กล้ามเนื้อภายใต้ชุดคลุมสีทมิฬที่ขาดวิ่นเต้นระริกด้วยพลังดั่งภูตอัสนีแฝงสิง"เตาอัสนีวิบัติ" ขั้นที่สองระดับกลางยามเลื่อนถึงขั้นนี้ กายาของอวี้เหวินแปรเปลี่ยนเสมือนร่างเทพอัสนี ทุกฝีก้าวหนักแน่นปานทุ่มแผ่นดินทุกหมัดเปี่ยมด้วยพลังกระชากวิญญาณพลันเขากระโจนพุ่งเข้าหาร่างหลิวหงอีกครา มือซ้ายสะบัดเป็นวิถีกงล้อแห่งสายฟ้า มือขวากำรอบเป็นหมัดเพลิงคำราม“หมัดอัคนีสังหาร!”เสียงหมัดซัดผ่านอากาศรา

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่48 เพลิงแค้นมิยอมมอด

    อวี้เหวินในยามนี้ ทรุดเข่าลงเบื้องหน้าหาดคลื่นซัด... ดวงตาเคยคมดุจมีดกระบี่ บัดนี้พร่าเลือนราวหมอกเช้า เสียงฟ้าครวญลมร้องกลับกลายเป็นเพียงเสียงแผ่วเบาในโสตประสาทของเขา จิตใจของเขาถูกกัดกร่อนราวเหล็กที่แช่กรด คลื่นความมืดมนปะทะซัดเข้าราวพายุพัดจิต “เฮ้! เจ้าหนู อวี้เหวิน... เจ้าไหวรึไม่!?” เสียงหนึ่งดังขึ้นภายในมโนสำนึก..แหบพร่าแต่แฝงไปด้วยความร้อนรน ห้วงเสียงนั้นคือซ่งเหยียนเฟย... สหายจากมิติสร้อยคอ ผู้เคยปากกล้าท้าโลกหล้า ซ่งเหยียนเฟยกำลังจะก้าวออกจากมิติมา เเต่ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็ถูกตรึงแน่นด้วยพลังลึกลับ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้เพียงปลายนิ้ว เขายังเพียรเรียกหาเสียงแล้วเสียงเล่า “บัดซบ... ไออสูรหน้าคน!” ซ่งเหยียนเฟยสบถพลางตวัดฝ่ามือไปมาในมิติจำกัด “หากข้าก้าวออกไปได้ละก็..ท่านปู่ผู้นี้จะฉีกกระชากร่างมันจนกระดูกแหลก!” แต่เสียงของเขา กลับสะท้อนอยู่เพียงในเงาจิต ไม่อาจเข้าถึงจิตอวี้เหวินที่กำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงว่างอันไร้ปลาย..เข่าทั้งสองแนบทราย ดวงหน้าหล่อเหลาหม่นหมอง ผมยาวหลุดรุ่ยคลอเคลียหน้าผาก ดั่งรัตติกาลที่คลุมร่างเทวะให้กลายเป็นมนุษย์ผู้ตกสู่ขุมนรก เสียงของซ่งเหยียนเฟยยัง

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่47 ร้อยเล่ห์พันลวง มารบงการจิต

    ใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเหนือชายฝั่งอันวิเวก เสียงคลื่นกระทบโขดหินดังเป็นจังหวะอ้อยอิ่ง ทว่าภายใต้ความสงบนั้น คือบรรยากาศที่ตึงเครียดประหนึ่งสายฟ้าเงื้อมคมรอจู่โจม ร่างในชุดดำของอวี้เหวินยืนนิ่งประหนึ่งเงาสลัวในม่านรัตติกาล สองตาจับจ้องไปยังบุรุษตรงหน้า ผู้ซึ่งบัดนี้หาใช่เพียงชายวัยกลางคน หากแต่ครึ่งหนึ่งของใบหน้ากลับกลายเป็นอสูรอันน่าสะพรึง ร่างกายแปรเปลี่ยน กล้ามเนื้อปูดโปน เกล็ดสีดำสนิทผุดขึ้นราวอสรพิษจำแลง เงาของง้าวดำในมือขยับไหวเพียงนิด กลับแผ่กลิ่นอายสังหารออกมาราวกับทะลวงอากาศ อวี้เหวินไม่กล่าววาจาใดให้เปลืองถ้อยคำ ขณะที่จันทราเบื้องบนยังไม่ทันเคลื่อนคล้อยจากยอดฟ้า เขาก็พุ่งออกประหนึ่งอัสนีสาดฟาด! หมัดแรกพุ่งทะลวงอากาศเป็นประกายเพลิง ปะทะตรงกับเคียวมารของหลิวหง เสียงดังสนั่นดั่งเหล็กกล้ากระทบหินผา แรงสั่นสะเทือนสะท้านไปทั่วร่างของหลิวหงจนเขาต้องถอยหลังพลางยกเคียวขึ้นยันตัวไว้ กลับถูกแรงมหาศาลผลักให้ลอยขึ้นจากพื้นไปเล็กน้อย “โอ้…” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังแผ่ว ราวเสียงกระซิบของปีศาจร้าย “…เจ้ามีเรี่ยวแรงเหนือกว่าเด็กหญิงผู้นั้นเสียอีก เช่นนี้...การสังหารเจ้าจึงนับว่าคุ้มค่าม

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่46 หมัดสังหาร... ทะลวงขีดจำกัด

    ใต้เงาราตรีแห่งฟากฟ้าปราศจากจันทร์ ดวงดาวพลันหลบเร้นอยู่หลังม่านเมฆทะมึน เสียงลมหอบหวิวผสานกับเสียงคลื่นที่ซัดกระแทกชายฝั่งมิได้สงบลงเลยแม้แต่น้อย ท่ามกลางกลิ่นเค็มของไอทะเลและกลิ่นคาวโลหิตที่ฟุ้งกระจาย ฉากการประมือของสองสายเลือดมนุษย์กับสัตว์อสูรและมารชั่วคลุ้งไปทั่วชายหาดอันเคยสงบงาม กลับกลายเป็นแดนประหัตประหารที่เต็มไปด้วยหลุมลึก โขดหินที่ถูกแรงกระแทกจนแหลกละเอียด ต้นไม้ชายฝั่งก็ถูกถอนราก เศษกิ่งใบปลิวว่อนราวใบไม้ร่วงในวสันต์ “โฮกกกก!!!” เสียงคำรามอันบ้าคลั่งของ หลงหมิ่น แผดก้องดั่งเสียงมังกรโกรธเกรี้ยว มันมีบาดแผลลึกหลายแห่ง โลหิตสีครามสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนพื้นทราย แต่แทนที่จะอ่อนแรงลง พลังของมันกลับพวยพุ่งขึ้น ร่างมหึมาพุ่งทะยานดั่งเงาวารีใต้สมุทรอันเชี่ยวกราก ลำคอและเขี้ยวยาวเปล่งประกายด้วยพลังอาภรณ์วารีอันเข้มข้น มุ่งสังหารเด็กหนุ่มตรงหน้าโดยไร้ความปรานี! อวี้เหวิน ไม่คิดหลบ ร่างของเขาสวมเสื้อคลุมดำแนบลู่กับลม เส้นผมยาวสะบัดอย่างองอาจ สองดวงตาคมกล้าฉายแววสงบ เย็นเยียบยิ่งน้ำแข็งแต่เร่าร้อนด้วยเพลิงภายใน “มาเถิด! ข้ากำลังร้อนมืออยู่พอดี!” ทันใดนั้น! กำปั้นข้างขวาของเ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่45 สองสมรภูมิใต้เงาจันทร์

    ภายใต้เงาจันทราซีดเซียวที่ทอดแสงนวลลงบนผืนน้ำทะเลอันมืดมิด กลิ่นไอเค็มยังคงล่องลอยเคล้าคลอกับลมราตรี อวี้เหวินยืนหยัดดุจขุนเขาที่มิหวั่นไหวเบื้องหน้าบุรุษวัยกลางคน ดวงตากลับฉายแววกระวนกระวายราวถูกเพลิงแผดเผา แสงจันทร์สาดส่องลงบนใบหน้าคมคายราวสลักเสลา เงาร่างในอาภรณ์ดำสนิทดุจเงามัจจุราชขยับเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยร่องรอยแห่งความระแวงแคลงใจ “เหตุใดข้าจึงมิได้ยินเสียงของมัน…?” น้ำเสียงของเขานั้นเยือกเย็น ทว่าในแววตาแฝงความเคร่งเครียดและจับสังเกตอย่างลึกซึ้ง เป็นคำถามที่ราวกับเขาโยนหินลงสระ เพื่อรอดูคลื่นสะท้อนกลับมาจากคำพูดของชายผู้นั้น ชายวัยกลางคนผู้มีผิวคล้ำจากแสงแดด มองสบตาอวี้เหวินพลางขมวดคิ้ว สีหน้าร้อนรนแฝงความกลัว “ท่านจอมยุทธ์!” เขากล่าวเสียงสั่น “ท่านอย่ารอช้าเถิด วันนี้มันมิได้ส่งเสียงคำรามก้องเช่นทุกครา แต่กลับคลานขึ้นฝั่งโดยไร้สุ้มเสียง…ข้าหวั่นว่า มันตั้งใจจะลิ้มลองเลือดเนื้อมนุษย์แล้ว!” เขากลืนน้ำลายฝืดคอ ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “และ...จุดที่มันขึ้นมานั้น มีเด็กคนหนึ่งอยู่พอดี!” คำพูดสุดท้ายดั่งสายฟ้าฟาดลงกลางอ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่44 คลื่นทมิฬกลืนกินนภา ใครคือผู้บงการอสูร?

    เบื้องหน้าแมกไม้สูงใหญ่ที่โอบล้อมบึงใสกลางป่า เงาสะท้อนของเมฆสีเทารางเลือนวาดทับผิวน้ำดั่งม่านหมอกชะล้างใจ เมื่อเสียงสายลมโอบพัดใบไม้ให้ไหวเอน เด็กน้อยเบื้องข้างขอนไม้ก็ก้มหน้าลงแผ่วเบา คล้ายกำลังรวบรวมใจเพื่อกล่าวต่อ “เมื่อเดือนก่อน…” เสียงของเขาแผ่วพร่า ราวกลัวว่าหากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมาแล้ว ความเศร้าที่ซุกซ่อนจะพรั่งพรูไม่อาจห้าม “มีคนจากภายนอกกลุ่มหนึ่งมาถึงหมู่บ้าน…” ดวงตาเล็กจ้องมองบึงอย่างเหม่อลอย สะท้อนแววอ้างว้างเจือปนระลึกถึง “พวกเขาสวมอาภรณ์ดูสง่า บางคนมีกระบี่แนบกาย บางคนมีกระบี่หลังสะพาย บางคนมีดวงตาที่เปล่งแสงราวจิตวิญญาณไม่ธรรมดา… ข้าคิดว่าพวกเขาคงเป็นผู้ฝึกปราณที่มีฝีมือ” เขาสูดหายใจเข้าแผ่วเบาก่อนหลุบตามองดินร่วนใต้เท้า “แต่ไม่กี่วันให้หลัง พวกเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครล่วงรู้ว่าพวกเขาไปทางใด ไม่มีแม้เสียงร่ำลา… แม้แต่ร่างก็ไม่ปรากฏให้เห็น” เสียงแผ่วพร่าของเด็กน้อยพลันสั่นไหว น้ำใสคลอหน่วยดวงตากลมโตก่อนหยาดหยดลงบนหลังมืออันสั่นเครือ เขาปาดน้ำตาอย่างเงียบงัน ก่อนพึมพำด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบา “หนึ่งในนั้น… คือคนที่ข้ารู้จัก” ดวงตาน้อยคู่นั้นค่

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่43 กระซิบจากริมบึง เงาปีศาจในคราบมนุษย์

    อวี้เหวินยังคงจ้องมองเขาอย่างแน่วแน่ ราวกับต้องการอ่านความจริงจากลึกในดวงจิตของอีกฝ่าย เฒ่าเจียนสูดลมหายใจลึก ก่อนเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “ราวหนึ่งเดือนก่อน ข้าออกเรือไปยังทะเลทางทิศตะวันตก จุดนั้นห่างจากชายฝั่งไกลพอควร ตั้งใจเพียงจะหาปูหาหอยไปขายแลกเบี้ย… แต่สิ่งที่ข้าเจอนั้น…” เขาหยุดนิ่ง ขยับถ้วยชามาแนบอก มือทั้งสองสั่นไหวเล็กน้อย “มัน… มันใหญ่โตราวกับเนินเขาเคลื่อนที่ได้ ลำตัวเรียวยาว ราวงูทะเลที่คลานบนผืนน้ำ… แววตามันวาววับ เยียบเย็นดั่งคมดาบในหิมะขาว ข้าแน่ใจว่า มันไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดา หากแต่เป็นสิ่งที่ผู้คนเล่าขาน… ‘เงามังกรใต้สมุทร’…” อวี้เหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสบตากับเซี่ยชิงหลัวซึ่งนิ่งฟังอยู่ข้างกาย แม้นใบหน้านางจะถูกผ้าขาวบางปิดบัง แต่เพียงแค่ดวงตางามที่ทอแววบางอย่างเจือแสงครุ่นคิด เขาก็รู้ได้ในบัดดลว่านางเองก็เข้าใจในสิ่งเดียวกัน “ท่านเคยได้ยินชื่อมันหรือไม่?” อวี้เหวินเอ่ยเสียงต่ำ เฒ่าเจียนพยักหน้าเบา ๆ “เคย… เคยได้ยินจากพวกชาวเรือเฒ่าในอดีต พวกเขาเรียกมันว่า ‘หลงหมิ่น’ …อสูรโบราณที่สืบสายโลหิตแห่งอสรพิษทะเลจากยุคดึกดำบรรพ์ มันไม่ค่อยปรากฏตัวบนผิวน้ำ และไม

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่42 หลงหมิ่น—มังกรเงาแห่งสมุทร

    ยามอรุณรุ่งแผ่แสงอ่อนบางลงแตะต้องริมขอบฟ้า เฉกเช่นม่านทองที่คลี่คลุมผืนนภา สีฟ้าเรื่อแซมประกายสีส้มจางไล้ผ่านยอดไม้ และแนบอิงผิวคลื่นเบื้องล่าง จนผืนน้ำคล้ายพลิ้วไหวไปด้วยแสงทองนั้น สายลมยามเช้าพัดเอื่อยพาไอเค็มของทะเลโชยมาแตะปลายจมูก อ่อนโยนและเย็นสบายนัก ใต้เงาไม้ริมชายฝั่ง ร่างบอบบางในอาภรณ์สีขาวนวลนั่งสงบนิ่งอยู่ข้างขอนไม้ ดวงหน้างดงามราวภาพวาดยังคงเคลิ้มในห้วงนิทราอย่างสงบเสงี่ยม แสงแดดเบาบางส่องต้องผ่านซอกกิ่งไม้ แผ่วพาดลงบนเรียวแก้มนวลเนียนประหนึ่งหยาดหิมะแรกของฤดูหนาว ดวงตางามล้ำคู่นั้นพลันขยับกระพริบไหว ลืมขึ้นอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา ราวกลีบบุปผาที่แย้มรับแสงแรกของวัน เมื่อสติกลับคืน คิ้วเรียวเล็กพลันขมวดเข้าหากันอย่างแผ่วเบา ราวกับผืนน้ำต้องลมแผ่ว รำลึกขึ้นได้ว่าตนเอ่ยปากจะร่วมเฝ้ายามเคียงข้างบุรุษผู้นั้น ทว่ากลับเผลอหลับใหลไปโดยมิรู้ตัว ความรู้สึกผิดพลันแผ่ซ่านไปทั่วอุรา ใบหน้านวลผ่องราวหยกขาวพลันแต้มสีชมพูระเรื่อ ดุจกลีบเหมยแรกแย้มต้องหิมะยามอรุณรุ่ง งดงามจับตา ราวกับภาพวาดสวรรค์ที่รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน นางขยับกายเล็กน้อย พลิกตัวไปมองหาร่างของบุรุษผู้เป็นสหายร่วม

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status