เมื่อได้ยินดังนั้น สาวน้อยจึงเงยหน้าขึ้นสบตาคมของเขา และได้พบกับสีหน้าบึ้งๆ ของชายหนุ่ม เหมือนเขาไม่พอใจที่เธอมายืนอยู่ตรงนี้ แต่ทำไมล่ะ ในเมื่อเขาเป็นคนเรียกเธอเข้ามาเองนี่นา
“แต่ถ้าบริษัทไม่ให้โอกาสเด็กจบใหม่เข้ามาทำงาน เด็กที่จบใหม่ก็จะไม่มีประสบการณ์ในการทำงานเลยนะคะ แล้วอย่างนี้จะเอาประสบการณ์มาจากไหน” ไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงกล้าเอ่ยปากออกไป ทั้งที่ไม่ได้คิดจะพูดเลยสักนิด
ดลลดาสังเกตเห็นมุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเหมือนจะเยาะหยันในคำพูดของหล่อน
“เก่งนี่ กล้าต่อปากต่อคำกับฉัน ซึ่งเป็นถึงท่านประธานบริษัทนี้” นั่นไง เขากำลังเยาะหยันเธอจริงๆ ด้วย
“ดิฉันแค่พูดเรื่องจริงค่ะ”
“แต่หน้าที่เธอ คือฟังคำสั่งของฉัน และต้องปฏิบัติตาม ไม่ใช่ให้มาเถียงฉัน หรือเธอไม่อยากฝึกงานที่นี่”
ดลลดาก้มมองมือตัวเอง แล้วนับหนึ่งถึงสิบในใจ
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ดิฉันจะไม่แต่งชุดนักศึกษามาอีก” ดลลดาบอกเขาทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่
เมื่อได้คำตอบที่น่าพอใจแล้ว ชวนนท์ก็มองไปยังมือบางที่ประสานกันอยู่ เห็นรอยแดงที่ข้อมือ เนื่องจากถูกประตูลิฟต์หนีบ ชายหนุ่มหันหลังกลับเดินไปที่ผนังห้องที่เป็นกระจกใสแจ๋ว สามารถมองลงไปเห็นวิวทิวทัศน์เบื้องล่างได้อย่างงดงาม
“คราวหน้าคราวหลังก็ระวังหน่อย อย่าโง่เอาข้อมือมาขวางประตูลิฟต์ที่กำลังจะปิดอีกล่ะ ถึงแม้จะรู้ว่ามันจะกั้นประตูไม่ให้ปิดได้ แต่ก็ไม่ค่อยมีคนฉลาดจะทำให้ตัวเองเจ็บตัวไม่เข้าท่าแบบนี้ ไปได้แล้ว”
ดลลดาตวัดสายตาใส่อีกฝ่ายเมื่อได้ยินเขาเหน็บแนม ค่อนไปทางด่าเธอว่าโง่นั้น ชิ... ผู้ชายปากร้าย เห็นคนเจ็บตัว ไม่ปลอบแล้วยังซ้ำเติมอีก ก่อนหันหลังเดินตัวตรงออกไปจากห้อง สาวน้อยไม่รู้เลยว่า ถึงแม้ชายหนุ่มหันหลังให้ แต่สายตาเขาก็ยังจับจ้องมองเธอตลอดเวลา จากเงาสะท้อนที่กระจก
ชายหนุ่มแอบผ่อนลมหายใจออกมายืดยาว ทันทีที่สาวน้อยเดินออกไปแล้ว
“ดรีม เป็นไงมั่ง เจ้านายว่าอะไรบ้างรึเปล่า”
ดลลดามองสบตาอรอนงค์นิดนึง ก่อนจะมองไปที่เอกสารตรงหน้าที่อรอนงค์นำมาให้เธอพิมพ์
“จะเหลือเหรอคะพี่อร เฮ้อ... มาทำงานวันที่สองก็โดนดุเอาซะแล้ว”
“เอาน่า คราวนี้ช่างมัน ถือซะว่าเป็นบทเรียนแรก เรายังต้องเจออีกนาน 3 เดือนล่ะ”
“ค่ะ ดรีมจะทนค่ะ ต้องทนให้ได้ พี่อรไม่ต้องห่วงค่ะ สู้สู้”
ดลลดา ส่งยิ้มโชว์ฟันสวยเกือบครบ 32 ซี่ ให้อรอนงค์ เป็นการบอกว่าไม่เป็นไรจริงๆ
“หนูจันทร์”
ภา หรือภารินี วิ่งกระหืดกระหอบมาหาร่างอวบอิ่มด้วยวัยสาวของเพื่อนสาวขณะกำลังเดินกอดตำราเรียนอยู่ ดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายวาววับ เมื่อหันหน้ามาตามเสียงเรียกของเพื่อนสาว
หนูจันทร์ของครอบครัว และของเพื่อนๆ มีชื่อเต็มๆ ว่า ศศิวิมล วิริยะเจริญ ด้วยความที่เกิดมาในตระกูลที่มีฐานะมั่นคง และได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม เนื่องจากบิดาและมารดานั้นมีบุตรสาวเพียงคนเดียว สาวน้อยอย่างหนูจันทร์ จึงเหมือนเจ้าหญิงองค์น้อยๆ ที่อ่อนหวานน่ารัก หนูจันทร์เป็นสาวสวยเหมือนตุ๊กตาญี่ปุ่น มีผมสีดำสนิทเป็นเงางาม มีดวงตาสีน้ำตาลสวย มีผิวสีขาวอมชมพู และริมฝีปากจิ้มลิ้มน่ารัก จึงเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มมากมาย ทั้งรุ่นพี่ รุ่นเดียวกัน หรือแม้แต่รุ่นน้อง แต่หนูจันทร์ไม่เคยยอมใจอ่อนคบหากับชายใดเลย เธอตั้งหน้าตั้งตาร่ำเรียน เพื่อจะจบการศึกษาด้วยคะแนนสูง เป็นความภูมิใจของพ่อแม่ นั่นคือสิ่งที่เพื่อนๆ รู้ แต่หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้ว หัวใจของหนูจันทร์นั้นไม่ได้ว่างเปล่า แต่มีเงาของชายหนุ่มผู้หนึ่งซ่อนอยู่ในนั้น เต็มสี่ห้องหัวใจ
สาวน้อยยังจำได้ดีถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนัก หนูจันทร์ที่อยู่ในชุดนักเรียนมัธยมของโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง กำลังจะข้ามถนนตรงทางม้าลาย แต่จู่ๆ ก็มีรถที่แล่นมาด้วยความเร็ว ทั้งที่ฝนตกหนักถนนลื่น จึงไม่เห็นร่างบางของเด็กสาวที่กำลังเดินข้ามถนน ครั้นใกล้ตัวเจ้าของรถคนนั้นคงเพิ่งเห็นเด็กสาว ก็เลยเหยียบเบรก แต่... ไม่ทันเสียแล้ว รถคันดังกล่าวได้ชนร่างบางทันที ร่างของหนูจันทร์ลอยลิ่ว เหมือนใบไม้ และตกลงที่พงหญ้าข้างทาง ตอนนั้นสมองของหนูจันทร์เบลอไปหมด ทั้งตัวชาหนึบหนูจันทร์กระดุกกระดิกตัวไม่ได้เลย จนเมื่อมีอ้อมแขนอันอบอุ่น แข็งแรง ช้อนร่างแน่งน้อยเอาไว้อย่างทะนุถนอม เปลือกตาบางใสจึงกระพือขึ้นมองเห็นต้นคอแข็งแกร่ง ปลายจมูกโด่งสวย ปลายขนตายาวไม่แพ้อิสตรี ผมของเขาเปียกลู่แนบเข้ากับศีรษะทุย เขาคงรู้สึกว่ามีคนมองอยู่ จึงก้มหน้ามาสบตาสีสวยของเธอ แววตาที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยเธอนักหนาทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ แล้วสติสัมปชัญญะของศศิวิมลก็ดับวูบลง
เมื่อศศิวิมลรู้สึกตัวอีกครั้ง บุคคลที่ได้พบก็คือบิดาและมารดาของสาวน้อยนั่นเอง อาการของสาวน้อยไม่น่าเป็นห่วงดังที่คิดไว้ คงเป็นเพราะตอนที่เธอตกลงมานั้น มีความนุ่มของพงหญ้าที่รับร่างเอาไว้ ลดการกระแทกลงได้มาก อาการของศศิวิมลก็มีเพียงที่สะโพกซึ่งได้รับการกระแทกจากตัวรถ และรอยฟกช้ำดำเขียวตามร่างกายที่มีไม่มาก หมอลงความเห็นว่าควรจะต้องตรวจดูให้แน่ใจก่อน ในเรื่องของระบบประสาทและสมอง สาวน้อยจึงต้องนอนโรงพยาบาลอยู่ 4 วัน
และในวันสุดท้ายของการนอนโรงพยาบาล บุคคลที่อยู่ในความทรงจำของสาวน้อยก็ปรากฏตัวขึ้น ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน และกางเกงสแลคสีเทาดำ เขาส่งยิ้มมาให้ศศิวิมลก่อน แล้วจึงยกมือทำความเคารพบิดาและมารดาของเด็กสาว ท่านทั้งสองยกมือขึ้นรับไหว้ และส่งยิ้มยินดีให้ชายหนุ่ม
ริมฝีปากหยักลึกยิ้มพราย เมื่อคิดว่าจะมอบสร้อยเส้นนี้ให้ภรรยาสุดที่รักเอาไว้ใส่เล่น ส่วนเครื่องเพชรที่เขามอบให้หล่อนก่อนหน้านั้น ค่อยเก็บเอาไว้ใส่เฉพาะเวลาออกงาน เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็กำสร้อยเส้นนั้นเอาไว้ในมือ และเดินออกมาจากห้องนอนด้วยกางเกงตัวเดียว เปลือยอกกว้างกำยำทรมานใจสาว ดวงตาคมกริบหรี่ลง พร้อมกับส่งประกายวาววาม เมื่อเห็นร่างบางของดลลดาอยู่ในชุดเสื้อนอนตัวยาวตัวเดียว ความยาวของมันปิดลงมาแค่ต้นขาขาวอวบ ชายหนุ่มค่อยๆ สาวเท้าเข้าไปใกล้ร่างบางโดยไม่ให้หญิงสาวรู้ตัว แล้วอ้อมแขนแข็งแรงก็สอดเข้าไปรวบเอวบางเอาไว้ “อุ๊ย! พี่ฌอห์น ตกใจหมดเลยค่ะ” ดลลดาบอก และเบี่ยงหน้าหนีจมูกและปากร้อนๆ ที่ซุกไซ้ลงมาที่ซอกคอหอมกรุ่น “ดรีมทำอะไรอยู่จ๊ะ” เสียงทุ้มนุ่มกระซิบถามที่ข้างใบหูหอมกรุ่น “ดรีมกำลังทำข้าวต้มกุ้งค่ะ พี่ฌอห์นหิวหรือยังคะ” เสียงหวานๆ ถาม แต่มือบางก็ยังหยิบจับโน่นนี่ไม่หยุดหย่อน ชวนนท์ไม่ตอบ มือใหญ่ยกขึ้นแบมือให้หญิงสาวดูสิ่งของที่อยู่ในมือ ดวงตากลมโตของหญิงสาวหลุบลงมองสร้อยเส้นเล็ก น่ารักๆ ในมือใหญ
ชวนนท์หัวเราะชอบใจ ถ้าได้เจอหลานชายคนนี้ คงต้องตบรางวัลให้อย่างงามเสียแล้ว “แล้วพี่ฌอห์นจะไปฮันนีมูนเมื่อไหร่ครับ” “ก็คงเร็วๆ นี้ล่ะ เพราะช่วงนี้งานที่บริษัทไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ ถ้าไง ก็ฝากนายเลี้ยงหลานด้วยก็แล้วกันนะ” ชวนนท์ถือโอกาสฝากฝังลูกๆ ซะเลย “แล้วจะไปที่ไหนกันเหรอครับ ถ้ามีโอกาสผมจะได้พาหนูจันทร์ไปบ้าง” “เกาะส่วนตัว ไว้แกค่อยไปหลังจากฉันกลับมาแล้วกันนะ แต่ฉันขอบอกก่อนเลยว่า บรรยากาศสุดยอด ธรรมชาติ น้ำทะเลสีคราม ท้องฟ้ากว้างใหญ่ มีฝูงนกนางนวลบินถลาเล่นลม เสียงคลื่นซัดสาด และทำสำคัญมีแค่เราสองคน” ชลาทิศหัวเราะลั่น กับคำพรรณนาของพี่ชาย จนเขาอยากไปร่ำๆ เสียแล้ว “อย่างนี้กลับมา คงมีหลานผมติดท้องมาอีกแน่นอนเลย” “อ้าว... ก็ต้องอย่างงั้นอยู่แล้ว ไม่งั้นจะไปทำไมล่ะ” ชวนนท์บอก และเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงของสองพี่น้องก็ดังแข่งกันเป็นระยะๆ ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี “ราม ระวังหน่อยนะลูก มันอันตราย” ชัชรินทร์พาร่างอวบของตัวเอง ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ 5 เดือน เดือนอุ้ยอ้ายมาบอกอย่
ดลลดาส่งยิ้มเพลียๆ ให้คนรัก ก่อนจะหันไปรับร่างลูกน้อยที่นางพยาบาลจัดการทำความสะอาด และห่อด้วยผ้าขนหนูส่งมาให้ ดวงตาคู่สวยมีหยาดน้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะไหลออกมาเป็นทางด้วยความปลื้มปิติ ลูกของเธอหน้าเหมือนพ่อเดี๊ยะ จะเหมือนเธอก็คงเป็นแค่ริมฝีปากที่อิ่มเต็มน่ารักเท่านั้น “จะให้น้องมีชื่อว่าอะไรดีคะ” นางพยาบาลสาวถามยิ้มๆ “ชวดลค่ะ ลูกที่เกิดจากมนตราแห่งความรักระหว่างพ่อกับแม่ พ่อชื่อชวนนท์ แม่ชื่อดลลดา ฉะนั้นลูกของเราต้องชื่อชวดลค่ะ” ดลลดาเป็นฝ่ายบอกพยาบาล และชวนนท์ก็เห็นด้วย ดลลดาส่งลูกน้อยให้ชวนนท์ได้อุ้มบ้าง คุณพ่อมือใหม่ดูจะเก้ๆ กังๆ ไปบ้าง แต่ก็สามารถอุ้มลูกได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มจรดปลายจมูกโด่งกับแก้มของลูกน้อยอย่างรักใคร่ จริงอย่างที่ดลลดาบอก ลูกคนนี้เกิดขึ้นจากมนตราแห่งรักของเขาและหล่อนแท้ๆ และชวนนท์ก็ตั้งใจแล้วว่า จะต้องใช้มนตราแห่งรักให้กำเนิดลูกๆ ตามมาอีกหลายๆ คน “ปี้โดม เอาก๋องเดียมาเดี๋ยนี้นะ” เสียงเล็กใส ของหนูน้อยวัย 2 ขวบ ครึ่ง มีนามว่าชญานิศ หรือน้องเดียร์ดังลั่นบ้าน “อันนี้ของพี่ ไม
4 เดือนต่อมา ณ สนามบินสุวรรณภูมิ “เดินทางโดยปลอดภัยนะลูก” คุณชิดกมลอวยพรบุตรสาวและบุตรเขย ที่กำลังจะย้ายสำมโมครัวไปอยู่ไกลถึงอิตาลี เพราะหน้าที่การงานของราฟ ทำให้ไม่สามารถสร้างครอบครัวที่นี่ได้ กว่าที่ทุกคนจะเกลี้ยกล่อมชัชรินทร์ได้ก็กินเวลานานหลายเดือน กำหนดการเดิมของราฟ ที่ว่าเมื่อแต่งงานเสร็จก็จะพาชัชรินทร์บินกลับอิตาลีทันที เป็นอันต้องยืดเยื้อมานานถึง 4 เดือน แต่ชายหนุ่มก็ต้องเบาใจ เมื่อชัชรินทร์ยินยอมย้ายไปอยู่อิตาลีโดยดี ไม่งั้นเขาเองคงต้องลำบากย้ายบ้านย้ายที่ทำงานมาอยู่ที่เมืองไทยเป็นแน่ “ค่ะแม่ แล้วเชอรี่จะมาเยี่ยมแม่บ่อยๆ นะคะ” ชัชรินทร์บอก ก่อนจะหันไปหาพี่ชายทั้งสอง และพี่สะใภ้ทั้งสองที่ตั้งครรภ์หมดแล้ว ต่างกันที่ระยะครรภ์เท่านั้น เหลือแต่หญิงสาวที่กำลังสงสัยว่าตัวเองตั้งครรภ์เพราะประจำเดือนขาดไป 1 เดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ตรวจให้แน่ใจ “พี่ฌอห์นคะ พี่ชาร์ลคะ เชอรี่ฝากคุณแม่ด้วยนะคะ” ใบหน้างามไม่แจ่มใสนัก ดวงตาคู่สวยของชัชรินทร์มีน้ำตาคลอเบ้าตา แต่ไม่ได้ไหลออกมา “ไม่ต้องห่วงทางนี้นะเชอรี่ เราน่ะ
“พี่ชาร์ล รูดซิปให้หนูจันทร์หน่อยสิคะ หนูจันทร์รูดเองไม่ถึง” ชลาทิศยิ้มบางๆ มือใหญ่ค่อยๆ รูดซิปลงจนสุดสาย และรั้งชุดเจ้าสาวแสนสวยลงช้าๆ ดวงตาคมกริบกวาดตามองไล่ไปตามเรือนร่างอรชรอวบอิ่มของหล่อน นานแล้วที่เขาไม่ได้แตะต้องเรือนร่างนี้ เพราะคิดว่าบาดแผลผ่าตัดของหญิงสาวยังไม่หายดี “หนูจันทร์” เสียงทุ้มที่เรียกชื่อหญิงสาวเริ่มสั่นพร่า มือใหญ่พลิกร่างบางที่ยืนหันหลังให้หันหน้าเข้าหาเขา “พี่ชาร์ล หนูจันทร์จะอาบน้ำ” เสียงหวานใสบอก แต่เบายิ่งนัก ราวกับคนพูดไม่มั่นใจ “ขอพี่ชื่นใจหน่อยได้ไหมคนดี พี่คิดถึงหนูจันทร์เหลือเกิน” ชลาทิศบอกกระเส่า มือใหญ่ปลดตะขอบราเซียสีขาวออก ทรวงอกอวบอิ่มดีดตัวออกมาทันทีที่ได้รับอิสระ ดวงตาคมกริบเพ่งมองความงดงามตรงหน้าอย่างหลงใหล แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อเห็นรอยแผลผ่าตัดขนาดไม่ใหญ่นักบนทรวงอกด้านซ้าย ชลาทิศยกมือขึ้นลูบไล้ไปตามรอยนั้นเบาๆ อย่างทะนุถนอมยิ่งยวด ก่อนจะจรดริมฝีปากร้อนๆ ลงไปเบาๆ หลายครั้งติดๆ กัน “ไม่เจ็บแล้วนะคนดี หายแล้วนะ” คำพูดปลอบโยนที่แสนอ่อน
เจ้าบ่าวทั้งสามต่างก็ไม่รอช้า เมื่อได้โอกาส รวบเอวบางของเจ้าสาวเข้าหา และกดจุมพิตดูดดื่มลงกับเรียวปากนุ่มของเจ้าสาวทันที ทั้ง 3 คู่ 6 คน ในเวลานี้บอกได้คำเดียวว่า กำลังมองเห็นทุกสิ่งสรรพรอบกายเป็นสีชมพูไปหมดแล้ว ความสุขที่ต้องรอคอย ต้องแลกกับความทุกข์แสนสาหัส กว่าจะได้มาซึ่งวันนี้ วันที่ทุกคนมีความสุขโดยพร้อมเพรียงกัน ศศิวิมลยังคงอยู่ในชุดเจ้าสาวแสนสวย นั่งอยู่บนสตูตัวเล็กหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หญิงสาวมองเข้าไปในกระจกเงา เห็นผู้หญิงสาวสวยในชุดเจ้าสาวดูคล้ายกับเป็นเจ้าหญิงน้อยๆ ใบหน้าอิ่มเอิบมีความสุขล้ำ ที่ส่งออกมาให้เห็นผ่านแววตาที่เป็นประกายเจิดจรัส ในที่สุดศศิวิมลก็มีวันนี้ วันที่จะได้เริ่มต้นใช้ชีวิตคู่กับคนรัก วันที่เปลี่ยนนามสกุลจากวิริยะเจริญ มาเป็นอัครเดช-ไพศาล และเป็นวันที่ต้องเปลี่ยนคำนำหน้าจากนางสาวกลายเป็นนาง แม้ว่าเจ้าหน้าที่ทางอำเภอจะบอกว่าไม่ต้องเปลี่ยนก็ได้ถ้าไม่อยากเปลี่ยน แต่ศศิวิมลอยากเปลี่ยน เธออยากรับรู้ถึงการมีคู่ครองให้ครบทุกอณูความรู้สึก ในเมื่อรักกันและยินดีจะใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว ทำไมจะต้องปิดกั้นตัวเองอี