“ธรินดา...พี่เล็กหรือเปล่าคะ” แววตาที่หม่นเศร้าไหวระริกเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงชื่อนั้น
“ใช่...เรารู้จักเหรอ”
“รู้จักค่ะ ในชมรมดนตรีจันทร์สนิทกับพี่สาวอยู่สองคน มีพี่ขิมแล้วก็พี่เล็ก พี่ขิมเล่นดนตรีเก่งมากค่ะ ร้องเพลงก็เก่ง ส่วนพี่เล็กเป็นผู้ให้กำลังใจที่ดี”
“คงเล่นอะไรไม่เป็นล่ะสิ ก็ไม่แปลกในเมื่อวันๆ เอาแต่ขลุกอยู่ในห้องพระหรือไม่ก็ห้องครัว” ปรัชญ์พาดพิงถึงคนที่กำลังเป็นประเด็นด้วยน้ำเสียงที่ดูจะแดกดันระคนหมั่นไส้นิดๆ
“คุณรู้จักพี่เล็กด้วยเหรอคะ”
“รู้จักสิ รู้จักดีซะด้วย”
“พี่เล็กเป็นอะไรกับ...”
“มาทำปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออะไรอยู่นี่ มีอะไรทำก็ไปทำซะสิ” เสียงดุๆ ของรังสิมันต์แทรกขึ้นขัดจังหวะการถามของจันทริกา ทำให้หญิงสาวหน้าเจื่อนไปทันที
“ขอโทษค่ะ” เสียงหวานเอ่ยขอโทษแล้วเตรียมจะผละไป
“เดี๋ยวก่อนจันทร์” ปรัชญ์เรียกเอาไว้ จันทริกาหยุดตามเสียงเรียกพร้อมกับขานรับเบาๆ
“คะ”
“ต่อไปจันทร์ไม่ต้องเรียกพี่ว่าคุณนะ ให้เรียกว่าพี่ปรัชญ์ เข้าใจมั้ย”
คำพูดที่ฟังดูใจดีของปรัชญ์นั้น มาพร้อมกับอาการหน้าตึงของใครอีกคน จันทริกาไม่ได้รับปากแค่พยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงเข้าใจ จากนั้นก็รีบผละไปตามความตั้งใจเดิมของตัวเอง
“น้องเขาก็ดูน่ารักดีนี่ แถมแววตาก็ดูเศร้าๆ เห็นแล้วสงสารว่ะ แกใจร้ายกับเด็กคนนี้ได้ลงคอจริงๆ เหรอวะตะวัน”
“แกยังไม่รู้จักจันทริกาดีพอหรอก”
“แล้วแกล่ะ รู้จักเขาดีพอจริงๆ เหรอ แล้วแน่ใจนะว่าไม่ได้คิดหรือทำอะไรเกินเลยกับเขามากกว่าการปลดจากน้องเมียมาเป็นเด็กรับใช้” ปรัชญ์แสร้งถามดักคอ แต่รังสิมันต์นี่สิกลับหลุดออกมาจนเพื่อนรักต้องอมยิ้ม
“ไอ้ปรัชญ์! แกนี่มันปากหมาจริงๆ!”
“เอ๊าไอ้นี่ พูดแค่นี้ทำเป็นโกรธ หรือว่าที่ฉันพูดนี่จี้ใจดำๆ ของแก”
“แกจะหุบปากแล้วเก็บปากไว้กินเหล้า หรือจะกินหมัดของฉันก่อน”
“กลัวแล้วครับ” ปรัชญ์พูดกลัวหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ซึ่งตรงข้ามกับอารมณ์ของเจ้าของบ้านอย่างลิบลับ
“แกกำลังจะทำให้ฉันเสียการปกครอง”
“เสียยังไงวะ”
“ทำไมจะต้องไปให้ความสนิทสนมกับเด็กคนนั้น หรือว่าคิดอะไรกับเด็กในบ้านฉัน”
“ฉันน่ะไม่คิดอะไรอยู่แล้ว แค่สงสารและเอ็นดู แต่แกเหอะคิดอะไร ทำไมถึงได้ทำตัวเป็นหมาหวงก้างแบบนี้ อ้อ...ต้องบอกว่าอดีตพี่เขยหวงอดีตน้องเมียถึงจะถูก” ปรัชญ์แกล้งพูดจี้ใจดำอีกอย่างพอจะเดาอะไรได้รางๆ
“ไอ้เชี่ยปรัชญ์! แกจะกวนตีนไปถึงไหนวะ”
“รู้ทันก็แกล้งทำโมโหใส่นะคนเรา”
“ไม่ต้องมาทำเป็นรู้ทัน ตกลงจะกินไม่กินเหล้าน่ะ ถ้ามัวแต่กวนตีนแบบนี้ก็รีบกลับไปเลยไป” รังสิมันต์ไล่เพื่อนสนิทกลับอย่างไม่คิดจะรักษาน้ำใจ แต่มีหรือคนอย่างปรัชญ์จะยอมง่ายๆ
“นิสัยเสีย ฉันเป็นแขกนะโว้ย จะไล่กลับตามใจชอบได้ไง”
“ตกลงจะกลับไม่กลับ”
“ไม่กลับ”
“หน้าด้าน”
“ก็ไม่เถียง ด้านได้อายอดว่ะ”
ปรัชญ์ยักไหล่พลางหัวเราะร่วนอย่างไม่เดือดร้อนต่อท่าทีฮึดฮัดของอีกฝ่าย เขาจัดการคีบน้ำแข็งใส่แก้วให้ตัวเองจากนั้นก็รินน้ำสีอำพันซึ่งราคาแพงระยับลงในแก้ว ก่อนจะจับมันขึ้นกระดกลงคออย่างสบายใจ รังสิมันต์จึงจับขวดมาเทใส่แก้วตัวเองบ้าง แต่ปริมาณที่เทมากกว่าของปรัชญ์เกือบเท่าตัว เหล้าในขวดจึงหมดลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อมีขวดแรกก็มีขวดสองตามมาติดๆ ปรัชญ์ซึ่งต้องขับรถรู้ตัวดีว่าตัวเองมีลิมิตแค่ไหน จึงดื่มพอกรึ่มๆ ก็ขอตัวกลับ ทว่าเจ้าของบ้านกลับนั่งดื่มต่อจนเมาหนัก หากกระนั้นเขาก็ยังอุตส่าห์เดินโงนเงนไปหาตัวต้นเหตุของความเมา ซึ่งตอนนี้กำลังเตรียมอาหารอยู่ในห้องครัว
“เมื่อกี้เธอทำอะไร”
“ทำอะไรเหรอคะ”
จันทริกาวางมือจากอาหารที่ทำ แล้วหันมามองเขาอย่างระวังเพื่อตั้งหลัก แต่กระนั้นก็ยังไม่ทัน เพราะตอนนี้รังสิมันต์ขยับมาถึงตัว พร้อมกับกระชากหัวไหล่ทั้งสองข้างของเธอเข้าไปหา
“ก็ที่ไปให้ท่าเพื่อนฉันไง”
“จันทร์เปล่านะคะ” เสียงหวานเอ่ยแก้ต่างให้ตัวเองพลางนิ่วหน้าด้วยความเจ็บจากแรงมือที่บีบลงบนต้นแขนเล็กๆ ของเธอไม่ยั้ง
“ฉันก็กะแล้วว่าเธอจะต้องตีหน้าซื่อและปฏิเสธแบบนี้ บอกไว้ก่อนนะว่าไอ้ปรัชญ์มันไม่โง่ให้เธอหลอกง่ายๆ เหมือนฉันหรอก อีกอย่างถ้าหวังว่าจะได้ที่เกาะใหม่ละก็เสียใจด้วย เพราะปรัชญ์มันมีผู้หญิงที่มันรักอยู่แล้ว และผู้หญิงคนนั้นก็แสนดีมากซะด้วย ดีชนิดที่คนดีปลอมๆ แบบเธอเทียบไม่ติดแม้แต่ขี้เล็บด้วยซ้ำ”
“จันทร์ไม่ได้ทำอะไรหรือคิดอะไรอย่างที่คุณว่า อีกอย่างจันทร์ก็ไม่เคยจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร”
“น้อยไปล่ะสิไม่ว่า จำใส่หัวเธอเอาไว้ให้ดีนะจันทริกา ว่าถึงเธอจะเป็นแค่นางบำเรอของฉัน ฉันก็จะไม่ยอมใช้ผู้หญิงร่วมกับใครเด็ดขาด โดยเฉพาะคนที่เป็นเพื่อน เพราะฉะนั้นถ้าปรัชญ์มาที่นี่อีก อย่าให้ฉันเห็นว่าเธอทำอะไรน่ารังเกียจแบบที่ทำวันนี้”
“เลิกหาเรื่องจันทร์แล้วขึ้นไปอาบน้ำเถอะค่ะ คุณเมามากแล้วนะคะ” จันทริกาเอ่ยเตือนสติคนที่ถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์ครอบงำ
“เมาเหล้าน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เมามารยาผู้หญิงหน้าซื่อใจคดอย่างเธอทำเอาฉันอยากจะอาเจียน”
“คุณตะวัน!”
จันทริกาเรียกชื่อนั้นออกมาอย่างตัดพ้อต่อความใจร้ายของเขา ทำไมนะแม้จะโดนว่ากระแทกกระทั้นบ่อยแค่ไหน แต่หัวใจของเธอมันถึงยังไม่ชินกับความเจ็บปวดแบบนี้เสียที
บทที่ 44ผู้หญิงดีพร้อมที่เขาหมายถึงก็คือธรินดา น้องสาวบุญธรรมของปรัชญ์นั่นเอง เขารู้ดีว่าปรัชญ์รู้สึกลึกซึ้งกับธรินดามากกว่าน้องสาวนอกไส้ แต่มันก็ทำปากแข็งไม่เคยยอมรับความจริงกับเขาออกมาตรงๆ จนเขานึกอยากแกล้ง ถึงขนาดต้องลงทุนว่าจะไปหาธรินดาที่กรุงเทพฯ ซึ่งมันได้ผลเพราะไอ้บ้านั่นร้อนรนจนเปลี่ยนใจไปกับเขาเพื่อกันท่า ทั้งๆ ที่ตอนแรกปฏิเสธเสียงแข็งว่าจะไม่ไป ส่วนอีกเหตุผลที่เป็นเหตุผลส่วนตัวแบบไม่ได้บอกใคร ก็คืออยากทำให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้รู้ว่า แม้เขาจะร่วมรักกับเธอบ่อยแค่ไหนและบางครั้งอาจจะเผลออ่อนโยนไปบ้าง แต่เธอก็ไม่เคยมีความหมายมากไปกว่าเมียบำเรอ ที่เขาไม่เคยคิดจะยกย่องเชิดชู เขายังมองหาผู้หญิงอื่นมาอยู่เคียงข้างในฐานะภรรยาตัวจริงแทนที่ศศิประภา ซึ่งจันทริกาไม่มีวันจะได้เป็น ไม่มีวัน!“ค่ะ”‘ค่ะ’ สั้นๆ เหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปากเช่นเดิม จากนั้นก็ทำหน้านิ่งจนอ่านความรู้สึกไม่ออก ยิ่งทำให้คนที่กำลังจะไปหงุดหงิดมากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่เขาบอกว่าจะไปหาผู้หญิงที่ดีพร้อมมากกว่า เพราะอยากเห็นสีหน้าและแววตาที่เจ็บปวดของเธอ แต่จันทริกากลับนิ่งเฉย นิ่งจนกลายเป็นเขาที่ออกอาการเ
บทที่ 43 อากาศในยามอรุณรุ่งยังคงมีหมอกลงหนาทึบ ทำให้บรรยากาศทั่วอาณาบริเวณหนาวเย็นเหมือนเช่นทุกเช้า โดยเฉพาะในช่วงเวลาตีสี่กว่าๆ แบบนี้ หากเช้านี้จันทริกากลับรู้สึกว่าความหนาวเย็นนั้นไม่ได้กระทบผิวกายของเธอมากเท่าไหร่ เพราะมีความอบอุ่นบางอย่างที่คอยโอบล้อม ทำให้ร่างบางเผลอซุกเข้าหาความอบอุ่นนั้นอย่างลืมตัว ครั้นพอลืมตาตื่นก็รีบถอยห่างแบบเป็นอัตโนมัติเช่นกัน ทว่าแค่แรงดิ้นเบาๆ นั้นก็ทำให้คนที่นอนอยู่ข้างๆ ตวัดแขนคว้าเอาร่างบางเข้าไปนอนกอดอีกครั้ง จันทริกาแก้มแดงซ่านท่ามกลางความมืดเพราะรู้สึกได้ว่า ร่างกายของรังสิมันต์ยังคงเปลือยเปล่า “จะขยับไปไหน” เขาพึมพำทั้งที่ยังไม่ลืมตา แขนแกร่งกอดร่างบางมาแนบชิดแน่นกว่าเดิม “จันทร์ต้องลุกแล้วค่ะ คุณปล่อยจันทร์เถอะนะคะ” “ไม่ปล่อย จะรีบตื่นไปไหนแต่เช้า” “ตื่นไปเตรียมอาหารให้คุณ และเตรียมตัวไปทำงานไงคะ” “วันนี้เธอไม่ต้องไปทำงาน ส่วนอาหารเช้าฉันก็ไม่กิน เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอมีหน้าที่นอนนิ่งๆ ให้ฉันกอดก็พอ ห้องเธอหนาวจะตายไม่รู้หรือไง” “ไหนคุณ
บทที่ 42สี่โมงเย็นของวันนั้น รังสิมันต์ออกจากห้องทำงานแล้วลงมาหาจันทริกาที่ห้องล็อกเกอร์ สั่งให้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับบ้านพร้อมเขา ทั้งๆ ที่เวลาเลิกงานของพนักงานกะเช้าคือหกโมงเย็น“เธอยังกินยาคุมอยู่หรือเปล่า” รังสิมันต์ถามขณะนั่งรับประทานมื้อเย็นอยู่ที่โต๊ะในห้องอาหารของคฤหาสน์หลังใหญ่“กินค่ะ” คำตอบนั้นเป็นคำตอบที่สั้นๆ น้ำเสียงราบเรียบ แต่หัวใจหม่นหมองมากเหลือเกิน เพราะรังสิมันต์ดูเหมือนจะกังวลและย้ำเรื่องนี้กับเธออยู่บ่อยครั้ง เขาคงกลัวว่าจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นและเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาจะอุบัติในท้องของผู้หญิงที่เขามองว่าเลวร้ายอย่างเธอ“งั้นก็ดี คืนนี้เธอขึ้นไปนอนกับฉัน”ช่างเป็นคำสั่งที่พูดออกมาได้อย่างเฉยเมยเย็นชาราวกับสั่งไปเธอทำงานทั่วไป แต่คนไม่มีทางเลือกอย่างเธอจะต่อต้านหรือปฏิเสธอะไรได้ ในเมื่อความต้องการของเขาคือสิ่งที่เธอต้องทำตามหลังจากเก็บโต๊ะเสร็จ จันทริกาก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า บอกให้เมสซี่นอนรออยู่ที่ห้อง เพราะรู้ดีว่าเมื่อรังสิมันต์บรรลุความต้องการของเขาแล้ว เธอก็จะต้องกลับลงมานอนที่ห้องเล็กๆ ห้องนี้ดังเดิมแม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ความกระดากอายยา
บทที่ 41รถที่สมรรถสูงสมราคาแล่นฉิวเข้ามาในที่จอดประจำโดยใช้เวลาไม่นานนัก รังสิมันต์ก้าวลงจากรถแล้วสั่งให้จันทริกาเดินไปหาหัวหน้าแม่บ้านที่ห้องล็อกเกอร์ ส่วนตัวเองตรงขึ้นไปยังห้องทำงานเพราะเมื่อวานนี้ทราบแล้วว่าห้องล็อกเกอร์อยู่ตรงไหน จันทริกาจึงไปหาหัวหน้าแม่บ้านที่นั่นโดยไม่ต้องมีใครพาไป หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จเธอได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาดห้องน้ำที่ชั้นสามและชั้นสี่เช่นเดิม หญิงสาวพยายามมองหาคนในบ้านที่รังสิมันต์ให้มาทำงานที่นี่ ทว่าก็ไม่ได้พบใคร เพราะทุกคนอยู่ในแผนกอาหารสดกันหมด เธอจึงได้แต่ทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่มีโอกาสได้พูดคุยทักทายกับใครเลย ร่างเล็กบางที่กำลังหิ้วถังน้ำและไม้ถูพื้นเข้าไปห้องน้ำ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของรังสิมันต์อยู่แทบจะทุกย่างก้าว เพียงแต่วันนี้เขายืนมองอยู่ไกลๆ ไม่ได้เข้ามาคุมแจอยู่ข้างในเหมือนเมื่อวาน หลังจากที่เข้าไปทำความสะอาดห้องน้ำชั้นสามเสร็จ จันทริกาถืออุปกรณ์ทั้งหมดออกมาด้านนอก เตรียมจะไปทำความสะอาดที่ห้องน้ำชั้นสี่ต่อ แต่เธอต้องหันหลังกลับไปมอง เมื่อมีใครบางคนเรียกชื่อเธออย่างคุ้นเคย
บทที่ 40เวลาเกือบสี่ทุ่ม กว่าที่รังสิมันต์กับปรัชญ์จะแยกย้ายกันกลับบ้าน แม้ปากบอกว่าจะไปดื่มเหล้าด้วยกัน แต่ต่างคนต่างก็ไม่ได้ดื่มหนักอะไร ส่วนใหญ่จะเป็นคุยกันสัพเพเหระซะมากกว่า หรือถ้าให้พูดตรงๆ เรื่องดื่มเหล้ามันก็เป็นแค่ข้ออ้างสำหรับการออกไปเที่ยวเตร่ตามประสาผู้ชายโสดเท่านั้นออดี้สีเหลืองแล่นมาจอดที่หน้าบ้านอย่างคล่องตัว คนขับจัดการดับเครื่องดึงกุญแจออกแล้วเดินตรงเข้าไปในบ้านเลย โดยไม่ได้สนใจจะขับรถราคาแรงนั้นไปจอดในโรงรถแต่อย่างใด ด้านนอกไฟยังคงสว่างไสว ทว่าภายในบ้านไฟกลับถูกปิดเกือบทุกดวง ยกเว้นตรงบริเวณทางขึ้นบันไดชั้นสองเท่านั้นที่เปิดอยู่ร่างสูงก้าวขาไปยังบันไดเพื่อขึ้นห้อง ทว่าอยู่ๆ ก็เปลี่ยนใจกะทันหัน หันหลังกลับแล้วเดินตรงไปยังห้องนอนชั้นล่างแทนเขาหยิบกุญแจสำรองที่แอบเก็บไว้ติดตัวตลอดเวลาออกมา กำลังจะไขเข้าไปอย่างถือวิสาสะ แต่ก็ชะงักมือเอาไว้เมื่อได้ยินเสียงหวานแว่วดังออกมานอกห้องเบาๆ“นอนลงๆ เป็นเด็กว่าง่าย นอนได้แล้วเมสซี่ วันนี้จันทร์ง่วงมาก แล้วก็ไม่มีอะไรจะคุยให้เมสซี่ฟังด้วย ฝันดีนะ”แม้เสียงนั้นจะเล็ดลอดออกนอกห้องมาแค่แผ่วเบา แต่ด้วยบรรยากาศที่เงียบเชียบของบ้าน ร
บทที่ 39สินชัยเดินนำไปทางห้องล็อกเกอร์ของแม่บ้าน บอกหัวหน้าแม่บ้านให้หาชุดให้จันทริกาเปลี่ยน จากนั้นหญิงสาวก็ถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเดินตามหัวหน้าแม่บ้านไปยังห้องน้ำที่อยู่ชั้นสาม “เดี๋ยวทำที่นี่เสร็จ ขึ้นไปทำที่ชั้นสี่ต่อเลยนะ” หัวหน้าแม่บ้านออกคำสั่งกับจันทริกาอีกคน “ค่ะ” “งั้นก็ลงมือได้เลย เดี๋ยวป้าจะไปตรวจความเรียบร้อยที่ชั้นอื่นก่อน เสร็จแล้วจะขึ้นมาตรวจดูที่ชั้นสามอีกรอบ” หัวหน้าแม่บ้านบอกเสร็จก็ออกไปจากห้องน้ำชั้นนั้น เพื่อไปตรวจความเรียบร้อยของชั้นอื่นๆ ตามหน้าที่ตัวเอง ประตูห้องน้ำที่ถูกแขวนป้ายด้านนอกว่ากำลังทำควาสะอาดถูกผลักเข้ามาอีกรอบ ทำให้จันทริกาซึ่งกำลังตั้งหน้าตั้งตาขัดล้างทำความสะอาดห้องน้ำอยู่หันขวับไปมอง แล้วก็เห็นว่าคนที่เข้ามานั้นก็คือรังสิมันต์นั่นเอง “คุณตะวัน…” “ฉันแค่เข้ามาดูเธอว่าทำความสะอาดได้เรียบร้อยดีหรือเปล่า” ได้ยินคำตอบแบบนั้นจันทริกาก็หันไปตั้งหน้าตั้งตาทำความสะอาดต่อ โดยไม่ได้พูดจาใดๆ กับเขาอีก เสร็จจากห้องนั้นก็ต่อห้องนี้ จนกระทั่งครบทุกห้